ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Frawteer ดินแดนแห่งสุดท้ายของผู้ลี้ภัย

    ลำดับตอนที่ #14 : หมาป่าสีแดง

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ค. 56


         ผิดแผกแปลกแยก
    จำแลกซึ่งความวิบัติ

         สองหัตบรรจงโกบ
    ด้วยโลภปนโกรธา

         ลุกโหมกระพือหน่ำ
    ซ้ำทั้งย้ำมิลืมเลือน

         เสียงกรีดร้องดังอยู่ในวงล้อมของเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ดังคำบูชาพระเพลิง

         ท้องฟ้ายามราตรีถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉาน สะท้อนออกมาจากเปลวเพลลิงที่กำลังลุกช่วง เสียงโหยหวนดังอยู่ทุกเเห่งหนเช่นเดียวกับพื้นดินที่ล้วนต่างเจิ่งนองไปด้วยสีแห่งหยาดโลหิตและร่างของสิ่งที่ครั้งนึงเคยมีชีวิต

    ร่างมากมายคล้ายกองทัพชุดเกราะสีเงินที่บัดนี้เประเปื้อนไปด้วยสีแดงจากการกระทำอันต่ำช้า

    ...'สีของหยาดโลหิตจากผู้บริสุทธิ์'...

         ดาบสีเดียวกับเกราะเเกร่งถูกย้อมไปด้วยสีแห่งปาบ ร่างทรงสง่าอยู่บนหลังม้าใช้ดาบเปื้อนเลือดชี้สั่งการกองทัพชุดเกราะ

         " ลากพวกมันออกมาให้หมด! "

         เหล่านักรบผู้ขึงขังต่างพากันปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด พากันจับสิ่งที่ดู'คล้าย'กับมนุษย์และบ้างก็เป็นสัตว์ป่าตัวยักษ์

         เสียงกรีดร้องของเด็กชายตัวน้อยดังขึ้นพร้อมๆกับหญิงสาวที่ดวงหน้างามเประเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำสีใส ร้องขอความเมตตาให้กลับเด็กน้อย ชายผู้ทรงบนหลังม้าเพียงปรายตามองร่างทั้งสองก่อนจะเอ่ยสิ่งที่เป็นดังคำพิพากษา

         " ฆ่าพวกมันให้หมด! "







         " ม่ายยยยย!!! "

    ตึง!

         เสียงดาบเล่มโตปักลงบนพื้นดินจนมิดด้าม ร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดทั้งสองต่างอยู่ดีมีสุขทุกประการผิดกับร่างทั้งสามที่พากันนิ่งค้างไม่อาจขยับเขยื้อน ร่างบอบบางที่อยู่ใกล้ดาบที่โผล่พ้นออกมาจากแผ่นดินแค่เพียงด้าม มือเรียวบางค้างอยู่กลางอากาศด้วยอัปกริยาราวกับจะไขว่คว้าบางสิ่ง ดวงตาสีมรกตคู่สวยสั่นระริกอย่างหวาดกลัว ปลายนิ้วเรียวกระตุกถี่ขณะที่เจ้าของยังจับจ้องที่ซึ่งเคยมีร่างหนึ่งอยู่

         ภาพของชายนัยน์ตาสีรัติกาลทาบทับขึ้นมาตรงหน้า สิ่งสำคัญที่ไม่อาจปกป้อง ชิเอลผงะถอยหลังล้มลงด้วยความหวาดหวั่นอย่างไม่อาจอดกลั้น

    ...จิซาล เชล...

         ร่างบอบบบางที่สั่นไม่หยุดจนสองคนด้านหลังเริ่มหวั่นแทน เจ้าดาบยักษ์ไม่ได้ใช้เวลาในการดึงดาบมากเช่นก่อนหน้า มันเงื้อมือขึ้นสูงจนฟรานและคอย์ลที่ยังพะวนติดกับอีกตัวได้แต่ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากแต่ก็ไม่อาจปลีกตัวไปได้

         เสียงดาบแหวกอากาศลงมาตรงหน้า แม้ดาร์กวอร์อยู่ในมือเจ้าของร่างก็ไม่อาจขยับเขยื้อนมันขึ้นมาได้แค่เพียงหลับตายังไม่อาจจะทำ ราวกับห้วงเวลาหมุนช้าลง ดวงตาสีมรกตจับจ้องดาบตรงหน้าที่ใกล้จะจวนตัวโดยไม่คิดจะขยับไปไหน พลันร่างก็ถูกกระแทกออกมาอีกฝั่งอย่างแรงในเวลาเดียวกับที่ดาบยักษ์กระแทกลงบนพื้น ชิเอลเหลือบมองปรอยผมสีคาราเมลที่ตกอยู่บนพื้นอย่างหวาดเสียว หากช้ากว่านี้ซักนิดคงเป็นศีรษะตนแทนที่จะเป็นเส้นผมนั่นเป็นแน่ ร่างเล็กหันกลับไปหมายจะขอบคุณผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยชีวิตตนแล้วต้องผงะถอยหลังออกมาด้วยความตกลึงตะลึงและหวาดกลัว

         สัตว์ร่างมหึมาแม้ไม่เท่าเจ้าสองตัวยักษ์แต่ก็ใหญ่กว่ามากหากเทียบกับสัตว์ทั่วไป เขี้ยวยาวที่โผล่พ้นกรามใหญ่ออกมาพร้อมเสียงขู่คำรามที่ส่งไปยังเจ้าตัวประหลาดทั้งสอง ขนสีแดงหนาฟูฟ่องไปทั่วร่างกายที่สั่นระริกตอบรับจังหวะการขู่กรรโชก ดวงตาสีฟ้าใสแวววับกับรูปร่างที่ดูแล้วน่าจะเป็นหมาป่าแต่ขนากนั้นใหญ่กว่ามาก
       
         ชิเอลมองเจ้าสัตว์ป่าตัวยักษ์ข้างกายด้วยความหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม แต่แล้วก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อดวงตาสีฟ้าหันกับมาสบเข้ากับตนอย่างจัง ก่อนจะพบเงาบางอย่างที่อยู่ภายในดวงตาของเจ้าสัตว์ตรงหน้าที่ถึงกับทำให้ร่างบางเอ่ยออกมามาไม่เป็นคำพูด

         " ชะ เชลงั้นเหรอ "

         " กรรร " หมาป่ายักษ์ครางตอบ

         ดวงตาสีฟ้าใสนั่นไร้ซึ่งแววตาแห่งการมุ่งร้ายแต่อย่างใด ทำให้ร่างเล็กลดความกลัวลงไปได้เปราะนึง

    ตึง!

         ตัวประหลาดถึงดาบก้าวเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมหลายเท่าเช่นเดียวกับการจู่โจมที่มาแบบไม่ให้ตั้งตัว เชลที่อยู่ในร่างหมาป่าขนสีแดงสดใช้ปากเหวี่ยงร่างของชิเอลไปอีกทางก่อนจะกระโดดหลบวิถีของดาบ

         " เหวอ! "

         " หนุ่มน้อย! "

         ฟรานตะโกนเรียกชื่อของคนตัวเล็กที่กระเด็นมากวาดกองทัพวากจนล้มระเนระนาดไปคนละทิศคนละทางก่อนจะพุ่งตัวไปฉุดร่างนั่นให้ลุกขึ้นมาโดยเร็วพร้อมกับพวกซากที่พากันตั้งเป็นกองทัพอีกครั้ง

         อีกฝากหนึ่งนั้นนักดนตรีหนุ่มกับดาบเล่มโตเกินตัวยังคงกวัดแกว่งไปมาทำได้แค่เพียงเบี่ยงวิถีของการโจมตีให้พ้นตัวออกไป ทุกครั้งที่มีโอกาสโจมตีกลับไป ไทร์ซูลเล่มโตฟันเข้าที่ตัวประหลาดไปเต็มๆแต่บากแผลที่ปรากฎขึ้นมากลับไม่มีเลือดซักหยด ดวงตาสีชากรอกไปมามองหาวิธีที่จะทำให้ตนและเพื่อนทั้งสามหลุดพ้นจากสถานการณ์ตรงหน้า แต่ก็อับจนซึ่งหนทาง

         พานกวีในร่างหมาป่าสีแดงกระโจนขึ้นใช้เขี้ยวยาวฝังลงบนคอเจ้าตัวประหลาดหมายจะดับลมหายใจของมันลง ผลที่ตามมากลับไม่เป็นดังที่คาด แม้โจมตีที่จุดตายบริเวณคอลึกพอจะตัดหลอดลมให้ขาดออกจากกันได้แล้ว แต่เจ้าตัวยักษ์ที่ควรตายกลับใช้มือที่เต็มไปด้วยโซ่เส้นโตดึงร่างของเชลออก แม้จะถูกเจ้าตัวยักษ์คว้าเอาไว้ได้แต่เขี้ยวคมยังคงฝังอยู่บนลำคอพร้อมกับกงเล็บอย่างที่สัตว๋ป่าควรจะมีพากันจิกลงไปยังเนื้อของเจ้าตัวประหลาดอย่างไม่ยอมแพ้ ยิ่งมันออกแรงดึงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้คอของมันเกิดเป็นแผลที่ถูกคมเขี้ยวบาดลึกลงไปเป็นแผลฉกรรน์มากยิ่งขึ้น แต่ดูท่าทีของมันราวกับไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดใดๆเลย จนสุดท้ายร่างของหมาป่าก็ถูกกระชากออกมาพร้อมกันกับเนื้อชิ้นใหญ่ที่หลุดติดปากของมันมาด้วย ตัวประหลาดยักษ์เหวี่ยงร่างสีเเดงของหมาป่าลงกระแทกพื้นเข้าอย่างจัง

         " เอ๋ง! "

         เจ้าตัวยักษ์เยยื้องย่างเข้าไปหยิบดาบเล่มโตกลับมาด้วยมาดเพรชฆาตรอประหารเหยื่อ

         เสียงดาบลากไปกับพื้นดังก้องอยู่ในโสตประสาทของเชล สัญชาตญาณกำลังร้องเตือนถึงหายนะที่กำลังคลืบคลานเข้ามาอย่างเชื่องช้า สี่ขาของหมาป่าตะเกียดตะกายอยู่บนพื้นไปมาอย่างดื้นรนแต่บาดแผลและความเจ็บปวดทำให้มันไม่สามารถขยับเขยื้อนออกจากลานประหารได้ ร่างสีแดงกายกายอยู่บนพื้นด้วยเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายอย่างสิ้นหวัง

    ...ไม่!...

         คำกู่ร้องอยู่ในหัวของมันพร้อมกับอีกคนไม่ไกล โดยที่ไม่รู้ตัวดวงตาสีมรกตเบิกกว้างก่อนจะหม่นแสงลงในพริบตาจนกลายเป็นสีเทาขุ่น วงเวทอักขระสีเทาปรากฎเบื้องหลังเจ้าตัวถือดาบอย่่างไม่คาดคิด สายพลังสีีเดียวกับวงเวทดึงร่างเจ้าปีศาจยักษ์ให้ตรึงกับวงเวทก่อนที่สายพลังทั้งหมดจะพุ่งเข้ากระซวกร่างที่ถูกตรึง

         ร่างยักษ์ของมันดิ้นพล่านไปมาบนวงเวทสีเทาในขณะที่เจ้าของไอเวทนิ่งค้างราวกับถูกสะกดก่อนที่รอบร่างจะปรากฎควันออกมา ยิ่งควันมากเท่าไหร่สีของสายพลังก็ยิ่งเข้มขึ้นเรื่อยๆกระทั่งร่างตัวประหลาดที่ดิ้นพล่านอยู่สงบลง

    พรึบ!

         เปลวเพลิงสีเทาเข้มลุกไหม้บนร่างตัวประหลาดที่ยังคงถูกตรึงอยู่กลางวงเวท

         ไร้ซึ่งการกรีดร้องและดิ้นรนใดๆ ร่างของมันค่อยๆไหม้ลงอย่างช้า ดังเช่นวงเวทยักษ์ที่เริ่มจางหายไปตามร่างของมันที่สุดท้ายแล้วกลายเป็นเพียงละอองขาวๆลอยหายไปกับอากาศ

         ทุกคนหันไปมองร่างเล็กด้วยความตกตะลึง แต่ดูร่างนั้นจะไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงรอบตัวเลย ดวงตาสีมรกตที่กลายเป็นสีเทาขุ่นยังคงว่างเปล่าดังเช่นเหวสมุทรลึก แม้ไอรอบตัวจะหายไปแต่ทุกคนยังไม่ลดความกังวลลงไปเมื่อไม่ว่าจะเรียกยังไง ร่างบอบบางตรงหน้าก็ไม่มีท่าทีตอบสนองกลับมาซักนิด

         เจ้าหมาป่าสีแดงชะโงกเข้ามาใกล้ร่างสูงทั้งสองที่พากันถอยกรูอย่างระวังภัยแต่ก็ต้องชะงักเมื่อสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าใสของสัตว์ป่าตรงหน้า ก่อนเจ้าของเรือนผมสีชาจะส่งเสียงตะกุกตะกักออกมาอย่างไม่เชื่อตาตัวเอง 

         " ชะ เชล "

          " กรร " ร่างที่ถูกเรียกครางตอบ

         ทั้งสามไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากนัก สองคนกับอีกหนึ่งตัวก็ต้องตั้งท่าเตรียมรับมือต่อเพราะดูท่าทางกองทัพซากและเจ้าตัวถือเคียวตั้งท่าเตรียมพร้อมก่อนจะพุ่งเข้ามา

         ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ร่างตัวประหลาดถือเคียวที่พุ่งเข้ามาก็ชะงักก่อนจะปรกฎวงเวทสีเทาใต้ร่างของมันพร้อมทั้งสายพลังมากมายที่พุ่งออกมาจากวงเวท ล้อมเจ้าปีศาจให้กลายไม่ต่างกับถูกขังอยู่ในกรงสายพลัง

    ตึง!

         เจ้าตัวที่ถูกขังใช้ร่างกายที่ใหญ่โตพุ่งเข้ากระแทกกรงเวท พร้อมทั้งเคียวในมือที่ฟันใส่กรงสายพลังอย่างบ้าคลั่ง

    ชัวะ!

         ไทร์ซูลสีน้ำตาลทองเล่มโตในมือนักดนตรี กวาดฟันร่างของพวกซากมากมายที่คิดจะย่างก้าวเข้ามา ด้วยวิถีดาบที่เฉียบคมครึ่งร่างท่อนบนของพวกซากพากันหลุดออกจากร่างตามแรงโน้มถ่วงเมื่อไร้สิ่งเชื่อมโยง พื้นดินถูกย้อมไปด้วยสีของโลหิตที่เจิ่งนองไปทั่ว นักดนตรีแห่งเซลวาสมองซากศพมากมายที่กราดเกลื่อนอยู่บนพื้นแค่เพียงหางตาก่อนจะกลับไปฟาดฟันกับซากกลุ่มใหม่ที่พุ่งเข้ามา ไม่มีเวลาให้มานั่งข้องใจ เหตุใดนักดนตรีผู้นี้จึงสามารถลงดาบตัดร่างคนมากมายในคราเดียวอย่างหน้าตาเฉย

    กรรร!

         ร่างสีแดงของเจ้าหมาป่ากระโจนเข้าขย้ำร่างของหญิงชราที่คิดจะลอบโจมตีซีคเกอร์หนุ่มจากด้านหลัง ฟรานมองภาพที่ผ่านไปก่อนจะพยักหน้าเพียงน้อยๆให้หมาป่าเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะเริ่มร่ายเวทอัดพลังใส่ดาบสีเงินและวาดออกไปข้างข้างตัวจนเกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องไปทั่ว

    ตูม!

         ในขณะที่ทุกคนยังพะวนกับการต่อสู้เบื้องหน้าอย่างไม่คิดชีวิต ดวงตาสีมรกตที่กลายเป็นสีเทาขุ่มหันกรอกไปมาช้าๆ

         ร่างบอบบางราวอิสตรีเยื้องกายไปอย่างไม่รีบร้อน ดวงตาคู่งามไร้ซึ่งประกายความรู้สึกใดๆซ่อนเร้นอยู่ภายใน ไอควันจางๆปรากฎรอบร่างบอบบางที่กำลังก้าวย่างไปด้านหน้าอีกครั้งราวกับจะปกป้อง ร่างที่ก้าวเดินไปทางที่สัตว์ประหลาดร่างยักษ์ถูกจองจำอยู่ด้วยความสงบนิ่ง

          ข้อมือบางสัมผัสไล้ตามสายพลังสีเทาด้วยแววตาที่เรียบนิ่ง แต่เจ้าตัวประหลาดกลับมีท่าทีหวาดกลัว ถอยร่นไปจนติดกรงอีกฝากหนึ่ง

    เคร้ง!

         เสียงเคียงยักษ์ในมือของตัวประหลาดหล่นกระทบพ้น ข้อมือบางเอื้อมไปสัมผัสส่วนหัวที่ซ่อนอยู่ภายให้กระสอบหนา

         ร่างยักษ์ทรุดลงกับพื้นอย่างไม่อาจต้านทาน 'ชิเอล'ยังคงใช้มือบางลูบหัวขนาดยักษ์นั่นราวกับปลอบโยนมันออกจากความหวาดกลัว ร่างโตทรุดลงหมอบกับพื้นดังกับท่าทางที่ใช้เคารพบางสิ่ง ใบหน้าสวยเพียงกระตุกยิ้มที่มุมปากออกมาบางๆก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งเช่นเคย มือบอบบางละจากการปลอบประโลมมาเชยใบหน้ายักษ์ให้เงยขึ้นมาก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ

         " บอกนายของเจ้าว่าข้ากับมาแล้ว "

         ริมฝีปากบางกระดกขึ้นเป็นร่องรอยของการแสยะยิ้ม ร่างของตัวประหลาดนิ่งค้างราวกับต้องสาปก่อนจะค่อยๆสลายกลายเป็นไอ 

         เพียงชั่ววูบก่อนจะกลายเป็นธุลี เสียงราบเรียบดังขึ้นราวกับตอกย้ำซึ่งฝันร้ายใหม่ของมันอีกครั้ง

         " ข้ากลับมาเอาทุกสิ่งของข้าคืน "





        ฟราน คอย์ลและเชลที่อยู่ในร่างหมาป่าสีแดงกำลังโรมรันกับพวกซากโดยที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดเบื้องหลังแม้แต่น้อย จนกระทั่งร่างบอบบางมาหยุดยืนอยู่กลางสมรภูมิ

         คมเขี้ยวยักษ์ของสัตว์สี่ขากระชากเนื้อสดออกจากร่างที่ไม่ต่างกับไร้ซึ่งชีวิตก่อนที่ดวงตาคู่สีฟ้าจะเหลือบไปเห็นร่างที่ก้าวย่างเข้ามาหยุดอยู่ด้านหลังจึงส่งเสียงคำรามเรียกอีกสองคน " กรร "

         " หนุ่มน้อย! "

         คนถูกเรียกเพียงแค่ปรายตามองอย่างไม่ใส่ใจพร้อมทั้งก้าวต่อไปประจันหน้ากับกองทัพซากที่กรูเข้ามา

         แผ่นหลังบอบบางที่ยืดหยัดอยู่เบื้องหน้าทั้งสามในยามนี้กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเฉกเช่นมิตรในยามพบปะแต่อย่างใด ร่างเบื้องหน้าบัดนี้กับแลดูทรนง หยิ่งผยองและเยือกเย็นเกินกว่าจะเป็นคนคนเดียวกับที่ทั้งสามรู้จัก

         ดวงตาสีเทาขุ่นคล้ายสีของขี้เถ้าจ้องมองกองทัพที่ไม่ต่างอะไรกับผีดิบเดินได้อย่างไร้อารมณ์ ร่างหญิงชราถือไม้นิตติ้งเปื้อนเลือดพุ่งเข้าหาร่างบางที่ยังคงนิ่งไม่คิดจะหลบไปไหน ทำให้คนที่อยู่ด้านหลังต่างพากันกรีดร้องอย่างหวาดเสียวแต่แล้วก็ต้องพบกับความตกตะลึงอีกครั้งเมื่อข้อมือขาวซีดวาดค้างอยู่กลางอากาศหน้าพวกตนก่อนจะปรากฎเป็นวงเวทล้อมข้อมือพุ่งไปทางทัพซากผีดิบพร้อมเสียงร่ายเวทนิ่งๆ

         " En rombre de mi Jo convoro Deidad destruide destruye vosotros despedazara` "

    ฉัวะ!

         เสียงขาดสะบั้นและหยาดเลือดสีสดมากมายที่สาดกระเซ็นออกมาไม่มีแม้แต่จะหยดมาถึงตัวผู้กระทำที่ยังคงท่าทีเรียบนิ่งทั้งที่เบื้องหน้าสายตาเป็นกองซากสิ่งที่เคยมีชีวิต ชิ้นส่วนต่างๆของร่างกายกระกระจายเกลื่อนกราดไปทั่วทุกทิศทางอย่างน่าสยดสยอง

         " อะ อึก "

         คอย์ลถึงกับผงะออกมาเมื่อดวงตาสีเทาขุ่นบนใบหน้าคุ้นเคยหันมาสบ 'ชิเอล'เพียงกระตุกยิ้มน้อยข้างมุมปาก พลางมองนักดนตรีแห่งเซลวาสที่มีฝีมือเกินตัว ก่อนจะไม่สนใจหันกลับไปทางเดินในขณะที่เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวเจ้าของเรือนผมสีชา

    ...Periodist* ข้ารู้ว่าแท้จริงเจ้าคือใคร...

         อีกร่างที่ยืนอยู่มองเพื่อนตัวสูงข้างตนที่ดูเหมือนจะหน้าซีดขึ้นมาอย่างกะทันหันอย่างแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ดึงความสนใจของซีคเกอร์หนุ่มได้มากเท่ากับร่างร่างเล็กตรงหน้าที่มีบรรยากาศรอบกายแตกต่างออกไป ฟรานเองไม่มีเวลาให้คิดเมื่อพวกทัพซากที่เหลือย่ำข้ามศพของพวกมันเองบุกเข้ามาล้อมพวกเขาทั้งหมดจนปิดซึ่งหนทางหนีใด กลายเป็นโดนล้อมไว้ทุกทางแถมยังโดนบีบเข้ามาเรื่อยๆทำให้ร่างสูงของคนที่ยังปกติดีทั้งสองต่างใช้แผ่นหลังชนกันอย่างหวาดระแวงรอบด้าน

         และแล้วทั้งคู่ก็ต้องเริ่มออกแรงอีกครั้งเพราะซากมากมายเริ่มโถมเข้ามาแถมมีแค่ทางเดียวที่จะจัดการกับพวกมันได้อย่างเด็ดขาดคือตัดช่องทางการเคลื่อนไหวหรือไม่ก็ตัดหัวทิ้งอย่างเดียว ทำให้สองคนกับหนึ่งตัวถึงกับหอบรับประทานเพราะหากโจมตีไปในจุดอื่นไม่ว่าจะทำให้คอหักแต่ไม่หลุดออกจากร่างมันก็ยังสามารถลุกขึ้นมาได้อีกเรื่อยๆหรือกระทั่งขาดครึ่งร่างทั้งสองส่วนก็ยังคงสามารถขยับเขยื้อนเข้ามาได้อีกแม้ว่าร่างอีกครึ่งนึงของมันจะถูกพวกเดียวกันเหยียบจนไม่เหลือซากก็ตาม ทั้งสามจึงเลือกประหยัดการโจมตี โดยเน้นจู่โจมจุดตายตรงๆเท่านั้นเพื่อไม่ให้เป็นการสิ้นเปลืองแรงไปโดยเปล่าประโยชน์ ถึงแม้สามร่างกำลังตกอยู่ในสถานะการณ์คับขันสุดๆแต่ดูท่าคนที่อยู่ใจกลางวงล้อมที่ถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนอีกทียืนมองทั้งสามร่างด้วยสายตาเรียบนิ่งโดยไม่มีท่าทีคิดจะช่วยเลย

    เคร้ง!

         เสียงดาบเล่มบางสีเงินปรอทกระทบเข้ากับเลื่อยไฟฟ้าจากซากตัวหนึ่งที่นำมาเป็นอาวุธทำให้ร่างของซากคนทำสวนขาดครึ่งไปพร้อมกับอาวุธในมือ

         ดวงตาสีอเมทิศหรี่ลงก่อนจะเริ่มร่ายเวทอัดรวมเข้ากับในมือก่อนจะกวาดร่างซากจนล้มระเนระนาดไปคนละทิศคนละทาง อีกคนก็ไม่น้อยหน้าใช้ดาบเล่มโตในมือฟันทีหลุดเป็นสิบหัว ด้ามเชลที่อยู่ในร่างหมาป่าก็ไล่ขยี้หัวพวกซากอย่างเมามันจนขนที่เป็นสีแดงอยู่แล้วแทบจะกลายเป็นสีดำจากคราบเลือดที่แห้งกรังตามตัว

         ถึงแม้การต่อสู้สุดกำลังจะเต็มไปด้วยความสามัคคีกันเป็นอย่างดีแต่จำนวนของศตรูนั้นยังมีมากเกินไปทำให้วงล้อมถูกกระชับเข้ามาจนแทบจะต้องขี่คอกันยืนอยู่รอมร่อ

         ดวงตาสีเทาขุ่นมองร่่างที่เบียดเข้ามาพร้อมกระตุกยิ้มออกมาบางๆจนไม่มีใครสังเกตได้ทันก่อนจะก้าวเดินออกไปในเวลาที่ร่างของสิ่งที่มุ่งร้ายจู่โจมเข้ามาจนคนที่เหลือต่างห้ามกันไม่ทัน ข้อมือขาววาดไปด้านหน้าลำตัว ดวงตาคู่โตปิดลงช้าๆพร้อมกับวงเวทใต้เท้าที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว แสงสว่างจ้าปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณดังเช่นเสียงกรีดร้องของเหล่าซากที่ดังขึ้นมาเป็นระลอกก่อนจะค่อยๆเงียบหายไปพร้อมแสงจ้าในที่สุด

         ฟรานขยี้ตาเพื่อปรับภาพตรงหน้าให้ต้องตกตะลึงเช่นกับร่างสูงและอีกตัวที่อยู่ด้านหลังเมื่อกองทัพเมื่อครู่กลายเป็นซากศพจริงๆที่กองพะเนินขึ้นมาดังเช่นนภูเขาขนาดย่อม แต่ยิ่งกว่านั้นคือผู้กระทำที่ยังคงมองภาพตรงหน้าอย่างเรียบเฉย

         " หนุ่มน้อย "

         ไม่มีการตอบโต้ใดกลับมาถึงเสียงนั้นจะไม่ดังมากแต่ก็พอได้ยินกันทั่ว

         คอย์ลมองร่างบอบบางที่ต่างออกไปจากทุกทีด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความระแวงในตัวของเพื่อนอย่างไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะดึงร่างคนตัวสูงและหมาป่าสีแดงที่คิดจะก้าวเข้าไปหาร่างตรงหน้า

         " ถอยออกมาก่อนดีกว่าฟราน " นักดนตรีกล่าวเตือน

         คนถูกเตือนที่กำลังย่างก้าวถึงกับหยุดชะงักอยู่กับที่ ดวงสีอเมทิศเบือนไปสบกับนักดนตรีและเจ้าหมาป่าสีแดงด้วยความไม่เข้าใจ

         เจ้าของเรือนผมสีชาเดินมาดึงคนตัวสูงให้ออกห่างจากร่างบางที่ดู'คล้าย'จะเป็นคนที่พวกเขาทุกคนต่างคุ้นเคย หากมองไม่ผิดไปดวงตาของร่างบอบบางเบื้องหน้านั้นหาใช่สีมรกต ทั้งยังเสียงที่ดังขึ้นภายในหัวที่มั่นใจได้เลยว่าต้องเป็นฝีมือของคนตรงหน้าเป็นแน่แต่แล้วก็ต้องชะงัก

         ร่างบอบบางของคนที่เคยคุ้นหันกลับมาช้าๆด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
     
        " สายัญห์สวัสดิ์ "

         ทุกร่างต่างมองคนตัวเล็กด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนไป ดวงตาสีมรกตคู่สุกใสบัดนี้กลายเป็นสีขี้เถ้า ทั้งเส้นผมสีคาราเมลที่อ่อนลงจนแทบจะกลายเป็นสีขาวและใบหน้าที่เป็นของชิเอลกล่าวออกมาอย่างเรียบนิ่งโดยไม่แสดงอารมณ์ใดให้ปรากฎ ทำให้ทั้งสมร่างเริ่มตั้งการ์ดหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันทั้งหมดก็พร้อมลงมือ

         ร่างที่ดูจะกลายเป็นคนแปลกหน้าชะงักลงด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงแต่หากสังเกตุให้ดีจะเห็นมุมปากเล็กกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

         ดวงตาสีขี้เถ้าว่างเปล่าไล่สบตากลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้า แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัวก็เกิดเสียงคล้ายบางสิ่งแตกหักพร้อมความเจ็บปวดเข้ามาประดัง

    เปรียะ!

          และนั้นคือความรู้สึกสุดท้ายก่อนร่างบางจะล้มลง




         ...ที่ไหน?...

         ความมืดมิดและหนาวเหน็บโอบล้อมอยู่ลอบด้านที่เป็นสีทมิฬราวกับไร้ที่สิ้นสุด

         ท่านกลางความมืดมิดมีบางสิ่งที่ทอแสงเบาบางอยู่ภายใต้ม่านหมอกที่เคลือบคลานเข้ามาก่อนจะเริ่มจับตัวเป็นรูปร่างติดทีี่ไอหมอกยังคงบดบังใบหน้าปริสนานั้นอยู่

         'ยินดีต้อนรับกลับมาอีกครั้ง' ร่างนั้นกล่าว

         ไอหมอกท่ามกลางบรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยความมืดมิดเริ่มเบาบางแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายหลังไม่ว่าจะพยายามเพ่งสายตามากเท่าไหร่ก็ตาม

         ...คุณเป็นใครครับ? ผมอยู่ที่ไหน?...

         เขาพยายามเอ่ยถามร่างตรงหน้าที่ดังก้องเหมือนไม่ได้ออกจากปาก

         'นายลืมฉันไปแล้วเหรอ?'

         ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้และต่อให้ทบทวนความทรงจำแค่ไหนก็ไม่คิดว่าจะเคยพบเจอกับคนตรงหน้ามาก่อน

         ร่างที่ถูกไอหมอกเบาบางปิดบังใบหน้าคล้ายจะกระตุกยิ้มขึ้นมาน้อยๆใต้ภาพอันเลือนลาง ก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมทั้งเอ่ย

         'ไม่ต้องรีบร้อน เมื่อถึงเวลานายจะรู้เอง'

         ร่างใต้หมอกกล่าวจบก็ดันร่างอีกฝ่ายออกไปให้ไกลตัว ไอหมอกหนาที่ดูเหมือนจะกลับมาอีกครั้งทำให้คนที่ถูกผลักออกได้แต่ส่งเสียงเรียกพร้อมอีกเสียงที่ดังขึ้น

         ...เดี๋ยวก่อนครับ!...

    ...กริ๊ง!...





         " เเราน่าจะหาทางออกจากที่นี่ดีกว่านะ "

         เสียงหนื่งดังก้องไปมาคล้ายผู้พูดอยู่ในพื้นที่จำกัดก่อนจะมีเสียงสนับสนุนที่ชวนให้คนฟังรู้สึกคุ้นหู

         " อะ อืม "


         ร่างที่อยู่บนหลังหนาเริ่มขยับตัวส่งเสียงครางออกมาพร้อมเปือกตาที่กระพริบปรับแสงก่อนจะเปิดขึ้น

         สรรพสิ่งรอบตัวต่างพากันหยุดชะงักลง ร่างบนแผ่นหลังหนาที่ดูจะยังไม่ตื่นดีถูกวางลงบนพื้น ในเวลาเดียวกับดวงตาคู่โตมองภาพตรงหน้าชัดขึ้น

         " ฟ...ฟราน "

         " เป็นไงมั่งหนุ่มน้อย! " ร่างสูงที่ถูกเรียกชื่อถลาเข้ามาดูอาการ

         ชิเอลที่ดวงตายังปรับโฟกัสแสงและภาพได้ไม่มากทั้งสมองที่เบลอเกินกว่าเหตุทำให้คนตัวเล็กนิ่งค้างอยู่ในสภาพที่ถูกวางเอาไว้โดยไม่คิดที่จะขยับอะไร 

         สัมผัสอุ่นวาบผ่กระจายอยู่บนช่วงไหล่พร้อมวงเวทสีน้ำตาลที่แปร่งแสงออกมาเรืองรอง

         " แค่พอถูไถได้เท่านั้น โทษทีนะ " คอย์ลว่า

         ดวงตาสีมรกตมองเพื่อนทั้งสามสลับกันไปมาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความมึนงง แสดงให้เห็นถึงความไม่เข้ารูปเข้าร่างของสติ ร่างบอบบางส่งเสียงกระท่อนกระแท่นออกมา

         " ก...เกิดอะไรขึ้...น? "

         ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนด้วนความสงสัยด้วยสีหน้าซึ่งทั้งหมดบอกได้ว่าไม่ใช่ละครตบตา จึงได้แต่พากันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

         ฟรานพยุงร่างบางขึ้นมาก่อนจะเหวี่ยงไปไว้บนหลังตน ในขณะที่คนตัวเล็กนั้นดูจะงงอยู่ไม่น้อย

         ร่างสูงก้าวขาเดินออกไปตามทางที่เป็นอุโมงมืดอาศัยลูกไฟเวทเป็นแสงนำทาง ส่วนอีกสองคนที่เดินตามกันมาก้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องไปซักนิด ทำให้คนที่เป็นผู้ถึงกับร้อง'หวา'ออกมาด้วยความแปลกใจไม่รู้กี่ครั้งแม้พวกเพื่อนๆทั้งสามต่างพากันยืนยัยว่าเจ้าตัวก็อยู่ในเหตุการณ์เป็นผู้แสดงจริงไม่ใช่แค่ใกล้ชิดติดขอบสนามธรรมดา

    ติ๋ง!


         เสียงฝีเท้าทั้งสามชะงักหยุดฟังเสียงเมื่อครู่อีกครั้ง เสียงที่ดังสะท้อนออกมาจากด้านในของถ้ำ

         ดวงตาทั้งสี่คู่พยายามอย่างยิ่งที่จะเพ่งมองเข้าไปในความมืดมิดตรงหน้ากระทั่งเสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง ร่างเล็กที่อยู่บนหลังฟรานอุทานออกมาเบาๆ " ด้านในมีน้ำ... "

         " ใช่ ดูเหมือนว่าจะมีน้ำอยู่ด้านในของถ้ำ " เชลว่า

         ทั้งหมดตัดสินใจเดินลึกเข้าไปในถ้ำเพื่อหาต้นตอของเสียง

          บนทางที่มืดมิดเต็มไปด้วยเศษซากสิ่งของและขยะมากมายและหนึ่งในนั้นคือป้ายไม้เก่าผุพังแสดงถึงอายุของมันตกอยู่บนพื้นไหล่ทาง นักดนตรีเดินเข้าไปอย่างสงสัยก่อนที่ดวงตาสีชาจะเบิกกว้างเมื่อเห็นข้อความที่อยู่บนนั้น

    'Amseriod Park'

         " บ้าน่า... "

         " มีอะไรคอย์ล " ฟรานชะโงกหน้าเข้ามาดูป้ายไม้ผุๆที่บัดนี้อยู่ในมือเพื่อนนักดนตรี " 'Amseriod Park' ที่ไหนอ่ะ? "


         ดวงตาทุกคู่หันกลับมามองคนถือแผ่นไม้อย่างตั้งคำถาม

         คอย์ลมองเพื่อนของตนด้วยความลำบากใจก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมา " เดิมทีเมื่อสี่ร้อยกว่าปีก่อน'Amseriod Park'คือสวนสนุกชื่อดังที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ก่อนจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา โศกฆนาฏกรรมสลดที่ทำให้ผู้คนมากมายต้องมาจบชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้โดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญในครั้งนี้ ต่างก็รู้เพียงแค่ว่าทุกคนที่อยู่ในสวนสนุกแห่งนี้ไม่มีใครรอดชีวิต ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขาสาปสูญ ถูกฆ่าตาย หาไม่พบหรือว่าอะไร
         จากนั้นมีกลุ่มเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลพื้นที่ที่เกิดเหตุและเริ่มทำการหาหลักฐานที่อยู่ภายในสวนสนุก แต่แล้วเรื่ฃที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อสวนสนุกแห่งนั้นหายไปพร้อมกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปดูแลพื้นที่เกิดเหตุ จากนั้นมาก็ไม่มีใครได้ข่าวคราวของ'Amseriod Park'อีกเลยรวมถึงเจ้าหน้าที่กลุ่มที่หายสาปสูญไปในระหว่างปฎิบัติงาน จนคนที่รู้เรื่องราวของสวนสนุกนี้ต่างนำมาเล่าขานเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาในหมู่เด็กๆในฐานะของ'สวนสนุกต้องสาป' "

         " ตะ ตั้งสี่ร้อยปีป่านนี้คงไม่เหลือแม้แต่ซากแล้วล่ะมั้งครับ " คนไม่ชอบเรื่องแบบนี้กล่าวขึ้น

         " ฉันก็หวังให้มันเป็นแบบนั้น " 


    ติ๋ง!

         ว่าจบนักดนตรีหนุ่มก็ก้าวเดินไปทางเบื้องหน้าทันที

         ความอับชื้น เศษซากขยะที่กระจัดกระจายอยู่ตามทางเดินไปทั่ว ทั้งยังความรู้สึกราวกับว่าอากาศเริ่มน้อยลงทำให้ทุกร่างต่างหยุดฝีเท้าเอาไว้ ณ จุดที่เริ่มทำให้หายใจลำบาก
     
       
    เป็นธรรมดาของถ้ำที่ยิ่งลึกลงไปอากาศก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ร่างทั้งสี่กำลังชั่งใจบางทีการก้าวเดินต่อไปอาจไม่คุ้มเสี่ยง ยิ่งเดินลึกเข้าไปไม่รู้ว่าอากาศที่มีอยู่อย่างจำกัดจะหมดลงเมื่อไหร่ยิ่งเข้าไปพร้อมกันมากๆก็ยิ่งทำให้อากาศหมดลงเร็วขึ้นแต่จะให้แยกกันไปยิ่งเป็นการเสี่ยงเข้าไปใหญ่เพราะต่างไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่อยู่ลึกไปในความมืดมิดนั้นคืออะไร ทุกร่างหันหลังเตรียมจะเดินออกไปแต่ดวงตาคู่โตของครึ่งสัตว์กับพบบางสิ่งซะก่อน

         " เดี๋ยวก่อน " พรานกวีหยุดทุกคนเอาไว้

         " เหมือนจะมีอะไรอยู่ด้านใน "

          ทั้งสี่เบียดตัวเข้าหากันอย่างระแวดระวัง พรานกวีตัวเล็กก้าวนำไปด้านหน้าช้าๆ ดวงไฟเวทลอยมาด้านหน้าเพื่อให้แสงนำทาง เชลหันกลับไปพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะชะงัก


        นัยน์ตาของสัตว์ร้ายที่ซ่อนอยู่ภายในดวงตาสีฟ้าคู่กลมโตหรี่ลงอย่างเพ่งพิจ เบื้องหน้ายังคงมืดมิดแม้จะมีแสงดวงไฟเวทแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เห็นด้านในที่ลึกเข้าไปอีก เชลก้าวเข้าไปภายในถ้ำอย่างช้าๆด้วยฝีเท้าที่เบาจนไม่เกิดเสียงและเมื่อเห็นบางสิ่งแน่ชัดพนานกวีตัวเล็กถึงกับร้องออกมาเสียงหลง







    [TBC]


    แหะๆ ก่อนอื่นต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ความจริงตอนนี้ควรจะจบตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมาแล้วแต่เพราะข้าน้อยเองนี่แหละที่ไปนั่งอ่านคอมเม้นพร้อนตัวเลขจำนวนผู้ที่เข้ามาอ่านทำให้เกิดอาการแทบหัวในวายหน้าคอม
    ไฉนเหตุใดสองบทแรกจะมีคนดูอยู่เยอะและเริ่มจางหายไปเรื่อยๆ=+=
    พอไปอ่านคอมเม้นแล้วถึงรู้ซึ้งอันสัจจะธรรมแห่งโลกว่าข้าน้อยแต่งได้ห่วยบรมT^T
    ไร้ซึ่งเสน่หาน่าอภิรมย์อย่างที่เค้าว่ากันจริงๆ คอบคุณทุกคนที่ช่วยเม้นอย่างใจจริงและตรงไปตรงมาเลยนะเจ้าคะ มันทำให้ข้าน้อยย้อนกลับมามองตัวเองอีกครั้งก่อนจะเริ่มลงมือrewirteบทแรกก่อนเลยเพราะยอดคนอ่านมันหายไปอย่างมาก จนเป็นสาเหตุทำให้เกิดความล่าช้าในบทนี้

    และความจริงควรจะใช้เวลาดูการ์ตูนในวันเสาร์มาลงต่อให้จบแต่เพราะกิเลสมันมีมากเกินไปไม่นิด

    พอวันอาทิตย์ตั้งใจจะลงให้จบไอคุณพี่ชายตัวดีลากเชสไปเที่ยวนครนายก
    ตั้งใจจะไปเล่นน้ำกันพอไปถึงเจ้าหน้าที่บอกว่า เค้าไม่ปล่อยน้ำจากเขื่อนมา7วันแล้วจะปล่อยอีกทีก็วันพรุ่งนี้ โอ้แม่เจ้า~
    ข้าน้อยจึงจัดการอัปเปหิตัวเองไปยังวังตะไคร้เสียค่าเข้า150บาท พอเข้าไปท่านั้นแหละ
    นี่มันคนรึปลวก=_=; ยั้วเยี้ยยิ่งกว่าสิ่งใด
    แถมน้ำยังไม่ไหลพวกคุณเล่นกันไปได้ยังไง รู้ว่าน้ำมันแล้งแต่ไอการที่น้ำไม่ไหลแล้วลงไปเล่นกันแบบแออัดมันก็เอิ่ม....
    จึงกลายเป็นเสียเงิน150บาทไปขับรถวนเล่นหนึ่งรอบแล้วก็ออกมา เจริญเถอะ อีไรท์เริ่มเซ็งนั่งรถไปบ่นไปอยู่ดีๆพี่มันบรรเจิดอีกรอบ
    ขึ้นเขาใหญ่!
    ไอพี่บ้.าไม่สงสารกันบ้างเลยชีวิตนี้ไม่ได้ว่างทุกวินาทีแบบแกนะ แถมขึ้นเขาใหญ่ไม่พอมันยังพาลงไปดูน้ำตกเหวนรก
    นรกสมชื่อ...
    ขึ้นมาข้าน้อยหน้ามืดหอบแ.ดกลงไปสำนึกรักบ้านเกิดอยู่บนพื้น ระเหี่ยใจสุดๆY_Y
    พอไปตรงเขาใหญ่ค่อยดีหน้า ข้าน้อยวิ่งโร่หนีไอพี่สติไม่เต็มไปนั่งคุยกับกวาง จนทำให้รู้ว่าพวกมันอัธยาศัยดีมากนั่งเล่นกับข้าน้อยเป็นชั่วโมงไม่เดินหนีด้วย ถ้าไม่ติดว่าเจ้าหน้าที่อยู่ข้าน้อยจะหอบเอากวางกลับไปนอนกอดที่บ้าน-.,-
    ซักพักพวกไอคุณพี่ก็เรียกกลับขึ้นรถ ข้าน้อยถึงเริ่มสำนึกได้ว่าลืมถ่ายรูป
    กรรม...
    ลงจากเขาใหญ่มาข้าน้อยก็เลยบ่นไม่หยุดแถมมีพาลใส่ว่าทำไมไม่เตือนให้ถ่ายรูป พอขับรถผ่านลิงป่ามันเลยหันมาถามข้าน้อยว่า" ตอนนี้มีแต่ลิงจะถ่ายป่ะ? "
    เป็นดังนั้นจึงรีบปฎิเสธไปแมวกับลิงไม่ใช่อะไรที่ถูกกันซะด้วย
    พอมาทางฟาร์มโชคชัยข้าน้อยเลยสลัดรักพวกพี่ๆวิ่งโล่ไปหาแกะจัดการซื้ออาหารเลี้ยงไป
    แต่ดูท่าว่าจะไม่พอพวกน้องแกะจะพร้อมใจมากินนิ้วข้าน้อยแทนY^Y;
    หลังให้อาหาร ขี่ม้า แกล้งวัวกันจนสนุกก็เริ่มหิว แวะเข้าไปกิดสเต็กเฮ้าส์ ไอพี่แสบที่เพิ่งให้อาหารแกะมาสั่งเนื้อแกะกินเฉยเลย แถมยังมาบอกว่าออกไปรอดูว่าแกะในกรงหายไปอ่ะป่าว=_=
    สรุปว่าน้องแกะยังอยู่ครบดี
    ข้าน้อยจึงเดินทางกลับบ้านมาด้วยความอิ่ม(?) 



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×