คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Song Fic AU. สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์
Song Fic AU. สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์
สักวันหนึ่ง
ไม่รู้ว่านานแค่ไหน
ที่ฉันต้องทนกับทุกสิ่ง
ปิดบังความจริงในใจทุกๆ
อย่าง
ทุกครั้งที่เราพบกัน
ทุกครั้งที่เธอหันมา
ที่ฉันเฉยๆ
รู้มั้ยฉันฝืนแค่ไหน
16 พฤษภาคม XXXX
บรรยากาศในห้องเรียนชั้น ม. 2/2
เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของนักเรียนภายในห้องที่จับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความคึกคักและเสียงหัวเราะเนื่องด้วยเป็นวันเปิดเทอมวันแรก
นักเรียนทุกคนต่างแลกเปลี่ยนประสบการณ์ บอกเล่าเรื่องราวที่ได้พบเจอผ่านการพูดคุย
บ้างก็ยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาอวดรูปถ่ายความประทับใจ
นาฬิกาติดผนังซึ่งติดอยู่หน้าห้องเรียนยังคงทำหน้าที่บอกเวลาเหมือนนายทหารขยันขันแข็ง
เข็มสั้นเข็มยาวชี้บอกเวลาว่าได้ล่วงเลยช่วงแปดนาฬิกามาได้ยี่สิบนาทีแล้ว
และอีกสิบนาทีจะมีอาจารย์ประจำชั้นเข้ามาทำการโฮมรูมและแบ่งที่นั่ง
“ดูคนนั้นสิ…”
แว่วเสียงซุบซิบจากกลุ่มเด็กผู้หญิงที่ยืนคุยกันอยู่ไม่ไกล
ปลายนิ้วของใครคนหนึ่งในกลุ่มชี้มายังนักเรียนชายที่กำลังฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
แผ่นหลังที่เริ่มกว้างเนื่องด้วยเป็นวัยเจริญเติบโตขยับขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังหลับ
เด็กผู้หญิงคนอื่นๆมองตามปลายนิ้วนั้นก่อนจะหันกลับมากระซิบกระซาบกันตามประสาคนช่างคุย
“คนนั้นใช่มั้ยที่ไม่ค่อยคุยกับใครเลยตั้งแต่ปีที่แล้วน่ะ….”
“นั่นสิ หยิ่งจังเลยเนอะ”
“หน้าตาก็ดูน่ากลัว…. ไม่แปลกใจเลยทำไมถึงไม่มีเพื่อน”
เสียงซุบซิบยังคงดังอยู่เป็นระยะ
เสียงพูดคุยนั้นเรียกความสนใจจากคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะตัวใกล้ๆได้เป็นอย่างดี
ใบหน้าอ่อนใสซึ่งถูกบดบังด้วยแว่นกรอบกลมเงยขึ้นจากเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ในหนังสือเรียน
ละความสนใจจากมันเพียงชั่วครู่เพื่อมองหาคนที่ตกเป็นเป้าสนทนาของเด็กหญิงกลุ่มนั้น
อา….. เขายังหลับอยู่เลย
ดวงตากลมโตใต้กรอบแว่นฉายแววฉงนใจ
คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ทั้งๆที่อีกคนก็แค่ฟุบหลับเท่านั้นเอง
จะคุยหรือไม่คุยกับใครก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียหน่อย
ทำไมถึงทำเหมือนเขาทำผิดมากมายขนาดนั้นนะ?
ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากัน
ดวงตาคู่สวยกลอกมองระหว่างเด็กผู้ชายคนนั้นกับกลุ่มเด็กผู้หญิง
ขณะที่กำลังจะสะกิดคนหนึ่งในกลุ่มเพื่อบอกให้เลิกนินทาเด็กผู้ชายที่น่าสงสารเสียงพูดคุยก็เงียบลงเมื่อประตูห้องเรียนถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมกับครูประจำชั้นที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างทุกที
“สวัสดีวันเปิดเทอมค่ะนักเรียนทุกคน
ก่อนที่เราจะเข้าสู่ชั่วโมงโฮมรูมกันมาแบ่งที่นั่งกันก่อนแล้วกันนะคะ
ที่นั่งนี้จะเป็นที่นั่งตลอดทั้งเทอมของพวกเรานะ อย่าแอบเปลี่ยนกันล่ะ”
สิ้นคำพูดของอาจารย์ประจำชั้น
ภายในห้องก็เหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความวุ่นวายชั่วครู่
นักเรียนทั้งชายหญิงพากันเดินพาตัวเองไปตามที่นั่งที่อาจารย์จัดไว้ให้
ใช้เวลาประมาณสิบนาทีทั้งห้องก็กลับเข้าสู่ความเรียบร้อยอีกครั้ง
อาจารย์ประจำชั้นทำการโฮมรูมทันทีหลังจากเห็นว่าเด็กนักเรียนทุกคนได้ที่นั่งเรียบร้อยแล้ว
เวลาในการโฮมรูมถูกใช้ไปไม่มากนักทำให้ยังพอเวลาในการพูดคุยเล็กน้อยก่อนจะเริ่มคาบเรียนแรกของเทอม
“นี่….” เสียงหวานๆดังขึ้นพร้อมกับปลายนิ้วเล็กๆสะกิดเข้าที่หัวไหล่ของเด็กชาย คนที่กำลังหลับงัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงงเล็กน้อย ใบหน้าของเขาดูไม่สบอารมณ์ ดวงตาคมๆนั้นหรี่ลงเมื่อต้องลืมตาขึ้นมาเจอแสงจ้า
เด็กชายหันหน้าไปทางต้นเสียง
คิ้วเข้มเลิกขึ้นแทนอวัจนภาษาที่สื่อถึงคำถามว่ามีอะไรกันแน่
ภาพที่สะท้อนเข้าสู่ดวงตาที่กำลังปรือจากความง่วงงุนเป็นภาพใบหน้าซึ่งถูกอาบไล้ด้วยแสงสว่างจากด้านนอกหน้าต่างของเด็กหญิงคนหนึ่ง
เธอมีเส้นผมสีดำยาวตรงซึ่งถูกรวบเป็นหางม้าและติดโบสีน้ำเงินตามระเบียบของโรงเรียน
ดวงตาสีอ่อนใต้แว่นกรอบกลมดูเป็นเด็กเรียนส่องประกายสดใสจนทำให้เด็กชายเผลอคิดไปว่าเขากำลังมองเห็นดาวตอนกลางวัน
เด็กหญิงคนนั้นกระแอมเล็กน้อยก่อนขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มหวานเพื่อผูกมิตรกับเขา
ใบหน้าเกลี้ยงเกลามีแววของความประหม่าซึ่งเจ้าตัวก็เริ่มจัดการกับมันด้วยการยกมือขึ้นขยับแว่นตาที่สวมอยู่
“คือจะถามว่าชื่ออะไรน่ะ
ปีที่แล้วไม่ได้คุยกันเลย” แว่วเสียงเด็กหญิงหัวเราะแห้งๆด้วยความประหม่า ปลายนิ้วเล็กชี้เข้าหาตัวเองก่อนพูดประโยคถัดมา
“เราชื่อชานหลิงนะ”
เด็กชายขมวดคิ้วก่อนจะเม้มริมฝีปาก
ความเงียบที่อีกฝ่ายใช้แทนคำตอบทำให้เจ้าของชื่อชานหลิงที่แนะนำตัวก่อนหน้าเจื่อน
เขาเงียบจังเลย…. เขาจะคิดว่าเรากวนรึเปล่านะ
ทำไมเขาเงียบจัง…..
“อวิ๋นเซิง….”
แต่ในขณะที่กำลังจะละความสนใจแล้วกลับไปอ่านหนังสือต่อก็ได้ยินเสียงที่เริ่มทุ้มเล็กน้อยของอีกคนพูดชื่อของตัวเองออกมา
เสียงนั้นไม่ได้ดังมากแต่ก็ดังมาพอให้ได้ยินกันสองคน
มุมปากชานหลิงยกขึ้นเป็นรูปยิ้ม
ดวงตาคู่สวยใต้แว่นกรอบกลมหยีเล็กลงจากแก้มใสที่ดันขึ้น “ยินดีที่ได้รู้จักนะอวิ๋นเซิง!”
นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้รู้จักกับเขา….
ได้ยินไหม
หัวใจฉัน มันกำลังบอกรัก รักเธออยู่
แต่ฉันไม่อาจ
จะเปิดเผยใจออกไป ให้ใครได้รู้
ได้ยินไหม
หัวใจฉัน ยังคอยอยู่ตรงนั้น รอให้เธอเปิดดู
หวังเพียงแค่เธอรู้
สักวันหนึ่ง…
23 กันยายน XXXX
ช่วงไม่กี่อาทิตย์ก่อนสอบนับว่าเป็นอาทิตย์ที่คร่ำเครียดสำหรับนักเรียนหลายคน
โดยเฉพาะนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามที่จำเป็นต้องใช้เกรดในการเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ด้วยเหตุนี้ที่โต๊ะม้าหินใต้ร่มไม้จึงกลายเป็นที่ประจำในการติวหนังสือและทบทวนบทเรียนของชานหลิงและอวิ๋นเซิงไปโดยปริยาย
เนื่องด้วยโต๊ะม้าหินใต้ร่มไม้เป็นทำเลที่ค่อนข้างดีจากการมีเงาไม้บดบังแสงแดดและมีลมโกรกเย็นสบายมันจึงกลายเป็นทำเลทองของนักเรียนหลายๆคน
ในช่วงแรกชานหลิงกับอวิ๋นเซิงก็ได้ใช้ที่ตรงนั้นบ้างไม่ได้ใช้บ้าง แต่ระยะหลังมานี้เพียงแค่อวิ๋นเซิงนำกระเป๋านักเรียนของตัวเองมาวางเอาไว้ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งวุ่นวายกับมันอีกเลย
เหมือนทุกคนจะรู้โดยทั่วกันว่าการทำให้นักเรียนที่ชื่ออวิ๋นเซิงโมโหนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
แสงแดดอ่อนลงไปมากแล้วเมื่อเข้าสู่เวลาเย็น
ร่างสูงของเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนนั่งเท้าคางกับโต๊ะม้าหิน
มือข้างหนึ่งถือแอปเปิ้ลก่อนกัดมันคำแล้วคำเล่าด้วยใบหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก
ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงสิบห้านาที
เป็นเวลาที่ชานหลิงและอวิ๋นเซิงจะมานั่งอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนที่โต๊ะตัวประจำตั้งแต่สี่โมงเย็น
แต่ในตอนนี้เด็กหนุ่มยังมองไม่เห็นชานหลิงเลยแม้แต่เงา
เท่าที่รู้จักกันมาเด็กผู้หญิงที่ชื่อชานหลิงเป็นคนซื่อๆ
ยิ้มเก่งและใจดีเกินไปจนปฏิเสธคนไม่เป็นเลยสักครั้ง
และอีกคนก็ซุ่มซ่ามจนน่าเป็นห่วง
ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปหกล้มหรือตกบันไดจนได้แผลที่ไหนรึเปล่า
อวิ๋นเซิงโยนแอปเปิ้ลผลแดงที่ตอนนี้เหลือแต่แกนลงถังขยะที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปตามตัวเด็กสาวเสียงรองเท้านักเรียนกระทบกับพื้นอิฐก็ลอยเข้าสู่โสตประสาท
เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆบ่งบอกได้ว่าต้นเสียงนั้นกำลังเข้าใกล้เขา
เมื่อหันไปก็พบร่างเล็กในชุดนักเรียนกำลังก้มตัวลง
สองมือวางพักบ่นหัวเข่าพลางหอบหายใจหลังจากวิ่งสับเท้ามาด้วยความเร็วเพราะกลัวว่าอีกคนจะรอนาน
ใบหน้าหวานชื้นเหงื่อเงยขึ้นมองเขาด้วยรอยยิ้มแหยๆเหมือนเด็กตัวน้อยๆยามถูกผู้ใหญ่ดุเวลาทำความผิด
“ขอโทษนะอวิ๋น
พอดีถูกอาจารย์เรียกไปช่วยงานอ่ะ รอนานเลยสิ ขอโทษจริงๆน้า”
คำขอโทษนั้นมาพร้อมกับดวงตาใต้กรอบแว่นส่องประกายวิบวับอย่างออดอ้อนมาทางอวิ๋นเซิง
เพียงเท่านั้นอารมณ์ขุ่นมัวที่ก่อเป็นตะกอนอยู่ภายในใจก็เหมือนถูกสายลมอ่อนๆยามเย็นพัดหายไปจนหมด
อวิ๋นเซิงถอนหายใจพรืดก่อนจะยักไหล่เป็นเชิงไม่ถือโทษอะไรกับการที่อีกคนมาสาย
ชานหลิงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆอวิ๋นเซิงหลังจากพักเหนื่อยและใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อเรียบร้อยแล้ว
เด็กสาวหยิบหนังสือเรียนและกระเป๋าดินสอออกมาจากกระเป๋านักเรียนด้วยท่าทางกระตือรือร้น
“วันนี้เราทวนเนื้อหาตรงนี้ก่อนแล้วกันเนอะ
อาจารย์บอกว่าออกเยอะด้วย”
ชานหลิงเอ่ยบอกกับอีกคนที่อยู่ในสภาพเสื้อนักเรียนไม่ค่อยจะเรียบร้อยนัก
เด็กสาวขยับกรอบแว่นเล็กน้อยอย่างที่ทำประจำก่อนจะจิ้มปลายดินสอกดลงบนเนื้อหาส่วนที่ตัวเองไฮไลต์เอาไว้
ดวงตากลมหวานช้อนมองอีกคนเพื่อความแน่ใจว่าอวิ๋นเซิงกำลังฟังสิ่งที่ตนพูดอยู่
โชคไม่ดีเอาเสียเลยที่อีกคนก็ก้มลงมาเพื่อมองเนื้อหาในหนังสือพอดี
จังหวะที่แสนจะพอเหมาะพอเจาะนั้นราวกับเวลาหยุดหมุนเมื่อดวงตาสองคู่ประสานกัน
เสียงโหวกเหวกโวยวายจากสนามฟุตบอลที่อยู่ไม่ไกลเหมือนจะลอยหายไปจนได้ยินเป็นเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์
ราวกับการเคลื่อนไหวรอยกายหยุดลงแล้วกลายเป็นสีขาวดำและมีเพียงเธอกับเขาที่เป็นภาพสี
ริ้วสีแดงวาดผ่านแก้มขาวของเด็กสาวอย่างรวดเร็วพร้อมกับจังหวะในอกที่เต้นรัวเร็วขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ชานหลิงผละจากอีกฝ่ายราวกับถูกของร้อนซึ่งเธอก็แอบคิดเหมือนกันว่าอวิ๋นเซิงอาจจะเป็นของร้อนจริงๆก็ได้เพราะในตอนนี้หน้าของชานหลิงมันร้อนไปหมดจนมั่นใจได้ว่าถ้านำไข่มาตอกบนหน้าผากมันคงสุกในเวลาไม่ถึงสองนาทีอย่างแน่นอน
“อะ อ่านหนังสือกันดีกว่าเนอะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นแก้อาการประหม่าที่ก่อตัวขึ้นกะทันหัน
อวิ๋นเซิงพยักหน้ารับด้วยสีหน้านิ่งขรึมตามปกติของเจ้าตัวก่อนจะหยิบหนังสือของตัวเองขึ้นมาก้มหน้าก้มตาอ่านเงียบๆ
ท่ามกลางความเงียบที่กำลังโรยตัวโอบล้อมคนทั้งคู่ไว้โดยมีเสียงวุ่นวายรอบด้านยามเย็นอยู่เบื้องหลัง
ดวงตาใต้กรอบแว่นของชานหลิงละจากตัวอักษรบนหน้ากระดาษแล้วถือโอกาสลอบมองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ข้างๆตัวเองอย่างเงียบๆ
อวิ๋นเซิงโตขึ้นมากหลังจากที่รู้จักกันครั้งแรก
ต่างจากชานหลิงที่แทบไม่โตขึ้นเลย
เสียงของเขาทุ้มขึ้นแถมยังตัวสูงขึ้นจนเธอต้องแหงนหน้าคุยกันทั้งที่เวลาเพิ่งผ่านไปแค่หนึ่งปี
เครื่องหน้าของอีกฝ่ายเหมือนจะหล่อคมขึ้น ทั้งดวงตาเรียวรี
จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากได้รูป ฟังจากเสียงชื่นชมจากนักเรียนหญิงบางส่วนไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นเดียวกันก็พอจะรู้ได้ว่าในอนาคตอีกคนคงจะเติบโตเป็นหนุ่มหน้าตาดีเป็นแน่
ชานหลิงรู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่น้อยที่ได้รู้จักกับอวิ๋นเซิง….. ความคิดนั้นจุดรอยยิ้มบางเบาบนริมฝีปากสีระเรื่อ
ความคิดทั้งหมดหยุดลงเมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเรียน
“มีอะไรรึเปล่าหลิง”
เด็กสาวส่ายหน้าทันทีจนหางม้าสะบัดไปตามแรง
รอยยิ้มเจื่อนเปื้อนอยู่บนริมฝีปากพร้อมกับเสียงหัวเราะแห้งๆที่เปล่งออกมากลบเกลื่อน
“เอ่อ…. ปะ
เปล่าหรอกอวิ๋น! อ่านหนังสือต่อเถอะ แหะแหะ” พูดจบร่างเล็กก็ก้มหน้าก้มตาจนแทบจะมุดกับแผ่นกระดาษเพื่ออ่านหนังสือต่อทันที
และเพราะท่าทางที่กำลังก้มหน้างุดๆกลบเกลื่อนทำให้ชานหลิงมองไม่เห็นสายตาจากคยข้างๆที่กำลังมองมาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก
แต่ถ้าชานหลิงเงยหน้าขึ้นมาแล้วเจอรอยยิ้มของอวิ๋นเซิงล่ะก็….. ถึงจะเป็นยิ้มนิดๆแต่มันก็คงทำให้ชานหลิงหน้าแดงเหมือนลูกมะเขือเทศแน่ๆเลย
ทั้งทีฉันก็รัก
ทั้งที่ฉันก็รู้สึก
แต่ส่วนลึกข้างในยังไม่กล้า
ทุกครั้งที่เราพบกัน
ทุกครั้งที่เธอหันมา
ที่ฉันเฉยๆ
รู้มั้ยฉันฝืนแค่ไหน
18 ธันวาคม XXXX
บรรยากาศยามสายภายในโรงเรียนดูคึกคักมากกว่าปกติ
เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังมาเป็นระยะพร้อมกับความวุ่นวายบางส่วน
นักเรียนหลายคนเปลี่ยนจากชุดนักเรียนมาเป็นชุดสวยงามจนแทบจำเค้าเดิมแทบไม่ได้
ใบหน้าของนักเรียนหญิงส่วนใหญ่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง
ทุกคนดูตื่นเต้นกับพาเหรดที่จะเริ่มขึ้นในไม่กี่ชั่วโมงนี้
วันนี้เป็นวันกีฬาสีวันแรก
และชานหลิงก็เป็นหนึ่งในคนที่จะเดินพาเหรดของสีแดง
ด้วยหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มทำให้ชานหลิงที่ตอนนี้กลายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่เต็มตัวถูกเลือกมาเดินพาเหรดในครั้งนี้
เด็กสาวอยู่ในชุดกี่เพ้าผ่าข้างยาวเลยเข่าสีแดงสดตามคอนเซปต์ที่สีกำหนดไว้
เข้ากับเครื่องสำอางซึ่งลงเป็นชั้นบางๆบนใบหน้าอ่อนใส
ชุดตัวสวยปักดิ้นทองเป็นลวดลายมังกรดูอ่อนช้อยและสง่างาม
บนไหล่บางคลุมด้วยผ้าแพรคลุมไหล่ผืนบางสีเพลิง
เส้นผมสีดำที่บัดนี้ยาวถึงกลางหลังถูกมุ่นเป็นมวยแล้วปักด้วยปิ่นปักผม
ดวงตาสีชาที่ในตอนนี้ไม่มีแว่นกรอบกลมมาบดบังเพราะถูกแทนที่ด้วยคอนแทคเลนส์กวาดมองรอบตัวด้วยสายตาเป็นกังวล
ริมฝีปากบางที่ถูกเคลือบด้วยลิปสติกสีกุหลาบเม้มเข้าหากัน
แม้จะสวมรองเท้าส้นสูงแต่เด็กสาวก็อดที่จะเขย่งปลายเท้าด้วยความกระสับกระส่าย
ซึ่งสาเหตุที่ชานหลิงมีท่าทีแบบนี้ก็คงเป็นเพราะยังไม่เห็นคนที่ชื่ออวิ๋นเซิงเลยตั้งแต่ตอนเช้า
หายไปไหนของเขากันนะ……
จะไม่มาดูเราเดินพาเหรดจริงๆเหรอ… อุตสาห์ได้เดินทั้งทีนะ
เมื่อมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นอีกฝ่ายเสียที
ใบหน้าน่ารักก็หมองลงด้วยความน้อยใจ
ชานหลิงก้มหน้าลงมองปลายเท้าก่อนจะกะพริบตาถี่ๆเมื่อรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวที่กระบอกตา
เรียวปากสวยได้รูปเบะออกคล้ายจะร้องไห้
อวิ๋นเซิงคนใจร้าย…..
สุดท้ายแล้วชานหลิงก็ต้องพาเหรดทั้งที่ยังมองไม่เห็นแม้แต่เงาของอวิ๋นเซิง
เด็กสาวรู้สึกลำบากเล็กน้อยที่ต้องเก็บอาการน้อยใจทั้งหมดแล้วฝืนยิ้มให้กับทุกคนที่เดินผ่านรวมถึงคนที่ถือกล้องเพื่อเก็บภาพ
มันแย่ยิ่งกว่าการทรงตัวบนรองเท้าส้นเข็มที่สูงเกือบสี่นิ้วเสียอีก
เมื่อเดินพาเหรดตามเส้นทางที่กำหนดขบวนพาเหรดก็เคลื่อนเข้าสู่โรงยิมเพื่อเตรียมตัวกับพิธีเปิด
ก่อนจะแยกขบวนเพื่อให้ทุกคนได้เก็บภาพรวมไปถึงถ่ายรูปร่วมกัน
“น้องชุดแดงคนนั้นน่ะ!
ขอถ่ายรูปหน่อยสิ”
เด็กสาวในชุดสีแดงหันไปยิ้มให้กล้องเมื่อเสียงหนึ่งเรียกให้หันไป
เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นก่อนช่างภาพจะเอ่ยขอบคุณแล้วแยกตัวออกไปเพื่อถ่ายรูปคนอื่นต่อ
ชานหลิงกวาดสายตามองรอบตัว เธอมองเห็นหลายๆคนกำลังจับกลุ่มถ่ายรูป เสียงหัวเราะแว่วมาเป็นระยะทำให้บรรยากาศดูครึกครื้น
เด็กสาวหันไปยิ้มและหัวเราะกับเพื่อนคนอื่นๆบ้าง
บางทีก็หันไปถ่ายรูปเวลามีคนเรียกแต่เบื้องลึกในใจชานหลิงกลับรู้สึกเหงา
จะไม่มาจริงๆเหรออวิ๋น…..
“หลิง…” ในขณะที่กำลังคิดอะไรไปต่างๆนานาด้วยความน้อยใจเสียงทุ้มเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับแรงดึงบริเวณต้นแขนให้ผินหน้าไปหา
และเมื่อพบกับเจ้าของเสียงนั้นชานหลิงก็ยิ้มออกมาจนดวงตาหยีเล็กลง
มันเป็นรอยยิ้มที่กว้างที่สุดในรอบวัน
กว้างมากกว่ายิ้มที่เธอยิ้มให้กับกล้องตัวไหนๆ
และรอยยิ้มนั้นก็ถูกมอบให้คนตัวสูงกว่าในชุดสีดำ
ใบหน้าของอีกคนนิ่งขรึมเหมือนทุกวันแต่แค่นั้นก็มากพอให้เด็กสาวรู้สึกดี
“นึกว่าอวิ๋นจะไม่มาซะแล้ว
ตอนพาเหรดไม่เห็นเลย…” ร่างบางเอ่ยกับคนที่ตัวสูงขึ้นจากเดิมมากโขหลังจากขึ้นมัธยมปลาย
“ดูอยู่ตลอดนั่นแหละ” อวิ๋นเซิงเอ่ยเรียบๆพร้อทกับยกมือขึ้นโยกศีรษะคนตรงหน้าเบาๆเมื่อเห็นใบหน้าสวยของชานหลิงหมองลง
“แต่ไม่ชอบคนเยอะๆเลยดูอยู่ห่างๆ
ไม่โกรธนะ”
ริมฝีปากบางยู่เข้าหากันพร้อมกับแก้วนุ่มนิ่มที่ป่องออก “เปล่าโกรธสักหน่อย อวิ๋นอย่ามั่วนะ”
เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดให้กับความดื้อดึงของคนที่เห็นหน้าเดินพาเหรดว่าหมองกว่าปกติมากเพียงใดแต่ก็คร้านที่จะเถียงจึงทำเพียงผละมือจากเส้นผมนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายแล้วกอดอกแทน
เมื่อเห็นท่าทีนั้นชานหลิงก็หัวเราะแผ่วเบา
ดูเหมือนชานหลิงจะไม่รู้ตัวเลยว่าเพื่อนๆที่ตั้งใจจะเข้ามาขอถ่ายรูปด้วยพากันปลีกตัวหลบไปทางอื่น….โดยเฉพาะเพื่อนผู้ชาย
ก็ดูสายตาของอวิ๋นเซิงสิน่ากลัวน้อยเสียที่ไหน… แม้จะยังไม่ได้ทำอะไรมากแต่คนรอบข้างก็พากันเกรงใจแบบสุดๆไปเลย
“ช่างเถอะ… มาถ่ายรูปกันนะอวิ๋น” คนตัวเล็กที่สูงขึ้นจากรองเท้าส้นสูงเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวานหยดที่ทำให้อวิ๋นเซิงรู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้นเล็กน้อย
หัวใจของเด็กหนุ่มตัวสูงเต้นแรงเมื่อเด็กสาวขยับตัวเข้าใกล้มาหยิบโทรศัพท์ไปจากมือเขา
กลิ่นสบู่จางๆจากผิวของชานหลิงยังติดปลายจมูกแม้เธอจะผละตัวออกไปแล้ว
คนในชุดสีแดงยกโทรศัพท์โบกไปมาด้วยรอยยิ้มสดใส “ขอยืมก่อนนะ
โทรศัพท์เราอยู่ที่ห้องอ่ะ”
“อือ…. ตามใจเถอะ”
“อวิ๋นยิ้มหน่อยซี่นี่เราถ่ายรูปกันอยู่นะ!”
แชะ!
ดูเหมือนนั่นจะเป็นรูปคู่รูปแรกของพวกเขา…
ได้ยินไหม
หัวใจฉัน มันกำลังบอกรัก รักเธออยู่
แต่ฉันไม่อาจ
จะเปิดเผยใจออกไป ให้ใครได้รู้
ได้ยินไหม
หัวใจฉัน ยังคอยอยู่ตรงนั้น รอให้เธอเปิดดู
หวังเพียงแค่เธอรู้
สักวันหนึ่ง…
14 กุมภาพันธ์ XXXX
“ชานหลิง! รับช็อคโกแลตไปหน่อยน้า”
“ชานหลิงงงงง ขอแปะสติ๊กเกอร์หน่อย~~”
“เราให้นะชานหลิง”
เสียงเรียกดังไปทั่วระเบียงทางเดินหลังจากชานหลิงในชุดนักเรียนมัธยมปลายเดินออกมาจากห้องเรียน
ม. 5/2
ผลพวงจากเสียงเรียกนั้นคือของขวัญวันวาเลนไทน์ตามมารยาทและสติ๊กรูปหัวใจที่แปะเต็มเสื้อนักเรียนสีขาว
ใบหน้าที่เริ่มสวยหวานจากกาลเวลาที่เนิ่นนานประดับด้วยรอยยิ้ม
ร่างบางที่สูงขึ้นเล็กน้อยกวาดสายตามองบรรยากาศสีชมพูหวานรอบตัวด้วยท่าทางมีความสุขแม้ในอ้อมแขนจะเต็มไปด้วยกล่องช็อคโกแลตและดอกกุหลาบแต่เด็กสาวก็ยังมีความสุข
เหลือบมองเวลาจากนาฬิกาข้อมือสีชมพู
เมื่อเห็นว่าใกล้จะสี่โมงเย็นแล้วก็เร่งก้าวเท้าให้เร็วขึ้น
ชานหลิงสะพายกระเป๋านักเรียนพร้อมกับหอบข้าวของเต็มสองแขนลงจากตึกเรียนเพื่อไปยังโต๊ะม้าหินที่ประจำ
รอยยิ้มบนเรียวปากอิ่มถูกจุดขึ้นเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของอวิ๋นเซิงอยู่ปลายสายตา
แม้จะมองไม่เห็นหน้าแต่ชานหลิงก็พอจะเดาได้ว่าอวิ๋นเซิงคงจะกำลังทำหน้าตึงเหมือนอย่างเคยอยู่แน่ๆ
ร่างบางค่อยๆเดินไปหาคนที่กำลังเท้าคางก่อนวางของขวัญมากมายบนโต๊ะม้าหินแล้วเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มเหมือนทุกที
“หายไปไหนมาทั้งวันเลยอวิ๋น
หนีของขวัญอีกแล้วสิ”
คนถูกถามถอนหายใจพรืด
ใบหน้าหล่อคมแสดงอาการเหม็นเบื่ออย่างไม่ปิดบัง “ก็มันน่ารำคาญ คนเยอะ ไม่ชอบ”
“ดูพูดเข้าสิ….” ชานหลิงหัวเราะเบาๆ
ใบหน้าของอีกฝ่ายยามถูกอาบไล้ด้วยแสงแดดยามเย็นดูน่ามองที่สุดในความคิดของเด็กหนุ่ม
“นี่ขนาดอวิ๋นไม่อยู่นะยังมีคนฝากของขวัญมาให้ตั้งเยอะเลยดูสิ” ไม่พูดเปล่าชานหลิงยังดันกล่องช็อคโกแลตและกุหลาบบางส่วนไปทางเด็กหนุ่มที่มองของเหล่านั้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ไม่เอาหรอก เอาไปเถอะ”
“แน่ใจนะ มีคนฝากมาให้ทั้งที”
“อือ… เอาไปเถอะ ไม่ชอบ”
ชานหลิงโกยกองช็อคโกแลตเข้าหาตัวทันทีราวกับรู้อยู่แล้วว่าเด็กหนุ่มจะพูดคำนั้น
ใบหน้าอ่อนใสของเด็กสาวประกับด้วยรอยยิ้มกว้างที่ทำให้คนมองอยู่นึกถึงดวงอาทิตย์ยามเช้า
“พูดแล้วนะ
เราจะกินให้หมดเลย~”
“หลิง….” อวิ๋นเซิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะเบาหวิว
เจ้าของใบหน้าคมเม้มริมฝีปากก่อนจะกลอกตาไปทางอื่นเมื่อเธอหันไปหาพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
ร่างสูงมองกองช็อคโกแลตหลายกล่องบนโต๊ะ
สุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจพรืดแล้วส่ายหัวเบาๆ “ช่างเถอะหลิง
ไม่มีอะไรหรอก….”
จะไม่ให้ช็อคโกแลตกันจริงๆเหรอหลิง….
“นี่…” เสียงหวานดังขึ้นขัดความคิดของอวิ๋นเซิงให้หยุดลง
เด็กหนุ่มมองเห็นชานหลิงยิ้มให้เขาก่อนจะเปิดกระเป๋านักเรียนแล้วหยิบช็อคโกแลตหนึ่งกล่องออกมาแล้วส่งมันให้อวิ๋นเซิง
“สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะอวิ๋น”
เด็กหนุ่มรับช็อคโกแลตก่อนจะก้มมองกล่องรูปสี่เหลี่ยมในมือ
มันเป็นกล่องสีน้ำตาลแก่ขนาดพอดีมือผูกด้วยริบบิ้นสีแดงสด
การ์ดรูปหัวใจขนาดเล็กที่ถูกเขียนด้วยลายมือคุ้นตาเป็นภาษาอังกฤษติดอยู่กับเส้นริบบิ้นสีสด
ทั้งของขวัญและตัวผู้ให้คือสาเหตุที่ทำให้อวิ๋นเซิงลอบยิ้มน้อยๆ
รอยยิ้มของชานหลิงรอเขาอยู่แล้วเมื่อใบหน้าหล่อคมเงยขึ้นจากกล่องช็อคโกแลตในมือ
“ชอบของขวัญรึเปล่า?”
อวิ๋นเซิงพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงนักเรียนเพื่อหยิบสติ๊กเกอร์รูปหัวใจแผงเล็กออกมา
มันยับเล็กน้อยเนื่องจากอยู่ในกระเป๋ากางเกงมาทั้งวัน
เด็กหนุ่มส่งมันให้ชานหลิงที่รับมาพร้อมกับเสียงหัวเราะแผ่วเบา
“ให้ จะเอาไปติดเท่าไหร่ก็ตามใจ…”
“งั้นเราขอติดให้อวิ๋นก่อนแล้วกันเนอะ”
ได้ยินไหม
หัวใจฉัน มันกำลังบอกรัก รักเธออยู่
แต่ฉันไม่อาจ
จะเปิดเผยใจออกไป ให้ใครได้รู้
ได้ยินไหม
หัวใจฉัน ยังคอยอยู่ตรงนั้น รอให้เธอเปิดดู
26 กุมภาพันธ์ XXXX
เสียงพูดคุยยังคงดังต่อเนื่องแม้เวลาจะล่วงไปเกือบสิบนาทีแล้ว
โถงทางเดินคลาคล่ำไปด้วยนักเรียนเดินสวนกันขวักไขว่ ในมือของแต่ละคนถือสมุดเฟรนด์ชิพปกแข็งสีหวานลายการ์ตูนน่ารัก
บ้างก็เป็นลายกราฟฟิค
บนเสื้อของแต่ละคนเต็มไปด้วยข้อความจากปากกาเมจิกหลากหลายสีสันแต่งแต้มจนแทบไม่เหลือพื้นที่สีขาวบนเสื้อนักเรียน
ตอนนี้ชานหลิงและอวิ๋นเซิงอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกแล้ว
ช่วงเวลาตลอดสี่ปีที่อยู่ด้วยกันมาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย
และตอนนี้มันดำเนินมาถึงช่วงเวลาที่ต้องแยกกันเมื่อต้องเดินไปตามทางเลือกของตัวเอง
ชานหลิงปลีกตัวออกจากความวุ่นวายเหล่านั้น
บนเสื้อนักเรียนของเด็กสาวเต็มไปด้วยปากกาเมจิกและบางส่วนก็เป็นสติ๊กเกอร์รูปหัวใจ
ร่างบางก้าวลงบันไดตึกเรียนไปอย่างไม่เร่งร้อน
เสียงรองเท้านักเรียนกระทบพื้นเป็นจังหวะเรียบเรื่อยไปยังม้าหินใต้ร่มไม้ที่ประจำ
อวิ๋นเซิงที่แยกตัวออกมาก่อนตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้นั่งรออยู่กับเก้าอี้ตัวเดิม
บนเสื้อของเด็กหนุ่มไม่ปรากฏร่องรอยของปากกาเมจิเลยแม้แต่น้อย
เสื้อนักเรียนที่สวมอยู่ยังคงเรียบกริบ
ใบหน้าของร่างสูงนิ่งขรึมเหมือนอย่างทุกครั้งที่หันมาแต่ชานหลิงก็ส่งยิ้มกลับไปให้ทุกครั้ง
“เหมือนอวิ๋นหายตัวได้เลยเนอะ
ลงมาทีไรก็มาอยู่ตรงนี้ทุกที” คำพูดของเด็กสาวเจือรอยยิ้มขำ
“ก็คนมันเยอะ…. ไม่ชอบ” คำตอบที่ชวนให้นึกถึงวันวาเลนไทน์เมื่อปีที่แล้วทำให้ชานหลิงยิ้มบางเบา
อวิ๋นเซิงได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากคนตัวเล็กที่นั่งตรงข้าม
เสียงหัวเราะนั้นเงียบลงพร้อมกับความเงียบที่เคลื่อนตัวเข้าคั่นกลางคนทั้งคู่ไว้
ทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อยปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันโดยไม่มีใครคิดจะทำลายมันทิ้ง
“นี่…” ชานหลิงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบด้วยเสียงแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ
รอยยิ้มบนริมฝีปากเจื่อนลง “พรุ่งนี้อวิ๋นต้องไปอเมริกาแล้วใช่มั้ย”
คำถามนั้นไม่ต่างจากชนวนที่ปลุกความอึดอัดให้แผ่ไปทั่วบรรยากาศรอบกาย
อวิ๋นเซิงเม้มริมฝีปากก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
เด็กหนุ่มมีความจำเป็นที่จะต้องไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่อเมริกา
กำหนดการเดินทางในวันพรุ่งนี้คือการให้อวิ๋นเซิงไปปรับพื้นฐานทั้งภาษาและการใช้ชีวิตที่นั่น
แม้จะอยากอยู่กับผู้หญิงตัวเล็กที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใจจะขาดแต่อวิ๋นเซิงไม่สามารถขัดคำสั่งของผู้ปกครองได้
ชานหลิงมองใบหน้าของคนตรงข้าม
จดจำรายละเอียดทั้งหมดก่อนจะไม่ได้พบเจออีกคนอีกไม่รู้นานเท่าไหร่
รอยยิ้มที่พยายามฝืนความรู้สึกมากมายที่ตีตื้นขึ้นมาในอกถูกวาดทับบนริมฝีปากที่เริ่มสั่น
น้ำตาหยดหนึ่งไหลผ่านแก้มใส
“โชคดีนะ…”
“อือ….” ร่างสูงพึมพำตอบก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ต้องกลับบ้านแล้วล่ะหลิง
ไปก่อนนะ…”
น้ำตาอีกหยดไหลออกมาตอนที่ชานหลิงพยักหน้าตอบ
“หลิง….” เสียงนั้นดังขึ้นก่อนอ้อมกอดอบอุ่นจะตามมาเมื่อชานหลิงถูกอวิ๋นเซิงโน้มตัวลงโอบกอดไว้ด้วยสองแขน
ท่อนแขนเล็กยกขึ้นกอดตอบราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหายไป
อวิ๋นเซิงซบใบหน้าลงบนหัวไหล่บางที่เริ่มสั่นน้อยๆเช่นเดียวกับชานหลิงที่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงบนไหล่กว้างของอีกคนเงียบๆ
“สัญญานะอวิ๋นว่าจะไม่ลืมเรา….”
“อือ…. สัญญา”
อวิ๋นเซิงถอนกอดออก
ฝ่ามือสองข้างยังคงวางอยู่บนหัวไหล่ของคนตรงหน้า
ดวงตาเรียวคมจ้องมองใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของเด็กสาว
เขาไม่ได้ยื่นมือไปเช็ดมันออกทว่ากลับจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น
ความรู้สึกที่มีเขาควรจะบอกมันออกไปจริงๆหรือ….
“หลิง…”
“มะ มีอะไรรึเปล่าอวิ๋น”
“เปล่า ไม่มีอะไร…. คือจะบอกว่า
โชคดีนะ” บทสนทนาจบลงหลังจากอวิ๋นเซิงพูดประโยคนั้นแล้วหันหลังเดินจากมา
“หลิง…. ชอบนะ”
ถ้อยคำที่อยากพูดออกไปมากที่สุดถูกเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาจนแทบจะมลายหายไปกับสายลมลับหลังคนที่ควรจะได้ยินมันมากที่สุด
เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะให้กับความไม่กล้าพอของตัวเอง
ส่วนลึกในใจหวังให้ตัวเองมีความกล้ามากพอที่จะบอกประโยคเมื่อครู่ให้กับอีกฝ่ายได้ฟัง
อวิ๋นเซิงหวังว่ามันจะมีวันนั้น…. สักวันหนึ่ง
ลับหลังอวิ๋นเซิง
ดวงตาสีชาเหม่อมองแผ่นหลังแสนคุ้นเคยที่ห่างออกไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ม่านตาสีอ่อนสั่นไหวพร้อมกับน้ำตาเม็ดโตหยดลงบนฝ่ามือที่กำแน่น
ริมฝีปากสั่นระริกขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มจืดเจื่อน
จ้องมองแผ่นหลังที่ห่างออกไปจนแทบจะลับสายตา
“อวิ๋น….” เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา “เราชอบอวิ๋นนะ”
และหวังเพียงเธอจะรู้
ว่าคนคนนี้รักเธออยู่
ยังไงขอให้เธอรู้
สักวันหนึ่ง…
FIN.
ความคิดเห็น