คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : CKBS Au Story
CKBS AU Story
Family Forever
ยามบ่ายของโรงเรียนอนุบาลเป็นช่วงเวลาฟรีไทม์ก่อนนอนกลางวัน
เด็กตัวน้อยในชุดนักเรียนเดินเตาะแตะไปมาในห้องเรียนที่ถูกตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์สีสันสดใส
บ้างก็นั่งแหงนหน้ามองเส้นเชือกที่ร้อยผ่านฟากฝั่งของห้องเพื่อแขวนงานศิลปะของเด็กๆ
ในขณะที่บางคนก็เลือกที่ย้ายตัวเองเข้าไปอยู่ในชุดนอนสีชมพูนั่งตีขารอเวลานอนกลางวัน
ท่ามกลางความวุ่นวายภายในชั้นอนุบาลสองห้องลิลลี่เด็กคนหนึ่งกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเล่นของเล่นจากกล่องของเล่นใบน้อยมุมห้อง
คีย์บอร์ดขนาดเล็กส่งเสียงแหลมสลับทุ้มเมื่อปลายนิ้วกดลงบนแป้นสีขาว
มือป้อมๆไล่นิ้วเล็กๆบนของเล่นชิ้นโปรดอย่างเพลิดเพลิน
กดไปก็ส่งเสียงตามเท่าที่ร่างกายของเด็กสี่ขวบจะอำนวย
‘หมวยเชอ’ ชอบเวลาฟรีไทม์
เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เด็กน้อยจะได้เล่นของเล่นชิ้นโปรด
ได้ทำอะไรก็ได้ก่อนจะต้องไปนอนกลางวันกับหมอนใบนุ่มๆหอมฟุ้ง ที่พอถึงคิวทีไรหมอนลายน่ารักๆก็ถูกแย่งไปหมดทุกที
“ปี้เชอๆ…”
ในขณะที่กำลังกดคีย์บอร์ดไม่เป็นทำนองตามประสาเด็กที่ไม่ค่อยรู้ความ
แสงไฟสีนวลตาก็ถูกบดบังด้วยร่างของใครคนหนึ่ง
แต่เพราะร่างนั้นตัวเล็กกว่าหมวยเชอเสียอีกแสงนั้นจึงถูกบังแค่บางส่วนเท่านั้น
“อ้าว…. หมวยพีมมมมมม”
เมื่อเงยหน้ามองเห็นว่าเป็นน้องสาวหมวยเชอก็ฉีกยิ้มกว้างเช่นกับอีกคนที่แย้มยิ้มอวดฟันขาวเรียงกันสวย หมวยเชอเก็บคีย์บอร์ดของเล่นลงกล่องก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วก้มหน้ามองน้องน้อยที่ตัวเล็กกว่าเกือบหนึ่งช่วงไหล่
เป็นความจริงข้อหนึ่งที่ว่าทุกๆช่วงเวลาฟรีไทม์หมวยพรีมประจำอนุบาลหนึ่งห้องทานตะวันมักไม่ค่อยอยู่ที่ห้อง
ถ้าไม่อยู่ที่อนุบาลสองห้องลิลลี่ก็จะไปอยู่ที่อนุบาลสามห้องทิวลิป
ความจริงข้อนั้นยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าหมวยพรีมติดพี่ของตัวเองมากแค่ไหน
ซึ่งพี่ๆก็ชอบนะ
“ใก้ได้เวยานอนกางวันแย้ว ทำไมหมวยพีมไม่อยู่ที่ห้องหมวยพีมล่ะ”
‘หมวยพรีม’ ที่ตอนนี้อยู่ในชุดนอนสีชมพูพร้อมนอนเต็มที่ฉีกยิ้มกว้างพลางหัวเราะคิกคัก
“เก๊าะน้องพีมอยากมาเย่นกับปี้เชอก่อนนอนนี่นา
ไปหาเฮียตูนแย้วแต่เฮียตูนเย่นอยู่กับเพื่อน”
หมวยเชอฟังแล้วได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก
ร่างเล็กหันกลับไปรื้อๆของเล่นในกล่องดูว่ามีอะไรที่พอจะเล่นด้วยกันได้บ้าง
สุดท้ายก็หยิบคีย์บอร์ดตัวโปรดออกมากับไซโลโฟนสีสวยพร้อมด้วยไม้ตุ่มสำหรับตี
“หมวยพีมจาเย่นอันหนายยยยยย”
หมวยพรีมมองของเล่นสีสวยด้วยดวงตาเป็นประกาย
คีย์บอร์ดก็ดูน่าสนุก แต่เจ้าของเล่นที่ดูคล้ายระนาดอันนั้นก็น่าเล่นเสียจริง
รางของมันเป็นสีรุ้งสดใสแถมยังมีไม้ให้เคาะตั้งสองอัน
ปลายนิ้วเล็กป้อมชี้ที่ไซโลโฟน
หมวยพรีมขยับยิ้มหวานเอาใจพี่สาว “น้องพีมเย่นอันนี้~~”
แล้วเด็กน้อยสองคนก็นั่งเล่นของเล่นไปจนถึงเวลานอนพักกลางวัน
เสียงของไซโลโฟนดังผสมกับคีย์บอร์ดที่กดไม่เป็นจังหวะผสานเข้ากับเสียงหัวเราะใสๆของเด็กน้อยสองคนที่นั่งเล่นอยู่ด้วยกันพร้อมรอยยิ้มกว้างเต็มแก้ม
“เอ้า ได้เวลานอนกลางวันแล้วนะคะเด็กๆ” เสียงหวานดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือเบาๆเรียกเด็กๆที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดนอนให้ไปเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย
คุณครูพี่เลี้ยง ระบายยิ้มอ่อนโยนพลางจับจูงมือเด็กขี้อ้อนบางกลุ่มให้ไปเปลี่ยนชุด
“ต้องนอนแย้ว หมวยพีมก็กับห้องนะ” เสียงใสบอกน้องของตัวเองด้วยความเป็นห่วง
แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นหมวยพรีมที่พยักหน้าน้อยๆก่อนจะกระโดดท็อปแท็ปไปที่กระบะเก็บหมอน
คว้าจับเข้าที่หมอนนุ่มนิ่มหลายกระต่ายน้อยก่อนจะวิ่งปรื๋อกลับมาหาหมวยเชอที่ยืนมองตาปริบๆ
สัมผัสนุ่มนิ่มปะทะเข้ากลางอกเมื่อหมวยพรีมยัดหมอนลายกระต่ายใส่มือ
หมวยเชอขมวดคิ้ว มองหมอนในมือด้วยความไม่เข้าใจ
หมวยพรีมยิ้มจนตาหยีก่อนจะเฉลยพี่สาวที่ยังคงยืนกอดหมอนหน้านิ่ว
“น้องพีมเอาหมอนมาให้
ปี้เชอจะได้มีหมอนน่ายักๆหนุนนอนนนนน”
มุมปากยกขึ้นดันให้เกิดเป็นรอยยิ้มที่ยกแก้มของเด็กน้อยขึ้นจนตาปิด
หมวยเชอกระชับอ้อมกอด สูดกลิ่นหอมชื่นใจก่อนจะหัวเราะเสียงใส
“ขอบคุณนะหมวยพีม!”
ช่วงเวลาหลังเลิกเรียนเป็นช่วงที่เด็กๆอนุบาลสามห้องทิวลิปจะพากันวิ่งออกจากห้องเรียนพร้อมกระเป๋าเป้ใบน้อย
ใส่รองเท้าด้วยความเร่งรีบแล้ววิ่งไปหาผู้ปกครองที่มารอรับอยู่หน้าห้อง
‘เฮียตูน’ มองภาพเพื่อนๆวิ่งออกไปจนเหลือเด็กอยู่เพียงไม่กี่คน
เด็กน้อยสะพายกระเป๋าเป้สีน้ำเงินเข้ม
ยกมือสวัสดีคุณครูแล้วเดินไปใส่รองเท้าหน้าห้อง
เดินเตะเท้าเรื่อยเปื่อยมาที่สนามเด็กเล่นก่อนจะนั่งลงบนชิงช้า
ขยับตัวน้อยๆจนเกิดเสียงเอียดอาดเพื่อดันไม้กระดานที่ผูกติดกับโซ่ให้เคลื่อนไหว
ถัดออกไปไม่ไกลจากสนามเด็กเล่นเป็นสนามฟุตบอลปูด้วยหญ้าสีเขียวสด
พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของประถมที่มักจะมาเตะฟุตบอลเป็นประจำหลังเลิกเรียน
เฮียตูนอยากไปเล่นตรงนั้นบ้างแต่มักจะถูกครูห้ามเสมอเพราะเขายังโตไม่พอ
เสียงโหวกเหวกตามด้วยเสียงรองเท้ากระทบลูกหนังดังอยู่ไม่ห่าง
แต่เฮียตูนรู้สึกได้ว่าเสียงนั้นอยู่ห่างไกล ใบหน้าน่ารักหมองลงขณะที่ก้มมองปลายเท้า
เขานั่งอยู่คนเดียวไม่มีเพื่อนเล่น ป๊าก็ยังไม่มารับ
ขาดสองหมวยตัวน้อยคอยส่งเสียงเจื้อยแจ้วก็ยิ่งรู้สึกเหงาจับใจ
“เฮียตูนนนนนนนนนนนนน!”
เสียงใสสองเสียงประสานดังเจื้อยแจ้วนำหน้าเจ้าของเสียงตัวน้อยที่พากันวิ่งเข้ามาหาเด็กชายด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู
เฮียตูนเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มกว้างจนตาหยีเล็กเท่าขีดสระอิก่อนจะโดดลงจากชิงช้า
เดินไปหาน้องสาวที่พากันวิ่งซอยเท้ามาหยุดยืนหอบอยู่ตรงหน้า
“หมวยๆไปไหนกันมา” เด็กชายลูบหน้าลูบหลังทั้งหมวยเชอและหมวยพรีมที่พากันยืนหอบจนพูดไปเป็นคำ
นิ้วเล็กๆของสองหมวยชี้ไปด้านหลังโรงเรียนบริเวณใกล้ๆกับเรือนกระจกที่นอกจากลุงภารโรงแล้วก็ไม่มีใครเข้าไป
“ฮะ เฮีย... ตูน แฮ่ก ตะ ต้อง… ไป แฮ่ก นะ”
“ไป?” เด็กชายเลิกคิ้วมองหมวยเชอที่พูดปนหอบจนแทบจับใจความไม่ได้
แต่ยังไม่ทันได้คิดว่าไปไหนมือของหมวยพรีมก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือตามด้วยหมวยเชอที่รั้งแขนเขาไว้
“ไปเร็วเฮีย!”
ที่ที่สองหมวยพามาคือเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่แทบจะอยู่หลังสุดของโรงเรียน
ด้านในเรือนกระจกปลูกทั้งต้นไม้เขียวครึ้ม ดอกไม้กลิ่นหอมละมุน บ้างก็เป็นแปลงผักสวนครัวแล้วแต่จะเลือกสรรและบางมุมก็ใช้เก็บอุปกรณ์ทางการเกษตรไม่ก็ยางรถยนต์เก่าๆที่เด็กชายแอบเห็นว่าลุงภารโรงชอบกลิ้งมาซุกเก็บไว้บ่อยๆ
เฮียตูนชอบสีเขียวนะ
แต่ถ้าคุณครูไม่พามาเขาก็ไม่ค่อยได้มาที่เรือนกระจกหรอก
หลังโรงเรียนมันน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้
“แล้วหมวยพาเฮียมาที่นี่ทำไมเนี่ย”
“ชู่ววววววว” หมวยพรีมหันมาทำหน้าดุพร้อมกับเอานิ้วชี้เล็กๆนั่นแตะปาก
ส่วนหมวยเชอเกาะแขนเขาแล้วส่ายหน้าจนผมกระจาย “อย่าเฉียงดังซี่
เดี๋ยวมันหนีไปนะเฮียตูน”
อย่าเสียงดัง เดี๋ยวมันหนีไป?
อะไรกันล่ะ? อะไรกันที่จะหนีไป?
เดินตามเด็กหญิงสองคนด้วยความมึนงงมาสักพัก
เด็กน้อยสามคนที่เดินลัดเลาะอยู่ใกล้ๆเรือนกระจกก็มาหยุดอยู่ที่หลุมดินที่ถูกขุดไว้
สสารสีดำนอนขดอยู่ในหลุมนั้น
มันส่งเสียงครางหงิงๆคล้ายจะเฉลยความสงสัยของเฮียตูนที่มีมาตลอดทาง
“เอ๋… ลูกหมา?”
“อื้อ! น่ายักใช่ม้าาาาาา"
หมวยพรีมหันมาถามด้วยรอยยิ้มกว้างอวดฟันขาวตามด้วยหมวยเชอที่พยักหน้าสมทบอีกแรง
ในตอนนั้นเองที่เฮียตูนเพิ่งสังเกตว่าในมือเด็กน้อยมีลูกชิ้นติดมือกันมาคนละไม้
ไม่รอให้เขาพูดอะไรลูกชิ้นสองไม้นั่นก็ถูกยื่นไปให้เจ้าหมาตาแป๋วเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์
เมื่อเห็นว่าเจ้าก้อนขนสีดำไม่ทำอะไรมือเล็กๆก็ยื่นเข้าลูบตามหัวตามตัวพร้อมเสียงหัวเราะชอบใจทันที
“เฮียตูนนนน มาเย่นด้วยกันจิ” รอยยิ้มของหมวยพรีมและหมวยเชอสดใสที่สุดแม้จะถูกเงาไม้บดบัง
เด็กชายยิ้มให้กับภาพนั้นก่อนจะค่อยๆเดินมาลูบหัวเจ้าหมาสีดำด้วยความเอ็นดู
ถึงเจ้าหมาจะน่ารักแต่หมวยๆของเฮียน่ะน่ารักกว่านะ
:)
สำหรับ ‘ป๊าฟ้า’ เวลาที่เกลียดรองลงมาจากเวลาตื่นก็คือเวลาหลังเลิกงาน
นั่นไม่ได้ความว่าเขาโปรดปรานเวลาทำงานอะไรมากมายหรอกนะ
กองเอกสารกับหน้าจอสว่างชวนตาพร่าไม่มีทางดีไปกว่าการได้นอนเฉยๆในวันหยุดอยู่แล้ว
เพียงแต่เหตุผลที่เขาไม่ชอบเวลาเลิกงานหลักๆแล้วก็คือ…..
“ให้ตายสิ ติดอีกแล้วเหรอ”
หมู่มวลยานพาหนะที่พากันแล่นขวักไขว่จนเกลื่อนถนนนั่นแหละ
ชายหนุ่มเคาะปลายนิ้วลงกับพวงมาลัย
ผิวปากเป็นเพลงเรื่อยเปื่อยขณะใช้มืออีกข้างเท้าคางมองออกนอกหน้าต่างรถ เพลงป๊อบฟังสบายที่เปิดคลอไม่ได้ช่วยคลายความเบื่อหน่ายที่มีอยู่ให้ลดลงแต่อย่างใด
แต่ที่รู้สึกมากกว่าความเบื่อหน่ายคือความกังวล
ตะกอนขุ่นมัวตีตื้นขึ้นมาในใจ
เหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลในรถที่บอกเวลาว่าได้ล่วงเลยสิบเจ็ดนาฬิกาไปกว่ายี่สิบนาทีแล้วก็ได้แต่เคาะปลายนิ้วเร็วขึ้นด้วยความกังวล
เลยเวลาเลิกเรียนมานานพอสมควรแล้ว ร่างสูงพรูลมหายใจออก
ยกมือขึ้นเสยผมนึกภาวนาให้การจารจรที่ติดขัดอยู่เคลื่อนไหวเสียที
ที่ทำงานของเขาอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนอนุบาลมาก
อย่างน้อยถ้าถนนโล่งๆขับรถสักสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว แต่วันนี้ไม่เป็นแบบนั้น
การจราจรที่ติดขัดยืดเวลาที่ควรจะสั้นให้ยาวนานออกไปอีกเกือบชั่วโมง
และในความรู้สึกของร่างสูงก็รู้สึกเหมือนมันยาวนานมากกว่านั้นเสียอีก
ช่วยเข้าใจกันหน่อยเถอะ
เด็กๆรอเขาอยู่นะ….
“เยสส! ขยับสักทีเว้ยย!” เมื่อเห็นว่ารถด้านหน้าขยับบ้างแล้วสีหน้าของชายหนุ่มก็เริ่มดีขึ้นบ้าง
รถบนถนนค่อยๆขยับก่อนจะแล่นออกไปด้วยความเร็วที่มากขึ้น
นั่นเป็นเหมือนสัญญาณที่บอกให้ร่างสูงเหยียบคันเร่งออกไปด้วยความเร็วเกือบมิด
“อะไรนะครับ!? เด็กๆหายไป!!?”
ภาพเด็กๆวิ่งกรูกันมาเกาะเอวแล้วแย่งกันพูดด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วที่เคยจินตนาการไว้หายวับไปทันทีเมื่อสิ่งที่พบมีเพียงความว่างเปล่า
ห้องเรียนทั้งสามห้องไม่มีเด็กอยู่แม้จะลองเดินไปดูจนทั่ว
ตอนนี้ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าห้องทิวลิปกับคุณครูสาวที่อยู่ในสภาวะตื่นตระหนกเมื่อพบว่าเด็กในปกครองหายไป
“ทางเราไม่ทราบจริงๆค่ะคุณพ่อ
ออกมาตรวจอีกทีก็ไม่เจอใครแล้ว”
คุณครูสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
ใบหน้าสวยแต้มเครื่องสำอางฉาบด้วยความเป็นกังวล
มือของหล่อนที่ประสานกันไว้สั่นเกร็ง ริมฝีปากเม้มแน่น
เพราะหล่อนบกพร่องในหน้าที่ไม่ยอมดูแลเด็กๆให้ดีแท้ๆ
ร่างสูงเห็นแบบนั้นคำต่อว่าก็ถูกกลืนลงคอ
มองก็รู้ว่าต่างคนต่างกังวลไม่แพ้กัน
นัยน์ตาคมกวาดมองรอบๆด้วยความหวังน้อยนิดว่าจะมีใครสักคนวิ่งกลับมาหาเขา
แต่ท่ามกลางแสงสีส้มสดยามสนธยาเขาเห็นเพียงเงาตัวเองกับคุณครูอีกคนที่ทอดผ่าน
สนามเด็กเล่นว่างเปล่า ทางเดินเงียบเหงา
หัวใจของเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
มันบีบรัดและปวดหน่วง สองมือกำแน่นจนไร้สีเลือด
เขาอยากตะโกนออกมาดังๆแต่รู้ดีว่ามันไม่ช่วยให้เด็กๆกลับมา
ภาพในอดีตซ้อนทับเข้ามาในหัวไม่ต่างจากภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำๆ ภาพที่เขาเหน็ดเหนื่อยกับการดูแล ท้อแท้กับการแบกรับภาระหน้าที่ของคำว่าพ่อ ภาพที่เขาทนไม่ไหวอยากจะละทิ้งทุกอย่างไปจนเผลอทำอะไรแย่ๆ ภาพเหล่านั้นกัดกินหัวใจให้ยิ่งหดหู่ราวกับถูกมีดคมๆกรีด
หายไปไหนของเขากันนะ…..
กลับมาเถอะ อย่าเป็นอะไรไปเลยนะ…..
ในขณะที่กำลังเครียดอยู่นั้นแรงกระตุกไม่แรงนักก็เกิดขึ้นบริเวณชายเสื้อ
เมื่อก้มหน้าลงมองตามแรงนั้นก็มองเห็นเด็กชายตัวน้อยยืนเงยหน้าสบตาแป๋วแหวว
ร่างสูงขมวดคิ้วแต่ถึงกระนั้นก็เลือกที่จะสลัดความขุ่นมัวในใจแล้วย่อตัวลงคุยกับเด็กน้อย
“มีอะไรเหรอครับหนุ่มน้อย”
“ตามหาน้องตูนอยู่เหยอฮับ” เด็กน้อยเอ่ยถามก่อนจะยืดแขนชี้นิ้วไปบริเวณหลังโรงเรียนที่ๆทั้งสามคนหายเข้าไปแถวๆเรือนกระจก
“ผมเห็นน้องตูนไปกับหมวยๆตรงนู้นนนนน”
วินาทีนั้นเขาไม่รู้เลยว่าคำพูดของเด็กเชื่อถือได้มากแค่ไหนหรืออะไรจะเกิดขึ้น
รู้ตัวอีกสองขาก็เดินออกมาจากบริเวณนั้น
สองเท้าสับเร็วขึ้นจนในที่สุดก็กลายเป็นวิ่ง ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความหวัง
หวังว่าจะเจอเด็กๆ หวังว่าเด็กๆจะไม่เป็นอะไร
ขอโทษที่ก่อนหน้านี้เคยคิดจะหนีไปให้ไกล
ขอโทษที่ก่อนหน้านี้เผลอคิดไปว่าไม่อยากจะดูแลแล้ว
ขอโทษที่เคยทำอะไรแย่ๆ
ขอโทษที่ทำให้ต้องร้องไห้
แต่อย่าหายไปไหนเลยนะ…...
“ตูน! หมวยพรีม! หมวยเชอ!”
“ป๊าาาาาาาาาา!”
ฟ้าเริ่มมืดแล้วทันทีที่ชายหนุ่มวิ่งมาถึง ร่างสูงหอบหายใจกระชั้นถี่เนื่องด้วยวิ่งมาด้วยความเร็ว เมื่อเห็นเด็กๆอยู่กันครบโดยไม่มีรอยขีดข่วนตะกอนขุ่นมัวในใจก็ถูกพัดหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่อยากจะดุว่าทำไมถึงหายไปไม่ยอมบอกแต่พอเห็นเด็กๆส่งยิ้มกว้างจนตาปิดแล้ววิ่งมากอดเอวเขาความรู้สึกโล่งใจมันก็ตีตื้นขึ้นมาจนโกรธไม่ลง
ป๊าย่อตัวลง
วาดแขนโอบกอดเด็กน้อยสามคนไว้แน่น “ทำไมมาอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่รอป๊าล่ะ”
“น้องพีมเจอน้องหมา
น้องพีมอยากเย่นน้องพีมเลยพาปี้เชอกับเฮียตูนมาเย่นด้วย”
มองเลยเด็กๆไปภาพของสีนัขสีดำสนิทนอนขดตัวมองเขาตาแป๋ว
ร่างสูงพรูลมหายใจออกก่อนจะหัวเราะขื่นๆ สองแขนกระชับแรงกอดมากขึ้น
“คราวหลังอย่าหายไปแบบนี้อีก
เข้าใจไหม?”
“พวกเยาไม่ได้ไปไหนนี่คะ
เยาแค่มาเย่นกับน้องหมาเองนะ”
เขายีหัวหมวยเชอให้กับคำตอบที่ดูดื้อดึงของเจ้าตัว
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วจับมือเด็กๆเอาไว้
ถ่ายทอดความอบอุ่นและความรู้สึกทั้งหมดให้ชีวิตตัวน้อยๆที่เงยหน้ามองเขาด้วยรอยยิ้มแสนบริสุทธ์
ขอโทษจริงๆที่ก่อนหน้านี้คิดจะทิ้งไป
แต่มันจะไม่มีวันนั้นอีกแล้วล่ะ….
“ไป กลับกันได้แล้ว”
“แวะซุปเปอร์ด้วยยย!”
“ซื้อหนมให้น้องพีมหม่ำๆ!!”
“หมวยเชอหยักกิงมาชเมลโล่วววววว!”
“เอาโปเต้ห่อสีแดงๆอ่ะ!!”
“อย่าแย่งกันพูดสิ
ป๊าฟังไม่รู้เรื่องนะ”
สำหรับเขา
ถ้าจะหาคำสักคำที่จะนิยามให้เด็กสามคนนี้ก็คงจะเป็นคำว่า ‘กลุ่มเด็กตัวยุ่ง’
ช่วงเวลาที่เด็กๆชอบมากที่สุดรองลงมาจากการได้ทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วดูโทรทัศน์ด้วยกันในวันหยุดก็คือการได้เข้ามาเดินตากแอร์เย็นๆและมองบรรดาของกินมากมายบนชั้นในซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน
ใช่แล้ว
เด็กๆชอบมันมากกว่าการได้เล่นของเล่นชิ้นโปรดในกล่องของเล่นที่โรงเรียนอีก
“ป๊าาาาาา หมวยอยากนั่งรถเข็น!”
“น้องพีมด้วย!”
จลาจลขนาดย่อมๆเกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่ทันจะขยับรถเข็นด้วยซ้ำ
หมวยเชอเกาะเอวเขางอแงขอขึ้นไปนั่งบนรถเข็น
หมวยพรีมก็ไม่ยอมน้อยหน้าตรงเข้าไปเขย่ารถเข็นแสดงความต้องการเต็มที่
แม้ว่าแรงของเด็กสามขวบจะไม่ทำให้รถเข็นหนักหลายกิโลกรัมสะดุ้งสะเทือนเลยก็เถอะ
ร่างสูงอุ้มหมวยทั้งสองคนขึ้นรถเข็นแล้วหัวเราะเบาๆ
เขาหันกลับมาหาเฮียตูนที่ตอนนี้เกาะชายเสื้อเขาท่าทางพร้อมจะเดินซุปเปอร์เต็มที่
ชายหนุ่มเอ่ยถามติดตลกด้วยรอยยิ้ม “ตูนล่ะ
อยากขึ้นไปนั่งกับหมวยๆมั้ย?”
เฮียตูนส่ายหน้าช้าๆ
เด็กชายยิ้มตาพราวก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้เขาต้องส่งมือไปขยี้หัวคนเป็นผู้ใหญ่เกินตัวแรงๆหนึ่งที
“ไม่เอาหรอกฮะ
ผมเดินกับป๊าช่วยดูแลหมวยๆดีกว่า”
“ฮะๆๆๆ
พูดแล้วก็เดินตามมาเลยคุณลูกชาย”
สองมือออกแรงผลักตะกร้าเหล็กติดล้อขนาดใหญ่ให้เลื่อนไปตามพื้นขัดมันวับในซุปเปอร์มาร์เก็ต
เดินไปไม่ทันไรก็แว่วเสียงเจื้อยแจ้วจากเด็กหญิงสองคนที่เกาะรถเข็นแน่น
“ไปหามาชเมลโล่วววววววว”
“เอาหนมให้น้องพีมด้วย!!”
“คร้าบๆ~~”
อ่า…. เดินซุปเปอร์วันนี้ก็วุ่นวายอีกแล้วสินะ
“ง่าาาาาา ไม่เอาง่ะ หมวยเชอไม่เอาผักกาด!” เสียงใสๆของหมวยเชอดังขึ้นประท้วงทันทีที่เห็นเขาหยิบผักกาดสีเขียวอ่อนใส่รถเข็น ริมฝีปากนุ่มนิ่มเบะออกด้วยความไม่พอใจเต็มกำลังมิหนำซ้ำยังส่งเจ้าผักกาดหัวนั้นให้เขาเอากลับไปวางที่ชั้นอีกต่างหาก
เจ้าผักกาดเหม็นเขียว!
ออกไปจากตะกร้าของหมวยเชอเลยนะ! =”=
“ไม่เอาน่าหมวยเชอ
ไม่กินผักเดี๋ยวจะไม่แข็งแรงเอานะ”
“ฮื่ออออออ ผักกาดไม่อร่อยนี่นา
ป๊าทำอย่างอื่นเถอะน้า”
มือเล็กป้อมผลักเจ้าผักหัวใหญ่มาทางเข้าพร้อมด้วยยิ้มหวานปะเหลาะเอาใจ
ร่างสูงส่ายหัวน้อยๆรู้ตัวดีว่าเกลี้ยกล่อมยังไงสุดท้ายก็แพ้ลูกอ้อนอยู่ดี
ป๊าวางผักกาดกลับคืนชั้นวาง ในหัวไพล่คิดไปถึงเมนูอื่นที่ไม่มีเจ้าผักเหม็นเขียวน่ารำคาญใจ
“ถ้าทำสปาเกตตี้หมวยจะกินหอมหัวใหญ่กับมะเขือเทศใช่มั้ย”
“แลกกับมาชเมลโล่วฉองถุง!!”
“น้องพีมหยักกิงฉะปาเกตตี้!
ใส่ซอสกับมีตบอลเยอะๆ!!”
“ตูนล่ะ อยากกินอะไรมั้ย”
“ป๊าทำอะไรก็กินหมดแหละฮะ”
สุดท้ายของที่มาอยู่ในรถเข็นก็เป็นวัตถุดิบสำหรับทำสปาเกตตีมีตบอลซอสแดง
ชายหนุ่มต้องเดินเข็นรถไปหลายโซนทีเดียวกว่าจะได้เส้นสปาเกตตี้ ซอสสำเร็จ
ของทำมีตบอลรวมถึงผักต่างๆมาอยู่ในรถเข็น
นอกจากต้องเลือกวัตถุดิบแล้วยังต้องสู้รบปรบมือกับความซนของสองหมวยในรถเข็นอีกต่างหาก
“ไหนบอกว่าจะกินหอมใหญ่ไงล่ะหมวยเชอ”
“แล้วไหนขนมของหมวยล่ะ!!?”
“หมวยพรีม! อย่าโยนเส้นลงพื้นนะ!”
“อันนี้อะไยเนี่ยยยยยย”
“ป๊าฮะ….. มะเขือเทศกลิ้งไปนู่นแล้ว….”
“เฮ้ยยยยยยยยย”
ไม่ทันไรร่างสูงก็รู้สึกเหมือนพลังชีวิตของตัวเองหายไปครึ่งหลอดเสียแล้ว
การเดินซุปเปอร์มาร์เก็ตกับเด็กๆมันดูดพลังชีวิตจริงๆนั่นแหละ
แต่รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะที่ได้มาชายหนุ่มคิดว่ามันก็คุ้มนะ
แม้ว่าจะเหนื่อยไปเสียหน่อยก็เถอะ
หมวยเชอเป็นเด็กที่ชอบกินขนมและอะไรก็ตามที่หวานๆ
เด็กหญิงชอบนมสดอุ่นๆกับโอวัลตินเป็นที่สุด แต่สิ่งที่ไม่ชอบเลยคือผัก
หมวยเชอเกลียดผักใบเขียวเกือบทุกชนิด
โดยเฉพาะผักกาดที่จะไม่ยอมให้อยู่ในจานของตัวเองเป็นอันขาด จะผักกาดหอม ผักกาดขาว
ผักกาดแก้ว หมวยเชอไม่เอาทั้งนั้นแหละ
หมวยพรีมก็ชอบกินขนมไม่แพ้กัน
หมวยพรีมกินขนมได้ทุกอย่าง ถ้ามีมาร์ชเมลโล่ก็แบ่งกับหมวยเชอกินได้ทั้งวัน
ส่วนเครื่องดื่มที่ชอบคือโกโก้หวานๆที่กินทีไรก็เปื้อนปากดำปี๋ให้เขาเช็ดให้ทุกที
น่าแปลกที่เจ้าตัวไม่ค่อยชอบดื่มนมสักเท่าไหร่ถ้าไม่อ้อนให้หมวยเชอกับเฮียตูนกินให้
เด็กน้อยก็จะเอาไปเททิ้งให้เขาเสียดายเล่น
คนสุดท้ายเฮียตูน
รายนี้เป็นเด็กดีเขาทำอะไรให้ก็กินหมดนั่นแหละ เฮียตูนชอบกินสปาเกตตี้มาก
ถ้านานๆจะอ้อนขอขนมสักทีก็จะเป็นขนมขบเคี้ยวชื่อดังห่อสีแดงที่ชื่อโปเต้
นอกเหนือไปจากนั้นถ้าหมวยๆไม่กินอะไรเฮียตูนก็จะคอยจัดการให้ตามประสาคนมัธยัสถ์และเข้าถึงคำว่าเสียดายมากกว่าเด็กทั่วไป
“ขนมพวกนี้มาจากไหนเด็กๆ”
“พวกเยาไม่ยู้เยื่องนะคะป๊า”
“น้องพีมจะกินหนมง่าาาาาาาา”
“ตูน ช่วยป๊าเอาขนมออกจากรถเข็นที”
“เฮียขอโทษนะหมวยๆ”
“แง้งงงงงงงงงงงงงง”
สำหรับป๊า
นิยามสำหรับเด็กสามคนนี้ก็คงไม่พ้นคำว่าตัวยุ่ง
สิ่งเดียวที่หมวยพรีมไม่ชอบเลยคือการนอนซมอยู่กับเตียงเพราะเป็นไข้หวัด
บอกตามตรงว่ากับนมสดหมวยพรีมยังรู้สึกโอเคมากกว่านี้
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนธันวาคม
อากาศเย็นลอยตัวอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ ประกาศตัวเต็มที่ว่าอยู่ในฤดูหนาว
ลมเย็นๆที่พัดผ่านเป็นระยะชวนให้รู้สึกว่าผิวแห้งเป็นสัญญาณว่าในขณะนี้ไม่ใช่อากาศที่คุ้นเคย
และเพราะอากาศหนาวๆแบบนี้นี่แหละ
อาการหวัดก็ถามหาน้องเล็กของบ้านจนได้
ตอนเช้าหลังจากก้าวเข้าสู่เดือนธันวาคมได้ไม่นาน
หมวยพรีมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวตุบๆที่ปวดสุดๆในความคิดของเด็กสามขวบ จินตนาการไปต่างๆนานาว่าหัวจะระเบิดโพละเป็นลูกแตงโมรึเปล่า
แต่หัวก็ไม่ได้ระเบิดออกมาจริงๆ นั่นทำให้โล่งใจไปได้นิดหน่อย
นิดหน่อยเท่านั้นจริงๆ…. เพราะตอนนี้หัวขอหมวยพรีมก็ยังปวดมากๆอยู่ดี
หมวยเชอกับเฮียตูนตื่นแต่เช้าและลงไปชั้นล่างก่อนหน้านี้แล้ว
ในห้องนอนรวมจึงเหลือเพียงเด็กหญิงที่นอนตัวสั่นอยู่บนเตียงเล็ก เด็กน้อยซุกตัวหาไออุ่นจากผ้าห่มผืนโปรด
ใบหน้าจิ้มลิ้มปรากฏริ้วสีแดงจากพิษไข้
รู้สึกเจ็บในลำคอเหมือนกินอะไรไม่ลงแค่กลืนน้ำลายยังลำบาก
เด็กน้อยรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงที่มีถูกดูดหายไป
สิ่งที่ทำได้คือการลืมตามองเพดานนิ่งๆแม้จะแสบร้อนรอบกระบอกตาไปหมด
หมวยพรีมลองส่งเสียงพูดดูแล้วก็รู้ว่าเสียงของตัวเองแหบจนฟังไม่รู้เรื่อง
ในตอนที่กำลังจะหลับตาลงอีกครั้งเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
หมวยพรีมฝืนลืมตาขึ้นช้าๆ ได้ยินเสียงกำปั้นของใครสักคนเคาะกับประตูไม้สีนวลสลับกับเสียงวิ้งๆในหัว
เด็กหญิงอยากขานรับแต่ดูเหมือนจะไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะขานตอบ
ส่วนคนด้านนอกเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับก็จัดการเปิดประตูเข้ามาเสียเอง
“หมวยพรีม วันนี้ตื่นสายนะ”
ภาพตรงหน้าพร่ามัวมองเห็นเพียงเงาสูงๆที่อยู่ข้างเตียง
แต่หมวยพรีมรู้ว่าเป็นป๊าจากน้ำเสียงทุ้มนุ่มอบอุ่น
เด็กหญิงขยับปากตั้งใจจะส่งเสียงเรียกแต่เสียงนั้นกลับกลายเป็นเสียงไอออกมาแทน
“แค่กๆๆๆ”
“หมวยพรีม!” ชายหนุ่มย่อตัวลงก่อนจะใช้ฝ่ามือทาบลงบนหน้าผากเล็กทันที
“ร้อนจี๋เลย….” ร่างสูงพึมพำพร้อมกับหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น
ช่วงนี้เด็กๆเป็นหวัดเพราะสภาพอากาศกันบ่อยแต่เขาไม่คิดเลยว่าหมวยพรีมก็ติดหวัดมากับเขาด้วย
ถ้าไม่ติดเพื่อนที่โรงเรียนมาก็คงเพราะนอนไม่ห่มผ้าเป็นแน่
ป๊าระบายยิ้มจางแม้ภายในใจจะเป็นกังวล
เขาลูบเส้นผมสีดำขลับของเด็กหญิงช้าๆ “หมวยพรีมนอนพักก่อนนะ
เดี๋ยวไปเอาข้าวมาให้เนอะ จะได้กินยานอนพักผ่อนนะ”
ทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้นป๊าก็ลุกขึ้นก่อนจะเปิดประตูออกไป
หมวยพรีมพลิกตัวนอนตะแคงไปอีกข้าง
ปล่อยให้ลมหายใจร้อนๆเป่ารดใบหน้าก่อนจะข่มตาหลับลงเพื่อนอนพักผ่อนตามที่ป๊าบอก
ก่อนจะหลับไปหมวยพรีมแอบนึกอยู่ในใจว่าลืมตามาอีกครั้งตัวเองจะหายดี
“หมวยพรีม…. ตื่นก่อน
มากินข้าวก่อนเร็ว”
เด็กน้อยส่งเสียงในลำคอก่อนจะค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น
เธอมองไม่เห็นอาหารแต่กลิ่นหอมฉุยที่เด็กน้อยคุ้นเคยทำให้พอจะรู้ว่ามันคือข้าวต้มไข่ที่ป๊าเคยทำให้กิน
ป๊าพยุงตัวหมวยพรีมให้อยู่ในท่านั่งกึ่งนอน
พิงหลังกับหมอนใบนุ่มที่วางพิงหัวเตียงอีกที
“กินข้าวหน่อยนะ
จะได้กินยานอนแล้วถ้าพรุ่งนี้ไม่หายดีป๊าจะพาไปหาคุณหมอ” ร่างสูงพูดขณะที่ตักข้าวต้มในชามลายโปรดของหมวยพรีม
เป่าเบาๆแล้วป้อนให้กับเด็กน้อย หมวยพรีมอ้าปากกินข้าวต้มที่อุ่นกำลังดีก่อนส่ายหน้าช้าๆ
“ดะ เดี๋ยวน้องพีม กะ ก็ แค่กๆ หาย…”
“ถ้าอยากหายหมวยพรีมต้องกินเยอะๆนะ”
“แต่น้องพีมเจ็บคอ…. เจ็บมากๆเยย”
ป๊าวางชามข้าวต้มบนถาด
เขาระบายยิ้มอ่อนโยนพลางลูบศีรษะเด็กน้อยแผ่วเบา มืออีกข้างบีบมือที่กว่าเอาไว้
บีบเบาๆเพื่อปลอบประโลม
“เดี๋ยวหมวยพรีมก็หายนะ เชื่อป๊า” ฝ่ามือใหญ่ยังคงให้ความอบอุ่นไม่ห่าง
แวบหนึ่งหมวยพรีมรู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงขึ้น “แป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับมาวิ่งปร๋อได้เลยล่ะ”
“จิงๆนะ?”
“จริงสิ ป๊าสัญญา”
จบคำพูดนั้นหมวยพรีมก็จัดการกินข้าวต้มที่เขาป้อนให้จนเกลี้ยงแม้จะเจ็บคอก็ตาม
ยาน้ำข้นหนืดถูกรินในช้อนชาอันเล็กๆ
หมวยพรีมเบะปากไม่อยากกินแต่เมื่อป๊าบอกว่ากินแล้วจะหายจากหวัดเด็กน้อยก็ยอมอ้าปากรับยาขมๆแต่โดยดี
ป๊าบอกให้หมวยพรีมนอนหลับ
ได้ยินเสียงป๊าร้องเพลงกล่อมที่เคยได้ยินจากในโทรทัศน์
รู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆจากมือใหญ่ของป๊าลูบที่เส้นผมและหน้าผาก
“หายเร็วๆนะหมวยพรีมของป๊า….” นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่หมวยพรีมได้ยินก่อนจะหลับไป
“หมวยพีมเป็นอะไรคะป๊า
ทำไมไม่ออกจากห้องง่า” หมวยเชอถามด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ทันทีที่เขาออกมาจากห้องพร้อมถาดอาหาร
เด็กน้อยเกาะเฮียตูนขณะสอดสายตามองประตูอย่างกล้าๆกลัวๆ
“หมวยพรีมไม่สบายน่ะหมวยเชอ
ต้องนอนพักนะ”
“แล้วหมวยพรีมจะหายมั้ยฮะ?”
“หายสิ” ชายหนุ่มยิ้ม “แต่ช่วงนี้เราคงต้องให้หมวยพรีมนอนคนเดียวนะจะได้ไม่ติดหวัด
ช่วงนี้หมวยเชอก็เล่นกับเฮียตูนไปก่อนนะ”
หมวยเชอไม่รู้ว่าคำว่าไม่สบายหมายถึงอะไร
แต่ถ้ามันทำให้หมวยเชอกับเฮียตูนต้องปล่อยให้หมวยพรีมนอนคนเดียวล่ะก็มันต้องไม่ดีแน่ๆ
คิดได้ดังนั้นเด็กน้อยก็กอดเอวเฮียตูนแน่น
“หมวยเชออยากเล่นกับหมวยพีม”
“ไม่ร้องสิหมวยเชอ
ป๊าบอกแล้วไงว่าเดี๋ยวหมวยพรีมจะหาย” เฮียตูนพูดปลอบแล้วยกแขนเล็กๆขึ้นกอดเด็กหญิงตอบ
หมวยเชอจ้องมองประตูห้องนอนรวมด้วยความหวัง
“หมวยพีมต้องหายนะ”
บ่ายวันนั้นหมวยเชอกับเฮียตูนย่องเข้าไปในห้องทำงานของป๊า
หยิบกระดาษเอสี่ที่เสียบกับเครื่องปริ้นคนละแผ่นพร้อมด้วยสีเทียนหนึ่งกล่องในกระเป๋าของเฮียตูน
เด็กน้อยสองคนวุ่นวายอยู่กับการขีดๆเขียนๆยกใหญ่ที่ห้องรับแขกชั้นล่าง
“ทำอะไรกันน่ะเด็กๆ” ป๊าที่เพิ่งกลับมาจากเช็ดตัวให้หมวยพรีมเลิกคิ้วถามหลังจากเห็นทั้งคู่นั่งจดจ่ออยู่กับกระดาษไม่พูดไม่จาอยู่นานสองนาน
เฮียตูนเงยหน้าขึ้นมาก่อน เด็กชายชูกระดาษที่วาดตัวการ์ตูนก้างปลาเป็นรูปหมวยพรีม
ตัวก้างปลาล้อมรอบด้วยหัวใจดวงน้อยใหญ่ที่ระบายสีชมพูจนเข้ม
“เราทำของขวัญให้หมวยพรีมฮะ
เราจะเอาไปให้หมวยพรีม หมวยพรีมจะได้หาย”
“หมวยเชอเห็นในทีวี” เด็กหญิงเงยหน้าจากกระดาษมาพูดบ้าง
บนหน้ากระดาษของหมวยเชอมีรูปตุ๊กตาถั่วงอกสี่ตัว
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นรูปครอบครัว “ถ้ามีของแบบนี้คนที่นอนบนเตียงจะหาย”
“มันสวยมาก ทั้งคู่เลย” ป๊ามองผลงานบนกระดาษเอสี่
ย่อตัวลงใช้มือทั้งสองตบลงบ่นบ่าเด็กหญิงและเด็กชาย “ป๊าดีใจนะที่ทั้งสองคนนึกถึงหมวยพรีม
หมวยพรีมคงดีใจน่าดู”
“ถ้าหมวยพีมเห็น
หมวยพีมจะหายใช่มั้ยคะ”
คำถามพาซื่อเรียกให้ร่างสูงอมยิ้ม “อาจจะไม่หายทันทีหรอกนะ
หมวยพรีมจะหายถ้ากินข้าว กินยาแล้วก็นอนพักนะ”
“งั้นพวกเราไปหาหมวยพรีมได้มั้ยฮะ”
“ได้สิ
แต่อย่าอยู่นานจนติดหวัดกลับมานะ”
เมื่อได้รับคำอนุญาตหมวยเชอกับเฮียตูนก็พากันเดินเตาะแตะขึ้นไปชั้นบน
ในมือทั้งสองคนมีกระดาษที่ตั้งใจวาดสุดฝีมือ เฮียตูนเอื้อมมือหมุนลูกบิด พอประตูแง้มก็จัดการเปิดออก
เด็กน้อยเดินเกาะกันมาเงียบๆหยุดอยู่ข้างเตียงที่หมวยพรีมกำลังหลับสนิท
“หมวยพีม….” หมวยเชอส่งเสียงเรียกเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้รบกวนเวลาของเด็กหญิง
“หมวยเชอทำของขวัญมาให้
หายไวๆแย้วมาเย่นด้วยกันนะ”
“เฮียตูนก็มาเยี่ยมหมวยพรีมนะ
หายเร็วๆนะหมวย” เฮียตูนพูดต่อก่อนจะอาสาเอาการ์ดทำเองไปตั้งใกล้ๆกับที่ที่หมวยพรีมนอน
หมวยเชอเกาะขอบเตียงมองหมวยพรีมที่แม้จะหลับแค่ก็หายใจถี่เพราะพิษไข้
มือเล็กจับมือร้อนจัดของน้องสาวไว้ บีบเบาๆเพราะกลัวคนหลับจะเจ็บแล้วตื่นขึ้นมาหมวยเชอทำแบบนั้นจนเฮียตูนสะกิดแล้วพาออกจากห้องไป
มื้อเย็นวันนี้ไม่อร่อยเลย
ปกติในวันหยุดสุดสัปดาห์
หลังอาหารเย็นครอบครัวนี้จะมารวมตัวกันที่หน้าจอโทรทัศน์ดูการ์ตูนตอนเย็นและรายการเกมโชว์รายการโปรดของป๊า
รอจนสามทุ่มก็แยกย้ายเข้านอน
แต่ตอนนี้ป๊าต้องเอาข้าวเย็นไปให้หมวยพรีมแล้วก็เช็ดตัวอีกรอบ
บนโต๊ะอาหารจึงเหลือเพียงแค่หมวยเชอกับเฮียตูนที่นั่งกินข้าวมื้อเย็นจากชามลายโปรดด้วยสีหน้าหม่นหมอง
ตอนที่ใกล้เวลานอนป๊าแยกเครื่องนอนของหมวยเชอกับเฮียตูนมาอยู่ที่ห้องนอนป๊าเพื่อจะได้ไม่ติดหวัด
หมวยเชองอแงอยู่พักใหญ่เพราะอยากนอนกับหมวยพรีมแต่สุดท้ายก็เดินสะอึกสะอื้นยอมเปลี่ยนที่นอนด้วยความจำยอมโดยมีเฮียตูนคอยปลอบไม่ห่าง
เด็กหญิงทิ้งตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดไว้บนเตียงหมวยพรีม
กำชับเจ้าตุ๊กตายัดนุ่นตามประสาเด็กให้ดูแลหมวยพรีมให้หาย
“ป๊า….” หมวยเชอเรียกหลังจากที่ไฟในห้องนอนถูกปิดจนหมด
บนเตียงขนาดหกฟุตมีหมวยเชอนอนอยู่ตรงกลาง
ขนาบด้วยป๊าและเฮียตูนกันไม่ให้เด็กหญิงตกเตียง “หมวยพีมจะหายจิงๆใช่มั้ยคะ”
“หายสิ ป๊าบอกแล้วไง
ถ้านอนพักเยอะๆเดี๋ยวพรุ่งนี้หมวยพรีมก็หายแล้วล่ะ”
“หมวยเชออยากให้หมวยพีมหาย
จะได้มาเย่นมากับหมวยเชอไวๆ” พูดได้แค่นั้นน้ำตาเม็ดโตก็ไหลออกจากดวงตากลมแป๋วของเด็กขี้แย
ป๊ากับเฮียตูนปลอบหมวยเชออยู่พักหนึ่งก่อนเด็กหญิงจะหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
ป๊าลูบหัวหมวยเชอ ครู่หนึ่งก็เอื้อมมือไปลูบหัวเฮียตูน
บอกขอบคุณเด็กชายที่ช่วยดูแลน้องก่อนจะหลับไปอีกคน
เฮียตูนยังลืมตาอยู่ในความมืด จ้องมองเพดานเงียบๆ
เขาอยากหมวยพรีมหายเร็วๆหมวยเชอกับเขาจะได้ไม่ต้องร้องไห้
แต่เฮียตูนก็ยังไม่ได้ร้องไห้เพราะเดี๋ยวหมวยเชอจะไม่มีคนปลอบ
เด็กชายคิดแบบนั้น
ก่อนหลับไปเขาขอพรซ้ำๆให้นางฟ้าใจดีหรือเทวดาแสนดีสักคนเสกเวทมนตร์ให้หมวยพรีมหายจากอาการไม่สบาย
เช้าวันถัดมาเคลื่อนเข้ามาถึงเมื่อแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาทักคนที่กำลังหลับอยู่ให้ตื่น
เฮียตูนขยับตัวยุกยิกเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรสว่างๆแยงตาบวกกับหูได้ยินเสียงน้ำไหลซู่ๆดังมาจากห้องน้ำ
เด็กชายขยับตัวลุกขึ้น
ค่อยๆลงจากเตียงอย่างระมัดระวังเพราะป๊ากับหมวยเชอยังไม่ตื่น อากาศตอนเช้าค่อนข้างหนาวและทำให้พื้นเย็นเฉียบ
เด็กชายสะดุ้งทันทีเมื่อเท้าเปลือยเปล่าแตะลงบนพื้น
“โอ๊ะ! เย็นๆๆๆๆ”
บ่นพึมพำขณะก้าวเท้าเล็กๆไปตลอดทาง
ประตูห้องน้ำเปิดแง้มอยู่เล็กน้อยก่อนที่เฮียตูนจะผลักเข้าไป
ภาพที่เห็นคือหมวยพรีมยืนต่อเก้าอี้ล้างหน้าแปรงฟันด้วยแก้วน้ำสีเหลืองลายยีราฟ
เฮียตูนยิ้มกว้าง วิ่งตึงตังกลับไปที่ห้องนอนป๊า
“หมวยพรีมหายแล้วๆ!” เขาตะโกนคำนี้ซ้ำๆจนทั้งป๊าทั้งหมวยเชอตื่น
หมวยเชอยิ้มลิงโลดลืมความง่วงเสียสนิทก่อนจะรีบกุลีกุจอกระโดดลงจากเตียงวิ่งเร็วๆไปหาหมวยพรีมก่อนใคร
ป๊ายิ้มให้เขาแล้วหัวเราะเบาๆ
“ป๊าบอกแล้วว่าเดี๋ยวหมวยพรีมก็หาย”
“หมวยพีมมมมมมมม” หมวยเชอวิ่งไปหาร่างเล็กที่ออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าเปียกโชก
คว้าเข้าทั้งตัวแล้วกอดแน่นๆจนหมวยพรีมเกือบล้ม
ถูไถแก้มด้วยความดีใจจนใบหน้าเริ่มชื้นจากหยดน้ำ
“หมวยพีมหายแย้วจิงๆด้วย!”
“อื้อ! น้องพีมหายแย้ว!”
“ฮืออออออ ดีจังเยย” หมวยเชอยิ้มแต่แวบเดียวก็กลายเป็นเบะปากร้องไห้
หมวยพรีมทำอะไรไม่ถูกก็กอดหมวยเชอร้องไห้ตามกัน
จนป๊ากับเฮียตูนเดินมาเฮียตูนก็เดินมากอดสองหมวยแล้วปล่อยน้ำตาออกมาอีกคนด้วยความดีใจ
ป๊ายืนมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนใจ
เด็กสามคนร้องอยู่ไม่นานก็เปลี่ยนมาเล่นหยอกล้อกันจนเกิดเสียงหัวเราะ
สามคนคุยกันหงุงหงิงก่อนจะพากันวิ่งตึงตังลงไปชั่นล่าง
สำหรับป๊านิยามของเด็กทั้งสามคงถ้าเลือกได้ก็ยังคงเป็นคำว่าตัวยุ่ง….
แต่พอเจ้าตัวยุ่งร้องไห้ทีไรเขาก็ไม่สบายใจทุกที
พอเจ้าตัวยุ่งป่วยก็ยิ่งแล้วใหญ่ นั่นทำให้ความคิดหนึ่งชัดเจนขึ้นในใจของป๊า
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะปกป้องรอยยิ้มของเด็กๆเอาไว้ให้ได้
หลังจากค่ำคืนอันยาวนานผ่านพ้นไปยามเช้าก็เข้ามาทักทายอีกครั้ง
แสงจากดวงอาทิตย์แตะขอบฟ้าก่อนจะค่อยๆกระจายตัวออกช้าๆ
ย้ำเตือนทุกคนให้รับรู้ถึงรุ่งอรุณวันใหม่
วันเวลาของบ้านหลังนี้เริ่มขึ้นในเวลาหกโมงเช้า
มันเป็นแบบนี้เสมอไม่ว่าในวันไหนๆ
ภายในบ้านหลังน้อยสไตล์วินเทจในตรอกหนึ่งที่ยังคงมีลมเย็นๆพัดผ่านในฤดูใบไม้ผลิ
แสงแดดสีทองอ่อนส่องผ่านช่องหน้าต่างกระทบเปลือกตาบาง
ค่อยๆโอบไล้ปลุกคนที่อยู่ในห้วงนิทราให้ตื่นขึ้น
“อือ….” ส่งเสียงในลำคอเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆยันตัวขึ้นมานั่งบนเตียง
นาฬิกาติดผนังแบบเปลือยกรอบตีบอกเวลาหกโมงเช้า
มันเป็นเวลาตื่นที่ชินเสียแล้วแม้จะไม่มีนาฬิกาปลุกก็ตาม
บิดขี้เกียจคลายความเมื่อยขบแล้วใช้มือสางผมลวกๆให้พอเข้าที่เข้าทาง
หมวยเชอลุกขึ้นจากเตียง พับผ้าห่มเก็บที่ปลายเตียงให้เรียบร้อย
มันเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่เด็ก
หมวยเชอสามารถเก็บของเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยโดยไม่ต้องให้ใครบอก
เธอยืดตัวอีกครั้งก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวและชุดสำหรับเปลี่ยนเข้าห้องน้ำไป
ใช้เวลาไม่นานสำหรับการอาบน้ำ
หมวยเชอก็มาอยู่ในชุดกระโปรงเปิดไหล่ลายลูกไม้สีขาว
สไตล์ของชุดดูคล้ายแบบโบฮีเมียนในแบบที่หมวยเชอชอบ
ใช้หวีจัดการหวีผมยาวดัดลอนของตัวเองให้เรียบร้อยก็เป็นอันเสร็จ
ภาพของหญิงสาวสะท้อนกลับมาในกระจกแต่งตัวบานโต
จากเด็กหญิงตัวน้อยผมม้าเต่อห้องดอกลิลลี่กลายเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบสองเร็วกว่าที่จะรู้ตัวเสียอีก
หมวยเชอในตอนนี้โตขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น
และได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักหลังเรียนจบจากคณะอักษรศาสตร์
ร่างบางส่งยิ้มเรียกกำลังใจให้กับตัวเองในกระจก
ยกฝ่ามือตบแก้มเบาๆสองทีก็ได้เวลาออกจากห้องนอนของตัวเอง
หมวยเชอย้ายออกจากห้องนอนรวมมาได้หลายปีแล้วตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมปลาย
ส่วนเฮียตูนย้ายออกไปตั้งแต่ขึ้นชั้นป.สี่
“ตูนนี่โตเป็นผู้ใหญ่ไวจริงๆนะ”
ป๊ามักจะพูดคำนี้เสมอ
ซึ่งเฮียตูนจะทำเพียงแค่พยักหน้ารับคำ หมวยเชอเห็นด้วยกับป๊า
ทั้งๆที่อายุห่างกันแค่ปีกว่าๆแต่เฮียตูนกลับดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก แต่หมวยเชอก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาหรอกนะ
กลับกันเธอรู้สึกอุ่นใจมากกว่า
กาน้ำที่ตั้งอยู่บนเตาส่งเสียงแหลมสูงเมื่ออุณหภูมิน้ำด้านในร้อนได้ที่
ร่างบางกุลีกุจอหยิบกาน้ำออกจากเตา เทลงในถ้วยกาแฟดำจนมันส่งกลิ่นหอมกรุ่น
น้ำที่เหลือเทลงในแก้วมัคที่ใส่ผงกาแฟไว้เรียบร้อยตามด้วยนมสดและเมเปิ้ลไซรัป
อีกสองแก้วที่เหลือเป็นโกโก้และนมสดอุ่นร้อน
เครื่องดื่มยามเช้าสำหรับสมาชิกภายในส่งกลิ่นหอมไปทั่วครัว
กาแฟดำเข้มๆไม่ใส่น้ำตาลเป็นของป๊าที่มักจะลงมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์หลังจากหมวยเชอชงกาแฟเสร็จได้ไม่นานราวกับมีนาฬิกาตั้งเวลาเอาไว้
นั่นทำให้หมวยเชอยกถ้วยกาแฟพร้อมจานรองไปวางไว้หัวโต๊ะทันทีด้วยรู้ว่าอีกไม่นานป๊าจะลงมา
กาฟาลาเต้ใส่เมเปิ้ลไซรัปเป็นเครื่องดื่มที่เฮียตูนจะต้องดื่มก่อนไปทำงานทุกเช้า
และทุกเช้าหมวยเชอก็ชงมันตามสูตรแบบไม่ขาดไม่เกินในแก้วมัคสีน้ำเงิน
สูตรกาแฟของเฮียตูนทำไม่ยากแต่กว่าหมวยเชอจะชงเป็นก็กินเวลาเกือบสัปดาห์
โกโก้ในแก้วมัคสีฟ้าเป็นของหมวยพรีมที่ตอนนี้กำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย
ตอนเข้าปีหนึ่งแล้วหมวยพรีมมาบอกว่าสอบติดคณะนิเทศศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังทุกคนตกใจกันน่าดู
“หมวยพรีมจะได้เป็นดาราแล้วเหรอเนี่ย” ป๊าพูดด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ยินหมวยพรีมพูดว่าสอบติดแล้ว
วันนั้นทุกคนดีใจกันมากจนต้องออกไปซุปเปอร์ใกล้บ้านกันเดี๋ยวนั้นเพื่อซื้ออาหารมาเลี้ยงฉลองให้หมวยพรีม
และแก้วสุดท้าย
นมสุดอุ่นๆใส่น้ำผึ้งเล็กน้อยของหมวยเชอในแก้วมัคสีชมพู
นมอุ่นๆช่วยเติมพลังให้หมวยเชอได้เป็นอย่างดีก่อนจะไปเปิดร้านคาเฟ่ตรงหัวมุมถนน
‘PaPa’ เป็นชื่อร้านคาเฟ่ของหมวยเชอที่ตัดสินเลือกใช้หลังจากคิดไม่ตกอยู่เป็นนาน
ชื่อนี้ทำให้เธอนึกถึงป๊าอยู่เสมอ
มันดีไม่น้อยถ้าหากจะนึกถึงคนในครอบครัวไว้เป็นกำลังใจตลอดเวลาทำงาน
ร้านของหมวยตกแต่ด้วยสไตล์วินเทจเน้นสีนวลตาไม่ต่างจากบ้านหลังนี้
มีดอกไม้ตามกระถางตกแต่งประปราย เพิ่มความสวยงานด้วยภาพถ่ายและภาพวาดสีน้ำ ร้านคาเฟ่ไม่ใหญ่มากตามประสาคนชอบอะไรเรียบๆไม่โอ่อ่า
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีลูกค้าวนเวียนมาไม่ขาดด้วยการบอกเล่าปากต่อปากถึงรสชาติของขนมและเครื่องดื่ม
หมวยเชอไม่คิดจะเสียเงินจ้างพนักงานช่วยที่ร้านแม้บางวันลูกค้าจะเยอะจนยุ่งแทบหัวหมุน
เพราะหมวยเชออยากดูแลลูกค้าด้วยตัวเองมากกว่า
เหตุผลนั้นทำให้ทั้งป๊าทั้งเฮียส่ายหน้า
แม้แต่หมวยพรีมที่อายุน้อยกว่ายังยิ้มอ่อนใจ
“หมวยเชอก็ยังเป็นหมวยเชอ ดื้อจริงๆ” หมวยเชอยังจำรอยยิ้มเหนื่อยๆของป๊าตอนที่พูดประโยคนี้ได้ดี
แต่ถึงจะบอกว่าหมวยเชอดื้อแต่ป๊าก็ยอมตามใจหมวยเชอตลอดนั่นแหละ
เรื่องที่ไม่ยอมตามใจก็มีอยู่เรื่องเดียวนั่นแหละ….. ลูกเขยไงล่ะ
หมวยเชออมยิ้มขณะนึกถึงใบหน้าเหวอๆของป๊าตอนที่เข้าไปถามแบบทีเล่นทีจริงว่าขอมีแฟนได้รึเปล่า
ตอนนั้นป๊าตกใจแล้วก็ถามหมวยเชอยกใหญ่ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ชื่ออะไร
บ้านอยู่ที่ไหน พ่อแม่ชื่ออะไร
และอีกหลายคำถามที่หมวยเชอกลั้นขำไม่ไหวยอมสารภาพออกมาว่าตัวเองล้อเล่น
ป๊าลงมาจากชั้นสองหลังจากหมวยเชอทำอาหารเช้าเสร็จพอดี
สำหรับหมวยเชอแค่นมแก้วเดียวก็เพียงพอ บางทีอาจต้องเพิ่มขนมปังทาแยมสักแผ่นแต่สำหรับสมาชิกคนอื่นๆมื้อเช้าเป็นสิ่งสำคัญ
นั่นทำให้หมวยเชอเลือกทำอาหารเช้าง่ายๆให้ทาน
จานกระเบื้องสองใบประกอบด้วยเบรคฟาสต์ง่ายๆอย่างไส้กรอกทอดกับเบค่อน
ขนมปังปิ้ง ผักสลัด จานใบหนึ่งเป็นไข่คนของชอบของป๊า ส่วนอีกใบหนึ่งเป็นไข่ดาวยางมะตูมเหยาะซอสมะเขือเทศนิดหน่อยของเฮียตูน
อาหารเช้าของหมวยพรีมเป็นข้าวต้มไข่หอมฉุยแบบเดียวกับที่ป๊าเคยทำ
หมวยพรีมกินข้าวต้มไข่ทุกเช้าจนชินเสียแล้ว
“ลงมาตรงเวลาเหมือนเคยนะคะป๊า” หมวยเชอส่งยิ้มหวานทักทายก่อนจะยกจานอาหารวางเคียงกับถ้วยกาแฟ
เดินออกไปหน้าบ้านครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับสำหรับชายวัยกลางคน
“หมวยเชอก็ทำอาหารเสร็จตรงเวลาพอดี” หมวยเชอยิ้มให้คำพูดของป๊าก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน
หญิงสาวหันไปหยิบจานของเฮียตูนและชามข้าวต้มของหมวยพรีมวางตามตำแหน่งที่นั่งบนโต๊ะอาหาร
ส่วนตัวเองก็หันหลังไปง่วนอยู่กับการทาแยมส้มลงบนแผ่นขนมปัง
เสียงวิ่งตึงตังลงบันไดมาหยุดที่ห้องครัวหลังจากหมวยเชอจัดการขนมปังของตัวเองเรียบร้อยแล้ว
หมวยพรีมในชุดนักศึกษาส่งยิ้มกว้างนำทัพเพียงเท่านั้นทั้งบ้านก็เต็มไปด้วยความสดใส
ร่างของหญิงสาวที่สูงกว่าหมวยเชอไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้แอบแวะหอมแก้มป๊าที่หัวโต๊ะก่อนจะเดินไปนั่งที่ของตัวเองแล้วตักข้าวต้มไข่กินอย่างอารมณ์ดี
“อรุณสวัสดิ์ค่ะป๊า
อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่เชอ”
“อรุณสวัสดิ์จ้ะหมวยพรีม
วันนี้จะออกไปพร้อมกันมั้ย”
“ไม่เป็นไรๆ” หมวยพรีมโบกมือ
กระดกโกโก้หนึ่งอึก “เดี๋ยวนั่งรถบัสไปเองดีกว่า
ตอนเช้าอากาศดีๆอยากนั่งดูทางเสียหน่อย”
ป๊าลดหนังสือพิมพ์ในมือลง
รอยยิ้มเอ็นดูปรากฏบนใบหน้าไม่ต่างจากเมื่อก่อน “ยังไงก็ออกจากบ้านไปก่อนป้ายรถเมล์คนจะเยอะนะหมวยพรีม”
“โอเคค่ะป๊า”
คนที่ลงมาคนสุดท้ายคือเฮียตูน
ร่างสูงที่สูงเสียจนหมวยเชอกับหมวยพรีมตอนแหงนหน้าเวลาคุยด้วยอยู่ในชุดทำงานที่ถูกรีดเรียบร้อย
ไหล่สะพายกระเป๋าหนัง มือข้างหนึ่งถือแฟ้มเอกสาร
ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ทุกคนที่โต๊ะอาหารก่อนจะนั่งประจำที่ของตัวเองบ้าง
เฮียตูนตอนนี้กลายเป็นสถาปนิกไปแล้ว
เพราะเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็กๆ การสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรมจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับเฮียตูน
ตอนนี้ชายหนุ่มทำงานอยู่ที่บริษัทชื่อดังและมีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัว
“อรุณสวัสดิ์นะเฮียตูน
ตั้งใจทำงานด้วยนะ”
“รู้แล้วน่า
หมวยพรีมด้วยตั้งใจเรียนนะ”
“งั้นหมวยเชอไปก่อนนะ
ใกล้ได้เวลาเปิดร้านแล้วล่ะ” หมวยเชอผละจากโต๊ะอาหาร นำแก้วมัคของตัวเองล้างและแขวนหูจับกับตะขอเหนือซิงค์
“โชคดีนะหมวยเชอ อย่าปิดร้านดึกล่ะ”
หมวยเชอตรงไปหอมแก้มป๊าซ้ายทีขวาทีก่อนรับคำเสียงใส
“รับทราบค่ะป๊า”
ตอนเช้าของคนบ้านนี้ก็เรียบง่ายแบบนี้นั่นแหละ
แม้จะเป็นเวลาบ่ายสามแต่ลูกค้าในร้านก็ยังคงจับจองพื้นที่โต๊ะจนเกือบเต็ม
หมวยเชอมองบรรดาลูกค้าที่แวะเวียนมา บ้างก็เป็นลูกค้าหน้าใหม่
บ้างก็เป็นลูกค้าขาประจำที่แค่เปิดประตูเข้าร้านมาหมวยเชอก็พูดชื่อเมนูที่สั่งประจำได้ทันทีตามประสาคนความจำดี
หญิงสาวยืนเช็ดแก้วอยู่หลังเคาท์เตอร์ระหว่างรอพายบลูเบอร์รี่อบเสร็จ
เสียงติ๊งจากเตาอบด้านหลังดังขึ้นเบาๆเรียกให้เจ้าของร้านสาววางแก้วแล้วหันไปคว้าถุงมือกันความร้อนมาสวมเพื่อนำขนมอบหอมกรุ่นออกจากเตา
เสียงกระดิ่งทองเหลืองที่ติดอยู่กับประตูร้านดังขึ้นหลังจากหมวยเชอย้ายพายหน้าตาน่าทานลงตู้
ใบหน้าหวานผละจากตู้กระจกเมื่อเห็นเป็นคนคุ้นเคยในชุดนักศึกษาริมฝีปากก็พลันยิ้มกว้าง
“อ้าว หมวยพรีม เลิกเรียนแล้วเหรอ
พี่ทำพายบลูเบอร์รี่ของโปรดเราเสร็จพอดีเพิ่งเอาลงตู้แหนะ จะกินเลยมั้ย”
ทุกวันหากหมวยพรีมมีเวลาว่างถ้าเลิกเรียนแล้วก็จะมานั่งเล่นและช่วยงานที่ร้านของหมวยเชอจนปิดร้าน
บางวันคนที่มาก็เป็นป๊าบ้างเฮียตูนบ้าง บางวันเป็นเฮียตูนกับหมวยพรีม
บางวันนึกครึ้มพากันมาทั้งสามคนเลยก็มี
หมวยพรีมยิ้มหวานก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้สตูลหน้าเคาท์เตอร์ที่ประจำของตัวเองเมื่อมาที่ร้านคาเฟ่ของหมวยเชอ ภายในร้านอบอวลไปด้วยกลิ่นเนยและกลิ่นเมล็ดกาแฟ กลิ่นหวานๆทำให้หมวยพรีมสูดหายใจเข้าลึกๆอย่างอดไม่ได้ “หมวยไม่ปฏิเสธขนมของพี่เชอหรอกน่า ขอสองชิ้นเลยนะคะ หิวมากกกกกก”
เจ้าของร้านหัวเราะเบาๆพลางตัดพายสองชิ้นออกเป็นชิ้นพอดีคำใส่จานใบเล็ก
วางตรงหน้าหมวยพรีมพร้อมด้วยแก้วโกโก้หอมกรุ่นส่งควันขาว ได้ยินเสียงหมวยพรีมพูดว่า
‘รู้ใจจริงๆ’ ก่อนจะตักพายเข้าปากเคี้ยวแก้มตุ่ย
“เรียนวันนี้เป็นไงบ้าง” หมวยเชอถามขณะมือกำลังวุ่นอยู่กับการชงชา
กลิ่นนมปนกับกลิ่นใบชาหอมละมุน
“เหนื่อยนิดหน่อยแหละ
ไม่ได้กินข้าวเพราะต้องคุยเรื่องละครเวที งานนี้บทแก้บานเหนื่อยชะมัด”
หมวยเชอระบายยิ้มอ่อนโยน
เธอส่งแก้วชาแบบกลับบ้านให้ลูกค้า
รับเงินทอนเงินเสร็จสรรพก็ผละจากหลังเคาท์เตอร์ออกมานั่งข้างๆหมวยพรีมที่นั่งกระดกโกโก้อึกๆ
มือเรียวขาวลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆเพื่อปลอบประโลมและให้กำลังใจ
“เดี๋ยวหมวยพรีมก็ผ่านมันไปได้นะ
ถึงวันจริงเมื่อไหร่พี่จะปิดร้านไปดูเลย โอเคมั้ย”
“แบบนั้นจะดีหรือไงเล่า”
“ดีสิ” หมวยเชออมยิ้ม เธอหัวเราะเบาๆ “เดี๋ยวทำขนมไปเลี้ยงทีมงานด้วยเลย
ตกลงนะ”
หมวยพรีมจับมือที่ลูบศีรษะของตนมาแนบแก้ม
“อะไรที่พี่เชอว่าดีพรีมก็ว่าดีแหละ”
เสียงของกระดิ่งดังขึ้นขัดเวลาของสองพี่น้อง
หันหน้าไปดูเมื่อเห็นว่าเป็นลูกค้าหมวยเชอก็ประจำที่หลังเคาท์เตอร์ของตัวเองทันใด
แล้วหลังจากนั้นหมวยเชอก็ต้องทำงานอยู่หลังเคาท์เตอร์จนถึงเวลาปิดร้าน
ท้องฟ้าด้านนอกกลายเป็นสีส้มหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกไปพร้อมกับแก้วกาแฟและถุงขนม
หมวยเชอเก็บของบางส่วนให้เรียบร้อย ขนมที่เหลือบางชิ้นเก็บใส่ตู้เย็น
บางส่วนเก็บใส่กล่องเตรียมแบ่งคนที่บ้านและละแวกใกล้เคียง
หมวยพรีมช่วยยกเก้าอี้ขึ้นโต๊ะและปัดกวาดอีกนิดหน่อย
เสียงกระดิ่งทองเหลืองกระทบกับประตูดังขึ้นเมื่อประตูร้านถูกเปิดออก
หมวยเชอที่กำลังวุ่นกับการรดน้ำดอกไม้ประดับร้านในกระถางเงยหน้าขึ้น
“ขอโทษนะคะตอนนี้ร้านปิดแล้วค่ะ…. อ้าว เฮียตูน” หมวยเชอเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาในร้านไม่ใช่ลูกค้าแต่เป็นพี่ชายตัวสูงที่สลัดคราบพนักงานคนเก่งด้วยการคลายเนคไทด์และเอาชายเสื้อออกจากกางเกง
“ทำไมมาเย็นแบบนี้ล่ะคะเฮีย หมวยไม่ได้เก็บลาเต้ไว้ให้ด้วยสิ”
เฮียตูนอมยิ้ม
ชายหนุ่มเดินมาลูบหัวหมวยเชอกับหมวยพรีมด้วยรอยยิ้มเอ็นดูเหมือนอย่างเคย “เปล่ามาอุดหนุน
แค่จะชวนไปซุปเปอร์” ปลายนิ้วโป้งชี้ออกนอกร้านที่มีรถจอดอยู่
กระจกฝั่งข้างคนขับถูกเปิดออกป๊าที่นั่งรออยู่ในรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำโบกมือให้สองสาวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“รีบปิดร้านแล้วไปได้แล้วหมวย”
“เอามาร์ชเมลโล่!” หมวยพรีมพูดอย่างอารมณ์ดีแล้ววิ่งนำหน้าไปทันที
เร่งให้หมวยเชอรีบจัดการปิดไฟปิดประตูร้านแล้วจัดการล็อคให้เรียบร้อยก่อนจะไปประจำที่นั่งด้านหลังริมหน้าต่าง
ใช้เวลาไม่นานในการขับรถมาถึงซุปเปอร์มาร์เก็ต
หมวยพรีมเดินตัวปลิวผ่านประตูอัตโนมัติเข้าไปคว้ารถเข็นออกมาเดินเข็นนำหน้า
เฮียตูนมองขำๆก่อนจะดึงรถเข็นออกมาอีกคัน
“ข้าวเย็นวันนี้กินอะไรดี”
“อะไรก็ได้ค่ะ เฮียจะทำเหรอคะ”
“เฮียตูน! พี่เชอ! เดินเร็วๆหน่อย!”
ป๊ายืนมองสามพี่น้องด้วยรอยยิ้มจาง
แม้จะพากันโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว
แต่ถ้าจะหาคำสักคำมานิยามเด็กทั้งสามคนนี้ก็ยังคงเป็นคำว่าตัวยุ่ง
แต่ถ้าขาดเจ้าตัวยุ่งสักคนไปก็คงจะเงียบเหงาเหมือนขาดอะไรไปน่าดู
เฮียตูน หมวยเชอ หมวยพรีมคือคนสำคัญของเขา
คนที่ตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็ตามจะปกป้องรอยยิ้มเอาไว้ให้ได้
ถามไถ่กันด้วยความห่วงใย
มอบความอบอุ่นให้แก่กัน ส่งรอยยิ้มให้ในวันที่ใครคนใดคนหนึ่งท้อแท้ อยู่ด้วยกัน
เคียงข้างกัน แบ่งปันความทุกข์และความสุขให้เป็นเหมือนกับเรื่องของตัวเอง
สิ่งที่เป็นอยู่กลายเป็นห่วงคล้องทั้งป๊าและทั้งสามคนเอาไว้ด้วยกัน
ห่วงที่เรียกว่าความผูกพันและความรักร้อยเรียงเรื่องราวที่พบให้ผ่านพ้นไปด้วยคำว่าครอบครัว
และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะมีกันแบบนี้ตลอดไป
:)
-FIN-
ความคิดเห็น