คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 日差し 明美 | Hisashi Akemi
明美の日記
Hizashi
Akemi’s mini diary
“Smile,
it is the key that fits the lock of everybody's heart.”
-เพราะรอยยิ้มคือกุญแจสำคัญ
ที่จะสามารถเปิดใจของทุกๆคนได้-
“หลังจากผ่านวันเกิดมาก็ดูเหมือนฉันจะโตขึ้นอีกนิดนะ”
ในขณะที่หลายคนกังวลกับอายุที่จะมากขึ้นในวันคล้ายวันเกิด
แต่สำหรับเธอช่วงเวลาในวันเกิดคงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในรอบปี
เธอชอบที่ได้มองดูเปลวเทียนบนเค้ก
หลับตาอธิษฐานแล้วบรรจงเป่าลมด้วยความตั้งใจ
ช่วงเวลาที่คนไม่เอาไหนจะได้เป็นคนสำคัญ
เพราะแบบนั้นเธอถึงชอบวันเกิด
Her Birthday
4.07.XXXX
“เพราะฉันชอบยิ้ม ดังนั้นฉันจะยิ้มเยอะๆเลยนะ
จะยิ้มเผื่อในส่วนของทุกๆคนด้วยล่ะ”
บางครั้งเรื่องราวหลายๆอย่างในชีวิตเราก็ไม่สามารถข้ามผ่านมันไปได้
ความยุ่งยากมากมายเหมือนกับยางลบที่ขีดทับลงบนใบหน้า
กลบรอยยิ้มให้หายไปหมด
แต่วางใจเถอะ! เพราะเธอเองก็อยู่ตรงนี้แล้ว
ทำใจให้สบายแล้วปล่อยวางเถอะนะ เธอจะเป็นรอยยิ้มให้กับทุกคนเอง
: )
Her
Smile
5.05.XXXX
“ถึงฉันจะเป็นแค่เด็กที่ไม่ได้ความก็ตาม
แต่ฉันก็จะพยายามใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ!”
เพราะความจริงเธอมันก็เป็นแค่จอมห่วยที่ไม่เอาไหน
หัวช้า ซุ่มซ่าม ซื้อบื้อ และเฟอะฟะ คำพวกนี้เธอได้ยินเสียจนชาชิน
มันเจ็บนะ แต่ไม่มากหรอก เพราะที่พูดมามันก็คือความจริงนั่นล่ะ
แต่อย่างไรก็ตาม... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ!
Her Life
8.09.XXXX
- ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันก็จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ
I remember tears streaming down your face Just close your eyes
ฉันจำน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มของเธอได้ แค่เพียงหลับตาลงเท่านั้นที่รัก
When
I said, I’ll never let you go
ตอนที่ฉันบอกว่า ฉันจะไม่มีวันทิ้งเธอไป ตอนนี้ดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าไป
When
all those shadows almost killed your light
และเมื่อเงามืดนั้นเกือบทำลายแสงสว่างของเธอจนหมดสิ้น เธอจะต้องปลอดภัย
I
remember you said, Don’t leave me here alone
ฉันยังจำได้ที่เธอบอกฉันว่า ‘อย่าจากฉันไปเลย’
But
all that’s dead and gone and passed tonight
แต่ทุกๆอย่างที่ตายจากไปแล้วมันจะผ่านพ้นไปในคืนนี้ทั้งหมด แสงสว่างยามรุ่งอรุณจะสาดส่องลงมา
APPLICATION
“เอ๊ะ อะไรนะคะ!?
ไม่เอาดีกว่าค่ะ...หนูเอไม่อยากขืนใจใคร”
.
.
.
“เอ๋... ? อะไรนะคะ เขาไม่ใช้คำว่าขืนใจกันเหรอคะ”
“หนูเอรู้ค่ะว่าหนูเอไม่เก่ง
หนูเอมันไม่ได้เรื่อง แต่นี่หนูเอก็พยายามเต็มที่แล้วนะคะ!!”
“ยากจัง....
ต้มไข่นี่ต้องใส่น้ำด้วยเหรอ? ไม่เห็นรู้มาก่อนเลย ทำไงดีอ่า
T^T”
คู่ : ซาคามากิ เรย์จิ
นามสกุล - ชื่อ : ฮิซาชิ อาเคมิ || Hizashi
Akemi ||日差し 明美
*Ps. Meaning of her name
-
Hizashi } Sunlight
-
Akemi } So shiny and beautiful
- Hizashi Akemi } Shiny and
beautiful sunlight.
-แสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างและสวยงาม-
ชื่อเล่น : อาเคมิ || Akemi / อาจัง || Ar – Chang
*Ps1. ชื่ออาจังจะเป็นชื่อที่เรียกกันในกลุ่มเพื่อนๆมากกว่าค่ะ
*Ps2. นอกเหนือจากชื่อเล่นทั้งสองนี้แล้วอาเคมิยังมักจะแทนตัวว่า
‘หนูเอ’ อันเป็นผลมาจากชื่อนี้เป็นชื่อที่ทางบ้านเรียกกันนั่นเอง
อายุ : 16 yrs.
สัญชาติ : ญี่ปุ่น
อาชีพ : นักเรียนชั้นมัธยมปลาย ปีที่หนึ่ง
ลักษณะรูปร่างหน้าตา :
‘ฮิซาชิ อาเคมิ’
คือเด็กสาวที่เรียกได้ว่าธรรมดา จืดจาง และไม่มีความโดดเด่นอย่างแท้จริง
หน้าตาของเด็กสาวอายุสิบหกปีผู้นี้ไม่ได้จัดอยู่ในระดับสะสวย
แล้วก็ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทที่คนอื่นเรียกกันว่าน่ารัก อาเคมิจัดอยู่ในประเภทผู้มีความงามแบบพื้นๆชนิดที่พอจะไปวัดไปวาได้
ใบหน้ารูปไข่ที่พอจะสวยได้รูปอยู่บ้างเป็นผลพวงมาจากความงดงามบนใบหน้าของผู้เป็นมารดา
หน้าผากกลมมนที่ออกจะมีพื้นที่ในส่วนนั้นมากเกินไปเสียหน่อยนั้นถูกปกปิดด้วยหน้าม้าสไลด์เพื่อกลบส่วนด้อยไม่ให้ถูกล้อ
กรอบคิ้วเส้นบางเรียงตัวกันออกจะเป็นแนวตรงห่างไกลจากความโค้งสวยอย่างที่เขาเรียกกันว่า
‘โค้งสวยดุจคันศร’
สิ่งที่พอจะดึงความโดดเด่นบนใบหน้าของเธอออกมาได้บ้างเห็นทีจะเป็นดวงตาสองชั้นกลมแป๋วคู่โตสีอมส้มคล้ายลูกพีช
และแม้ดวงตากลมหวานจะถูกบดบังด้วยแว่นกรอบกลมสีช็อคโกแลต
ทว่าแววความแจ่มใสก็ยังแสดงแจ่มชัดอยู่ในแววตาเข้ากับแพขนตาที่งอนเป็นระเบียบนั้นได้อย่างน่าประหลาด
จมูกเล็กน่ารักที่แม้ไม่ได้โด่งคมเป็นสันสวยแต่ก็ยังคงเค้าความเป็นหยดน้ำ เมื่อนำมารวมกับปลายจมูกที่เชิดขึ้นน้อยๆก็ทำให้อาเคมิพอที่จะน่าเอ็นดูในสายตาผู้สูงวัยได้ไม่ยาก
ริมฝีปากของอาเคมิเป็นสีธรรมชาติที่ค่อนไปทางซีดเพราะนอกจากลิปบาล์มยี่ห้อหนึ่งแล้วเจ้าตัวก็ไม่ได้บำรุงอะไรมากเป็นพิเศษ
เรียวปากเล็กบางหยักขึ้นน้อยๆดูคล้ายแมวก็พอที่จะทำให้เธอดูน่าเอ็นดูขึ้นมาบ้าง
ส่วนปรางแก้มนิ่มติดยุ้ยทั้งสองข้างนั้นซับสีเลือดฝาดอย่างคนสุขภาพดี
ใบหน้ารูปไข่ของอาเคมินั้นถูกล้อมกรอบให้ดูเล็กลงด้วยทรงผมตัดสั้นเป็นระเบียบเข้ากับใบหน้าจนมองเห็นลำคอเรียวเล็กชัดเจน
(และอีกประการหนึ่งก็เพื่อปิดหูกาง)
เส้นผมนุ่มนิ่มเหมือนขนแมวอันได้จากการสระผมด้วยแชมพูเด็กเป็นสีชมพูแก่ค่อนไปทางแดงคล้ายกับสีของดอกบ๊วยเป็นเงางาม
(และบางทีก็มันนิดๆเนื่องด้วยขี้เกียจสระผม)
อาเคมิมักจะปล่อยผมของตัวเองไว้อย่างนั้นไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากหวีให้เข้าที่เข้าทางในตอนเช้า
อาเคมิไม่ใช่ผู้หญิงผิวขาวราวน้ำนม กลับกันเธอมีผิวขาวเหลืองดูสะอาดตา
และแม้จะมีร่องรอยของบาดแผลหรือพลาสเตอร์อันเกิดจากอุปนิสัยของเจ้าตัวปะปนอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้มีมากจนกลบความนวลเนียนตามธรรมชาติให้ดูน่าเกลียด
รูปร่างของอาเคมิจัดว่าเข้าขั้นผอม ด้วยส่วนสูง 167 เซนติเมตร แต่กลับมีน้ำหนัก 52 กิโลกรัมที่เรียกได้ว่าแทบจะต่ำกว่าเกณฑ์ อาเคมิไม่ได้มีน้ำมีนวลหรือรูปร่างชวนมองเหมือนอย่างคนอื่นๆ ความจืดชืดนั้นคงไว้แม้กระทั่งรูปร่าง แขนและขายาวเรียวสมตัวติดจะเก้งก้างหน่อยๆด้วยลำแขนและข้อมือเล็กบางราวกับกิ่งไม้ เด็กสาวมีเอวคอดเล็กน้อยรับกับสะโพกที่ผายออกหน่อยๆเหมือนคนโตไม่เต็มที่ หน้าท้องของเธอแบนราบจนชวนให้สงสัยว่าเครื่องในอยู่ส่วนใดของร่างกาย ฟังดูอาจจะน่าอิจฉาแต่หน้าอกของเธอก็ราบเรียบพอๆกับหน้าท้องนั่นแหละ
*สาเหตุที่อาเคมิใช้แชมพูเด็กในการสระผมนั้นเนื่องด้วยอาเคมิแพ้สารเคมีบางตัวที่อยู่ในแชมพูสระผมที่คนปกติใช้กันเลยต้องกลับมาใช้แชมพูเด็กเพื่อความปลอดภัย
*อาเคมิไม่ใช่คนรักสวยรักงาม
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ดูแลตัวเองเลย อาเคมิมักจะทาแป้งฝุ่นก่อนออกจากบ้าน
ส่วนปากก็ทาลิปบาล์ม และมักจะทาโลชั่นเพื่อไม่ให้ผิวแห้งหรือแตกอยู่เสมอ
(เป็นโลชั่นธรรมดาๆ ไม่มีกลิ่นอะไรเป็นพิเศษ)
กลิ่นตัวของอาเคมิจึงค่อนจะไปทางกลิ่นหอมแบบโล่งๆปนนมๆของแป้งเด็ก
บางทีก็เป็นกลิ่นหอมธรรมชาติจากหญ้าอิกุสะที่ใช้ทำเสื่อทาทามิ
นิสัย :
หากจะกล่าวถึงอุปนิสัยของหนูเอแล้วเห็นทีผู้ที่ได้ฟังหรือผู้ที่กำลังอ่านข้อความเหล่านี้อยู่จะต้องปวดหัวเป็นแน่
เพราะหนูเอนั้นนอกจากจะเป็นเพียงปุถุชนหญิงจืดจางเข้าขั้นคนหนึ่งแล้ว
เธอยังอยู่ห่างไกลจากการเป็นผู้หญิงในฝันของใครหลายๆคนอีกด้วย
ในชั้นแรกนั้นจะกล่าวถึงนิสัยส่วนที่เด่นที่สุดของหนูเอ
นั่นคือความซุ่มซ่าม เฟอะฟะ และพร้อมที่จะเจ็บตัวตลอดเวลาไม่ว่าจะพยายามระวังตัวแค่ไหนแล้วก็ตาม
อุปนิสัยนี้คือส่วนที่โดดเด่นและไม่ว่าจะแก้อย่างไรก็แก้ไม่หายเสียทีจนกลายเป็นว่าเธอสนิทและเคยชินกับการปฐมพยาบาลไปเสียแล้ว
ความซุ่มซ่ามของเด็กผู้หญิงที่ชื่อฮิซาชิ
อาเคมิมาแรงแซงทางโค้งชนิดว่าต่อให้กำลังเดินอยู่เฉยๆก็สามารถสะดุดฝุ่นลงไปล้มคว่ำไม่เป็นท่าอยู่กับพื้นได้
ยิ่งขาโต๊ะ ขาเก้าอี้หรือขาเตียงแล้วเรียกได้ว่ามันคือไม้เบื่อไม้เมากับปลายเท้าของหนูเอเลยก็ว่าได้
เดินเฉียดทีไรเป็นต้องเตะให้ลงไปนั่งกุมเท้าร้องโอดโอยอยู่กับพื้นจนได้สิน่า
หากถามว่าอายไหมหนูเอก็ตอบได้เต็มปากว่า ‘อายมาก’ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการรีบลุกขึ้น
ยิ้มแหยๆก่อนจะโค้งปะหลกๆให้คนรอบข้างแล้วเดินจากไป
และเพราะความซุ่มซ่ามนั่นเองที่เป็นเหตุให้กับความผิดพลาดที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยในชีวิตหนูเอ
หนูเอเป็นคนที่มักจะกะระยะ กะปริมาณหรือทำอะไรสักอย่างพลาดอยู่บ่อยๆเพียงเพราะความซุ่มซ่ามและขี้หลงขี้ลืมของตัวเอง
เป็นต้นว่ามักจะกะปริมาณส่วนผสมผิดจนอาหารออกมากินไม่ได้ กะปริมาณผงซักฟอกผิดจนฟองล้นออกมาเต็มเครื่อง
หรือบางครั้งก็กะระยะผิดวางของทำมุมไม่พอดีจนมันร่วงโครมลงมา
ไม่ก็เดินเฉี่ยวของคนนั้นคนนี้หล่นจากโต๊ะเพราะไม่ระวังเป็นเหตุให้ถูกดุอยู่บ่อยๆ
ถามว่าเสียใจไหมหนูเอก็เสียใจนะแต่ก็จะยิ้มแล้วพยายามที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก
แต่ทว่าทั้งๆที่พยายามจะปรับปรุงตัวแล้วแต่อะไรๆก็ไม่เป็นใจให้มันดีขึ้นเลยนี่น่ะสิที่เป็นปัญหา
เมื่อได้กล่าวถึงความขี้หลงขี้ลืมของหนูเอแล้วก็ขอนำมันมาขยายความต่ออีกสักนิด...
หนูเอนั้นเป็นเด็กที่ความจำจัดอยู่ในระดับลืมง่ายหายไปเร็วยิ่งกว่าสายลมจนใช้คำว่า
‘ความจำสั้นเป็นปลาทอง’ ก็อาจจะฟังดูน้อยไป
ความจำย่ำแย่จนน่าปวดหัวนั้นชวนให้รู้สึกว่าสมองของเธอแรมต่ำหรือฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวากันแน่
ความจำของหนูเอนั้นค่อนข้างเป็นปัญหาเพราะป้อนอะไรเข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็ลืมเสียแล้ว
อย่างชื่อคนถ้าหากว่าไม่ใช่คนสนิทจริงๆหรือเจอกันบ่อยๆเธอก็สามารถลืมชื่อของเขาได้แม้คนๆนั้นจะเพิ่งบอกชื่อไปไม่ถึงนาทีก็ตาม
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หนูเอจำเป็นจะต้องมีสมุดเล่มเล็กๆหรือกระดาษโพสต์อิทพร้อมด้วยดินสอหรือปากกาติดตัวเพื่อเอาไว้คอยจดเตือนความจำ
(แต่เชื่อเถอะ ต่อให้จดไปแล้วหนูเอก็ยังลืมมันอยู่ดี)
นอกเหนือจากความซุ่มซ่ามของหนูเอแล้ว
หนูเอยังเป็นเด็กสาวที่ขึ้นชื่อในเรื่องของอาการเด๋อและไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับชาวบ้านชาวช่องเขาเลยแม้แต่น้อย
อาการของหนูเอนั้นอยู่ในระดับที่ยิ่งกว่าหลังเขาไปมากโข และถ้าหากว่าสงสัยเจ้าตัวก็จะเฝ้าแต่คอยถามด้วยตาใสๆราวกับเจ้าหนูจำไมจนกว่าจะได้คำตอบนั่นล่ะ
เธอไม่เคยรู้ว่าเดี๋ยวนี้คนเขานิยมอะไร ดารานักร้องก็ไม่ค่อยจะรู้จัก
นอกจากนั้นเรื่องทั่วไปที่คนอื่นเขารู้กันโดยพื้นฐานยังไม่ถูกจัดอยู่ในสารบบความคิดของเจ้าตัวอีกด้วย!! หากจะให้ยกตัวอย่าง
หนึ่งคือหนูเอไม่รู้ว่าต้มไข่แล้วต้องใส่น้ำ (อาเคมิไม่ค่อยได้เข้าครัวหรอก
เธอถูกคนที่บ้านจัดให้เป็นบุคคลต้องห้าม ห้ามเฉียดตัวเข้าใกล้ครัวเด็ดขาด!!) สอง หนูเอไม่รู้ว่าก่อนจะซักผ้ามันต้องแยกผ้าสีและผ้าขาวออกจากกัน สาม
หนูเอหุงข้าวไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าต้องใส่น้ำเท่าไหร่
(เคยลองทำครั้งหนึ่งแล้วแต่ข้าวสวยก็ได้กลายสภาพเป็นข้าวต้มที่ไหม้ติดก้นหม้อไปอย่างสวยงาม)
และอีกมากมายหลายสิ่งที่หนูเอพร้อมจะทำให้รอบตัววินาศสันตะโรเพราะความเด๋อของตัวเอง
ซึ่งนอกจากความเด๋อแล้วสิ่งหนึ่งที่หนูเอมีก็คือความซื่อบื้อ
หนูเอเป็นเด็กที่ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นคนซื่อบื้อมากหรือซื่อบื้อมากมากดี
เพราะนอกจากความเด๋อไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวแล้วความซื่อบื้อที่หนูเอมีก็ทำให้หนูเอไม่ประสีประสาเช่นกัน
หนูเอไม่ใช่พวกที่จะเข้าใจอะไรได้จากการฟังเพียงครั้งเดียว
ดังนั้นพวกมุขตลกนั้นลืมไปได้เลยที่จะทำให้หนูเอขำ
เพราะนอกจากเธอจะไม่ขำแล้วยังต้องเสียเวลามานั่งอธิบายมุขให้ฟังกันแบบคำต่อคำจนยาวเหยียดอีกต่างหาก
ยิ่งเป็นพวกมุขเสี่ยวหรืออะไรที่มันสองแง่สองง่ามนี่ไม่ใช่สิ่งที่หนูเอรู้จักหรือถนัดเลยแม้แต่นิด
(คำผวนยิ่งแล้วใหญ่ พูดออกมาแล้วหนูเองงเป็นไก่ตาแตกแน่นอน)
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงต้องเป็นหน้าที่ของผู้อ่านเองว่าจะตัดสินให้หนูเอเป็นคนซื่อมากๆหรือบื้อแบบสุดๆกันแน่
แต่ในความซื่อนั้นก็หมายความรวมคำว่า ‘ซื่อตรง’ เข้าไปด้วย
หนูเอไม่ใช่คนที่จะแสดงละครหรือพูดโกหกใครเก่งนัก เรียกว่าเธอทำมันไม่เป็นเลยดีกว่า
หนูเอเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อคำพูดและซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองแบบสุดๆ
ดีใจก็คือดีใจ เสียใจก็คือเสียใจ ชอบคือชอบ และเกลียดก็คือเกลียด
จึงกลายเป็นว่าเธอกลายเป็นคนที่มักจะถูกชาวบ้านเขาจับพิรุธหรือมองความรู้สึกออกได้ง่ายอยู่บ่อยครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้นคือหนูเอไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกเท่าไหร่นัก อารมณ์ประมาณว่าใช้ชีวิตอยู่ในกรอบ
คนในครอบครัวว่าอย่างไรก็ว่าตามกันไม่เคยแหกกฎนั่นทำให้หนูเอไม่เคยคิดที่จะออกนอกกรอบหรือทำสิ่งใหม่ๆที่ตัวเองไม่เคยทำ
คำว่า ‘ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบ’ ของหนูเอเห็นทีจะต้องเอามาขยายความต่อกันอีกสักนิด
เนื่องด้วยทางครอบครัวของหนูเอนั้นมีแต่ผู้หญิงทำให้คำสอนที่มักจะได้รับและหนูเอก็เชื่อฟังเป็นอย่างดีมักจะค่อนไปทางให้รักนวลสงวนตัว
เรียบร้อย (โอเค... หนูเอยอมรับว่าข้อนี้อาจจะทำไม่ได้)
และอะไรก็ตามให้สมกับความเป็นผู้หญิง นั่นจึงเป็นเหตุผลชั้นดีประการหนึ่งที่ทำให้หนูเอไม่ค่อยประสีประสากับเพศตรงข้ามเท่าไหร่นัก
ถ้าหากว่าเป็นการคุยกันธรรมดาๆก็ยังพอจะไหวอยู่หรอกแต่ถ้าขยับมาในเรื่องของความใกล้ชิดและแตะเนื้อต้องตัวแล้วหนูเอคงไม่สามารถข้ามขั้นเหล่านั้นไปได้อย่างแน่นอน
ขนาดเป็นเพศเดียวกันการโอบไหล่หรือจับมือยังนับว่าน้อยครั้งนักที่หนูเอจะได้สัมผัสดังนั้นอย่าให้พูดถึงเพศตรงข้ามเลยเพราะหากโดนกระทำแบบนั้นใส่หนูเอคงเขินจนแก้มแดงตัวแดงแล้วควบคุมสติตัวเองไม่อยู่อย่างแน่นอน
นอกเหนือจากนั้นแล้วหนูเอยังไม่ค่อยประสากับสิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารักสักเท่าไหร่เสียด้วย
หากจะเปรียบเทียบหนูเอเป็นสัตว์โลกน่ารักสักตัวก็คงไม่พ้นที่จะถูกเปรียบให้เป็นกระต่าย
หนูเอไม่ได้เหมือนกระต่ายในแง่ของความน่ารักนุ่มนิ่มแต่เหมือนในแง่อุปนิสัยที่ขี้ตกใจเหมือนกับกระต่ายตัวน้อยๆไม่มีผิด
หนูเอมักจะแสดงอาการตกใจที่ดูล้นๆจนโอเวอร์เมื่อถูกทักแบบกะทันหันหรือแตะเนื้อต้องตัวโดยไม่บอกไม่กล่าว
รวมไปถึงการไปอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังๆก็ทำให้หนูตกใจได้เช่นกัน
ดังนั้นหากเห็นเด็กสาวอายุสิบหกปีผู้นี้สะดุ้งจนสุดตัวหรือร้องวี้ดว้ายออกมาก็ขอให้เข้าใจโดยทั่วกันว่านั่นไม่ใช่การแสดงแต่มันเกิดขึ้นเพราะหนูเอตกใจจริงๆ
(....)
และอย่างที่บอกว่าหนูเอไม่ใช่คนที่สามารถเข้าใจอะไรๆได้จากการฟังเพียงแค่ครั้งเดียว
นิสัยส่วนนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวเป็นพวกหัวช้าและหัวทึบขั้นรุนแรง
พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือหนูเอเป็นคนเข้าใจอะไรยากไม่ว่าจะพูดอะไรหรือสอนอะไรหนูเอก็ไม่สามารถทำตามหรือปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นอย่างที่แนะนำได้
แม้ว่าจะพยายามปรับปรุงตัวตามที่ถูกดุสักกี่ร้อยกี่พันหนแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
นั่นจึงเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้หนูเอกลายเป็นจอมห่วยในสายตาของคนรอบข้าง
ซึ่งความห่วยที่หนูเอมีก็เรียกได้ว่าห่วยจริงไม่ติงนัง ห่วยขั้นเทพ
ห่วยกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!! การเรียนของหนูเอนั้นเข้าขั้นตกต่ำ
แค่ประคองตัวเองให้มาอยู่ชั้นมัธยมสี่ได้โดยไม่ซ้ำชั้นนี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว
(หนูเอเป็นเด็กหน้าห้องนะ แต่ก็นั่นแหละนางหัวทึบ.....) ยิ่งเป็นเรื่องกีฬาหนูเอก็ยิ่งตกต่ำจนกราฟดิ่งเหว
หนูเอเล่นกีฬาไม่เป็น ว่ายน้ำไม่ได้
อืดอาดยืดยาดและไม่สามารถใช้แรงได้มากนัก
แค่วิ่งรอบสนามหนึ่งรอบหนูเอก็หอบจนน่าสงสารเสียแล้ว
ไหนจะเรื่องศิลปะที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้นเลยนั่นอีก
ฝีมือการวาดรูปของหนูเอนั้นห่วยในระดับที่สามารถวาดแมวแล้วคนมองว่ามันเป็นเป็ดได้เลยด้วยซ้ำ
(....) ยิ่งเป็นเรื่องดนตรียิ่งแล้วใหญ่เพราะหนูเล่นเครื่องดนตรีไม่เป็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียวแถมยังร้องเพลงเพี้ยนขั้นเทพ
ซึ่งเพี้ยนที่ว่านั้นน่าเสียดายที่ไม่ได้เพี้ยนแค่เสียงเพราะเจ้าตัวยังร้องไม่ตรงจังหวะทำนองแถมบางครั้งยังเอาเนื้อเพลงมาร้องปนกันมั่วแบบ
‘ร้อยเนื้อร้องทำนองเดียว’ อีกต่างหาก
นอกเหนือไปจากเรื่องพวกนี้แล้วการบ้านงานเรือนหนูเอก็ห่วยอย่างเท่าเทียมไม่คิดจะแบ่งแยกแต่อย่างใด
อย่าว่าแต่จะให้หนูเอทำอาหารเลยแค่ทำอาหารสำเร็จรูปออกมาให้กินได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว
ยิ่งเป็นงานบ้านแล้วอย่าให้หนูเอทำอะไรที่มากกว่าการกวาดพื้นจะดีกว่า (เคยลองถูพื้นแล้วหนูเอยังสะดุดไม้ถูอยู่เลย)
ดังนั้นหากจะให้สรุปแล้วหนูเอก็คงจะเป็นกล่องสักกล่องที่บรรจุความห่วยเอาไว้แบบเต็มเปี่ยมจนแทบล้นนั่นแหละ
นอกเหนือจากความห่วยขั้นเทพที่ใครได้เห็นก็เป็นต้องส่ายหน้าแล้วหนูเอยังได้ชื่อว่าเป็นคนดวงซวยแบบสุดๆเสียด้วย
น่าสงสารยิ่งนักที่แม้แต่โชคก็ยังดูเหมือนจะไม่เข้าข้างเธอ
นั่นทำให้นอกจากความซุ่มซ่ามอันเป็นอุปนิสัยหลักแล้วหนูเอยังต้อมาเจอเรื่องวุ่นวายอันเกิดจากดวงที่มีอยู่น้อยนิดของตัวเองเป็นเหตุอีกต่างหาก
หากจะให้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่น่าสงสารก็คงจะเป็นต้นว่า หนึ่ง
บ่อยครั้งที่หนูเอมักจะเข้าคิวรออะไรสักอย่างแล้วผลปรากฏออกมาว่าของชิ้นนั้นที่รอคอยหมดไปก่อนหน้าคิวของเธอหนึ่งคนพอดี!!
สอง
หนูเอมักจะชวดของบางชิ้นที่อยากได้มากๆแต่ดันเหลืออยู่ชิ้นสุดท้ายไปด้วยเหตุผลที่ว่าเธอไม่เคยหามันเจอเลยสักทีแม้ว่าของชิ้นนั้นมันจะอยู่ในระดับที่สายตาของเธอน่าจะกวาดไปเห็นก็ตาม
นิสัยอีกประการหนึ่งที่ทำให้หลายคนปวดหัวกับหนูเอก็คืออาการพูดไม่รู้เรื่องของหนูเอเอง
ความสามารถในการสื่อสารของหนูเอนั้นมีน้อยกว่าที่ควรจะมีอยู่พอสมควรแต่ก็ใช่ว่าเธอจะคุยกับคนอื่นเขาไม่ได้
เพียงแต่ในบางครั้งก็มีบ้างที่หนูเอจะพูดไม่รู้เรื่อง ใช้คำผิดความหมาย
เรียงรูปประโยคผิดจนกลายเป็นความกำกวม
แถมในบางครั้งเจ้าตัวยังพูดสลับคำเวลาตื่นเต้นด้วย
แต่อาการพูดไม่รู้เรื่องกลับไม่ได้ทำให้มนุษยสัมพันธ์และความแจ่มใสของหนูเอลดลงแต่อย่างใด
หนูเอชื่นชอบที่จะได้พูดคุยกับคนอื่นๆ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หนูเอพยายามจะเข้าหาและผูกมิตรกับคนอื่นแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ความและพูดไม่รู้เรื่องก็ตาม
ยิ่งเป็นคนที่หนูเอถูกชะตาด้วยแล้วก็ดูเหมือนจะสนิทและพูดคุยกันได้ง่ายขึ้น
และแม้หนูเอจะมีมนุษยสัมพันธ์ดีแต่หนูเอก็ยังต้องการการยอมรับอยู่หน่อยๆ
ถึงจะไม่ได้ความแค่ไหนแต่หนูเอก็ยังเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาๆคนหนึ่งที่ยังต้องการยอมรับ
คำชื่นชมเล็กๆน้อยๆ หรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่เสียงก่นด่าหรือดูถูกเหยียดหยาม
หนูเอจึงมักจะแสดงอาการดีใจแบบสุดๆทุกครั้งเวลาที่ทำอะไรสักอย่างแล้วผลออกมาคือเธอประสบความสำเร็จ
แต่แม้หนูเอจะขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กสาวที่ไม่ได้ความ
แต่เจ้าตัวก็มีจุดหนึ่งที่น่าชื่นชมคือมีหัวใจที่เข้มแข็งและไม่คิดจะย่อท้อต่อปัญหาที่เข้ามาในชีวิต
แม้จะแอบบ่นไปบ้างว่ายากอย่างนั้นยากอย่างนี้แต่หนูเอก็ยังมีความเพียรที่จะพยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อที่ว่าวันหนึ่งตัวเธอเองจะสามารถประสบความสำเร็จและลบคำว่าจอมห่วยออกไปได้บ้าง
ไม่ว่าสิ่งที่เข้ามาในชีวิตจะเป็นเรื่องเลวร้ายแค่ไหนแต่เด็กสาวผู้มีจิตใจเข้มแข็งเป็นทุนอยู่แล้วอย่างหนูเอก็จะยิ้มรับแล้วพยายามข้ามผ่านมันไปให้ได้
อาจจะมีบ้างที่ล้มลุกคลุกคลานหรือต้องเสียน้ำตาให้กับความทดท้อใจ
แต่ก็นั่นแหละ.... สุดท้ายเธอก็จะลุกขึ้นมาแล้วสู้ต่อไปด้วยรอยยิ้มอยู่ดี
โลกที่หนูเอมองอย่างไม่ประสีประสานั้นช่างสดใสนั่นจึงทำให้เจ้าตัวกลายเป็นพวกโลกสวยและมองโลกในแง่บวกแบบสุดๆไปโดยปริยาย
ความไร้เดียงสา ความมุมานะ
และความร่าเริงแจ่มใสอยู่เป็นทุนทำให้หนูเอกลายเป็นที่นิยมชมชอบของผู้สูงวัยไปเสียอย่างนั้น
ความสดใสและกิริยาช่างฉอเลาะทั้งยังขี้อ้อนเมื่ออยู่กับผู้ใหญ่อันเป็นนิสัยที่ติดมาจากที่บ้านเรียกความเอ็นดูจากคนเฒ่าคนแก่ที่ต้องการความเอาใจใส่จากลูกหลานได้เป็นอย่างดี
นั่นทำให้บ่อยครั้งหนูเอก็ติดนิสัยช่างบ่นอย่างคนแก่มาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ลามไปถึงคำพูดติดปากเวลาแปลกใจที่มักจะขึ้นด้วยคำว่า ‘คนสมัยนี้’ หรือ ‘หนุ่มสาวสมัยนี้’ ออกมาอยู่เป็นประจำ
นอกจากหัวใจที่เข้มแข็งของหนูเอแล้วภายใต้บุคลิกจืดชืดที่คนรอบข้างมองเห็นก็ยังมีจิตใจที่งดงามซ่อนอยู่ด้วย
หนูเอไม่ใช่คนทะเยอทะยานที่ต้องการจะแก่งแย่งชิงดีกับใคร
เธอเพียงแต่ต้องการทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดก็เท่านั้น
เรียกได้ว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่ดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นฐานของการเป็นเด็กดีอย่างแท้จริง
แถมยังเป็นคนขี้เกรงใจจนยอมถูกคนอื่นกดอยู่เนืองๆแล้วยังขี้กลัวแบบสุดๆอีกต่างหาก
มักจะเป็นฝ่ายยอมหลีกทางให้คนอื่นอยู่เสมอเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะและบางครั้งก็มักจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอโทษแม้ว่าตัวเองจะไม่ผิด
แต่ก็พูดขอโทษไปเพราะส่วนหนึ่งก็กลัวและอีกส่วนหนึ่งก็เพื่อความสบายใจของตัวเอง
หนูเอเป็นเด็กผู้หญิงที่มีความอ่อนหวานและอ่อนโยนติดตัวอยู่มาก
เธอมากด้วยความเมตตา รักที่จะแบ่งปันสิ่งที่มีอย่างไม่เกี่ยงงอนและติดจะเป็นคนขี้สงสารคนหนึ่งเสียด้วยซ้ำไป
หนูเอจัดว่าเป็นคนอ่อนไหวประมาณหนึ่ง
เจ้าตัวสามารถอินไปกับเรื่องของคนอื่นจนพาลน้ำตาไหลเอาได้ง่ายๆ
(ยิ่งเป็นการ์ตูนบางเรื่องก็ถึงกับร้องไห้ขี้มูกโป่งลำบากคุณยายต้องคอยปลอบเลยนะเออ)
หนูเอไม่ใช่คนที่จะนิ่งดูดายเวลาพบว่าคนรอบตัวหรือเหตุการณ์ที่ตัวเองกำลังพบเจออยู่มีคนเดือดร้อนอยู่ด้วย
ถ้ามีใครต้องการความช่วยเหลือหนูเอก็จะพยายามช่วยในแบบที่หนูเอพอจะทำได้โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
(แม้มันจะพลาดไปบ้างเพราะความซุ่มซ่ามก็ตามที) สิ่งที่เธอเป็นอยู่จึงอาจจะเป็นเหตุผลให้หนูเอเป็นที่รักของผู้สูงวัยและสัตว์น้อยใหญ่รวมไปถึงเด็กตัวเล็กๆด้วย
และแม้เจ้าตัวจะถูกบ่นหรือดูถูกแต่เธอไม่คิดที่จะถือโทษโกรธใครง่ายๆ
เรียกว่าไม่เคยโกรธใครเลยจะดีกว่า
จริงอยู่ที่หนูเอเป็นคนซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง การโดนกระทำร้ายๆใส่ก็ต้องทำให้เสียใจบ้างเป็นธรรมดาแต่หนูเอก็ไม่คิดที่จะเก็บสิ่งเหล่ามาเป็นอารมณ์ให้โกรธแค้น
กลับกันแม้จะทำให้หน่วงๆในใจจนต้องร้องไห้ออกมาอยู่บ้างแต่หนูเอก็เลือกที่จะปล่อยทิ้งเรื่องราวเหล่านั้นไปแล้วนำถ้อยคำดูถูกหรือการกระทำด้านลบเหล่านั้นมาเป็นพลังและแรงผลักดันให้กับตัวเองแทน
ประวัติ :
‘ฮิซาชิ อาเคมิ’
หรือที่คนในครอบครัวเรียกกันจนติดปากว่า ‘หนูเอ’
เด็กสาวเกิดในวันที่สี่ กรกฎาคม ราศีกรกฏ มีกรุ๊ปเลือด B และอาศัยอยู่ในบ้านหลังน้อยไม่ไกลจากโรงเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ ครอบครัวของหนูเอใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายอย่างคนญี่ปุ่นที่มีวิถีชีวิตเกือบจะเป็นญี่ปุ่นแท้ๆแบบโบราณ
ทางบ้านของหนูเอมีฐานะปานกลางจากเงินเลี้ยงดูที่ยังได้รับอยู่เสมอในทุกๆเดือนจากอาชีพของผู้เป็นบิดา
จากการทำงานเล็กๆน้อยๆเสริม อย่างการทำขนมหรือน้ำสมุนไพรของผู้เป็นมารดาและผู้เป็นยาย
รวมถึงการใช้จ่ายและกินอยู่อย่างสมถะของทางครอบครัวเอง
บ้านของหนูเอมีสมาชิกอยู่เพียงแค่สามคน คือคุณแม่ คุณยาย และตัวหนูเอเอง
ส่วนคุณพ่อนั้นประกอบอาชีพเป็นนักโบราณคดี
ซึ่งจากไปก่อนเวลาอันควรด้วยโรคร้ายหลังจากกลับมาจากการสำรวจโบราณสถานแห่งหนึ่งในต่างประเทศ
แต่ถึงอย่างนั้นหนูเอกลับไม่ได้รู้สึกว่าการขาดพ่อมันเป็นปมด้อย
ตอนที่เธอเสียคุณพ่อไปเธอยังเด็กเกินกว่าที่จะรู้จักคำว่าเสียใจเสียด้วยซ้ำ
ยิ่งในตอนนี้เธอได้รับความรักจากผู้ปกครองทั้งสองอย่างเต็มเปี่ยมหนูเอก็มีความสุขมากเกินพอ
ว่ากันตามตรงแล้วคุณแม่ของหนูเอถือว่าเป็นคนเข้มงวดในระดับหนึ่ง
แม้จะประกอบอาชีพแม่บ้านไม่ได้ทำงานประจำเป็นกิจจะลักษณะแต่ก็ถือว่าเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมคนหนึ่งต่างจากหนูเอโดยสิ้นเชิง
นั่นทำให้บ่อยครั้งที่หนูเอมักจะถูกคุณแม่บ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้จะมีก็แต่คุณยายที่คอยตามใจและเอาใจหนูเอที่เป็นหลานสาวมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกคอยดูแลและปรามคุณแม่เวลาจะดุหนูเอ
เลยกลายเป็นว่าตอนนี้คุณแม่ก็เหมือนจะปลงได้กับลูกสาวตัวเองแล้วปล่อยเลยตามเลย....
อย่างน้อยลูกสาวของแม่ก็ยังเป็นเด็กดีของสังคมล่ะนะ
ปัจจุบันหนูเอศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่
และพยายามที่จะแบ่งเบางานของทางบ้านบ้างอย่างการช่วยทำขนม (ซึ่งไม่สำเร็จ)
และการนำน้ำสมุนไพรและขนมกล่องไปส่งตามร้านหรือตามโรงแรมต่างๆเมื่อมีเวลาว่าง
สังคมเพื่อน-
หนูเอพอจะมีเพื่อนบ้างจากการขยันพูดคุยและสานสัมพันธ์ของตัวเอง
แต่ก็ไม่มีเพื่อนที่สนิทมากขนาดนั้น ส่วนใหญ่จึงมักจะเป็นเพื่อนที่รู้จักกันผ่านๆ
พอจะคุยกันหรือทำงานร่วมกันได้มากกว่า
บางคนหนูเอก็จำชื่อพวกเขาไม่ได้ด้วยซ้ำถ้าไม่ได้เจอกันบ่อยๆ
อารมณ์ประมาณว่าถ้าบังเอิญเจอกันอย่างมากสุดก็คงทำแค่ยิ้มให้กัน
ไม่มีเพื่อนสนิทที่สนิทมากพอจะเปิดเผยได้ทุกเรื่องขนาดนั้น
ซึ่งหนูเอรู้ตัวว่ามันก็เพราะนิสัยของตัวเองด้วยส่วนหนึ่งนี่ล่ะ เพื่อนส่วนมากของหนูเอจึงมักจะเป็นสัตว์โลกน่ารักและผู้สูงวัยเป็นเพื่อนคุยมากกว่าเพื่อนในโรงเรียน
การศึกษา-
เป็นที่รู้กันดีว่าหนูเอนั้นคือตัวห่วยขั้นเทพประจำชั้น
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เจ้าตัวจะมีผลการเรียนตกต่ำไม่ว่าจะเป็นวิชาไหนก็ตาม
ยิ่งเป็นวิชาคำนวณด้วยแล้วเกรดของหนูเอมันก็น้อยเสียจนน่าใจหาย
และชวนให้สงสัยอยู่ไม่น้อยว่าเจ้าตัวผ่านมาจนถึงขั้นนี้โดยไม่ซ้ำชั้นได้อย่างไร
ผลการเรียนของหนูเอมักจะรั้งท้ายอันดับอยู่เสมอ
สลับกันไปมาอยู่ระหว่างบ๊วยกับรองบ๊วยจนเป็นเรื่องชาชิน
แถมยังต้องตามสอบซ่อมเป็นว่าเล่นจนตอนนี้คุ้นเคยกับอาจารย์ประจำวิชาไปแล้วล่ะ
ความรัก-
เนื่องด้วยหนูเอไม่คุ้นเคยกับความรักสักเท่าไหร่ทำให้ประสบการณ์ทางด้านความรักของหนูเอประมวลออกมาได้เป็นเลขศูนย์ตัวกลมๆ
อารมณ์ปลาบปลื้มจนต้องแอบมองคนที่ชอบคืออะไร
อาการใจสั่นเวลาที่ได้อยู่ใกล้เป็นแบบไหน เดทแรก แฟนคนแรก
อะไรเป็นยังไงหนูเอไม่เคยรู้จักเลยแม้แต่นิดเดียว
เรียกได้ว่าประสบการณ์วาบหวิวและใจเต้นตึกตักเป็นศูนย์
ส่วนหนึ่งก็เพราะทางบ้านยังไม่อยากให้หนูเอมีแฟนในตอนที่เป็นนักเรียนอยู่ด้วยนี่แหละ
จึงคอยพร่ำสอนมาตลอดตั้งแต่ยังเป็นเด็กว่าถ้าคิดจะคบใครก็ให้ใจเย็นๆ ดูกันไปก่อน
รอจนเรียนจบแล้วมีงานทำค่อยมาคบกันก็ยังไม่สาย
*Ps. About Hasashi Family
- คุณแม่ } ฮาซาชิ ซาจิโกะ (43
yrs. | ชื่อ-สกุลเดิม : คาวากุจิ ซาจิโกะ) ปัจจุบันเป็นแม่บ้านและทำขนมกับน้ำสมุนไพรส่งขายเป็นรายได้เสริม
- คุณยาย } คาวากุจิ ฮิโตมิ (63
yrs.) ปัจจุบันคอยช่วยคุณแม่น้ำขนมและน้ำสมุนไพรส่งขาย
บางวันถ้าไม่อยู่ที่บ้านก็สามารถพบตัวท่านได้ที่ศาลเจ้า
*Hisashi Akemi Side Story | Click
ลักษณะการพูด :
หนูเอเป็นเด็กสาวที่มีน้ำเสียงหวานติดไปทางเล็กเหมือนเด็กที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ดี
นั่นจึงทำให้บ่อยครั้งที่เจ้าบ่นหรือโวยวายออกมามันก็ไม่ได้ดูน่ากลัวแต่ค่อนไปทางเสียงงุ้งงิ้งน่ารักแทน
หนูเอมักจะเรียกแทนตัวเองว่า ‘หนูเอ’ เนื่องจากเป็นชื่อที่ครอบครัวเรียกและมักจะมีหางเสียงลงท้ายคำพูดอยู่เสมอหากพูดคุยกับคนที่มีอายุมากกว่า
ส่วนคนอื่นนั้นหากเป็นเพื่อนจำชื่อได้ก็จะเรียกชื่อแล้วงลงท้ายด้วยคำว่า ‘จัง’ หรือ ‘คุง’ แล้วแต่คนเพื่อความน่ารัก
แต่ถ้าหากว่าคู่สนทนาอายุมากกว่าก็อาจจะเรียกว่าคุณแล้วตามด้วยนามสกุลแทนเพื่อไม่ให้ดูปีนเกลียวตามประสาเด็กที่เชื่อฟังคำสอนของคุณแม่และคุณยายมาเป็นอย่างดี
ส่วนในกรณีที่เธอจำชื่อฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ก็จะเรียกนายบ้าง เธอบ้าง
คุณบ้างแล้วแต่กรณีไป ส่วนผู้อาวุโสไปเลยก็เรียกวาคุณลุง คุณป้า คุณตา
คุณยายแบบปกติอย่างที่คนอื่นเขาเรียกกันนั่นแหละ
เวลาพูดนั้นก็อาจจะมีบ้างที่หนูเอพูดจาวกวน
สลับคำหรือพูดไม่รู้เรื่อง
นั่นทำให้เจ้าตัวติดการทำไม้ทำมือประกอบเวลาที่ตัวเองพูดตามไปด้วย
ซึ่งถ้าหากว่าหนูเอกำลังตื่นเต้นแล้วก็จะยิ่งพูดเสียงดัง
มือไม้พันกันแถมยังรัวลิ้นจนพูดไม่รู้เรื่องหนักเข้าไปอีก
ยิ่งเป็นอารมณ์บนใบหน้ายิ่งแล้วใหญ่เพราะสีหน้าของหนูเอมันก็เปลี่ยนไปตามคำพูดเหมือนกับเด็กตัวน้อยๆอย่างไรอย่างนั้น
ตัวอย่างการพูดของหนูเอในสถานการณ์ต่างๆ
“อ๋า...
สวัสดีค่ะคุณป้า วันนี้ก็แบ่งอาหารที่ทำมาให้อีกแล้วขอบคุณมากเลยนะคะ” เด็กสาวเจ้าของเส้นผมสีบ๊วยฉีกยิ้มหวานเหมือนอย่างเคย “หนูเอจำชื่อเมนูได้แล้วนะคะ ยากิซาโบะ!! ถูกใช่มั้ยคะคุณป้า”
“เอ๋? ก็คุณแม่บอกว่าให้ใส่ผงซักฟอกตามปริมาณผ้านี่คะ
หนูเอก็เลยใส่ตัวละช้อนนี่ไงคะ ใส่ผงซักฟอกตามปริมาณผ้าเป๊ะๆเลยมันก็ต้องถูกสิคะ”
คิ้วบางขมวดเข้าหากันน้อยๆยามจับจ้องไปยังหนังสือเล่มหนาในมือ
อาเคมิเอียงคอไปด้านหนึ่ง ริมฝีปากสีอ่อนยู่เข้าหากัน “ชีวิตที่ข่มขืน?
คนสมัยนี้ทำไมถึงตั้งชื่อหนังสือแบบนี้ล่ะคะ
ไม่จรรโลงสังคมเลยนะคะเนี่ย....” พูดจบเจ้าตัวก็ได้รับคำอธิบาย
ดวงตากลมหวานกะพริบปริบพร้อมกับเสียงหัวเราะแห้งๆที่ถูกเปล่งออกมา “อ้าว... เขาอ่านว่าขมขื่นหรอกเหรอคะเนี่ย ไม่รู้มาก่อนเลยค่ะ แหะแหะ”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ!!
ที่ดีขอให้เป็นวันนี้----- อ๊ะ! ขอให้ที่วันนี้ดี
เอ๊ะ!? ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีค่ะ ฮือออออ
หนูเอพูดผิดอีกแล้ว T^T”
“ทะ ทำผิดอีกแล้ว นะ
หนูเอโทษขอนะคะ หนูเอไม่ได้ใจตั้งจริงๆค่ะ เอ๋!!? หนูเอพูดผิดอีกแล้วเหรอคะ
หนูเอขอโทษค่ะ หนูเอจะรีบแก้งานให้ทีทันเลยนะคะ!!”
“คุณแม่ขา
คุณยายขาหนูเอกลับมาแล้วค่ะ วันนี้หนูเอซื้อของตามที่สั่งมาให้เรียบร้อยเลยนะคะ!!
มีซาลาเปา น้ำเต้าหู้ แล้วก็----- อันนี้อะไรน้า...
หนูเอไม่เคยเห็นเลยค่ะ” เด็กสาวจ้องมองปาท่องโก๋ในถุงตาปริบๆก่อนจะเฉลยให้ตัวเองฟังด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“ปาท่องเก๋า!! มันคือปาท่องเก๋าค่ะคุณแม่!!”
ใต้กรอบแว่นคือดวงตาสีอ่อนที่สั่นไหวน้อยๆ
หากทว่าเจ้าของดวงตาปริ่มน้ำกลับเลือกที่จะกลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ที่ลำคอลงไปแล้วคลี่ยิ้มเฝื่อนๆให้แทน
“นะ หนูเอไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ตะ แต่หนูเอไม่โกรธหรอกนะคะ
นี่ไงๆ หนูเอสบายดีค่ะ” พูดจบเจ้าตัวก็ยกมือตบแก้มนุ่มนิ่มนั่นเบาๆ
“เห็นมั้ยคะหนูเอไม่ไรเป็นแล้วค่ะ! หนูเอไม่ได้ร้องนะคะ
มันแค่มีน้ำไหลออกมาจากตาหนูเอเฉยๆแค่นั้นเองค่ะ แงงงงงงง”
“หนุ่มสาวสมัยนี้นี่พูดคุยกันแปลกๆนะคะ หนูงวยงงไปหมดเลย... เอ.... ปกติเขาพูดว่างวยงงหรือว่างงงวยเหรอคะ? หรือว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ; w ;”
“อุ๊ยแม่หก ตกแม่ร่วง
ถ่วงน้ำทิ้ง ปลาหมึกปิ้งลอยฟ้า!!! ฮือออออ
อย่าทำแบบนี้อีกนะคะ หนูเอตกใจหมดเลยค่ะ ตกใจจนตาตุ่มหลุด----- เอ๊ะ
ปกติเขาพูดแบบนี้กันรึเปล่าคะ?”
“เอ๋....? ซิคแพ็ค
มันคืออะไรเหรอคะ?------ เอ๊ะ!! ทะ
ทำไมให้หนูเอมองไปทางผู้ชายโป๊ๆคนนั้นล่ะคะ
คนสมัยนี้เขาเปิดเผยกันขนาดนี้เลยเหรอคะเนี่ย!!?” เด็กสาวโวยวายเสียงดังด้วยความตกใจ
สองแก้มสุกปลั่งเป็นสีแดงคล้ายมะเขือเทศสุกก่อนจะรีบยกมือขึ้นมาปิดตาเอาไว้ด้วยความกลัวสุดขีด
“ไม่เอานะคะหนูเอมองไม่ได้ค่ะ
คุณแม่บอกว่าเราไม่ควรแอบดูคนอื่น มันไม่น่ารัก หนูเอไม่อยากเสียผู้เสียคนค่ะ!!”
*อนึ่ง. ผู้ชายโป๊ๆที่หนูเอว่าก็แค่ถอดเสื้อเท่านั้นแหละค่ะ
แต่เจ้าตัวไม่ค่อยชินเพราะที่บ้านมีแต่ผู้หญิงเท่านั้นเอง
ชอบ :
- ขนมและอาหารที่คุณแม่และคุณยายทำ } เพราะมันอร่อย (....) บวกกับคุณแม่กับคุณยายก็รู้ใจทำอาหารกับขนมที่ชอบให้กินเป็นประจำอยู่แล้ว ยิ่งเป็นช่วงอ่านหนังสือสอบก็แทบจะยกของว่างมาเติมพลังให้ทุกสิบห้านาทีเลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ชอบ | ระดับความชอบ : ❤❤❤❤❤
- สีอ่อนๆจำพวกสีพาสเทล } ตามประสาคนไม่ชอบอะไรที่มันหวือหวาหรือฉูดฉาดมากจนเกินไปนัก
สำหรับหนูเอแล้วสีโทนอ่อนจำพวกพาสเทลทำให้เธอสบายตาและรู้สึกผ่อนคลาย
ข้าวของเครื่องใช้ส่วนมากรวมถึงสีของห้องนอนจึงเป็นสีอ่อนให้ความรู้สึกผ่อนคลาย | ระดับความชอบ :
-
กลิ่นธรรมชาติจำพวกกลิ่นหญ้ากลิ่นดิน } ส่วนตัวแล้วหนูเอคิดว่ากลิ่นพวกนี้ทำให้รู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่งดี
ไม่รู้สึกอึดอัด ยิ่งเป็นช่วงฝนตกใหม่ๆหนูเอก็ชอบที่จะกางแขนหลับตาพริ้มแล้วสูดลมหายใจให้เต็มปอด | ระดับความชอบ :
-
ส้ม } อย่างแรกเลยคือกินแล้วสดชื่น
บางลูกก็เปรี้ยวๆบางลูกก็หวานๆรู้สึกว่ามันอร่อยดี
ถ้าอยู่บ้านไม่มีอะไรทำหนูเอก็นั่งกินส้มอยู่หน้าทีวีแบบเพลินๆ (เพลินจริง
เพลินจนเปลือกส้มกองเป็นภูเขาเลย) นอกจากนี้ยังชอบผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับส้มด้วย
เช่น น้ำส้ม นมรสส้ม แยมส้ม | ระดับความชอบ :
-
การ์ตูน } ไม่มีอะไรที่ทำให้หนูเอสบายใจได้มากเท่าการนอนดูการ์ตูนแล้ว
หนูเอชอบเพราะภาพมันสวย
เนื้อเรื่องสนุกจนนับถือคนแต่งที่มีความคิดสร้างสรรค์ขนาดนี้ การ์ตูนเป็นอะไรที่หนูเอสามารถดูได้ทั้งวันถ้าหากไม่มีใครมาปรามให้ไปทำอย่างอื่น
ดูจนเก็บไปฝันว่าตัวเองเป็นตัวละครในเรื่องเลยก็มี | ระดับความชอบ :
-
การพูดคุย } หนูเอเป็นคนชอบทำความรู้จักกับสังคมใหม่ๆเลยไม่แปลกที่จะชอบการพูดคุยซึ่งเป็นพื้นฐานของการเข้าสังคมไปด้วย
แต่บ่อยที่สุดเหมือนจะเป็นการคุยกับกลุ่มคนเฒ่าคนแก่เสียมากกว่าคนรุ่นเดียวกัน | ระดับความชอบ :
-
สัตว์โลกน่ารัก } เพราะหนูเอสัมผัสได้ถึงความน่ารักของพวกมัน อารมณ์ประมาณว่าได้เห็น
ได้เล่น ได้คุย(?)ก็สบายใจดี
นั่นรวมไปถึงสัตว์ที่คนอื่นเขาไม่ค่อยจะเห็นความน่ารักของมันอย่างแมลงสาบ จิ้งจก หรือว่างูด้วยนะ | ระดับความชอบ :
-
ทาโกะยากิ } เรียกได้ว่าเครียดเท่าไหร่ก็หายเครียดทันทีถ้ามีทาโกะยากิมาใส่ปาก
หนูเอชอบกินทาโกะยากิมากเพราะว่ามันอร่อย แป้งร้อนๆควันฉุยเข้ากับปลาหมึกหนุบๆ
ราดน้ำซอสเฉพาะของทาโกะยากิลงไปหน่อยแค่นั้นหนูเอก็มีความสุขแล้ว!! | ระดับความชอบ :
- ของน่ารักๆหรือของลายการ์ตูน } ตามประสาเด็กผู้หญิงที่ชอบของน่ารักๆนั่นแหละ หนูเอเองก็เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาทั่วไปพอเห็นอะไรน่ารักๆเข้าหน่อยก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้ ยิ่งพวกตุ๊กตาหรือหมอนนุ่มๆแล้วจะยิ่งชอบเป็นพิเศษนะ! | ระดับความชอบ : ❤❤❤❤
ไม่ชอบ :
- ช่วงเวลาที่ไปซื้อของแล้วของหมดต่อหน้าต่อตา } นี่มันเป็นเรื่องทำร้ายจิตใจระดับชาติสำหรับหนูเอเชียว เพราะไปทีไรก็ของที่เล็งไว้หมดก่อนตัวเองตลอด แม้จะพยายามทำใจให้ชินแต่ก็ดูเหมือนจะไม่สำเร็จสักที“
- ของขมๆ } เพราะว่าปกติแล้วหนูเอเป็นคนชอบของรสหวานไม่ก็รสเปรี้ยวเสียมากกว่า ของขมๆนี่อย่าเอามาให้เจ้าตัวกินเลยดีกว่า อย่างยาหรือน้ำขมๆอะไรเทือกนั้นแค่ได้กลิ่นหนูเอก็เบ้หน้าแล้ว
- การแต่งกายที่ไม่เรียบร้อย } คนเราเกิดเป็นผู้หญิงต้องรักษาความเป็นสุภาพสตรีไว้สิ!! จะมาแต่งตัวน้อยชิ้น นุ่งสั้นโชว์หวิวมันไม่ได้! นั่นจึงทำให้หนูเอมักจะหน้าแดงด้วยความเขินอายแล้วหันหน้านี้ทุกครั้งเวลาเจออะไรแบบนี้ หันไปทางอื่นแล้วก็ลูบอกตัวเองหนึ่งทีพร้อมด้วยคำพูดประมาณว่า ‘คนสมัยนี้ไม่ระวังตัวกันเลยนะคะ’
- ความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย } เห็นแบบนี้แต่หนูเอก็ไม่ชอบที่จะเห็นอะไรรกๆขัดหูขัดตาเหมือนกันนะเออ เพราะถูกที่บ้านสอนมาตั้งแต่เด็กๆว่าควรจะเก็บห้องเก็บข้าวของอะไรต่อมิอะไรให้เรียบร้อยจนเป็นนิสัย พอโตมาเลยไม่ชอบอะไรรกๆไม่เป็นระเบียบไปด้วย ถ้าเห็นแล้วหนูเอก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปจัดด้วยความปรารถนาดี แม้จะพลาดเพราะความโก๊ะกังของตัวเองจนล่มไม่เป็นท่าอยู่บ่อยครั้งก็เถอะ
กลัว :
- คุณแม่ดุ } หนูเอก็ยังเป็นหนูเออยู่วันยังค่ำ เจอคุณแม่ดุมากๆก็ต้องหงอต้องกลัวเป็นธรรมดา อารมณ์ประมาณว่าเธอก็ไม่ได้อยากจะให้มันเป็นแบบนี้เสียหน่อย ไม่เห็นต้องดุกันเลยนี่นา ยิ่งคุณแม่ตอนดุน่ากลัวด้วยแล้วหนูเอเลยกลัวเข้าไปใหญ่เลย
- ที่มืด } หนูเอกลัวที่จะต้องมองอะไรไม่เห็นเพราะปกติแค่เวลาถอดแว่นมันก็เบลอจนมองอะไรไม่เห็นอยู่แล้ว พอมาเป็นที่มืดๆมันก็ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูกและรู้สึกอึดอัดจนอยากจะร้องไห้เชียวล่ะ
- การเอาอะไรใส่เข้าไปในตา } หนูเอเป็นคนที่อ่อนไหวเรื่องเกี่ยวกับตาเอามากๆ เพราะแค่สายตาสั้นนี่มันก็ทรมานเวลาถอดแว่นมากพออยู่แล้ว ดังนั้นอย่าให้เอาอะไรจำพวกคอนแทคเลนส์ใส่เข้าไปในตาเลยเพราะเจ้าตัวกลัวมากจริงๆนะ ขนาดอยู่ในน้ำหนูเอยังไม่กล้าลืมตาเลย
ความสามารถพิเศษ :
- การพูดคุยเจรจากับผู้ที่อาวุโสกว่า } อาจเพราะความเคยชินที่คุยกับคนอายุประมาณนั้นเป็นประจำก็ได้
ทำให้หนูเอสามารถพูดคุยกับพวกเขาได้อย่างไม่ขัดเขินและเป็นธรรมชาติ
ดังนั้นหากจะส่งใครไปเป็นทัพหน้าคุยกับผู้ใหญ่ก็ต้องเป็นหนูเอนี่แหละ (นอกเหนือจากการคุยกันแล้วหนูเอสามารถต่อราคาได้ด้วยนะเออ
คะแนนความเอ็นดูของพ่อค้าแม่ขายที่มีให้เด็กคนนี้สูงปรี๊ดติดเพดานเชียวล่ะ)
- การปฐมพยาบาล } ให้เรียกว่าเป็นความเคยชินจะถูกต้องมากกว่า
เพราะหนูเอเป็นพวกสะดุดนั่นสะดุดนี่แถมยังหกล้มอยู่ก็บ่อยครั้ง ในบางเวลาที่คนที่บ้านไม่ว่างเจ้าตัวก็ต้องลงมือทำแผลด้วยตัวเองนี่แหละ
ในตอนแรกก็เละไม่เป็นท่าสมฉายาจอมห่วยแต่ก็อาศัยทำไปเรื่อยๆจนพอจะจับทางได้ว่าต้องทำยังไงบ้าง
- ความจืดจางเชยเฉิ่มที่เป็นเอกลักษณ์
ไม่ว่าจะไปเดินกับใครคนๆนั้นก็จะดูดีขึ้นมาทันตา } เราควรเรียกมันว่าเป็นความสามารถพิเศษรึเปล่านะ
(....)
งานอดิเรก : คุยกับพวกผู้ใหญ่แถวๆบ้าน | นั่งหน้าทีวีดูการ์ตูนไปด้วยกินส้มไปด้วย
| กินขนมที่คุณแม่กับคุณยายทำ | เล่นกับหมาแมวละแวกบ้าน
เพิ่มเติม :
- เมื่อพูดถึงลักษณะการแต่งตัวของหนูเอแล้วหลายคนอาจจะต้องส่ายหัว เพราะสไตล์ของหนูเอจัดอยู่ในระดับที่จืดชืดประมาณหนึ่ง เพราะคุณแม่กับคุณยายค่อนข้างจะหัวโบราณไม่อยากให้รักสวยรักงามด้วยประการหนึ่ง ดังนั้นนอกจากชัดนักเรียนแบบถูกระเบียบเป๊ะๆที่ใส่อยู่เป็นประจำแล้ว เสื้อผ้าทั่วไปของหนูเอจึงเป็นพวกเสื้อแบบเรียบๆจำพวกเสื้อยืด เสื้อแขนยาวสีพื้นไม่มีลวดลายกับกระโปรงยาวคลุมเข่าไม่ก็กางเกงขายาวสีเข้มเสียมากกว่า ส่วนรองเท้าก็มักจะใส่รองเท้าคัทชูแบบสุภาพเวลาจะออกไปไหนมาไหนที่ไม่ใช่โรงเรียน
ส่วนเรื่องเครื่องประดับนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะหนูเอไม่มีติดตัวเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
จะมีบ้างก็เป็นพวกกิ๊บตัวเล็กๆไม่ก็ก็กิ๊บดำเอาไว้เก็บปอยผมไม่ให้มาเกะกะเสียมากกว่า
ที่สำคัญคือหนูไม่ค่อยชอบพวกกำไลหรือนาฬิกาข้อมือเพราะใส่แล้วรู้สึกว่ามันเกะกะไม่ค่อยสบายแขนสักเท่าไหร่
- อาการเบื้องต้นเมื่อหนูเอเกิดแพ้แชมพูสระผม
: หนูเอไม่ได้แพ้รุนแรงจนหนังศีรษะลอกหรือผมร่วง
แต่จะมีผดผื่นขึ้นบริเวณลำคอกับสิวผดขึ้นบ้างตามหน้าผาก ไรผม และขากรรไกร
- ติดจะเป็นคนขี้หนาวอยู่หน่อยๆ
มักจะติดผ้าคลุมไหล่เอาไว้ในกระเป๋าอยู่เสมอ
- หนูเอใส่แว่นเนื่องจากอาการสายตาสั้น
ค่าสายตาของหนูเออยู่ที่ประมาณห้าร้อยกว่าๆจนเกือบจะแตะหกร้อย ดังนั้นถ้าหากถอดแว่นแล้วหนูเอจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย
(หนูเอไม่ใส่คอนแทคเลนส์เพราะกลัวที่จะต้องเอาอะไรมาใส่ตา
จะทำเลสิคก็ไม่กล้าเลยต้องใส่แว่นมาตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นด้วยประการฉะนี้)
- เวลาที่ไม่สบายใจหนูเอจะชอบไปศาลเจ้า ไปขอพร ไปนั่งรับลมเงียบๆหรือไปให้อาหารนกแก้เบื่อก็ว่ากันไป
สาเหตุคงเพราะตามคุณแม่คุณยายไปศาลเจ้าตั้งแต่เด็กๆเลยรู้สึกสงบและสบายใจเวลามาที่นี่
- จริงๆแล้วหนูเอลายมือสวยนะ
ลายมือน่ารักๆเหมือนกับพวกฟอนต์ตัวการ์ตูนในคอมพิวเตอร์เลย เขียนตรงบรรทัดเป๊ะๆ
ไม่เอียงขึ้นสวรรค์หรือโค้งหักลงนรก ไม่โย้เย้อ่านยากแถมยังเว้นช่องไฟสม่ำเสมอจนดูน่ามองอีกต่างหาก
ฟังดูแล้วก็เหมาะที่จะเป็นต้นฉบับการบ้านแต่ทว่าเจ้าตัวดันเขียนไม่รู้เรื่องนี่สิ
(.....)
- Character Voice :
with character
- สวัสดีค่า
ชื่ออะไรกันบ้างคะ?
-
“สวัสดีค่ะ หนูเอชื่อฮาซาชิ อาเคมิค่ะ” เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสั้นค้อมตัวลงพอเป็นพิธีเพื่อเป็นการทักทายตามมารยาท
“ยินดีที่รู้จักได้---- เอ๊ะ!? เอ่อ...
ปกติเขาพูดว่ายินดีที่ได้รู้จักใช่มั้ยคะ? แหะแหะ”
- เชื่อในแวมไพร์หรือเปล่าเอ่ย?
- ดวงตาคู่โตภายใต้แว่นกรอบกลมนั้นกะพริบปริบ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจนัก
“เอ่อ...
แวมไพร์นี่คือผีดูดเลือดในทีวีที่หนูเอเคยดูใช่มั้ยคะ? ถ้าถามว่าเชื่อรึเปล่าหนูเอก็ไม่รู้หรอกค่ะ
แต่เคยลองถามคุณแม่กับคุณยายแล้วพวกท่านบอกว่าแวมไพร์ไม่มีจริงค่ะ”
- ถ้าเกิดว่าต้องรักกับแวมไพร์รู้ใช่มั้ยคะว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคหลายอย่างเลย
-
“ตะ ตอนนี้หนูเอยังมีความรักไม่ได้หรอกค่ะ
คุณแม่บอกว่าต้องรอให้เรียนจบแล้วมีงานทำก่อนถึงจะรักกันได้” คนที่เรียกตัวเองว่าหนูเอนั้นพูดพลางก็จิ้มนิ้วชี้ของตัวเองไปพลาง “หนูเอโทษขอที่ต้องถามแบบนี้นะคะ
แต่ว่าถ้ารักกับแวมไพร์แล้วหนูเอจะโดนกัดคอเหมือนในหนังรึเปล่าคะ?”
- ขอบคุณที่มาคุยกันนะคะ
ไว้เจอกันค่า
-
“เอ๋ ไปแล้วเหรอคะ วะ ไว้เจอกันค่ะ!!”
with mommy/daddy
- สวัสดีค่ะ
คุณผปค.ชื่ออะไรหรือคะ?
- สวัสดีค่า ////-//// ผู้ปกครองน้องอาเคมิชื่อเชอร์ล็อคค่ะ
เชอร์คนดีคนเดิมเพิ่มเติมคืองานดองนั่นเอง ผ่ามผ้าม----- /โดนตี
- คิดว่าลูกสาวเรามีดีตรงไหนเป็นพิเศษมั้ยคะ?
- ก็คงจะเป็นความซื่อของน้องนี่ล่ะค่ะ ความซื่อที่มาเป็นจังหวะซิทคอม(?)
กับความร่าเริงแจ่มใสเป็นที่รักของผู้ใหญ่และสัตว์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ฮาาาาาา
- ริคัดไม่โหดจริงๆค่ะ
แต่ถ้าไม่ติดจะรับกลับมั้ยเอ่ย
- คงต้องขออนุญาตรับกลับนะคะ ; w ;
- ขอบคุณสำหรับลูกสาวนะคะ
รอประกาศผลน้า
- ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้เช่นกันค่ะ ขอความกรุณาด้วยนะคะ! /โค้ง
ความคิดเห็น