ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { fic } Call it MAGIC | Kaido #ฟิคคนที่คุณก็รู้ว่าไค

    ลำดับตอนที่ #22 : Chapter 16

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.16K
      60
      12 เม.ย. 58

    16






    เดือนมีนาคมมาเยือนพร้อมกับอากาศที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน วิชาที่เรียนนอกตัวปราสาทส่วนใหญ่นั้นเสียเวลาในคาบจำนวนมากให้แก่การวิ่งหลบฝนของเหล่านักเรียน และห้องพยาบาลเองก็ต้องรองรับคนป่วยที่มากขึ้นทุกวันเช่นกัน


     


    โชคดีที่วันนี้ฝนไม่ตกหนักเหมือนวันก่อนๆ แต่ก็ยังมีเมฆฝนให้คอยกังวลใจ ทีมกริฟฟินดอร์ในสนามควิดดิชกำลังซ้อมแผนการแข่งขันสำหรับรอบชิงชนะเลิศกันอย่างจริงจัง สมาชิกทีมในเสื้อคลุมสีแดงกระจายไปรอบสนาม แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือคิมจงอินที่กำลังมองหาลูกสนิชที่เพิ่งคลาดสายตาเขาไปเพียงแค่วูบเดียว

     


    ซีกเกอร์ทีมกริฟฟินดอร์เพิ่มระดับของไม้กวาดให้สูงขึ้นไปอีกเพื่อมุมมองที่กว้างขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยังคงกวาดไปรอบสนามเพื่อตามหาโกลเด้นสนิชเพื่อที่จะได้จบเกมเสียที แสงแวววาวที่คุ้นเคยส่องประกายมาจากกลางสนามท่ามกลางสมาชิกคนอื่นๆ ที่ยังซ้อมรับส่งควัฟเฟิลท่ามกลางสายฝนที่ตกปรอยๆ จงอินบังคับไม้กวาดตามลูกสนิชไปเพียงไม่นานก่อนที่ตัวปัญหาสีทองจะอยู่ในกำมือของเขา เขาได้ยินเสียงนกหวีดจากกัปตันทีมเป็นสัญญาณเลิกซ้อม แต่จงอินกลับปล่อยลูกสนิชในมือออกไปอีกรอบและตั้งต้นบินหามันใหม่

     


    ทุกวันนี้คิมจงอินใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปกับการซ้อมควิดดิช (ซึ่งชานยอลบอกว่าเขาซ้อมหนักเกินความจำเป็นเพราะเหลือเวลาอีกตั้งสองเดือนกว่าจะถึงการแข่งขัน) บางครั้งที่สมาชิกคนอื่นๆไม่มาซ้อมด้วย เขาก็จะซ้อมบินรอบๆปราสาทแทน และแน่นอนว่ามันทำให้จิตใจที่เคยห่อเหี่ยวพองฟูขึ้นมานิดหน่อยเมื่อได้ทำในสิ่งที่ชอบ ถึงแม้ว่ามันจะแลกมาด้วยอาการปวดเมื่อยตามร่างกายก็เถอะ

     


    “คิดว่าอยู่บนฟ้าแล้วเท่นักหรือไง” เสียงจากกัปตันทีมดังขึ้นจากข้างสนาม จงฮยอนเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดลงกล่องพลางไล่สมาชิกคนอื่นให้แยกย้ายไปพักผ่อนกันได้แล้ว จะเหลือก็แต่ซีกเกอร์ของทีมที่ยังไม่ยอมลงจากไม้กวาดซะที จงอินเลิกคิ้วและชูลูกสนิชที่ดิ้นอยู่ในกำปั้นให้ดู

     


    “ยังอยากซ้อมอยู่นี่หว่า” ภาษาห้วนๆแบบนั้นทำให้จงฮยอนขมวดคิ้วนิดหน่อย แต่เจ้าตัวก็พยักหน้ารับในที่สุด บ่ายวันเสาร์ที่ท้องฟ้ามืดมนไม่เหมาะเท่าไรนักที่จะซ้อมควิดดิช แต่เพียงแค่สภาพอากาศที่ไม่เป็นใจก็ไม่สามารถที่จะหยุดความตั้งใจของจงอินได้ “ไม่ดีเหรอ มีซีกเกอร์ขยัน”

     


    “ถ้าขยันแต่ป่วยปางตายก็ไม่เอาว่ะ” จงฮยอนว่าแล้วกวักมือเรียกอีกรอบ “ลงมาได้แล้ว จะเอาอุปกรณ์ไปคืนมาดามยูริ”

     


    จงอินจำใจบินไปเอาลูกสนิชมาคืนให้กัปตันทีม จงฮยอนบ่นอะไรอีกนิดหน่อยเกี่ยวกับความรั้นของเขา ซีกเกอร์ได้แต่พยักหน้าเออออไปโดยไม่ได้ฟังเนื้อหา สมาชิกที่เหลือเข้าห้องแต่งตัวกันไปหมดแล้ว เหลือแต่เขาคนเดียวที่ยังตากฝนอยู่ข้างนอก




    “นายไปห้องพยาบาลเผื่อๆไว้ก่อนเลยดีกว่า” จงฮยอนเสริมขึ้นอีกรอบ “ถ้านายป่วยเรื้อรังจนถึงนัดชิงกับสลิธีรินคงไม่ดี”




    “เดี๋ยวไปน่า” จงอินว่า เขาเสยผมที่เปียกไปด้วยน้ำฝนให้พ้นทัศนวิสัย กัปตันทีมเดินเข้าห้องแต่งตัวไปเรียบร้อย เหลือแต่เขาคนเดียวที่ยังยืนตากฝนอยู่ริมสนาม พักนี้เขาเอาใจใส่การซ้อมควิดดิชเป็นพิเศษ เนื่องจากรอบชิงต้องแข่งกับสลิธีริน และเขาก็อยากชนะเสียด้วย




    อีกอย่าง...การที่ออกกำลังกายหนักๆก็ทำให้เขาลืมเรื่องบางเรื่องไปได้ชั่วขณะ อย่างเช่นการที่พักนี้คยองซูสนิทสนมกับอาจารย์ตัวเลขมหัศจรรย์ขึ้นทุกวัน




    จงอินไม่สนใจคำเตือนของจงฮยอนเท่าไร เขาทะยานขึ้นไปบนฟ้าจนเสียงลมดังขึ้นเรื่อยๆ เพราะการแข่งขันควิดดิชรอบสุดท้ายนั้นจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นฤดูฝน จงอินจำเป็นต้องปรับร่างกายให้ชินกับการที่ต้องหาลูกสนิชท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดเป็นพิเศษและฝนที่ตกลงมาด้วย ถึงแม้ตอนนี้จงฮยอนจะเก็บลูกสนิชสุดที่รักของเขาไปแล้วก็เถอะ

     


    และเพราะไม่มีลูกสนิช ในตอนนี้สิ่งที่จงอินสามารถจะฝึกได้ก็คงเป็นการควบคุมทิศทางของไม้กวาดแม้จะมีอุปสรรคเป็นน้ำหนักของเสื้อคลุมที่มากขึ้นเพราะอุ้มน้ำก็ตาม ยิ่งมีม่านฝนมาบังทัศนวิสัยก็ยิ่งทำให้การขี่ไม้กวาดยากขึ้นไปอีก




    รอบปราสาทฮอกวอตส์ถูกใช้เป็นที่ฝึกขี่ไม้กวาดของคิมจงอินไปโดยปริยาย เขาเร่งความเร็วขึ้นไปอีกเมื่อเห็นสะพานหินอยู่ตรงหน้า แน่นอนว่าจงอินตั้งใจจะลอดช่องว่างระหว่างเสาทั้งสองของสะพานไป และความแคบของมันก็ทำให้ความท้าทายโลดแล่นในใจของซีกเกอร์ทีมกริฟฟินดอร์จนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองดังกลบเสียงสายฝน




    ยิ่งความเร็วมากขึ้นเท่าไร การบังคับไม้กวาดก็ยิ่งยากลำบากขึ้นเท่านั้น ความท้าทายที่มาพร้อมกับความอันตรายทำให้จิตใจที่คล้ายจะตายไปแล้วกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง ผ่านมาเกือบเดือนที่เขาไม่ได้เข้าหาคยองซูเหมือนแต่ก่อน แต่นั่นก็ไม่น่าหงุดหงิดเท่ากับการที่ต้องพบว่าอีกฝ่ายอยู่กับอาจารย์โจอินซองบ่อยเกินความจำเป็น สีหน้าและแววตาที่ชื่นชมความเก่งกาจของอาจารย์ที่ปิดไม่มิดของคยองซูทำให้เขารู้สึกหวงแหนยิ่งกว่าอะไร




    และความรู้สึกที่ว่าก็ทำให้จงอินเพิ่มความเร็วเข้าไปอีก ทุกวันนี้ความหงุดหงิดทุกอย่างถูกระบายไปกับการเล่นกีฬาทั้งหมด จงอินคิดว่ามันสร้างสรรค์มากกว่าการที่เขาทำลายข้าวของ หรือใช้ชีวิตแบบซังกะตายไปวันๆเป็นการทำลายชีวิตต้วเอง




    ในที่สุดภาพของสะพานหินก็อยู่เบื้องหลังเขา จงอินมองช่องที่ตนเองเพิ่งลอดมาได้อย่างพึงพอใจก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปที่ปราสาทเพราะอากาศที่เริ่มหนาวขึ้นหลังจากที่สายฝนโปรยลงมา









    อากาศชื้นฝนทำให้ไม่สบายตัวเท่าไรนัก คยองซูวางช้อนลงกับจานเมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว มื้อค่ำของฮอกวอตส์ยังคงดำเนินไปเฉกเช่นทุกวัน เสียงพูดคุยกันยังคงดังอยู่ในโสตประสาทจนสลิธีรินรู้สึกรำคาญขึ้นมาเสียดื้อๆ และที่น่ารำคาญไปกว่านั้นคือจู่ๆช่วงนี้คริสก็เลือกที่จะนั่งหันหน้าไปทางฝั่งกริฟฟินดอร์ ซึ่งบางครั้งเขาเองก็ต้องจำใจนั่งฝั่งเดียวกับพี่ชายเพราะที่นั่งฝั่งตรงข้ามถูกจับจองไปเรียบร้อยแล้ว...อย่างเช่นครั้งนี้




    แม้ในช่วงแรกของการทานอาหารค่ำจะเป็นไปด้วยความราบรื่นเมื่อไม่เห็นคู่อริของตนอยู่ที่โต๊ะกริฟฟินดอร์ แต่จนอาหารทั้งหมดถูกเก็บกวาดไปเรียบร้อยแล้วคยองซูก็ยังคงไม่พบใครบางคนที่ควรจะมาทานอาหารค่ำเหมือนทุกวัน




    หายไปไหนกัน

     


    ความคิดนั้นแว่บเข้ามาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะถูกไล่ออกไปด้วยความตั้งใจของเจ้าตัว คยองซูลุกออกจากโต๊ะทันทีที่มื้อค่ำจบลง เขาเดินไปตามทางเพื่อไปยืมหนังสือที่ห้องสมุดสำหรับการอ่านทบทวนบทเรียน พรีเฟ็คสลิธีรินพยายามเดินเร็วๆเพื่อให้ไปถึงห้องสมุดให้เร็วที่สุด การอ่านหนังสือจนดึกจนดื่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไรนักสำหรับเขา




    “นี่ ตอนเย็นฉันเห็นคิมจงอินเป็นลมตรงทางเดินด้วยแหละ” เสียงของผู้หญิงบ้านกริฟฟินดอร์ดังขึ้นในขณะที่เขากำลังยืนเลือกหนังสืออยู่ และนั่นทำให้ความสนใจที่มีต่อหนังสือตรงหน้าทั้งหมดถูกเบี่ยงเบนไปในทันที

     


    “แทบจะเรียกปาร์คชานยอลให้ไปดูอาการที่ห้องพยาบาลไม่ทันแน่ะ”




    คยองซูยืนนิ่งอยู่กับที่ ความรู้สึกหลายหลากพัดเข้ามาในใจ เขาต่อสู้กับตัวเองอยู่นานแต่จนแล้วจนรอดคยองซูก็พาตัวเองมาถึงห้องพยาบาลจนได้ มองลอดเข้าไปก็พบคิมจงอินกำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างหมดสภาพ ร่างของกริฟฟินดอร์ที่ผมยังชื้นน้ำบอกได้ดีว่าเจ้าตัวคงไปตากฝนจนป่วยกลับมาแบบนี้ ใบหน้าที่ซีดกว่าปกตินั่นทำให้คนมองเผลอจ้องอยู่เงียบๆ ความอึดอัดที่รบกวนพวกเขามาตลอดจางหายไปเมื่ออีกฝ่ายยังคงอยู่ในห้วงนิทรา




    เขาเดินเข้าไปใกล้คนป่วยพลางลากเก้าอี้มานั่ง ผ่านมานับเดือนที่คยองซูได้คุยกับจงอินเพียงนิดเดียว มีการทะเลาะกันนิดๆหน่อยๆ แต่หลังจากไปฮอกส์มี้ดในวันวาเลนไทน์ จงอินก็ตัดสินใจทำเหมือนเขาเป็นอากาศ -- อย่างมากที่สุดคงจะเป็นตอนที่นั่งข้างกันในคาบปรุงยา ซึ่งทั้งเขาทั้งจงอินต่างไม่ทำอะไรนอกจากฟังศาสตราจารย์ฮีชอลสอนไปเงียบๆ และนั่นยิ่งทำให้บรรยากาศไม่พึงประสงค์ระหว่างเขาสองคนมากขึ้นไปอีก

     


    ปกติคยองซูเคยชินกับการให้จงอินเป็นอากาศ แต่พอมาโดนเข้าเองบ้าง เขาก็รู้สึกเลวร้ายมากขึ้นไปอีก -- ทั้งๆที่เขาก็แบกความรู้สึกแย่ๆไปไหนมาไหนทุกวันอยู่แล้ว

     


    แล้วการที่เขาต้องกลับมาอยู่กับจงอินเพียงลำพัง คยองซูเองก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเขาแอบคิดถึงบรรยากาศเก่าๆที่เคยเกิดขึ้น ถึงแม้บางเหตุการณ์จะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจดจำเอาซะเลยก็เถอะ

     


    ไม่นานนักเสียงยุกยิกก็ดังมาจากคนข้างตัว คยองซูเบิกตาโพลงก่อนจะลุกขึ้นยืนกะทันหัน เสียงเก้าอี้ที่ถูกเลื่อนโดยไม่ได้ตั้งใจยิ่งทำให้คนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาหันมาตามต้นเสียง เปลือกตาที่ดูจะหนักเหลือเกินพยายามจะยกตัวเองขึ้นเพื่อมองเหตุการณ์ตรงหน้า คนทำเสียงตึงตังพยายามเร่งฝีเท้าให้ออกจากเขตห้องพยาบาลให้ทันก่อนที่จงอินจะตื่นมาเห็นเขา แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาภาวนาจะไม่สัมฤทธิ์ผล...





    “ทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้”ไหล่แคบๆ เสื้อผ้าสีดำสนิท และผิวที่ขาวจัดนั่น แม้จะยังเห็นภาพไม่ชัดนักแต่จงอินก็มั่นใจว่าคนที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องพยาบาลเป็นใคร คนที่ถูกเรียกไว้ชะงักฝีเท้าลง คยองซูรู้สึกเหมือนตัวเป็นคนที่ทำผิดแล้วถูกจับได้อะไรประมาณนั้น ซึ่งมันน่าขัดใจเป็นบ้า

     

    “ฉันก็แค่แวะมาขอยา” สลิธีรินพยายามจะข่มความประหม่าผ่านทางน้ำเสียง โชคดีที่จงอินยังไม่ตื่นขึ้นมาเต็มที่เลยไม่อาจสังเกตได้ คนที่นอนป่วยพึมพำออกมาเสียงเบาราวกับละเมอ คำพูดที่ออกมาจากปากนั้นแทบไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดใดๆทั้งสิ้น

     

    “ฤดูฝนแล้วก็ดูแลสุขภาพด้วยสิ” เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย สองขาที่ตั้งใจจะพาตัวเองออกไปจากห้องนี้ก็พากันขัดคำสั่งเขาเสียดื้อๆ คยองซูเผลอกัดริมฝีปากเมื่อความรู้สึกเก่าๆไหลเวียนอยู่ในร่างอย่างบ้าคลั่ง คำพูดแสนธรรมดานั่นทำให้เขารู้สึกอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

     

    “เป็นอะไร ทำไมถึงต้องขอยา” จงอินถามต่อด้วยน้ำเสียงเพลียๆ มันน่าตลกสิ้นดีที่คนป่วยซึ่งนอนสิ้นสภาพบนเตียงถามคนที่สบายดีทุกอย่างอย่างเขาว่าป่วยเป็นอะไร คนถูกถามชะงักไปพักหนึ่งเมื่อโดนถามคำถามอันตราย แน่ล่ะ...เขาไม่ได้ป่วยสักหน่อย

     

    “ห่วงตัวเองก่อนจะดีกว่ามั้ย” นั่นเป็นคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่สมองของพรีเฟ็คสลิธีรินจะประมวลออกมาได้ในเวลาอันน้อยนิด แม้จะยังคงแฝงความจิกกัดไว้เช่นเคย แต่ในเวลานี้มันกลับไม่ทำให้คนได้ยินรู้สึกแย่เท่าไรนัก ในทางกลับกัน...มันน่าดีใจด้วยซ้ำที่ตอนนี้พวกเขากลับมาต่อปากต่อคำกันเหมือนเดิมแล้ว จงอินที่พอจะหายมึนหัวไปแล้วชันตัวขึ้นนั่งบนเตียง ในใจรู้สึกลิงโลดเมื่อคยองซูยังคงยืนค้างอยู่ที่เดิม แม้จะรู้สึกประหลาดใจที่ได้เจอกับคยองซูในเวลานี้ก็เถอะ

     

    เขาควรจะขอบคุณร่างกายที่เลือกเวลาอ่อนแอในตอนนี้ไหม อย่างน้อยมันก็ทำให้เขากับคยองซูได้คุยกัน

     

    บทสนทนาเงียบลงหลังจากนั้น ไม่มีใครพูดอะไรออกมาจนความรู้สึกอึดอัดกลับเข้ามากั้นพวกเขาสองคนไว้อีกครั้ง ทั้งที่จงอินไม่ได้รั้งเขาไว้ แต่คยองซูก็หาเหตุผลไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่เดินออกไปจากสถานการณ์งี่เง่านี่สักที ริมฝีปากรูปหัวใจอ้าออกและหุบฉับเหมือนกับมีอะไรที่ต้องพูด ดวงตามองคนป่วยที่ยังอยู่บนเตียงด้วยความสับสน มีอะไรมากมายที่เขาอยากจะพูด อย่างเช่นเรื่องผ้าพันคอของเขาที่จงอินควรจะคืนมาเสียที หรือจะเป็นเรื่องคะแนนวิชาปรุงยาที่ออกมาได้ไม่ดีเท่าไรนัก แต่ผ่านไปนับนาทีก็ยังไม่มีประโยคใดๆออกมาจากริมฝีปากของโดคยองซู

     

    เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่


     

    พรีเฟ็คสลิธีรินหัวเสียเล็กน้อยกับอาการเหนือการควบคุมของตัวเอง เขาหันหลังให้กับอีกฝ่ายทันทีที่ได้สติ ไม่ว่าจะเรื่องผ้าพันคอหรือเรื่องคะแนนอะไรก็ไม่ควรถูกหยิบยกขึ้นมาพูดตอนนี้ทั้งนั้น เขาก็แค่สงสัยว่าจงอินป่วยเป็นอะไรเลยตามมาดูเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจจะมารื้อฟื้นเรื่องเก่าๆที่น่าหงุดหงิดพวกนั้นเสียหน่อย

     

    จงอินกับเขาควรจะจบกันไปได้ตั้งนานแล้ว

     

    อีกทางที่เห็นว่าคยองซูทำท่าจะออกไปจากห้องอีกรอบก็กัดริมฝีปากแน่น มือที่อยู่ใต้ผ้าห่มกำเข้าหากันจนเส้นเลือดปูดโปน คยองซูกำลังจะหนีไปอีกแล้ว หนีไปทั้งๆที่เขายังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ทิ้งให้จงอินถามตัวเองเหมือนทุกครั้งว่าถ้าหากตอนนั้นเขาบอกชอบคยองซูไปจริงๆ อีกฝ่ายจะรังเกียจเขามากกว่านี้ไปอีกเท่าไร ในเมื่อตอนนี้เขากับคยองซูมันเลยคำว่าหายนะไปแล้วด้วยซ้ำ

     

    “คยองซู” เสียงนั้นไม่มั่นคงเท่าไรนัก แต่ในเวลานี้เขาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ความรู้สึกรุนแรงพุ่งขึ้นมาในอก จงอินไม่แคร์ว่าคยองซูจะเกลียดเขาจนไม่มาให้เห็นหน้าอีกเลยหรือเปล่า เขาก็แค่อยากจะพูดออกไป ให้มันสมกับความเสียดายที่เขารู้สึกมาตลอดตั้งแต่วันคริสต์มาสที่ผ่านมา

     

    ให้คู่ควรกับความหวังเดียวที่ยังทำให้เขาไม่เปลี่ยนใจ

     

    เขาลองมาแล้วทุกอย่าง ทั้งแกล้ง ทั้งทำดีด้วย หรือแม้กระทั่งชวนให้ไปเที่ยวด้วยกัน ทุกสิ่งที่เขาทำมันให้ผลเหมือนกันและทำให้เขาไม่อาจรู้ได้ว่าความจริงแล้วคยองซูรู้สึกยังไงกับเขากันแน่

     

    แต่สิ่งเดียวที่เขายังไม่ลองมันจนสำเร็จคือการบอกความรู้สึกของตัวเองกับอีกฝ่ายไปตรงๆ

     

    ในครั้งนี้ จงอินจะไม่ยอมปล่อยความหวังสุดท้ายของตัวเองให้หลุดมืออีกแน่นอน

     

    “ตอนวันคริสต์มาส...ที่ฉันพูดกับนาย คงยังไม่ลืมหรอกใช่มั้ย” คยองซูไม่ตอบคำถามนั้น หากแต่ความตั้งใจที่จะออกจากห้องพยาบาลได้หายไปแล้วเมื่ออีกฝ่ายหยิบยกเรื่องยอดแย่ของเขาในปีที่แล้วมาพูดอีกครั้ง คยองซูไม่ได้หันไปมองคนถามเลยสักนิด และนั่นยิ่งทำให้จงอินรู้สึกประหม่าเข้าไปอีก

     

    “ถ้าฉันไม่ได้ล้อเล่นล่ะ”


     

    ประโยคนั้นดังสะท้อนอยู่ในอากาศ ความว่างเปล่าระหว่างพวกเขาสองคนคืออุปสรรคใหญ่ที่ทำให้จงอินรู้สึกว่าสิ่งที่เขาอยากจะพูดต่อออกมานั้นยากเกินกำลัง

     

    “ถ้าฉันรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆล่ะ” คนที่ได้ฟังยังคงเงียบแบบเดิม ไร้ปฏิกิริยาใดๆจากโดคยองซู ร่างของสลิธีรินยังคงนิ่งงัน พยายามจับใจความในสิ่งที่ได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ประโยคที่คล้ายๆคำสารภาพน่าใจเต้นนั้นยังวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดจนยากต่อการเมินเฉยเหมือนที่ผ่านมา

     

    สุดท้ายอะไรบางอย่างที่อยู่ในเบื้องลึกของจิตใจก็สั่งให้คยองซูหันไปมองอีกฝ่าย ใบหน้าตื่นๆของจงอินจ้องกลับมาที่เขา เหมือนประสาทการได้ยินของคยองซูดับไปเสียดื้อๆ -- เขาประมวลผลอะไรไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

     

    เขาจะเชื่อจงอินได้ยังไง เขาควรจะดีใจไหม

     

    แล้วถ้าดีใจ เขาจะดีใจทำไม


     

    “เฮ้ ได้ยินไหม” เสียงจงอินคล้ายดังมาจากที่ห่างไกล ใบหน้าของอีกฝ่ายดูกังวลใจอย่างรุนแรง ความซีดเซียวจากอาการป่วยทำให้ดูน่าเป็นห่วงเข้าไปอีก “ฉันควรจะบอกอีกทีมั้ยเนี่ย”

     

    “นายต้องล้อเล่นแน่ๆ” คยองซูได้ยินเสียงตัวเองแหบห้าว หัวใจเขากลับมาเต้นรุนแรงอีกครั้ง มันสั่นเขย่าอยู่ในช่องอกเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว ผิวแก้มร้อนผ่าวจนรู้สึกได้ “ตั้งใจจะแกล้งอะไรฉันอีก”

     

    “ไม่ -- ไม่ได้แกล้งแล้ว ฉันไม่ได้ล้อเล่น” จงอินลุกขึ้นมาจากเตียง แต่ก็กุมหัวทันทีที่ลุกขึ้นมา “ที่บอกว่าชอบ หมายถึงชอบจริงๆนะ”

     

    คยองซูอ้าปากจะสวนกลับ แต่เสียงกลับไม่ยอมออกจากปากอีกครั้ง ในวินาทีนั้นเอง ขอบตาของเขาก็ร้อนผ่าวอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขากัดริมฝีปากตัวเองเพื่อควบคุมไม่ให้น้ำตาร้อนๆไหลออกมา แต่ก็ทนไม่ได้ในที่สุด คยองซูหันหลังให้จงอินและเช็ดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาด้วยแขนเสื้อ เขาถูหน้าของตัวเองไปมาจนแสบไปหมด คำบางคำที่เขาไม่รู้ตัวว่ารอที่จะได้ยินมาตลอดดังขึ้นซ้ำไปซ้ำมาในโสตประสาท

     

    เขาเกลียดเวลาที่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้ เกลียดที่ต้องเสียน้ำตาให้คนโง่ๆคนหนึ่ง และเกลียดตัวเองที่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าเขาก็ชอบคนโง่ๆคนนั้นเหมือนกัน

     

    คยองซูไม่รู้ว่าตัวเองเริ่มเผลอชอบจงอินไปตอนไหน แต่จนถึงบัดนี้ เขาเพิ่งรู้ตัวอย่างจริงจังว่าเขาชอบจงอินมาตลอด เพียงแค่เขาแค่ทำเป็นว่ามันไม่เกิดขึ้นจริง -- ปีแล้วปีเล่าที่คยองซูละเลยความรู้สึกพวกนั้นโดยการตั้งตัวเป็นศัตรูของอีกฝ่าย หากแต่ปีที่ผ่านมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป การกระทำบางอย่างของจงอินปลดปล่อยสิ่งที่เขาพยายามจะขังไว้ให้หลุดรอดออกมาทีละน้อย เขาห้ามตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำแม้ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม  แค่จงอินพูดประโยคอะไรประเภทนั้นออกมาอีกรอบ หัวใจก็เต้นแรงเหมือนใกล้จะหลุดออกมาจากอก

     

    เขาบ้าไปแล้วจริงๆ

     

    “นายเป็นอะไร” เสียงของคนป่วยดูร้อนรน จงอินลุกขึ้นมาจากเตียงและชะเง้อมองคยองซูอย่างไม่แน่ใจ เขาไม่กล้าเข้าไปจับตัวอีกฝ่าย เพราะไม่รู้ว่าคยองซูจะยังรังเกียจเขาหรือเปล่า “ขอยาไหม ไหนว่าไม่สบ -- ”

     

    “นายยังโง่เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ” นัยน์ตาโตแดงก่ำ จงอินหรี่ตามองมันด้วยสมองที่ยังคงมึนและเบลอเนื่องจากพิษไข้ “บอกว่าล้อเล่นเรื่องแบบนี้ เซ้นส์อารมณ์ขันของนายต้องต่ำเตี้ยมากแน่ๆ ระหว่างนายกับหนอนฟลอบเบอร์นี่มีแค่เส้นบางๆกั้นไว้ใช่ไหม”

     

    จงอินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจำเป็นต้องตอบอะไร คยองซูทั้งตาแดง จมูกแดง แก้มก็แดงก่ำตามไปด้วย แต่ริมฝีปากรูปหัวใจนั้นพยายามอย่างสุดกำลังที่จะไม่ยิ้ม เขาพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ด้วยสมองที่ยังคงทำงานได้ไม่เต็มที่ ในหัวมีเสียงตุบๆจากพิษไข้เล่นงานอยู่

     

    “แล้วนี่บ้าหรือไง ไม่ขอยาจากมาดาม มานอนเฉยๆแล้วคิดว่าไข้จะหายเหรอ” คยองซูซ้ำเติมเข้าให้ คนโดนบ่นก็ได้แต่เกาหัวด้วยใบหน้าสับสน ดูเหมือนไม่แน่ใจว่าพรีเฟ็คสลิธีรินยังโกรธอยู่หรือเปล่า แน่นอนว่าคยองซูยังไม่ให้อภัยจงอินง่ายๆ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าใจอ่อนไปเกือบครึ่งแล้ว

     

    “ก็มาดามไม่อยู่ เลยเข้ามานอนเฉยๆ” จงอินพยายามชี้แจงด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย คนป่วยลงไปนั่งบนเตียงอีกรอบ คยองซูกอดอกและยืนมองอีกฝ่ายจากมุมสูง รู้สึกเหมือนตัวเองได้ชัยชนะจากการข่มคนที่ปกติจะแกล้งเขาได้ทุกที “สรุปนายเข้าใจหรือยังที่พูดไป”

     

    “เรื่อง?”

     

    “เรื่องที่ -- โธ่ -- เรื่องที่ฉันชอบนาย … หมายถึงชอบจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่นแล้ว”

     

    “งั้นเหรอ?”


     

    สีหน้าของคยองซูนั้นยังทำให้จงอินเดาอะไรไม่ได้เช่นเคย แต่รอยยิ้มจางๆที่มุมปากนั้นทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยการที่เขากล้าพูดความจริงออกไปก็ยังไม่ส่งผลเสียมาก อย่างน้อยคยองซูก็ไม่ได้ทำท่ารังเกียจเหมือนที่เขาคิดว่าจะเป็น

     

    แค่นี้ก็ดีมากแล้ว

     

    “อยากฟังอีกไหมล่ะ จะพูดอีก” อาจจะเป็นเพราะพิษไข้ที่ทำให้เขากล้าพูดอะไรเลี่ยนๆแบบนั้น จงอินเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าไม่ติดว่าเขาป่วย บางทีจงอินอาจจะลากคยองซูไปเคลียร์ให้จบสิ้นกันไปทีเดียวเลย “แล้วนายว่ายังไง”

     

    “ว่ายังไง?” คยองซูทวนคำถามเสียงสูง “จะให้ว่ายังไงล่ะ”

     

    “ก็แล้วแต่” ซีกเกอร์กริฟฟินดอร์ยักไหล่ และเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคนที่ทำเป็นเย็นชาอย่างอยากรู้คำตอบ คยองซูเบือนหน้าไปทางอื่น เพื่อซ่อนแก้มแดงๆของตัวเองไว้ให้พ้นจากสายตาของอีกฝ่าย

     

    “ไม่เชื่อนายมั้ง” คนตัวเล็กหันกลับมาตอบเสียงเรียบๆ แต่ยังแอบมีสั่นอยู่ช่วงท้าย “เผื่อๆนายจะล้อเล่นอีกรอบ”

     

    “นายนี่… ” จงอินถอนหายใจหนักๆ แต่คราวนี้เขาไม่โง่พอที่จะคิดว่าคยองซูหมายความตามนั้นแล้ว อะไรบางอย่างในน้ำเสียงของคู่สนทนาทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น “ปากแข็ง”

     

    “ไปละ กินยาด้วยล่ะ” คยองซูตัดบทด้วยการสาวเท้าออกจากห้องพยาบาลเสียดื้อๆด้วยบรรยากาศที่ต่างจากเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด จงอินจะถือว่าสถานการณ์อึดอัดระหว่างเขากับคยองซูที่จางลงหลังจากที่เขาบอกชอบอีกฝ่ายไปเป็นสัญญาณที่ดีก็แล้วกัน กริฟฟินดอร์คิดไว้แค่นั้นก่อนจะล้มตัวนอนอีกรอบ และแน่นอน...เขาไม่ได้กินยาอย่างที่อีกฝ่ายสั่งไว้เลยสักนิด
     

    ถ้าหายแล้วจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษของคนป่วยแบบนี้ ใครมันจะอยากหายกัน

















    --
    ฟิคมาถึงบ้านโม่งหนึ่งแล้ว เดี๋ยววันพฤหัสจะเริ่มห่อนะคะ น่าจะได้จัดส่งอาทิตย์หน้า ๕๕๕๕๕๕๕๕๕
    เมื่อวานสปอยncในทวิตกันมันส์มากค่ะ ต้นตอเกิดจากการที่มีคนๆนึงมาถามนี่ในaskว่าจะมีเอ็นซีมั้ย
    แล้วก็ยาวๆเลย (จะกระซิบอีกรอบว่ามีฉากจงอินอยู่ล่าง) ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
    ช่วงนี้มือซ้ายฟีเวอร์ค่ะ เมื่อวานมีแต่คนเมนชั่นรูปมือมาให้เราดูลายมือให้ คือเราไม่ได้ดูเป็นขนาดมืออาชีพนะคะ
    รู้มาบ้างเพราะที่บ้านดูเป็นแค่นี้ อย่าเชื่อ100%นะคะคนที่เราดูให้ เพราะมันยังมีปัจจัยอื่นๆอีกที่อาจจะทำให้มันไม่ตรง
    ตอนนี้ปวดตามากเยย ไปละ ถ้าตัวโม่งสองถึงฟิคเมื่อไรจะถ่ายรูปอวด อิ้อิ้ /โดนเตะ
    โม่งที่หนึ่งไม่ไหว ฉันเต็มใจขอเป็นแค่ที่สอง

    - - - -


    มาสังเวยให้กับโมเม้นไคซูค่ะ แบบน่ารักอะ สลับกันเอียงคอมองกัน แถมคยองซูกอดจงอินอีก

    me/หายใจฮืดฮาด นี่เห็นแล้วแบบยิ้มไม่หุบอ่ะ โมเม้นนางอิ่มมาก เปรมมาก รู้สึกเติมเต็มชีวิตติ่งได้มากๆ
    คือรอโมเม้นมาตั้งแต่วันเริ่มคอน ในที่สุดค่ะ สังคมก็เห็นใจแม่ยกอย่างอิชั้นซะที /ปาดน้ำตา
    มีแต่คนถามว่าเมื่อไรจะnc งือ ทุกคนคะใจเย็น ฟิคเรื่องนี้ใสๆ น้ำกลั่นมากบอกเลย
    ตอนนี้รูปเล่มพรีวิวมาแล้ว ขอเสนอโปสเตอร์งานเจนวายนะคะ บูธ A3-4 ค่ะ มาแนวฮิปสเตอร์ โม่งอิสแฮปปี้ค่ะ
    ใครที่ไปสามารถมาตบโม่งได้ ไม่หนีไปไหนแน่นอน ๕๕๕๕๕๕๕๕
    ปล ใครที่ยังไม่ได้โอน ยังโอนได้ถึงวันที่20 มีนานี้นะคะ เช็คสถานะกันได้ที่ลิ้งเดิมน้า (แต่โอนมาก่อน20ดีกว่าเพราะโม่งจะห่อฟิคกันวันที่20 ไม่อยากให้ได้เล่มช้า ๕๕๕๕๕๕๕)




    โม่งสอง อิสแฮปปี้,

    โม่งสอง อิสแฮปปี้






    ตอนนี้เฉงมากๆ
    โม่งหนึ่งกล่าวไว้ แต่โม่งสองพิมพ์ให้ค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×