ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { fic } Call it MAGIC | Kaido #ฟิคคนที่คุณก็รู้ว่าไค

    ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 11

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.14K
      51
      5 ก.พ. 58

    11





    “ล้อเล่นน่ะ ฉันไม่คิดจะคบกับนกฮูกหรอกนะ”



    ริมฝีปากรูปหัวใจที่ยังไม่ทันได้ยกยิ้มกลับถูกหยุดเอาไว้ด้วยคำพูดจากคนที่สร้างมันขึ้นมา แววตาที่เคยวูบไหวเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยดังเดิม คำพูดทีเล่นทีจริงของอีกฝ่ายนั้นรวนการทำงานของร่างกายคยองซูไปเสียหมด จากที่เคยเยือกเย็นก็กลับกลายเป็นร้อนผ่าว จากที่เคยมั่นคงกลับวูบไหว และเขาก็ยังคงไม่เข้าใจอาการแบบนั้นของตัวเองเลยสักนิด



    เหมือนถูกผลักตกจากที่สูง คยองซูข่มความรู้สึกมวนในห้องน้อยเอาไว้ เขาเบือนสายตาขึ้นมองคนที่ดูเหมือนจะทำหน้าล้อเลียนได้อย่างไม่รู้สึกรู้สา -- ล้อเล่น? ไม่ผิดเลย ไม่แปลกเลยที่จะออกมาในรูปแบบนี้ ยังไงคนอย่างคิมจงอินก็ไม่เคยทำอะไรดีๆกับเขาได้อยู่แล้ว



    หัวคิ้วของเขาขมวดแน่นเสียจนปวด ความรู้สึกร้าวลึกในอกกำลังเล่นงานเขาให้ทรมาน -- โดยที่เขาไม่เข้าใจเลยว่าจะทรมานไปเพื่ออะไร เสียหน้าที่ถูกแกล้งด้วยวิธีบ้าๆแบบนี้น่าจะเป็นสาเหตุของทั้งหมด



    “ทำหน้าแบบนั้น นี่จริงจังเหรอ”จงอินยังคงถาม มือใหญ่ดึงผ้าพันคอสีเขียวของตัวเองไปมา”อย่าบอกนะว่านายคิดจริงจัง?”



    “งี่เง่าน่า”คยองซูตอบกลับเสียบนิ่งๆ “สุดท้ายก็แค่มุกตลกวันคริสมาสต์ -- มุกงี่เง่าสุดๆ”



    “จะบอกอะไรให้ เมื่อกี้นายทำหน้าเหวอชนิดที่ว่าสี่ปีที่ผ่านมารวมกันยังไม่เหวอเท่านี้เลย”จงอินยิ้ม และเอื้อมมือมาหาเขา จะลูบหัว หรือจะอะไรก็ตามแต่ คยองซูไม่ได้รอรับสัมผัสนั้น เขาเบี่ยงตัวหนีด้วยความรู้สึกเลวร้ายที่สุมอยู่ในใจ แน่นอนว่าคยองซูไม่ได้พอใจเลยสักนิดกับการล้อเลียนของอีกฝ่ายที่พัฒนาไปอีกขั้น ลูกมักเกิ้ลคนนั้นพยายามมากจริงๆที่จะเห็นสีหน้าเหวอของเขาให้ได้ พยายามมาก...จนพูดอะไรโง่ๆออกมา “นี่อย่าบอกนะว่ายังตกใจอยู่”



    “แค่คิดว่านายจะชอบฉัน ฉันก็รู้สึกได้ว่าความรักจากเลือดสีโคลนอย่างนายกำลังทำให้ฉันแปดเปื้อน”คยองซูเชิดหน้าขึ้น ริมฝีปากยกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันให้อีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะเบือนหน้ามองแสงสีส้มจากเปลวเทียนในชุดเกราะ จ้องราวกับมันจะออกสอบปลายเทอม ”ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม”



    “อืม คงไม่มีแล้ว”จงอินตอบ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะชะงักท่าทีไปเล็กน้อย คยองซูกำมือแน่นก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ”สุขสันต์วันคริสต์มาส -- อีกรอบ”



    คยองซูไม่คิดว่าตอนนี้ตัวเองจะอารมณ์ดีพอที่จะยิ้มกว้างๆให้คิมจงอิน แล้วบอกว่า ‘สุขสันต์วันคริสต์มาส! ขอบใจนะที่เล่นตลกให้ดู ขำจนแทบหายใจไม่ออก’ เขาหันหลังให้อีกฝ่ายและเดินกลับห้องนั่งเล่นรวมของตนเอง ตั้งใจแน่วแน่ว่าต่อให้จงอินโดนคำสาปพิฆาต ก็จะไม่มีวันหันหลังกลับไปมองเป็นอันขาด




    คยองซูเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น จนใกล้คำว่าวิ่ง เขาต้องทำยังไงก็ได้ให้ออกมาพ้นจากระเบียงทางเดินนั้น -- ทำยังไงก็ได้ให้พ้นหน้าคิมจงอิน ประโยคบอกเล่าจอมปลอมของอีกฝ่ายยังคงก้องอยู่ในหัวเป็นพันๆรอบ ทั้งที่ไม่ควรค่าต่อการเก็บเอามาคิดแต่คยองซูกลับไล่มันออกไปจากสมองไม่ได้ อาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่คยองซูถูกใครสักคนบอกว่าชอบ เป็นครั้งแรกที่คิมจงอินแกล้งเขาได้สำเร็จ หรืออาจเป็นครั้งแรก...ที่เขาถูกล้อเล่นเรื่องหัวใจ เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดเมื่อครู่ถึงตามมาหลอกหลอนเขาซ้ำๆ จนเขารู้สึกเหมือนช่องว่างทุกตารางนิ้วในอกกำลังถูกคำสาปกรีดแทงเล่นงาน



    บรรยากาศในห้องนั่งเล่นของสลิธีรินนั้นเงียบเชียบ คนอื่นๆคงกำลังฉลองมื้อเย็นวันคริสต์มาสอยู่ด้านนอกซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี ความอุ่นจากเตาผิงทำให้คยองซูปลดผ้าพันคอออก ก่อนที่เจ้าตัวจะชะงักลงเมื่อเห็นว่ามันไม่ใช่ผืนเดิมที่เขาใช้เป็นประจำ แต่กลับเป็นของขวัญวันคริสต์มาสจากคิมจงอิน และนั่นยิ่งทำให้ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยบึ้งตึงเข้าไปอีก



    มือบางวางผ้าพันคอสีแดงสดลงบนเตียงก่อนที่คยองซูจะทิ้งตัวตามมันลงไป ในหัวครุ่นคิดนึกหาสาเหตุว่าอะไรที่ทำให้คิมจงอินดูจะจงเกลียดจงชังและมีปัญหากับเขาเหลือเกิน ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันก็ไม่เคยพูดดีๆใส่กันเลยจนกระทั่งวันนี้ หาเรื่องนัดมาแลกของขวัญ สร้างมิตรภาพที่ไม่เคยมีอยู่จริงเพียงชั่วครู่ก่อนจะบอกชอบและปฏิเสธในวินาทีถัดไป หลอกให้ตายใจแล้วล่อเข้าสู่กับดักที่เจ้าตัววางไว้อย่างร้ายกาจ



    ถ้าหากคิมจงอินใช้วิธีนี้เพื่อพิสูจน์ว่าคนอย่างโดคยองซูสามารถเจ็บปวดกับอะไรได้หรือไม่ เขาก็อยากจะแสดงความยินดีกับอีกฝ่ายที่หาคำตอบได้สำเร็จ




    คุณหนูในตระกูลที่ยิ่งใหญ่นั้นเติบโตขึ้นมาด้วยบรรยากาศที่ล้อมรอบไปด้วยความรักและความเกลียดชัง ความรักจากคนใกล้ชิด และความเกลียดชังจากคนรอบข้าง บ้างก็เกลียดเพราะไม่ชอบครอบครัวของเขาก็มี แน่นอนว่าคิมจงอินไม่ใช่คนแรกหรอกที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบเขา แต่ก็ต้องขอบคุณคนเหล่านั้นที่ทำคยองซูเข้มแข็งขึ้นมาได้ มิตรภาพจอมปลอมจากคนที่นินทาเขาลับหลังทำให้คยองซูรังเกียจคนพวกนั้นเสียเต็มประดา สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะเชื่อใจคนสำคัญไม่กี่คนในชีวิต เรียนรู้ที่จะเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย แต่ดูเหมือนคิมจงอินจะลืมไปว่าเขาเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากคนอื่น



    ถึงได้กล้าทำอะไรงี่เง่าแบบนั้นใส่เขา




    อย่าบอกนะว่านายคิดจริงจัง?’



    ประโยคที่เพิ่งได้ยินย้อนกลับมาในห้วงความคิดอีกครั้ง ถ้าเขาคิดจริงจังแล้วจะเกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นหรือ ยังไงซะทุกอย่างก็เป็นเรื่องล้อเล่น ...ล้อเล่นสำหรับคิมจงอิน แต่สำหรับเขา ความเจ็บปวดในอกเป็นตัวบอกว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นตามไปด้วย



    คยองซูยกมือขึ้นปิดหน้า กระบอกตาร้อนผ่าว แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา คยองซูหายใจเข้าลึกๆช้าๆ หวังว่ามันจะทำให้เขาบรรเทาอาการความเจ็บปวดไปได้บ้าง แต่ดูเหมือนจะไร้ผล



    เขารู้สึกเหมือนกำลังจะร้องไห้ แต่โดคยองซูไม่ควรร้องไห้เพราะเรื่องงี่เง่าแบบนี้ ไม่ควรเลยซักนิด




    เสียงฝีเท้าดังขึ้นไกลๆ คยองซูกระชากม่านปิดและล้มตัวลงนอน เขาไม่ต้องการให้ใครเห็นสภาพเขาตอนนี้ แม้จะเป็นโอเซฮุนก็ตาม แต่ถึงอย่างไรรายนั้นก็คงไม่ผลีผลามเข้ามาทักทายอะไรเขาตอนนี้แน่นอน



    ตอนนี้ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวทีเถอะ





    คยองซูได้ยินเสียงม่านเปิด เขาหลับตาลง ทำเป็นหลับเพื่อตัดปัญหาการริ่มบทสนทนาใดๆ คนบุกรุกเข้ามายังคงเงียบจนคยองซูต้องหรี่ตาด้วยความอยากรู้ หัวใจเขากระตุกน้อยๆเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนเข้ามาทักตอนนี้ ..พี่ชายของเขาเอง



    “เป็นอะไรหรือเปล่า?”เสียงถามไถ่ของอีกฝ่ายดังขึ้น มือใหญ่เอื้อมมาลูบผมเขา และดันหนังตาเบาๆให้เปิด คยองซูยินยอมลืมตาขึ้นมา และเห็นใบหน้าของพี่ชายที่มีแววความกังวลใจแฝงอยู่ในนั้น คริสนั่งลงบนเตียง กัปตันทีมสลิธีรินมองเสี้ยวหน้าของน้องชายด้วยความเป็นห่วง



    เมื่อกี้คยองซูเดินพรวดพราดเข้ามาในหอโดยที่ไม่สนใจเขาเลยด้วยซ้ำ ดวงหน้าขาวเผือดนั่นซีดเกินกว่าปกติ ท่าทางของน้องชายที่ปกติจะเก็บทุกอารมณ์ความรู้สึกไว้ใต้กำแพงของตัวเองนั้นเปลี่ยนไป ถึงแม้จะเพียงนิดเดียว คริสก็สามารถจับความเปลี่ยนแปลงนั้นได้ ..ก็ในเมื่อคยองซูคือน้องชายคนเดียวของเขา



    คนเป็นน้องส่ายหัวไปมา ตายังคงปิดแน่น แต่สำหรับคนที่เห็นกันมาทั้งชีวิตนั้น กิริยาแบบนี้ไม่ได้มีความหมายไปทางปกติเลยซักนิด มือใหญ่ของพี่ชายวางทับลงบนศีรษะของคยองซูและลูบเรือนผมเบาๆ สัมผัสที่อ่อนโยนทำเอาความรู้สึกที่เก็บกดอยู่ข้างในทะลักออกมาอย่างแรง คยองซูเม้มปากแน่น ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมามองคริส



    น้ำตาหยดเล็กไหลลงมาตามหางตา คริสตัวเย็นวาบด้วยความตกตะลึง อันที่จริง ตอนที่ยังเป็นเด็ก คยองซูก็ไม่ใช่เด็กที่ร้องไห้หรือแสดงอารมณ์บ่อยมากนัก ถึงจะเสียใจแค่ไหนเจ้าตัวก็ทำเพียงนิ่งเฉย อย่างมากก็แค่เงียบไปเป็นวัน -- แต่ไม่เคยร้องไห้แบบนี้



    “คยองซู -- เป็นอะไร”คริสถามเสียงเครียด คยองซูเบิกตากว้าง คนตัวเล็กส่ายหน้าและพยายามใช้หลังมือปาดน้ำตาออก แต่ดูเหมือนยิ่งปาดออก น้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาเรื่อยๆ ความรู้สึกภายในที่กักเก็บมาตลอดหลายปีกำลังระเบิดออกภายในวันนี้วันเดียว เพราะการกระทำที่งี่เง่าที่สุดของคิมจงอิน



    ทำไมเขาต้องร้องไห้เพราะคิมจงอิน ทำไมเขาต้องเจ็บปวดเพราะเรื่องราวโง่ๆแค่นี้ ก็แค่การกลั่นแกล้งธรรมดาอย่างเคย ไม่ควรเก็บมาใส่ใจเสียด้วยซ้ำ



    แต่เขาทนความเจ็บปวดที่กำลังทำร้ายเขาอยู่ไม่ได้จริงๆ





    “ไม่มีอะไร”เสียงที่ออกมาจากปากทั้งสั่นและแผ่วเบา คยองซูดันมือของคริสออก แต่ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้”ไม่มีอะไรจริงๆ --”



    จบคำปฏิเสธนั้น คยองซูก็พูดต่อไม่ออก เขาหุบปากลง กลืนก้อนสะอื้นลงคอไปอย่างเงียบๆ แต่ถึงแบบนั้นน้ำตาก็ยังไม่หยุดไหลออกมา คริสลังเล ก่อนที่จะถามคำถามขึ้นมาอีกครั้ง



    “..บอกพี่มาได้นะ แต่ถ้าไม่อยากก็ไม่เป็นไร”คริสพึมพำ มือก็ยังคงลูบหัวอีกฝ่ายเป็นการปลอบประโลม คริสลอบมองผ้าพันคอในมือของน้องชายนิ่ง สีสันสะดุดตาของมันทำให้เขาพอจะเดาเรื่องราวได้รางๆว่าคงเกี่ยวกับเด็กกริฟฟินดอร์ที่ไปฮอกส์มี้ดกับคยองซูด้วยวันนั้น คยองซูยังคงกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ รอจนกว่าจะอารมณ์เย็นลงถึงได้ยอมเปิดปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คริสฟัง โดยที่ละเว้นเรื่องที่เขายอมให้จงอินจูบเอาไว้ ถึงแม้จะไม่แน่ใจนัก แต่คยองซูคิดว่าคงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าหากคริสจะรู้เรื่องนั้น





    คริสนั่งฟังเรื่องราวจากปากน้องชายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ คยองซูเล่าไม่ยาวนัก เล่าเพียงแค่จงอินพูดอะไร เล่นอะไร แต่ไม่บอกว่าทำไมถึงเสียใจขนาดนี้ พอเล่าเสร็จก็กลับไปนั่งซึมต่อ สายตาที่แฝงความเจ็บปวดอย่างชัดเจนกำลังทำให้คริสรู้สึกโกรธขึ้นเรื่อยๆ ...การที่คยองซูแสดงออกว่าเจ็บปวดมากขนาดนี้ มันแปลว่าน้องชายเขาเสียศูนย์ให้ไอ้เด็กบ้านกริฟฟินดอร์คนนั้นมากแค่ไหน



    แล้วการล้อเล่นจากคนๆเดียวที่สามารถเรียกได้ว่าสนิทกับคยองซูไล่เลี่ยกับโอเซฮุน ถึงแม้จะเป็นการล้อเล่น -- แต่การดึงความรู้สึกมาหักหน้ากันตรงๆแบบนี้ก็ถือว่าจงอินไร้หัวคิดสิ้นดี คยองซูอยู่กับเขามาตั้งแต่เกิด เขาแทบไม่เคยทำให้น้องเสียใจ และไม่เคยมีใครกล้ามาทำกับคยองซูแบบนี้ และแน่นอนว่าคริสไม่พอใจเลยซักนิด




    สาบานด้วยเกียรติของสลิธีรินเลยว่าจงอินจะได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม










     

    จงอินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ชานยอลมาบอกว่าคริสอยากเจอเขา หนึ่งทุ่มครึ่งให้ออกไปเจอกันที่ห้องเรียนปีกตะวันตก ชั้นสี่ ด้วยอารมณ์แปรปรวนของเขา ทำให้จงอินเผลอตอบตกลงไปโดยไม่คิดอะไร ความคิดมากมายวิ่งวนกันไปมา ชานยอลเองก็มีท่าทีแปลกไป เพื่อนสนิทของเขาดูเหม่อๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงกระนั้น จงอินก็ไม่คิดจะถามอะไร เพราะในใจเขาเองก็มีเรื่องให้คิดเหมือนกัน


     

    เขาจมอยู่ในห้วงความคิดอยู่นานเสียจนลืมออกไปกินอาหารเย็น จงอินนอนจมอยู่ในโซฟาข้างเตาผิง อากาศอุ่นสบายน่าหลับ แต่เขาก็หลับไม่ลงอยู่ดี จนกระทั่งนาฬิกาข้อมือของเขาตีบอกเวลาหนึ่งทุ่มสิบห้านาที จงอินถึงได้ลุกแบบซังกะตายออกจากหอพักไป ชานยอลเองก็เดินตามมาด้วย เขาอยากถามหาเหตุผลกับเพื่อน แต่ในตอนนี้ แค่จะเปิดปากพูดจงอินยังไม่มีแรงทำเลยด้วยซ้ำ


     

    เขาปีนผ่านรูปสุภาพสตรีอ้วนออกมา และเดินไปตามระเบียงทางเดิน ฮอกวอตส์เงียบสงัดเนื่องจากนักเรียนที่ยังอยู่ที่นี่ในวันคริสมาสต์นั้นมีน้อยเหลือเกิน เขาเลยไม่จำเป็นต้องเดินหลบหลีกใครมากนัก ตอนนี้จงอินยังไม่พร้อมจะพูดคุยกับใคร เรื่องตอนเย็นกำลังรุกรานพื้นที่ความคิดของเขาเกือบทั้งหมดจนคิดอะไรอื่นไม่ได้เลย


     

    เขามองเข้าไปในห้องเรียนว่างทางซ้ายมือ ชานยอลแตะบ่าเขา และพยักเพยิดให้เข้าไปหาคริสที่นั่งอยู่บนโต๊ะ


     

    “ไม่เข้าไปด้วยกันเหรอ” จงอินกระซิบถามเพื่อนสนิทที่ทำท่าลังเลอยู่หน้าห้อง นัยน์ตาของชานยอลเป็นประกายประหลาด ชานยอลทำท่าเหมือนอยากจะก้าวตามไป แต่สุดท้ายเจ้าตัวส่ายหัวรัวเร็วและดันเพื่อนสนิทให้เดินเข้าห้องไป


     

    คริสหันหน้ามามองเขา เสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายตกอยู่ในเงามืดเกือบทั้งหมดจนเขามองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทำสีหน้าแบบไหน จงอินชะลอฝีเท้าอย่างระวังตัว เขาหยุดอยู้ห่างจากอีกฝ่ายประมาณสองเมตร ความเงียบเกิดขึ้นและกระจายตัวขั้นกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย

     

    “..พี่มีอะไรจะพูด?” จงอินเป็นคนทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน ส่วนหนึ่คือเขารู้สึกกดดันกับบรรยากาศขุ่นมัวที่แผ่ลงมารอบๆ คริสไม่ตอบ รุ่นพี่ปีหกลุกขึ้น และเดินเข้ามาใกล้จงอินจนห่างกันไม่ถึงเมตร จงอินเผลอก้าวถอยหลังไปนิดหน่อย อีกฝ่ายดูไม่น่าไว้ใจ


     

    เขาไม่รู้ว่าคริสเรียกเขามาด้วยเรื่องอะไร แต่มันไม่ใช่เรื่องที่อีกฝ่ายจะใช้ความอาวุโสมาทำตัวข่มขู่หรือกดดันเขาแบบนี้
     

     

    “นายทำอะไรไว้กับคยองซู” เสียงของสลิธีรินอีกคนนั้นราบเรียบ ไม่มีแววของอารมณ์ใดๆ อีกนัยหนึ่ง มันเหมือนคลื่นน้ำสงบนิ่งที่ซ่อนพายุร้ายไว้ข้างใต้ จงอินขมวดคิ้ว  ในหัวประมวณความคิดอย่างรวดเร็ว ..เขาทำอะไร? เขาก็แค่ล้อเล่น หรือคยองซูจะโกรธเกลียดเขามากจนต้องวิ่งไปฟ้องพี่ชายว่าโดนคิมจงอินสารภาพรักแล้วหักหลัง


     

    ให้ตายเถอะ คยองซูรังเกียจเขามากขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?


     

    “หมายถึงอะไร” จงอินแกล้งโง่ไว้ก่อนเพื่อรอดูท่าทีอีกฝ่าย คริสหรี่ตา เริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ ที่ต้องมาทนเห็นจงอินลอยหน้าลอยตาทำหน้าไม่รู้สึกผิดอยู่แบบนี้ทั้งที่น้องชายของเขามีสภาพน่าสงสารขนาดนั้น จงอินยกมือขึ้นกอดอก ปัดความรู้สึกประหม่าที่ก่อขึ้นในจิตใจทิ้ง “บอกมาให้ชัดๆ ดีกว่ามั้ง จะให้ตอบเอง เดี๋ยวไม่ถูกใจจะเซ็งเสียเปล่า”


     

    ยังไงเรื่องราวไม่ลงรอยกันของเขากับคยองซูก็เยอะอยู่แล้ว ถ้าจะให้ตอบก็คงไม่หมด ยิ่งคยองซูวิ่งไปฟ้องพี่ชายให้มาเคลียร์กับเขาแทนยิ่งชัด เขาคงคิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากว่าคยองซูคงเกลียดเขาจนไม่อยากจะเห็นหน้าอีก


     

    “ฉันเข้าใจถูกสินะที่ว่าพวกกริฟฟินดอร์มีแต่กำลัง สมองไม่มี” คริสตอบเสียงเย็น เขาเห็นสายตาท้าทายจากอีกฝ่าย สายตาของความอวดดีที่มาผิดที่ผิดเวลา “ผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงไม่น่าจะโง่ขนาดลืมได้ขนาดนี้


     

    “เรื่องนี้สินะ” จงอินพยายามทำเสียงไม่ใส่ใจ ทั้งๆ ที่หัวใจกระตุกวูบเมื่อเขาต้องหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อตอนเย็น ในอกวูบโหวงอย่างไร้สาเหตุ “ทำไมล่ะ?”


     

    “ทำแบบนั้นทำไม”


     

    “แล้วทำไมต้องบอก”


     

    “คิมจงอิน” คริสคำรามเสียงต่ำ จงอินเองก็เดาะลิ้นรอประโยคต่อมาอย่างกวนประสาท ความโกรธในตัวคนเป็นพี่ชายยิ่งพุ่งขึ้นสูง ..การที่น้องชายเขาต้องมาร้องไห้เพราะคนแบบนี้ถือว่าไม่สมควรเลยจริงๆ ยิ่งเห็นคิมจงอินยังไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่ทำลงไป ทั้งๆที่เรื่องงี่เง่านั่นกำลังทำให้น้องชายเขาเสียใจ คริสก็ยิ่งรู้สึกถึงอุณหภูมิในร่างที่สูงขึ้นเรื่อยๆ “ฉันให้โอกาสนายพูดอีกครั้ง นายคิดบ้าอะไรอยู่ถึงล้อเล่นไปแบบนั้น”


     

    “แล้วน้องนายไม่มาถามเองล่ะ” จงอินว่า คิ้วกระตุกด้วยความโมโหที่พุ่งขึ้นมาเหมือนกัน เขาล้อเล่น ใช่ ล้อเล่นแล้วทำไม ปล่อยให้จบๆ ไปไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน? ต้องวิ่งไปฟ้องพี่ชายให้มาดุด่าเขาเหมือนเป็นเด็กนี่นะ? ถ้าเกลียดเขามากก็มาเจอกันซึ่งๆ หน้า ไม่เห็นต้องหลบอยู่หลังเสื้อคลุมพี่ชายแบบนี้ “หรือขี้ขลาดจนต้องให้พี่ชายมาคุยเอง จะกล่าวหากันก็ไม่กล้ามาด้วยตัวเอง -- ”
     

     

    “คิมจงอิน ฉันขอเตือน” ระดับความโกรธของคริสกำลังพุ่งขึ้นเรื่อยๆ เสียงของสลิธีรินต่ำลง ใบหน้าที่เหมือนรูปสลักนั่นกำลังเปลี่ยนอารมณ์ กรามขบกันแน่น ยิ่งในหัวฉายภาพโดคยองซูร้องไห้ ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกความโกรธแผดเผา คริสไม่ใช่คนใจเย็นนัก เช่นเดียวกัน… เขาไม่ใช่คนที่จะให้โอกาสใครซ้ำสอง ซึ่งซีกเกอร์บ้านกริฟฟินดอร์คนนั้นได้ทิ้งโอกาสที่เขาให้ไปแล้ว


     

    “ -- ทำไม กับอีแค่สารภาพรักนี่น่ารังเกียจขนาดต้องให้พี่ชายมาคุยเลยงั้นเหรอ อย่าบอกนะว่าคิดจริงจังจริงๆ จนไม่กล้ามาเจอ ไม่คิดเลยว่าคุณชายโดคยอง -- ”


     

    จงอินไม่มีโอกาสพูดจนจบ แสงสีขาวพร่าขึ้น ก่อนที่ความรู้สึกแสบร้อนบางประการจะวาบผ่านเขาไป คริสชี้ไม้กายสิทธิ์ตรงมาที่เขา ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ดุดันที่แม้แต่คิมจงอินยังนึกกลัว แต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรต่อ จงอินก็ทรุดตัวลงด้วยความเจ็บปวด บาดแผลเหวอะขนาดใหญ่ตัดผ่านสีข้างของเขาไป เลือดสีเข้มซึมออกมาจนเปรอะเสื้อยืด


     

    คริสลดไม้กายสิทธิ์ลง ทำสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่ทำไปเมื่อครู่ เขาเพิ่งใช้คำสาปกับจงอินลงไป -- และไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องผิดพลาดอะไรทั้งนั้น เสียงครางด้วยความเจ็บปวดของจงอินเป็นเพียงเสียงเดียวที่ดังอยู่ในห้อง


     

    สมควรแล้ว สมควรกับสิ่งที่จงอินทำลงไปแล้ว



     

    “จงอิน!” ชานยอลวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้อง ใบหน้าของบุคคลที่สามซีดขาว จงอินหายใจหอบอย่างน่ากลัว ชานยอลกดปากแผลอีกฝ่ายไว้และหันมาจ้องหน้าคริสอย่างไม่อยากเชื่อ “พี่คริส...”


     

    “ช -- ชานยอล” จงอินพยายามส่งเสียงเรียกเพื่อน หน้าตาเหยเกด้วยความเจ็บ ชานยอลกระชากผ้าพันคอของตัวเองออกมาแล้วพันรอบแผลให้แน่น ปากก็พร่ำพูดกับจงอินว่าจะไปเรียกอาจารย์มาให้ ก่อนที่ชานยอลจะออกไป เจ้าตัวเหลือบมองตัวต้นเหตุแวบหนึ่ง ก่อนที่จะหลบตา ตอนนี้เขาต้องรีบไปตามอาจารย์มาช่วยจงอินก่อน


     

    อยู่ๆ ชานยอลก็คิดขึ้นมาว่าเหมือนเขาไม่เคยรู้จักคริสเลยซักนิด








     

    เหตุการณ์หลังจากจงอินโดนทำร้ายนั้นชวนให้สับสนนิดหน่อย เนื่องจากเขาขาดความสามารถในการประคองสติรับรู้ (เขารู้แค่ว่า โอ๊ย -- เจ็บสุดๆ) เขาถูกรักษาโดยศาสตราจารย์ซีวอน และตอนนี้ก็มานอนพักรักษาตัวอยู่ในห้องพยาบาล มาดามลี่อินบอกว่าโชคร้ายหน่อยที่รอยแผลเป็นที่สีข้างจะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต เนื่องจากเป็นบาดแผลที่เกิดจากคำสาป และโชคดีที่คริสเล็งพลาดไปนิดหน่อย ถ้าหากโดนส่วนอื่นของร่างกายเข้าล่ะก็ มีหวังเขาเสียเลือดหมดตัวก่อนถึงห้องพยาบาลแน่นอน
     

     

    สุดท้ายวันหยุดช่วงคริสมาสต์ที่ควรจะได้สนุกกับการปาหิมะ กินอาหารในห้องโถงใหญ่ เขากลับต้องมาใช้เวลาส่วนมากในการนอนมองเพดาน คุยกับเพื่อนไม่กี่คนที่แวะมาเยี่ยมตลอดสองสามวันหลังจากนั้น มาดามลี่อินบอกว่าเขาต้องนอนห้องพยาบาลราวๆ หนึ่งอาทิตย์ เป็นอันว่าถ้าเขาได้ออกจากนี่นั่น จะเหลืออีกสองวันถึงจะเริ่มเทอมใหม่ เรื่องที่เขาถูกทำร้ายจนต้องนอนห้องพยาบาลยังไม่แพร่กระจายออกไปมากนัก อาจจะเพราะตอนนี้ยังปิดเทอมอยู่ ดังนั้นคนที่รู้เรื่องมีเพียงชานยอล แทมิน ลู่หาน กับเพื่อนอีกสองสามคนที่มาเยี่ยมเขาเท่านั้น


     

    เขาได้ยินว่าคริสถูกกักบริเวณหนึ่งเดือนเต็ม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสมควรแล้วหรือยังกับสิ่งที่พี่ชายของคยองซูได้ทำลงไป ทุกคนที่เขาคุยด้วยหลังเกิดเรื่องล้วนแต่เห็นว่าสิ่งที่คริสทำมันมากเกินไป การล้อเล่นกับโดคยองซูเป็นเหตุผลที่ไร้น้ำหนักสำหรับการใช้คำสาปที่รุนแรงถึงขนาดทำร้ายร่างกาย กลายเป็นว่าภาพพจน์ของตระกูลอู๋ในตอนนี้กำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ ใครหลายคนที่รู้เรื่องต่างไม่กล้าเข้าใกล้สองพี่น้องพรีเฟ็คสลิธีริน...สองพี่น้องตระกูลสูงศักดิ์ที่ใครก็แตะต้องไม่ได้



     

    “นี่ ไม่คิดจะกินอะไรหน่อยรึไง เดี๋ยวก็ไม่หายหรอก” รุ่นพี่เรเวนคลอปีหกที่ยืนอยู่ข้างเตียงเอ่ยกระเซ้า ลู่หานเองก็เป็นอีกคนที่อยู่ฮอกวอตส์ตอนคริสมาสต์ เขาได้ข่าวว่าจงอินเข้าห้องพยาบาลเลยตั้งใจมาหา แต่พอฟังเรื่องเล่าจากอีกฝ่ายก็ได้แต่ตกใจ ไม่นึกว่าคริส เพื่อนร่วมชั้นปีจะกล้าใช้คำสาปที่รุนแรงขนาดนั้นกับรุ่นน้อง แต่จงอินก็อยู่ในสภาพปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าไม่นับแผลตรงสีข้างก็คงพูดได้เต็มปากว่าเด็กกริฟฟินดอร์คนนั้นสบายดี


     

    “อยากกินอะไรที่ไม่ใช่ข้าวโอ๊ตต้มบ้าง เบื่อจะตายอยู่แล้ว”


     

    “รอดตายได้แค่นี้ทำเป็นเก่ง กินๆ เข้าไปเถอะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็ได้ไปนอนกอดนกฮูกที่หอแล้ว” ลู่หานหรี่ตามองรุ่นน้องพร้อมกับให้กำลังใจ แม้จะเป็นการให้กำลังใจที่ดูจะแข็งกระด้างหน่อยๆแต่ก็ดูเหมือนจะได้ผลดีไม่น้อย เมื่อจงอินตักอาหารเย็นเข้าปากเสียที


     

    “คริสมาสต์ปีนี้ที่โลกมักเกิ้ลเป็นยังไงมั่ง”


     

    ฉันจะรู้ได้ยังไง ก็ติดอยู่ที่นี่เหมือนนายนั่นแหล่ะลู่หานตอบ พลางพลิกนิตยสารฟุตบอลในมือไปมา “ไหน ขอดูแผลหน่อย”


     

    จงอินเลิกเสื้อให้ดูรอยแผลเป็นที่ยังคงมีสะเก็ดติดอยู่ มาดามลี่อินเตือนเขาว่าห้ามขยับตัวมาก บาดแผลจากคำสาปจะไม่สมานตัวทันทีในการรักษา จงอินเคยคิดถึงความสามารถของเวทมนตร์ในการรักษาโรคต่างๆ ที่ยุ่งยากสำหรับมักเกิ้ล เช่นสมานแผลมีดบาดได้ภายในวินาทีเดียวหรือซ่อมกระดูกหักได้โดยง่าย แต่เขาลืมไปว่าเหล่าพ่อมดแม่มดนั้นต่างมีโอกาสเสี่ยงที่จะเจออันตรายร้ายแรงกว่ามักเกิ้ลมากนัก (เขาเคยเห็นนักเรียนที่ป่วยเป็นโรคจุดกระจาย ไม่น่าดูเลยแม้แต่น้อย)


     

    “นี่เพิ่งเข้าวันที่สาม ขยับแล้วยังเจ็บๆ” จงอินเบ้หน้า แล้วปิดเสื้อกลับคืนที่เดิม “ดีนะไม่เฉือนเข้ากลางอก ไม่งั้นป่านนี้คงได้ลงไปนอนคุยกับรากต้นวิลโลว์จอมหวดแล้ว”


     

    “จงอิน จะว่าอะไรไหมถ้าหากจะถามเรื่องนี้” จู่ๆ สีหน้าของลู่หานก็เครียดขึ้นกะทันหัน จงอินเลิกคิ้วน้อยๆ และผงกหัวเป็นเชิงอนุญาต ถึงแม้ว่าเขายังไม่รู้ว่าเรื่องที่ลู่หานจะถามคืออะไร “ทำไมคริสถึงสาปนาย”


     

    คนถูกถามชะงัก จงอินหลบตาลู่หานและมองวิวนอกหน้าต่างห้องพยาบาลแทน ในหัวใคร่ครวญถึงโอกาสและความน่าจะเป็นในการตอบ เขาห้ามความรู้สึกโกรธที่พุ่งขึ้นมาในใจไม่ได้ เขายังคงรู้สึกขุ่นเคืองที่คยองซูทำให้เขาโดนคริสสาปจนต้องนอนพักฟื้นอยู่เสียนานสองนานแบบนี้


     

    “ทะเลาะกัน แล้วก็เผลอไปพูดอะไรผิดพลาดไปนิดหน่อย” จงอินตัดสินใจตอบอ้อมๆ แทน เขาไม่คิดว่าเรื่องของเขากับสองพี่น้องคู่นั้นควรจะเปิดเผยให้ใครรู้ “นี่ เบื่อแล้ว หาอะไรมาให้เล่นหน่อย”


     

    “พูดเหมือนง่าย นายก็รู้ว่าที่ฮอกวอตส์เล่นอะไรได้เยอะที่ไหน”


     

    “เอาหมากรุกพ่อมดมาเล่นก็ได้”


     

    “นี่คิมจงอินเบื่อถึงกับร้องขอหมากรุกพ่อมดมาเล่น” ลู่หานทำตาโต จงอินคงจะเบื่อจริงๆ ถึงได้ขอหมากรุกที่ตัวเองแสนเกลียดมาเล่นฆ่าเวลา “เสียใจด้วย ไม่มีใครหน้าไหนพกหมากรุกมาเยี่ยมคนป่วยหรอก”


     

    “ทายคำ เล่านิทาน อะไรก็ได้ เบื่อจนไม่รู้จะหาอะไรมานิยามแล้วเนี่ย” คนเบื่อถอนหายใจ มองหิมะที่ปลิวว่อนอยู่ข้างนอกจากโหยหา “อยากออกไปเล่นหิมะข้างนอก”


     

    “อยากทำน้ำแข็งไสรสเลือดหรือไง” จงอินหดตัวหนีมือของอีกฝ่ายที่ทำท่าจะเข้ามาแตะแผล ลู่หัวเราะท่าทางของจงอินที่ขยับหนีราวกับเขานั้นกำลังจะเสกคำสาปใส่ซ้ำสอง “นอนนิ่งๆเลยจงอิน”


     

    “พี่เอามือออกไปก่อน มันจั๊กจี้”


     

    บทสนทนาระหว่างซีกเกอร์ต่างบ้านยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ทั้งเรื่องบอล เรื่องควิดดิชถูกหยิบยกขึ้นมาพูดจนทำให้ห้องพยาบาลไม่เงียบเหงาอย่างที่เคย ทุกอย่างอยู่ในสายตาของใครบางคน คนที่ยืนอยู่หน้าห้องพยาบาลมาสักพัก คยองซูกำขวดยาบำรุงที่ตั้งใจเอามาฝากคนป่วยแน่น ดวงตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้รวมถึงการที่เขาเอาแต่กระวนกระวายในเรื่องบางเรื่องจนไม่ได้รับการพักผ่อนมองเข้าไปในห้องนั้นราวกับกำลังจดจำภาพตรงหน้าไว้ให้ได้มากที่สุด คยองซูเลือกที่จะปัดความกังวลใจเรื่องการบาดเจ็บของอีกฝ่ายทิ้งไป ลืมความกลัวที่เคยรู้สึกหากการที่จงอินโดนทำร้ายครั้งนี้จะก่อให้เกิดผลร้ายแรง รวมถึงผลักไสความเป็นห่วงที่ตัวเองเคยมีให้กลับไปอยู่ในก้นบึ้งของความคิดดังเดิม ความรู้สึกผิดที่เกาะกุมจิตใจเพราะเป็นสาเหตุให้คิมจงอินต้องเจ็บตัวค่อยๆจางลงไป พร้อมกับความรู้สึกผิดหวังที่แล่นเข้ามา


     

    ดูเหมือนจะมีคนดูแลอย่างดีอยู่แล้วนี่นะ


     

    คำพูดดีๆ ที่เขาไม่เคยได้รับ รอยยิ้มเป็นมิตรที่ส่งให้กับเลือดสีโคลนบ้านเรเวนคลอยิ่งทำให้คยองซูกำมือแน่นขึ้นจนเห็นข้อนิ้วสีขาวชัดเจน ไม่รู้จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่เตียงของจงอินอยู่ใกล้กับหน้าต่างที่มองทะลุเข้าไปได้ ดวงตากลมโตนั้นสะท้อนภาพของคนสองคนซึ่งกำลังหัวเราะกับมุกตลกของมักเกิ้ลที่เขาไม่เข้าใจ ยิ่งทั้งคู่ยิ้มกว้างมากเท่าไร ก้อนเนื้อในอกของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพรีเฟ็คบ้านสลิธีรินก็ยิ่งบีบรัดตัวเองด้วยความเจ็บปวด แม้จะหลับตาลงแต่ภาพเหล่านั้นก็ไม่ได้จางหายไปไหน ราวกับถูกตอกตะปูไว้ในใจจนคยองซูจนปัญญาที่จะผลักไสมันออกไป ภาพของคนสองคนดูเข้ากันได้ดี เข้ากันดี… จนคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่สามารถที่จะแทรกเข้าไปได้เลย


     

    แต่ไม่จำเป็นต้องมีเขา คิมจงอินก็หายเป็นปกติได้อยู่ดี


     

    ไม่จำเป็นต้องมีคำขอโทษหรือคำอธิบายใดๆ จากเขา เรื่องราวมันก็มีตอนจบของมันอยู่แล้ว


     

    นั่นเป็นความคิดสุดท้ายก่อนที่ร่างเล็กในเสื้อผ้าสีดำสนิทจะมุ่งหน้ากลับไปที่หอนอนของตัวเอง ใบหน้านั้นเรียบนิ่งดังเดิม ใครจะรู้ว่าภายใต้กำแพงแห่งความเฉยชานั้น จะมีความรู้สึกที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาทีละน้อยตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา จากเศษเสี้ยวเล็กๆ หลอมรวมเป็นรูปเป็นร่างเกาะกินพื้นที่ในใจอย่างไม่น่าให้อภัย ในทำนองเดียวกัน ในวันที่พายุแห่งความเสียใจพัดสิ่งที่เคยเป็นรูปเป็นร่างให้พังจนไม่เหลือชิ้นดี… ก็ไม่มีใครสักคนที่ได้ล่วงรู้เช่นกัน


     



    ------------------------------------  100% ---------------------------------------

    เอวขาดเลยจงอิน 5555555555555555555555555555555555555555555
    โดนคนหวงน้องเชือด เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ
    /เดี๋ยวๆ

    ฟิคเปิดจองแล้วนะคะ ลงทันงาน GenY กับมินิตลาดฟิคแน่ๆ แฮ่

    เชิญเข้าไปที่ลิ้งค์ 
    https://docs.google.com/forms/d/1NCgg3ym8lQRP3SUtjmt0rKAUDWEBe7tVOOfqZ7mqaeU/viewform?usp=send_form เลยค่ะ หรือกดไปดูรายละเอียดเต็มๆตอนหน้าก็ได้นะคะ อิอิ

    มีของมาเรียกคะแนนสงสารค่ะ แฟนอาร์ตจากนำแสง @numsaeng13 ดูสิ ฮอืออออออ
    ยิ่งเห็นยิ่งอยากทำร้ายคยองซู (อ้าว)
    เจอกันตอนหน้านะคะ ชุ้บ
    โม่งหนึ่ง




    ------------------------------ 50 % --------------------------------

    คิดว่าคิมจงอินจะโดนอะไรกันคะ
    ถ้านี่เป็นพี่คริสจะ -- ยังๆ ยังไม่สปอยค่ะ ฮิ
    เสียงตอบรับต่อพ่อพระเอกของเราจากตอนที่แล้วนี่สุดยอดมากจริงๆค่ะ 
    นี่เมนจงอิน อ่านคอมเม้นแล้วน้ำตาไหลรัวๆเลยค่ะ ทำไมโหดร้ายกันขนาดนั้นคะ
    จงอินอาจจะแค่ -ตื๊ด- ก็เลย -ตื๊ด- เองค่ะ (กลัวสปอย)

    วันนี้ไปดู the imitation game มาค่ะ
    นี่ให้ 9.5/10 หนังดีมาก มากๆจริงๆ นี่ร้องไห้อยู่หลายจุด
    พี่เบนแสดงดี๊ดี บทหนังก็ไปได้สุดจริงๆ ยอมแล้วจริงๆ ชอบ แง

    โอเค นอกเรื่องไปนิดนึง เอาเป็นว่าครึ่งตอนหลังก็มาดูละกันนะคะว่าพระเอกจะโดนอะไร
    จะสะใจไหม 5555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555

    โม่งหนึ่ง 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×