ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { fic } Call it MAGIC | Krisyeol #ฟิคคนที่คุณก็รู้ว่าคริส

    ลำดับตอนที่ #1 : Prologue

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ย. 57



    00






     

    ตลอดชีวิตของคริสอู๋ เหมือนมีเส้นบรรทัดฐานของตระกูลมาขีดเอาไว้


     

     

    นับตั้งแต่เขาลืมตาขึ้นมา โลกของเขาเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์และแบบแผนระเบียบวิธีของตระกูลอู๋อันเก่าแก่ที่ต้องสืบทอดต่อกันมาอย่างเคร่งครัดตั้งแต่รุ่นทวด ความยิ่งใหญ่ของตระกูลทำให้เขาถูกปฎิบัติจากคนรอบข้างราวกับว่าเป็นชนชั้นเจ้านาย เขาไม่ได้รังเกียจหรืออึดอัดกับชีวิตแบบนี้ ด้วยการเลี้ยงดูที่ได้รับมาทั้งชีวิตทำให้เขามองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา




     

    แต่ในขณะเดียวกัน เพื่อที่จะรักษาเกียรติภูมิของตระกูลเอาไว้ มันก็แลกมาซึ่งความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง การที่จะเป็นผู้วิเศษที่มีชื่อในโลกเวทมนตร์ต้องเริ่มจากความสำเร็จง่ายๆ ดังนั้น เขาจึงถูกบ่มเพาะให้เรียนรู้ศาสตร์รอบด้านตั้งแต่ยังเด็ก
     



     

    คริสต้องเรียนเวทมนตร์พื้นฐาน การปรุงยา รวมถึงการขี่ม้า และภาษาฝรั่งเศสตั้งแต่ยังเป็นเด็กมาก เพื่อที่จะเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเข้าศึกษาเต็มตัวในโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ และแน่นอน เขาต้องทำทุกวิชาให้ได้อย่างน้อย เกินความคาดหมาย (ความจริงหากไม่ต้องลงเรียนวิชาการดูแลสัตว์วิเศษที่แสนโสโครก เขามั่นใจว่าเขาก็น่าจะทำทุกวิชาให้ได้ ดีเยี่ยม เหมือนกัน)


     


     

    ด้วยคำพูดของพ่อกับแม่ที่หมั่นกรอกใส่หูเขาทุกวัน คริสจึงมีประโยคที่ว่า เขาต้องสมบูรณ์แบบ ฝังอยู่ในสมองแทบจะตลอดเวลา เพื่อที่จะก้าวไปเป็นผู้นำที่สมบูรณ์แบบของตระกูลอู๋


     

     

    การเป็นลูกชายคนโตของตระกูล เป็นเหมือนศูนย์รวมความหวังและอนาคตของตระกูลเอาไว้ ด้วยเหตุนั้น คริสอู๋จึงจำเป็นต้องสมบูรณ์แบบที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ขายหน้าใคร





     

    ตระกูลอู๋คือทุกสิ่งในชีวิตคริส




     

    แต่คริสไม่ใช่ทุกอย่างของตระกูลอู๋





     

    พ่อกับแม่ของคริสต่างเป็นผู้นำตระกูลที่สูงศักดิ์ พ่อของเขามีตำแหน่งในศาลสูงวิเซนกาม็อต และแม่ของเขาเองก็มีตำแหน่งชั้นสูงในกองบังคับควบคุมกฏหมายเวทมนตร์ อีกทั้งยังเป็นตระกูลเลือดบริสุทธิ์แท้ๆที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดในโลกเวทมนตร์ (ล่าสุดคริสคิดว่าเหลือแค่สามตระกูล) ทั้งสองคนต่างมีภาระและหน้าที่อื่นที่สำคัญมากไปกว่าการมาพบหน้าลูกชายเพียงเพื่อเล่นด้วยกัน หรือนอนกอดกัน เวลาครอบครัวสำหรับตระกูลอู๋เวลาทานอาหารเย็น ซึ่งมักจะเป็นไปอย่างเงียบเชียบและมีระเบียบเรียบร้อยที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาว่าตระกูลอู๋ไร้ซึ่งการอบรมมารยาทบนโต๊ะอาหาร




     

    คริสไม่ได้รู้สึกเหงามากนัก เพราะเขามีน้องชายชื่อคยองซู


     

     

    อันที่จริง แม่ของคริสเสียไปตอนเขาเด็กอยู่มาก และแม่ของคยองซูก็เข้ามาแทนที่ในหนึ่งปีหลังจากนั้น คยองซูจึงเป็นน้องชายคนละแม่กับเขา คริสสนิทกับคยองซูมาก พวกเขาโตมาด้วยกัน ขี่ไม้กวาดมาด้วยกัน คริสรักคยองซูมากเท่ากับที่พี่ชายคนหนึ่งจะรักน้องชายสักคน เขารู้ว่าคยองซูเองก็รักและเคารพเขาเช่นกัน เพียงแต่ด้วยนิสัยของทั้งเขาและน้องชายที่ถูกสั่งสอนให้เก็บงำคำพูดไว้ตลอดเวลา ทำให้การปฏิบัติต่อกันระหว่างพี่น้องเป็นไปด้วยความสุภาพเรียบร้อย ออกจะแข็งกระด้างไปซักนิด



     

    จนกระทั่งเมื่อเริ่มโต ด้วยวัยและสังคมใหม่ คยองซูเริ่มสนิทกับคนอื่นมากกว่าเขา เหมือนโลกทั้งใบหันหลังให้คริส เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆ และคนที่ทำให้คยองซูเริ่มสนิทกับคริสน้อยลง
     

     







     

    เรียนอยู่ที่ฮอกวอตส์






     

    วินาทีแรกที่รู้ตัวว่าเขามีพลังเวทมนตร์ ชานยอลมองซ้ายมองขวาอยู่นานหลายนาที หันไปมาเพื่อดูว่ามีรายการซ่อนกล้องอยู่แถวนี้หรือไม่ ครอบครัวของเขาอาจจะจับฉลากเป็นผู้โชคดีได้ออกรายการอำกันเล่นในโทรทัศน์ จนกระทั่งคนที่เรียกตัวเองว่าศาสตราจารย์คิมฮีชอลแปลงร่างตัวเองเป็นแมวต่อหน้าเขาและพ่อแม่ รวมถึงพี่ยูรา ซึ่งพี่สาวเขาถึงกับเป็นลมล้มพับไปต่อหน้า เขายังจำได้ว่าตอนนั้นวุ่นวายกันไปใหญ่  


     

     

    เมื่อตอนยังเด็ก ชานยอลก็เคยรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นรอบตัว อย่างเช่นเคยเห็นกระต่ายเดินสองขาตอนอนุบาล หรือว่าสมัยประถมต้นเคยโดนเพื่อนแกล้งฉีกหนังสือเรียนจนพัง พอเอากลับมาบ้านกลับพบว่าทุกอย่างมีสภาพเหมือนเดิม  


     

     

    ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะ เขาเป็นพ่อมด



     

     

    โลกของเขาพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ตลอดชีวิตที่เขาอยู่มา พึ่งรู้วันนี้เองว่ามีอีกโลกหนึ่งทับซ้อนอยู่ ในโลกใบนั้นทุกคนแต่งตัวประหลาด (ไม่ว่านานเท่าไหร่ชานยอลก็ยังทำใจชอบแฟชั่นเสื้อคลุมตัวยาวของผู้วิเศษไม่ได้เสียที) พูดจาแปลกๆ และที่สำคัญที่สุด ทุกคนมีเวทมนตร์!


     

    เรื่องมหัศจรรย์อย่างเช่นการเสกกระเป๋าให้ลอย การเสกคาถาทำความสะอาดห้อง การขี่ไม้กวาดที่บินได้ หรือการกลายร่างเป็นแมวแบบที่เขาเคยเห็นจากการ์ตูน มันมีอยู่จริง ชุมชนผู้วิเศษที่แทรกซึมอยู่เงียบๆในโลกปัจจุบันมานานหลายร้อยปี และเขากำลังจะได้รับการฝึกฝนเพื่อที่ให้สามารถใช้เวทมนตร์ได้แบบนั้น


     

     

    การได้เดินเข้าตรอกไดแอกอนเพื่อตามหาอุปกรณ์สำหรับการศึกษาให้ครบตามที่ใบรายการเขียนเอาไว้ เช่นพวก หม้อใหญ่, ไม้กายสิทธิ์ และเครื่องปรุงยาพื้นฐานเป็นเรื่องชวนตื่นเต้นไปเสียทุกอย่าง (เขาต้องเรียนวิชาปรุงยาด้วย ชานยอลค่อนข้างมั่นใจว่าเขาน่าจะทำได้ดี มันก็คงไม่ต่างอะไรกับการทำแกงกิมจิเท่าไร) ชานยอลแทบจะร้องว้าว หรืออุทานออกมาว่า พระเจ้า! แทบจะทุกๆสามนาที


     

     

    ทุกอย่างรอบตัวมันน่าตื่นเต้นและประหลาดใจ จนแทบจะอดทนรอให้ถึงวันที่ 1 กันยายนไม่ไหว




     

    ชานยอลไม่ร้องไห้เมื่อโบกมือลาพ่อกับแม่ที่ชานชาลา เขาเดินไปหาที่นั่งเรื่อยๆ คนแรกที่เข้ามาพูดคุยกับเขาชื่อโอเซฮุน เด็กปีหนึ่งเหมือนกัน ผมสีทองสว่างสะดุดตาเขาสุดๆ นัยน์ตาที่ชี้ขึ้นกับคิ้วที่เรียงตัวเป็นทรงทำให้ชานยอลลงความเห็นว่าเซฮุนนั้นต้องสืบเชื้อสายมาจากเทือกเถาเหล่าก่อผู้วิเศษหน้าตาดีแน่ๆ เซฮุนพูดอะไรให้เขาฟังเยอะแยะเกี่ยวกับบ้านต่างๆในฮอกวอสต์ ที่มีชื่อแปลกๆสามสี่ชื่อที่เขาจำไม่ได้และไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก ได้แต่พยักหน้ารับตามในสิ่งที่อีกคนพูดออกมาแล้วก็ยิ้มประกอบบทสนทนาตามเรื่องตามราว


     

     

    เขาจำได้เพียงแค่ว่าสลิธีรินคือบ้านที่ดี เพราะเพื่อนใหม่ของเขาบอกไว้แบบนั้น


     

     

    โอเซฮุนใจดีกับเขาจนกระทั่งเจอเพื่อนของเจ้าตัวที่ชื่อโดคยองซูที่มากับพี่ชายอีกคนก็คือคริสอู๋ เกิดการซักประวัติขึ้นอีกครั้ง พอทั้งสามคนรู้ว่าเขาเป็นลูกมักเกิ้ลก็เลิกคุยกับเขาไป ซึ่งชานยอลก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะงงๆด้วยซ้ำว่าเป็นลูกมักเกิ้ลผิดตรงไหน และคำว่ามักเกิ้ลแปลว่าอะไร เพราะหลังจากนั้น เขาก็เจอเพื่อนเลือดผสมที่อาศัยอยู่กับมักเกิ้ลมาทั้งชีวิตเหมือนกันกับเขาที่ชื่อว่าคิมจงอิน เขาก็เลยร่วมหัวจมท้ายทำตัวเปิ่นๆในโลกเวทมนตร์ต่อไป อาจจะแย่กว่านี้ถ้าหากไม่ได้เจอเพื่อนเลือดบริสุทธิ์อีกคน แบคฮยอนหลวมตัวมารวมกลุ่มอยู่กับเขา ซึ่งเจ้าตัวก็ปวดหัวกับไลฟ์สไตล์มักเกิ้ลจ๋าของพวกเขาสองคนวันละหลายรอบ



     

    เมื่อการคัดสรรสิ้นสุดลง เขาได้มาอยู่บ้านกริฟฟินดอร์กับจงอินและแบคฮยอน การใช้ชีวิตในฮอกวอตส์แม้จะไม่เจ๋งอย่างที่เคยคิดไว้ แต่ก็ไม่แย่เท่าไรนัก หากไม่นับการกลั่นแกล้งหรือการดูหมิ่นจากพวกบ้านสลิธีรินเป็นครั้งคราว โดยเหตุผลของพวกนั้นก็งี่เง่าไม่ใช่น้อย เพราะเขาเป็นเลือดสีโคลน และพวกเลือดสีโคลนไม่สมควรได้รับเกียรติเท่าพ่อมด แบคฮยอนบอกเขาว่าแนวคิดแบบนี้มันหัวโบราณสุดๆ แต่ชานยอลก็ทำได้แค่รับรู้ และทนกับสายตาเหยียดหยามจากบ้านสลิธีรินบางคน


     

     

    ชีวิตต่อไปในฮอกวอตส์จะเป็นอย่างไรชานยอลเองก็ยังไม่รู้ หลังจบออกไปจะได้เป็นมือปราบมารอย่างที่หวังหรือไม่ก็ยังไม่แน่ใจ

     

     

     

    แต่ที่เขารู้แน่ๆก็คือ สลิธีรินนิสัยเสียคือบ้านที่เขาเกลียดที่สุด
     











     

    - - - - - - - - Call it MAGIC - - - - - - -



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×