ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฤดูร้อนซ่อนรัก (Yuri)

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ย. 55


    
    
    
    รถสีดำเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าบ้านอย่างร้อนรน ร่างสูงเพรียวรีบร้อนไม่มีเวลาแม้แต่จะลงไปเปิดประตูบ้านเพื่อนำรถเข้าจอด หญิงสาวรีบไขกุญแจบ้านแล้วพุ่งผ่านประตูสีน้ำตาลเข้าไปอย่างรวดเร็ว สายตามองกวาดไปทั่วบ้าน ทุกห้องมืดมิดไร้แสงไฟ นันทิตากลั้นหายใจ ความเครียดลงมาจุกที่กระเพาะ
    

    พี่นุส พี่นุสขา” นันทิตาตะโกนร้องเรียงนุสบาพี่สาวของเธอเสียงดัง

    เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบรับ หมอสาวยิ่งกระสับกระส่ายกว่าเดิม หรือว่าพี่สาวของเธอไม่ได้โทรศัพท์มาจากที่บ้าน แล้วนี่นุสบาโทรศัพท์มาจากที่ไหนกัน ความกังวลวิ่งเวียนอยู่ในสมองของเธอไม่หยุด แต่สองเท้าก็ก้าวขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็วจนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของบุสบา

    พี่นุสอยู่ในห้องหรือเปล่าคะ” นันทิตาเคาะประตูห้องดังๆ พลางส่งเสียงเรียกพี่สาว แต่ก็เงียบเช่นเดิม

    เมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงตอบ หมอสาวลองขยับลูกบิดประตูเบาๆ ปรากฏว่ามันไม่ได้ล็อก

    ไนซ์เข้าไปนะคะ พี่นุส” แม้จะรู้ว่าเป็นการเสียมารยาทที่จะเข้าไปในห้องของพี่สาวโดยพลการและเธอเองก็ไม่แน่ใจว่านุสบาอยู่ในห้องหรือเปล่า แต่เธอไม่มีทางเลือกแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องเข้าไปดูให้เห็นกับตา

    เมื่อเปิดประตูเข้าไป นันทิตามองเห็นร่างตะคุ่มๆ อยู่บนเตียง มือของหมอสาวร่างสูงรีบควานหาสวิตซ์ไฟ ทันทีที่ดวงไฟในห้องสว่างวาบ หมอสาวก็ต้องชะงักกลั้นหายใจเมื่อเห็นร่างซีดขาวของนุสบานอนอยู่บนเตียง ดวงตาปิดสนิท นันทิตารีบผวาเข้าไปหาพี่สาวของเธอ แล้วความตกใจของหมอสาวก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณเมื่อมองเห็นขวดยานอนหลับกลิ้งอยู่ข้างตัวนุสบา ข้างในขวดว่างเปล่า โอ้...นี่อย่าบอกนะ ว่านุสบากินยานอนหลับเข้าไปทั้งขวด แล้วมันกี่เม็ดกันเนี่ย หมอสาวน้ำตาคลอขึ้นมาทันที พร้อมร้องเรียกพี่สาวเบาๆ

    เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย พี่นุส” เธอจ้องมองหน้าพี่สาวเต็มตาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เธอต้องเข้มแข็งไว้ก่อน เมื่อเรียกสติได้แล้ว หมอสาวจึงรีบยกแขนข้างขวาของนุสบาขึ้นมาเพื่อจับชีพจร

    ความหวังสว่างวูบขึ้นมาในใจ เมื่อสัมผัสได้ถึงชีพจรอันอ่อนแรงของพี่สาวสุดที่รัก นุสบายังมีชีวิตอยู่แต่ชีพจรดูเต้นอ่อนเหลือเกิน หมอสาวไม่รอช้า รีบรวบร่างของพี่สาวขึ้นมาจากเตียงนอนทันที เนื่องจากนุสบาเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ส่วนเธอนั้นค่อนข้างสูงและออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้ว การอุ้มพี่สาวจึงไม่ใช่เรื่องลำบากนัก

    หญิงสาวอุ้มนุสบาลงบันไดและเดินผ่านลัดเลาะข้าวของภายในบ้านอย่างคล่องแคล่ว ถึงแม้ส่วนใหญ่เธอจะเลือกนอนค้างที่คอนโดของตัวเอง เนื่องจากไม่ไกลจากโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่ แต่นันทิตาก็มักจะแวะเวียนมานอนค้างกับพี่สาวที่บ้านชานเมืองหลังนี้ไม่ได้ขาด เมื่อคืนหมอสาวก็เพิ่งจะมาค้างที่นี่ เธอจึงรู้ดีว่าข้าวของในบ้านจัดวางไว้ตรงไหน แม้จะไม่ได้เปิดไฟก็ตามที

    นันทิตาวางร่างของนุสบาลงบนเบาะหลังในรถสีดำอย่างเบามือ หญิงสาวยังคงหลับไหลไม่ได้สติ แต่อกยังคงกระเพื่อมน้อยๆ ให้หมอสาวได้พออุ่นใจว่าพี่สาวสุดที่รักยังไม่จากเธอไป

    อดทนหน่อยนะคะ พี่นุส” หมอสาวพึมพำเบาๆ ก่อนปิดประตูหลัง แล้วก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับอย่างรวดเร็ว พลางคิดว่าถ้าจะพาไปโรงพยาบาลที่เธอประจำอยู่ก็อาจจะไม่ทัน คิดได้ดังนั้น สองมือที่บังคับพวงมาลัยจึงมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

     

    บุรุษพยาบาลสองคนรีบเข็นเตียงคนไข้เข้าห้องฉุนเฉิน ไม่นานนักก็มีพยาบาลเข้ามาสอบถามเธอถึงอาการของคนไข้ นันทิตาก็ได้แต่ตอบแบบอึกอักๆ หญิงสาวไม่แน่ใจว่าพี่สาวของตัวเองกินยานอนหลับเข้าไปกี่เม็ด รู้แต่ว่าหมดขวดนั่นแหละ เธอไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าพี่สาวกินยานอนหลับเป็นปกติหรือเปล่า นี่นุสบามีปัญหาอะไร เธอไม่เคยรู้เลย จะว่าเรื่องงานก็คงไม่ใช่ เท่าที่รู้ งานโฆษณาที่นุสบาทำอยู่ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่นา แถมคิวงานยังเยอะจนแทบไม่มีเวลาพัก หรือว่าจะเป็นเรื่องความรัก พักหลังเธอรู้สึกเหมือนกันว่าพี่สาวชอบแอบไปโทรศัพท์โดยไม่ให้เธอได้ยิน แล้วบางครั้งก็ชอบทำท่าทางเหม่อลอย...หมอสาวถอนหายใจแรงๆ ศิราณีที่มีแต่คนมาปรึกษาปัญหา ทำไมเรื่องหัวใจของคนใกล้ตัว เธอถึงไม่สังเกตสักนิด คิดย้อนไปถึงเมื่อคืนตอนนั่งกินข้าวกับนุสบา นันทิตาคิดแล้วก็เพิ่งรู้สึกว่าผู้เป็นพี่เหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ แต่เพื่อนของเธอดันโทรศัพท์มาปรึกษาปัญหาหัวใจซะก่อน เธอเลยลืมเรื่องของพี่สาวไปเสียสนิท คิดแล้วก็อยากจะด่าตัวเองว่าทำไมถึงละเลยพี่สาวคนเดียวคนนี้ไปได้ แล้วนี่จะบอกพ่อกับแม่ว่าอย่างไร

     

    สามชั่วโมงผ่านไป นันทิตานั่งอยู่บนโซฟาในห้องพักคนไข้ ดวงตาสีดำจ้องมองไปยังพี่สาวคนเดียวของเธอ เธอกับนุสบาค่อนข้างสนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยความที่อายุห่างกันแค่ปีกว่าๆ จึงดูเหมือนจะไม่มีช่องว่างระหว่างพี่น้องคู่นี้ พอเรียนจบชั้นมัธยมปลาย นุสบาก็เลือกจากบ้านที่ระยองมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ปีถัดมา นันทิตาก็ตามเข้ามาเรียนต่อบ้างหลังจากเธอสอบติดแพทย์ พ่อของสองสาวจึงซื้อบ้านที่กรุงเทพฯ ไว้ให้สองพี่น้องได้อยู่ด้วยกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปมา สองสาวก็ดูจะค่อยๆ ห่างกันออกไป นุสบาเป็นสาวสังคม ที่มักออกตระเวนราตรีกับเพื่อนประจำตั้งแต่สมัยเรียน ส่วนนันทิตาเป็นพวกชอบชีวิตเรียบง่าย ถ้ามีเวลา เธอก็ชอบอ่านหนังสืออยู่กับบ้านหรือวิ่งออกกำลังกายในหมู่บ้านมากกว่า นานๆ ทีถึงจะยอมให้พวกเพื่อนๆ ลากไปปาร์ตี้ซักที แค่งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ก็แทบจะหมดแรงกลับบ้านแล้ว ยิ่งวันไหนคนไข้เยอะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอจึงเลือกผ่อนคอนโดที่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก เพื่อย่นระยะเวลาในการเดินทางไปทำงาน ซึ่งก็ยิ่งทำให้การพูดคุยกันระหว่างพี่น้องน้อยลงไปอีก แต่อย่างไรเธอก็รู้ดีว่า สายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพี่สาวยังคงแน่นแฟ้นไม่มีเปลี่ยน

    เวลาผ่านไปเนิ่นนาน คนบนเตียงยังคงนอนไม่ไหวติ่ง โชคดีว่าหมอสามารถล้างท้องนุสบาได้ทัน แต่สิ่งที่น่าตกใจมากกว่านั้นคือ...

    “คุณนุสบาท้องได้สองเดือนแล้ว คุณทราบมั้ยคะ” หมอผู้รักษานุสบาเอ่ยปากถามผู้เป็นน้องสาวเสียงเรียบๆ

    “เอ่อ ไม่ทราบเลยค่ะ” นันทิตาชาวาบไปทั้งตัว  เธอกำลังจะมีหลานเหรอ แล้วพ่อของเด็กเป็นใคร เธอไม่รู้อะไรเลยซักอย่าง แล้วพ่อกับแม่ แล้ว... หมอสาวมึนงงไปหมด

    “ระวังอย่าให้คนไข้มีเรื่องไม่สบายใจอีกนะคะ คราวนี้โชคดีที่เด็กปลอดภัย” หมอเอ่ยปากเตือน ก่อนขอตัวไปดูคนไข้รายอื่น

     

    เสียงของคนบนเตียงปลุกหมอสาวให้ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวร่างเล็กลืมตาขึ้นช้าๆ พร้อมขยับตัว ที่นี่ที่ไหน ดูไม่เหมือนนรกหรือสวรรค์ที่เธอเคยเห็นในทีวีเลย นี่เธอยังไม่ตายหรอกหรือ

    “พี่นุส พี่นุสตื่นแล้วเหรอคะ” เสียงหวานร้องเรียนพี่สาวด้วยความยินดี

    “ไนซ์...พี่...” นุสบายกศีรษะขึ้น พูดได้แค่นั้น สาวร่างเล็กก็มีน้ำตารื้นออกมาทันที เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ในลำคอ ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก

    “พี่นุสพักก่อนนะคะ ยังไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” หมอสาวกุมมือพี่สาวของเธอเบาๆ มองใบหน้าซีดเซียวของผู้เป็นพี่ด้วยความเป็นห่วง แม้เธออยากจะรู้เหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วใครเป็นพ่อของเด็กที่อยู่ในท้องของพี่สาว แต่เธอก็ไม่อาจเอ่ยปากถามนุสบาได้ พี่สาวของเธอดูเปราะบางเกินกว่าจะเล่าเรื่องอะไรได้ในตอนนี้

    “ไนซ์อย่าเพิ่งบอกพ่อกับแม่นะ พี่ขอร้อง” ผู้เป็นพี่สาวพูดออกมาก่อนที่น้ำตาจะไหลรินช้าๆ จากดวงตาที่บอบช้ำ

    “ค่ะ ไนซ์รู้แล้วค่ะ” นันทิตาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าพ่อกับแม่ของพวกเธอรู้จะเป็นอย่างไร ลองพี่สาวของเธอเป็นแบบนี้ แสดงว่าผู้ชายคนนั้นคงไม่ยอมรับผิดชอบแน่ แม้จะอยากรู้เท่าไร เธอก็ต้องอดใจไว้ หมอสาวค่อยๆ ประคองศีรษะของพี่สาวลงบนหมอน นุสบาหลับตาลงก่อนเข้าสู่นิทราอีกครั้งในไม่ช้า

    นันทิตาถอนหายใจอีกครั้ง นุสบาคงต้องนอนดูอาการที่โรงพยาบาลอีกสองวัน จากนั้นหมอคงอนุญาตให้กลับบ้านได้ ช่วงนี้เธอคงต้องกลับไปค้างเป็นเพื่อนพี่สาว เพื่อจัดการกับเรื่องใหญ่ที่รออยู่ เรื่องใหญ่มากซะด้วย

     

    “เป็นไงบ้างจ๊ะ คนสวย” เสียงร่าเริงร้องทักมาแต่ไกล ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร สาวสวยผมดัดลอนสีน้ำตาลเข้มชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปเปิดประตูออฟฟิศ ก่อนหันกลับมายิ้มให้กับเจ้าของเสียงร่าเริงนั่น

    “สวัสดีค่ะ พี่มีน วันนี้ท่าทางฝนจะตกหนักนะเนี่ย” คิมหันต์ยิ้มแย้มทักทายรุ่นพี่ฝ่ายการตลาดสุดเฉี่ยว

    “หืมม...ร้อนจะตายอ่ะ น้องคิม” มีนางง ก็นี่มันเดือนเมษายน ร้อนตับแทบแตก ไม่มีวี่แววของพระพิรุณเลยซักนิด

    “ฮ่ะๆๆ ก็วันนี้พี่มีนมาเร็วอ่ะ ฝ่ายการตลาดปกติก่อนสิบโมง คิมไม่เคยเห็นใครมาเลยนี่คะ” คิมหันต์หัวเราะร่า ขำที่เธอสามารถแกล้งแซวมีนาได้สำเร็จ สำหรับฝ่ายบัญชีอย่างเธอ แปดโมงครึ่งก็เริ่มทำงานกันพร้อมหน้า แต่พวกการตลาดจอมติสต์เนี่ยสิบโมงโน่น จึงจะทยอยกันมาทำงาน แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะมักเห็นพนักงานฝ่ายนั้นทำงานกันจนดึกดื่นบ่อยๆ

    “อ่ะนะ ไม่น่าทักกันเล้ย” มีนาค้อนขวับให้สาวสวยวงใหญ่ พลางสำรวจหญิงสาวรุ่นน้อง วันนี้คิมหันต์อยู่ในชุดเดรสสั้นสีฟ้าอ่อน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมีประกายขี้เล่นเล็กน้อย รวมๆ แล้วดูสดใสขึ้นมากจากคราวก่อนที่เจอกัน มีนายิ้มพอใจ

    “หายปวดท้องหรือยังจ๊ะเนี่ย” สาวเฉี่ยวถามต่อด้วยความเป็นห่วง เธอรู้อยู่แล้วว่าคิมหันต์แซวเล่นๆ เรื่องที่เธอมาเช้า มีนาจึงไม่คิดโกรธเคืองอะไร

    “อืม ก็ดีขึ้นนะคะ พยายามกินอาหารให้เป็นเวลาตามที่คุณหมอสั่ง ไปหาคราวหน้าจะได้ไม่โดนดุ” คิมหันต์ตอบ หญิงสาวอมยิ้มนิดๆ เมื่อคิดถึงหมอสาวซึ่งมีนาเป็นคนแนะนำ

    “แสดงว่าหมอไนซ์นี่เก่งใช้ได้ ที่ทำให้น้องสาวพี่เชื่อฟังได้” มีนายิ้มอย่างโล่งใจที่คิมหันต์มีอาการดีขึ้น อีกอย่างเธอเองเป็นคนบอกให้สาวสวยไปหาหมอสาวที่เป็นเพื่อนของเธอ ถ้าคิมหันต์ไม่ดีขึ้นละก็เธอเองคงรู้สึกผิดไม่น้อย

    “ค่ะ ก็เค้าเป็นหมอ คิมก็ต้องเชื่อสิคะ อีกอย่างก็ไม่อยากทรมานเพราะปวดท้องอีกแล้วอ่ะ” คิมหันต์ยิ้มแหยๆ อาการปวดกระเพาะมันช่างทรมานจนเธอไม่อยากรู้สึกอีกแล้ว เธอจึงพยายามทำตามที่คนเป็นหมอแนะนำอย่างเคร่งครัด นอกจาก...กินกาแฟดำนานๆ ที ก็คนมันง่วงนี่นา

    “ดีมากจ้ะ เออ...จริงสิ เย็นนี้พี่นัดกินข้าวกับหมอไนซ์นะ ไปด้วยกันมั้ย รู้จักกันแล้วนี่” มีนาชวน เธอเองก็ไม่ได้พบกับเพื่อนสาวมาพักหนึ่งแล้ว อยู่ดีๆ ก็คิดถึงนันทิตาขึ้นมา เมื่อคืนเลยโทรศัพท์ไปชวน ปรากฏว่าฝ่ายนั้นตอบตกลง ซึ่งสาวเฉี่ยวเองก็แปลกใจไม่น้อย เพราะหมอสาวมักเซย์โนกับเธอเป็นประจำ

    “เอ่อ จะดีเหรอคะ ไม่ได้รู้จักกันซะหน่อย” คิมหันต์ตอบเสียงอ่อย จะเรียกว่ารู้จักได้อย่างไรกัน ยังไงนันทิตากับเธอก็เป็นแค่หมอกับคนไข้ การไปกินข้าวกันฉันท์เพื่อนมันออกจะแปลกๆ ไปซักหน่อยไม่ใช่หรือ

    “ดีสิ ไปเถอะ ห้าโมงครึ่งเจอกันนะ” มีนาตัดบท แล้วรีบชิ่งไปเลย เธออยากชวนคิมหันต์ออกไปกินข้าวด้วย ถึงแม้ท่าทางของสาวสวยจะดีขึ้นแล้ว แต่การไปพบปะผู้คนใหม่ๆ บ้าง ก็น่าจะดีไม่น้อย มีนาคิดเองเออเองตามประสา

    คิมหันต์อึ้งไป งานนี้เธอคงปฏิเสธไม่ได้เสียแล้ว เมื่อโดนปาร์ตี้เกิร์ลตัวแม่บังคับแบบนี้ ยังไงเย็นนี้เธอก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ความจริงหญิงสาวมีนัดตรวจกับนันทิตาอาทิตย์หน้า บางทีถ้าหมอสาวรู้ว่าเธออาการดีขึ้น อาทิตย์หน้าเธออาจจะไม่ต้องไปแล้วก็ได้มั้ง

     

    นันทิตานั่งรอเพื่อนของเธอที่ร้านอาหารอย่างเหม่อลอย หนึ่งอาทิตย์มาแล้วที่เกิดเรื่องกับพี่สาวของเธอ ทุกวันนี้หมอสาวกลับไปค้างที่บ้านชานเมืองทุกวัน ถึงแม้นุสบาจะยืนยันกับเธอว่าสามารถอยู่คนเดียวได้ และจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นอีก แต่หมอสาวก็ไม่อาจปล่อยพี่สาวเอาไว้ได้ จนถึงตอนนี้นุสบาก็ยังไม่ได้เล่าอะไรให้เธอฟัง และบ่อยครั้งที่เธอแอบเห็นพี่สาวโทรศัพท์หาใครบางคน แล้วก็ร้องไห้ นันทิตายังไม่อยากเอ่ยปากถามเรื่องนี้จากผู้เป็นพี่ แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็คงต้องถามเร็วๆ นี่แหละ เพราะท้องของนุสบาก็คงจะเริ่มเห็นชัดขึ้นในไม่ช้า

    ความจริงวันนี้เธอก็ควรตรงดิ่งกลับบ้านตั้งแต่ออกเวร แต่เพราะมีนาโทรศัพท์มานัดเมื่อคืน หมอสาวซึ่งช่วงนี้อยู่ในภาวะเครียด จึงตอบตกลงไป ด้วยหวังว่าการได้พูดคุยกับสาวอารมณ์ดีอย่างมีนา จะทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง แต่ก็ยังไม่วายโทรศัพท์ไปเช็คอาการของพี่สาวอยู่บ่อยครั้ง

    “ทำไมโทรมอย่างนี้เนี่ย เพื่อนฉัน”  สาวเฉี่ยวร้องทัก ทันทีที่เดินเข้ามาในร้าน มีนาก็มองเห็นหมอสาวผู้เป็นเพื่อนทันที แต่ทำไมหน้าตาเพื่อนเธอมันถึงทรุดโทรมอย่างนั้นกันหนอ

    “ปากเหรอนั่น” หมอสาวหันเงยหน้าขึ้นมอง เกือบจะอ้าปากด่าเพื่อนต่อ ถ้าไม่เหลือบไปเห็นสาวผมดัดลอนสีน้ำตาลเข้มที่ยืนยิ้มอยู่ด้านหลังมีนาพอดี

    “อ้าว คุณคิม” นันทิตาชะงักไป ไม่คิดว่าจะได้เจอคนไข้ของเธอก่อนกำหนด ช่วงที่ผ่านมานี้หมอสาวมีเรื่องต้องคิดจนลืมคุณกาแฟดำไปเสียแล้ว

    “สวัสดีค่ะ หมอไนซ์” คิมหันต์ยิ้มให้หมอสาว ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านันทิตาจะไม่พอใจหรือเปล่าที่มีนาชวนเธอมาด้วย

    หมอสาวยิ้มตอบ พลางเชิญให้สาวสวยนั่ง “ส่วนปากอย่างแกเนี่ย ไม่ต้องนั่งเลยดีมั้ย” ว่าแล้วนันทิตาก็หันไปกัดสาวเฉี่ยวอีกรอบ

    “โอ๋ๆ ล้อเล่นน่า ก็ฉันเห็นแกนั่งเป็นรูปปั้นเลยอ่ะ ดูดิ ไปทำอะไรมาเนี่ย ทำไมหน้าตาเป็นแบบนี้อ่ะ” มีนาบอกเพื่อนสาวอีกครั้ง ถึงจะไม่ได้เจอกันบ่อย แต่ทุกครั้งที่เจอหมอสาวคนนี้ก็ดูร่าเริงดีนี่นา ต้องมีอะไรแหงๆ

    “ก็มีเรื่องที่บ้านนิดนึง” หมอสาวกลั้นใจตอบ เธอไม่แน่ใจว่าควรจะเล่าเรื่องในครอบครัวให้คนอื่นฟังหรือไม่ แม้จะอึดอัดใจ แต่มันก็คงไม่ใช่สิ่งที่ควรพูดออกมา

    “อ่ะเหรอ แหมๆ คิดว่าอกหัก” ปากก็ยังแซวไม่หยุด แต่ในใจมีนานั้นคิดว่าถ้าเป็นเรื่องทางบ้าน เธอก็ไม่ควรเซ้าซี้ถาม

    “พูดไปเรื่อยนะแก แฟนฉันยังหาไม่ได้เลย” หมอสาวทำหน้าเอือมระอาสาวเฉี่ยว รู้ทั้งรู้ว่าเธอยังไม่มีแฟน แล้วจะอกหักได้อย่างไรล่ะ

    คิมหันต์ได้แต่นั่งยิ้มฟังสองสาวคุยกัน แอบคิดในใจว่าไม่น่าเชื่อที่หมอสาวจะยังไม่มีแฟน ก็เธอออกจะน่ารัก สูง หุ่นดี แล้วก็มีรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นซะขนาดนั้น ใครได้หมอไนซ์ไปเป็นแฟนคงเป็นชายหนุ่มที่โชคดีทีเดียว ขณะที่กำลังคิดเพลินๆ จู่ๆ ดวงตาสีดำคู่นั้นหันมาสบตาแล้วยิ้มให้เธอพอดี คิมหันต์ถึงกับสะดุ้ง

    “อ้าว ไม่ตอบคุณหมอล่ะจ๊ะ” มีนาหันมามองสาวสวยที่นั่งข้างๆ เธอ หลังจากไม่ได้ยินเสียงหญิงสาวตอบคำถามของผู้เป็นหมอ

    “เอ่อ ว่าไงนะคะ” คิมหันต์ถามเก้อๆ เธอมัวแต่คิดเพ้อเจ้ออยู่คนเดียว จนไม่ได้ยินคำถามของหมอสาว

    “หมอถามว่าอาการของน้องคิมเป็นยังไงบ้างคะ” หมอสาวยิ้มๆ ก่อนทวนคำถามอีกรอบ นันทิตาเหมาเรียกคิมหันต์ว่าน้องโดยไม่ได้ถามเจ้าตัว ก็ไหนๆ มีนาก็เรียกหญิงสาวว่าน้องคิม งั้นเธอก็เรียกแบบเดียวกันละกัน

    “ก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ” คราวนี้สาวสวยตั้งใจฟังคำถามแล้ว เธอจึงรีบตอบทันที

    “ดีแล้วค่ะ แต่ไงอาทิตย์หน้าก็อย่าลืมไปตามนัดนะคะ” แม้จะได้รับการบอกว่าอาการดีขึ้น แต่หมอสาวก็ไม่คิดจะแคนเซิลนัดคนไข้อยู่ดี

    “โธ่ นึกว่าคุณหมอจะบอกว่าไม่ต้องไปแล้วซะอีก” คิมหันต์พูดยิ้มๆ “เดี๋ยวนี้ไม่เจอหมอไนซ์ที่ร้านกาแฟเลยนะคะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง ทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาเธอแวะร้านกาแฟที่เคยเจอนันทิตาครั้งแรกทุกเช้า แต่ไม่เคยพบหมอสาวอีกเลย

    “อืม...ช่วงนี้ยุ่งๆ อ่ะคะ เลยไม่ได้แวะไปเลย ว่าแต่อย่าบอกนะว่าน้องคิมแวะไปซื้อกาแฟอีกแล้ว” วิญญาณหมอเริ่มเข้าสิง ก็เคยเตือนแล้วว่าการดื่มกาแฟมากๆ ไม่ดีต่อคนเป็นโรคกระเพาะ

    “คิมแวะไปซื้อแซนด์วิชน่ะคะ ส่วนกาแฟ...ก็นานนนน นานนนทีค่ะ” คิมหันต์ลากเสียงยาวให้รู้ว่านานๆ ที จริงๆ

    “พูดอะไรกันเนี่ย งง” สาวเฉี่ยวถามขัดขึ้นมา เธองง ก็สองคนนี้เจอกันครั้งแรกที่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ แล้วร้านกาแฟนี่มันอะไรกันหว่า

    “ไม่มีไรอ่ะ อาหารมาแล้ว ทานกันดีกว่า” หมอสาวตัดบท เธอรู้ดีว่าเพื่อนสาวคนนี้อยากรู้อยากเห็นไปซะทุกเรื่อง เรื่องอะไรจะบอก อยากมาปากเสียใส่เธอดีนัก สม...หึหึ

    มีนาเบ้หน้าไม่พอใจนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หันไปสนใจสเต๊กจานร้อนที่เพิ่งถูกนำมาวางไว้ตรงหน้า

     

    “เออ แก  ตกลงต้นเดือนหน้าโอเคใช่มั้ย” สาวเฉี่ยวหันมาถามคำถามกำกวมกับหมอสาว หลังจัดการอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว

    “ห้ะ เรื่องอะไรของแก” นันทิตางง ช่วงนี้สมองยิ่งเบลออยู่ มันถามอะไรของมัน

    “อ้าว...ไอ้นี่ ก็ที่ในกลุ่มนัดกันไปเขาหลักไง ขี้ลืมจริง” มีนานึกอยู่แล้วว่าเพื่อนหมอของเธอคงจำไม่ได้ ปกติกลุ่มเพื่อนของเธอและหมอสาวที่คบกันมาตั้งแต่มหาวิทยาลัย จะต้องนัดเที่ยวกันปีละครั้ง บ่อยครั้งที่นันทิตามักจะชิ่ง แต่เธอก็ไปลากหมอสาวมาจากบ้านอยู่เสมอ

    “อ๋อ! ยังไม่แน่ใจอ่ะ ถ้าไปได้ก็จะไปละกัน” นันทิตาตอบสั้นๆ เรื่องพี่สาวของเธอยังไม่เคลียร์เลย จะมีอารมณ์ไปเที่ยวได้อย่างไร

    “ตลอดอ่ะ แกนี่” มีนาส่ายหน้า พลางคิดในใจว่า ยังไงปีนี้เธอก็คงต้องไปฉุดกระชากลากถูยัยหมอนี่เหมือนเดิม

    “กลับเถอะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้ฉันต้องเข้าเวรเช้า” หมอสาวเหลือบมองนาฬิกา เห็นว่าใกล้จะสามทุ่มแล้ว พรุ่งนี้แม้จะเป็นวันเสาร์ แต่อาชีพอย่างเธอ วันหยุดก็ไม่ตรงกับคนอื่นอยู่แล้วล่ะ อีกอย่างในใจก็เริ่มเป็นห่วงนุสบา กลัวจะฟุ้งซ่านทำอะไรลงไปอีก

    “เออๆ ก็ได้ แกไปส่งน้องคิมด้วยนะ น้องเค้าจอดรถไว้ที่ออฟฟิศอ่ะ เดี๋ยวฉันต้องไปต่อ” สาวเฉี่ยวจอมกวนตัดบทซะดื้อๆ ไม่สนใจอีกสองคนที่ทำท่าทางตกใจ

    “อ้าว พี่มีนก็ไม่บอกตั้งแต่แรกว่าจะไปต่อ ไม่งั้นคิมจะได้ขับรถมาเอง” คิมหันต์ร้องบอกมีนา จากนั้นก็หันมาทางหมอสาว “เดี๋ยวคิมนั่งแท็กซี่กลับไปเองก็ได้ค่ะ”

    “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพี่ไปส่งให้” หมอสาวรีบเอ่ยปากบอกคิมหันต์ แล้วหันไปส่งสายตาพยาบาทให้เพื่อนตัวเองนิดหนึ่ง ตัวเธอน่ะไปส่งได้อยู่แล้วไม่มีปัญหา จะติดก็แต่เป็นห่วงพี่สาวนี่แหละ

    “โอเคตามนี้ เช็คบิลเถอ” มีนาหาได้สนใจสายตาอาฆาตนั้นไม่ ราตรีนี้ยังอีกยาวสำหรับเธอ ฝากไปส่งคนสวยด้วยก็แล้วกันนะจ๊ะ เพื่อนรัก

     

    ปาร์ตี้เกิร์ลจอมกวนแยกไปที่รถของตัวเองก่อนแล้ว ร่างสูงเพรียวพาคนสวยมาที่รถสีดำของตัวเอง นันทิตาเปิดประตูรถให้คิมหันต์เข้าไปนั่งก่อน พร้อมกับสตาร์ทรถและเปิดแอร์

    “เดี๋ยวขอโทรศัพท์แป็บนึงนะคะ” หมอสาวพูดกับคนที่นั่งเบาๆ ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋า แล้วปิดประตูรถออกไปคุยข้างนอก

    สงสัยจะคุยกับแฟนแน่ๆ ไหนเมื่อกี้บอกพี่มีนว่าไม่มีแฟน...คิมหันต์คิดในใจ เมื่อมองไปเห็นหมอสาวส่งสายตาอ่อนโยนให้โทรศัพท์ซะขนาดนั้น เห็นแล้วก็ซึมไปนิดหนึ่ง เมื่อคิดถึงเรื่องของตัวเอง

    ช่วงนี้คิมหันต์เริ่มกลับมาสนใจตัวเองอีกครั้ง หลังจากที่ปล่อยให้สุขภาพกายสุขภาพใจทรุดโทรมไปเป็นเดือน แม้หญิงสาวยังไม่สามารถลืมความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในใจได้ แต่จะให้ชีวิตต้องมาพังเพราะผู้ชายทรยศคนหนึ่งน่ะเหรอ ไม่มีทาง อีกอย่างไม่รู้ทำไมช่วงนี้ชัชวาลถึงเงียบไป ตั้งแต่ที่โทรศัพท์มาหาเธออาทิตย์ก่อน ชายหนุ่มก็หายไปเลย ไม่มีแม้กระทั่งดอกไม้ที่ส่งมาเป็นประจำ หรือเขาจะตัดใจจากเธอได้แล้วจริงๆ

    คิดมาถึงตรงนี้ หญิงสาวเริ่มมีน้ำตาคลอขึ้นมา ก็ไหนบอกตัวเองว่าจะเข้มแข็งไม่ใช่เหรอ เขาไปก็ดีแล้วนี่นา แต่ทำไมกลับยิ่งรู้สึกอ้างว้างเข้าไปใหญ่

    “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” หมอสาวที่คุยโทรศัพท์กับนุสบาเสร็จแล้ว ก้าวเข้ามาในรถ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสาวสวยตาแดงๆ และเหมือนมีหยดน้ำเกาะอยู่ที่หางตา

    “ไม่มีอะไรค่ะ สงสัยแอร์จะเป่าตา” คิมหันต์เสไปมองที่กระจกด้านข้าง เธอแก้ตัวไปทั้งๆ ที่รู้ว่าใครมันจะไปเชื่อเธอล่ะนั้น

    “อืม...ถ้างั้นปรับหน่อยก็แล้วกันนะคะ” นันทิตาเอือมมือมาปรับแอร์ตรงหน้าของหญิงสาวให้หันไปทางอื่น ถึงแม้จะไม่เชื่อคำแก้ตัว แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรต่อ

     

    “น้องคิมทำงานที่นี่มานานหรือยังคะ” หลังจากที่สังเกตเห็นว่าคนที่นั่งข้างๆ เริ่มมีท่าทางเป็นปกติแล้ว หมอสาวจึงเริ่มเอ่ยปากชวนคุยถึงสถานที่ทำงานของคิมหันต์อันเป็นที่หมายที่พวกเธอกำลังเดินทางไป คราวก่อนที่เคยมีโอกาสได้คุยกันตามลำพังก็มัวแต่เม้าท์เรื่องของมีนา ไม่เคยได้ถามเรื่องของหญิงสาวเลย

    “สองปีค่ะ เข้ามาพร้อมพี่มีนแหละค่ะ แต่คิมอยู่ฝ่ายบัญชี” คิมหันต์อธิบาย ในใจรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อยที่เผลอใจอ่อนแอให้คนที่เพิ่งจะรู้จักกันได้เห็น

    “โห ท่าทางคงเขี้ยวน่าดู” หมอสาวอดแซวไม่ได้ ตัวเธอไม่มีความรู้ด้านนี้เลย ชีวิตที่มีแต่ตัวเลขกับเอกสาร แค่คิดก็ส่ายหน้าแล้ว

    “เรียกว่ารักษาผลประโยชน์ของบริษัทดีกว่านะคะ” คิมหันต์หัวเราะ ทำไมใครๆ ก็คิดว่านักบัญชีจะต้องเขี้ยวต้องงกต้องจุกจิกทุกทีเลย งานของเธอคือการดูแลจัดระเบียบให้กับฝ่ายต่างๆ ในการใช้เงินตะหากล่ะ วันไหนขาดฝ่ายบัญชีละก็ ทุกคนจะรู้สึก...หึหึ

    “ล้อเล่นค่ะ ล้อเล่น” นันทิตารีบบอกเสียงหวาน แล้วหันมายิ้มให้สาวสวย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของคนข้างๆ หันมาสบตากัน หมอสาวชะงักไปนิดหนึ่งด้วยความรู้สึกประหลาดๆ ก่อนหันกลับไปมองกระจกด้านหน้า

    “แล้วนี่หมอไนซ์ทำงานที่โรงพยาบาลนั้นนานหรือยังคะ” คิมหันต์เริ่มชวนนันทิตาคุยบ้าง

     

    สองสาวคุยกันเรื่อยเปื่อยจนรถสีดำขับมาถึงจุดหมาย นันทิตาถามถึงชั้นที่คิมหันต์จอดรถทิ้งไว้ แล้ววนขึ้นไปโดยไม่เปิดโอกาสให้หญิงสาวที่ตั้งใจจะขอลงหน้าตึกได้เอ่ยปาก ไม่นานรถสีดำก็เคลื่อนมาจอดตรงหน้ารถสีบรอนซ์ทองของคิมหันต์ที่จอดอยู่

    “ขอบคุณมากนะคะหมอไนซ์ ขับรถกลับบ้านดีๆ นะคะ” รอยยิ้มอ่อนหวานที่ดวงตาสีน้ำตาลเข้มส่งมา ทำให้หมอสาวรู้สึกสมองปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก เธอไม่เคยรู้สึกตะลึงในความสวยของผู้หญิงคนไหนมาก่อน แม้แต่กับผู้ชายก็เถอะ ความหล่อของหนุ่มคนไหนก็ไม่เคยทำให้ตาพร่ามัวได้แบบนี้

    “เอ่อ ค่ะ” นันทิตาตอบได้แค่นั้น รู้สึกเหมือนริมฝีปากมันแข็งไปหมด เธอเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

    ร่างบางในชุดเดรสสั้นสีฟ้าอ่อนเปิดประตูรถแล้วเดินไปที่รถสีบรอนซ์ทองของตัวเองก่อนหันกลับมายิ้มให้หมอสาวอีกครั้งหนึ่ง เล่นเอาคุณหมอยิ้มตอบแทบไม่ทัน นันทิตารอสักพักก็ยังไม่เห็นคิมหันต์ออกรถ แม้จะอยากลงไปถามว่าหญิงสาวมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่ด้วยความเป็นห่วงพี่สาว เธอจึงตัดสินใจขับรถออกไปก่อน

    ยังไม่ทันจะวนลงไปถึงชั้นล่าง เสียงโทรศัพท์มือถือของนันทิตาก็ดังขึ้น หมอสาวนิ่วหน้า รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เหตุการณ์เหมือนเดจาวู เมื่อคราวที่ได้พบกับคิมหันต์ครั้งก่อน

    หมอสาวมองชื่อคนที่โทรศัพท์เข้ามา ก่อนรับสาย “ฮัลโหล”


    ____________________________________________________________________

    ขอบคุณมากค่ะ สำหรับการติดตาม

    in heaven

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×