คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1
ตึกใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนถนนสายธุรกิจ ท่ามกลางอากาศร้อนระอุในเดือนเมษายน หลังจากจอดรถเสร็จแล้ว คิมหันต์รีบก้าวขายาวๆ เดินเข้าตึก ถึงแม้เธอจะรู้ว่ามาถึงก่อนเวลาเข้างาน แต่ก็ไม่รู้จะเดินอ้อยอิ่งไปทำไม รีบขึ้นไปเตรียมงานก่อนดีกว่า
หญิงสาวผมดัดลอนสีน้ำตาลเข้มเดินมาถึงโต๊ะประจำของเธอ ยังไม่มีใครมาเหมือนเคย นี่เพิ่งจะแปดโมงเอง เวลาเข้างานมันแปดโมงครึ่งนี่นา แต่แบบนี้แหละดีแล้ว ช่วงก่อนที่ทุกคนจะมาถึงเป็นช่วงเวลาที่คิมหันต์ชอบเป็นพิเศษ เพราะมันสงบเงียบ เหมาะกับการใช้สมาธิเป็นอย่างยิ่ง
คิมหันต์เป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบัญชีที่นี่ได้สองปีแล้ว หลังจากจบปริญญาโท เธอก็สมัครเข้าทำงานที่นี่ทันที ถึงแม้งานจะหนักบ้างเป็นบางช่วงแต่เธอก็มีความสุขกับงานที่ทำ จะยกเว้นก็ตอนที่ใครบางคนอ้างว่าเธอทำงานจนไม่มีเวลาให้เขา เป็นเพราะเธอยุ่งจนเขาเผลอแอบนอกใจ นี่ตกลงมันเป็นความผิดของเธอสินะ คิมหันต์สั่นศีรษะน้อยๆ เพื่อไล่ความคิดนี้ออกไป ก่อนหันไปสนใจที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า สักพักเสียงผู้คนเริ่มจอแจ หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ...อ้าว แปดโมงครึ่งแล้วเหรอเนี่ย ใครบางคนเดินตรงมาหาเธอพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่
“ดอกไม้มาส่งอีกแล้วจ้า พี่เดินเข้ามาตอนเค้ามาส่งพอดี เลยรับไว้ให้ ดูก็รู้เลยว่าของใคร” เสียงเจื้อยแจ้วลอยมากระทบหู หญิงสาวเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลมีแววขุ่นชั่วขณะ
“เอาทิ้งไปเถอะค่ะ พี่จ๋า” คิมหันต์ตอบสั้นๆ สีหน้าเรียบเฉย ทำท่าจะก้มหน้าลงไปทำงานอีกครั้ง
“เฮ้อ น่าสงสารดอกไม้ มันไม่ได้ผิดซะหน่อย” เจนจิราขยับกรอบแว่นตาสีดำ ถอนหายใจพร้อมกับมองกุหลาบขาวช่อสวย สองเดือนมานี่มีคนส่งกุหลาบขาวเก้าดอกมาให้คิมหันต์ทุกอาทิตย์เลย แต่ทุกครั้งเจ้าของดอกไม้ไม่เคยแม้แต่จะหยิบจับมาดู
“งั้นพี่จ๋าเอากลับบ้านไปละกันนะคะ คิมไม่อยากเห็น” คิมหันต์ยิ้มให้เจนจิรานิดหนึ่ง ก่อนตอบเบาๆ จริงของพี่จ๋า ดอกไม้มันก็อยู่ ของมันเฉยๆ แต่เพราะคนที่ส่งมาให้ต่างหากที่ทำให้เธอไม่พอใจ
“น้องคิมจ๋า พี่ถามตรงๆ นะ น้องคิมจะไม่ให้อภัยนายชัชจริงๆ เหรอ” เจนจิรายังไม่ยอมหยุด ยังคงเจื้อยแจ้วตามประสาขาเม้าท์ประจำออฟฟิศ นักบัญชีหญิงโสดสนิทวัยใกล้สี่สิบเอ่ยปากถามคิมหันต์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ถึงแม้ตำแหน่งของสาวใกล้สูงวัยจะเป็นรอง แต่คิมหันต์เองก็ให้ความเคารพเจนจิราด้วยความที่เจนจิรานั้นอาวุโสกว่า ดังนั้น เจนจิราจึงกล้ามาพูดเล่นกับเธอบ้าง
“มันจบไปแล้วค่ะ พี่จ๋า” คิมหันต์ตอบเสียงเรียบ หน้าตาไม่แสดงออกถึงความรู้สึกตามเคย หญิงสาวก้มลงทำงานต่อโดยไม่สนใจขาเม้าท์ข้างหน้าเธออีกเลย
แม้จะทำท่าทางไม่สนใจ แต่ในใจเมื่อคิดถึงคนที่ส่งดอกไม้มาให้แล้ว หัวใจของเธอพร่ามัวเหลือเกิน เมื่อไหร่หนอ ผู้ชายคนนั้นจะยอมแพ้ซะที เรื่องมาจนถึงป่านนี้แล้ว ยังจะหวังให้เธอกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกเนี่ยนะ เรื่องตลกชัดๆ
ช่วงบ่าย หลังจากการนำเสนอรายงานทางการเงินประจำเดือนเสร็จแล้ว คิมหันต์รู้สึกปวดท้องมาก ก็จะไม่ให้ปวดได้อย่างไร ในเมื่อทั้งวันมีเพียงกาแฟสองแก้วที่ดื่มเข้าไปตั้งแต่เช้าเท่านั้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าคิม หน้าเธอซีดมากเลยนะ” มีนาสาวการตลาดสุดเฉี่ยวทักคิมหันต์ในห้องน้ำ เธอเป็นรุ่นพี่ของคิมหันต์สองปี แต่เข้าบริษัทมาพร้อมกันเมื่อสองปีก่อน ทั้งสองนั่งด้วยกันตอนปฐมนิเทศ จึงคบหาสนิทสนมกันมาจนถึงตอนนี้
“ปวดท้องนิดหน่อยค่ะพี่มีน คือว่าวันนี้คิมยังไม่ได้ทานข้าวเลย มัวแต่เตรียมพรีเซ้นต์อ่ะ” คิมหันต์ตอบ หน้าตาซีดเซียว ใบหน้าหวานที่ปกติก็ขาวอยู่แล้ว ยิ่งซีดเข้าไปใหญ่
“ไม่หน่อยแล้วมั้งเนี่ย พี่รู้นะว่าช่วงนี้เธอทานอะไรไม่ค่อยลง ระวังโรคกระเพาะถามหาเอานะ” มีนาสำรวจหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง เธอรู้ดีว่าช่วงนี้คิมหันต์มีปัญหาอะไร แต่ด้วยความที่ทั้งสองคนทำงานคนละส่วน แล้วส่วนใหญ่งานของเธอก็ต้องออกไปสำรวจตลาด จึงไม่ค่อยมีเวลาพูดคุยกับหญิงสาวรุ่นน้องเท่าไรนัก
“ไปหาหมอดีกว่า พี่มีเพื่อนเป็นหมออยู่โรงพยาบาลแถวนี้แหละ เดี๋ยวโทรไปนัดให้ เลิกงานแล้วรีบไปเลยนะ” มีนาพูดต่อ ไม่ปล่อยให้คิมหันต์อ้าปากปฏิเสธ
“โอเคค่ะ พี่มีน” หญิงสาวยิ้มแห้งๆ จะปฏิเสธความหวังดีของสาวเฉี่ยวรุ่นพี่ได้อย่างไร
มีนาจัดการโทรศัพท์ไปหาเพื่อนของเธอที่เป็นหมอ ดูท่าทางฝ่ายโน้นตกลงที่จะรับตรวจให้
“เรียบร้อยจ้ะ เพื่อนพี่ชื่อหมอนันทิตานะ นัดไว้ให้ตอนหกโมง เลิกงานแล้วเธอรีบไปทันทีเลยนะ อย่าให้รู้นะว่าไม่ได้ไป” สาวเฉี่ยวขยิบตาให้หลังพูดประโยคสุดท้ายจบ ไม่ได้สิ ต้องดักคอไว้ก่อน ช่วงนี้ยัยนี่ไม่ดูแลตัวเองเลย มีนาคิดในใจ เมื่อสองปีก่อนที่เธอเจอคิมหันต์ครั้งแรก ตอนนั้นหญิงสาวคนนี้ยังไว้ผมตรงอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น ทุกครั้งที่คุยกัน คิมหันต์จะมีแต่รอยยิ้มแฝงอยู่บนใบหน้าเสมอ แล้วดูตอนนี้สิ สายตาแห้งผากคู่นี้ มองแล้วดูเศร้าเหลือเกิน น่าสงสารเพื่อนรุ่นน้องคนนี้จริงๆ
“เพื่อนพี่อยู่แผนกอายุรกรรม ไว้ใจได้นะ จบเกียรตินิยมด้วยไม่ต้องเป็นห่วง โชคดีวันนี้มันอยู่เวรพอดี เรื่องกระเพาะอาหารเนี่ยมันถนัด เพราะมันกินเก่ง ฮ่าๆๆ ” มีนารีบโฆษณาสรรพคุณเพื่อนตัวเองทันที เดี๋ยวทางนี้คิดว่าเป็นหมอเด็กแล้วจะไม่ยอมไปหา แต่ก็ยังไม่วายเผาเพื่อนให้อีกคนได้ขำ
“ทราบแล้วค่ะ คุณพี่” คิมหันต์รับปาก ส่ายหน้ายิ้มๆ ในความช่างพูดและช่างตื้อของสาวเฉี่ยว
หลังจากแยกกับมีนาแล้ว คิมหันต์กลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน ความรู้สึกบีบรัดที่กระเพาะเริ่มผ่อนคลายลง สายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปมองที่โต๊ะของเจนจิรา ดอกไม้ช่อเมื่อเช้ายังวางอยู่ เพราะเจนจิราเตรียมจะเอากลับไปที่บ้านหลังจากที่คิมหันต์เอ่ยปากยกให้
ความคิดล่องลอยไปหาคนที่ส่งดอกไม้มาให้เธอ ชัชวาล...เขาเคยเป็นคนรักของเธอ หกปีที่คบหาดูใจกันมา ความสุขยังตราตรึงอยู่ในใจ แต่เขาทำผิดจนเธอไม่สามารถจะให้อภัยได้ ไม่ใช่เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่เขาแอบคบกับผู้หญิงอีกคนเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีเต็ม คิมหันต์ยังจำได้ดีถึงเรื่องราวในวันนั้น เมื่อสองเดือนก่อน ผู้หญิงคนหนึ่งโทรศัพท์เข้ามาที่โทรศัพท์มือถือของเธอ...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกสติคนใจลอย หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนรับโทรศัพท์สายนอก จวนจะห้าโมงเย็นแล้ว ใครกันโทรมาป่านนี้ แถมรู้เบอร์ต่อของเธออีกด้วย
“สวัสดีค่ะ ฝ่ายบัญชีค่ะ” เธอกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์อย่างเสียไม่ได้ นึกสังหรณ์ใจว่าอาจจะเป็นเขา
“สวัสดีครับน้องคิม ได้รับดอกไม้ของพี่แล้วใช่มั้ยครับ” เป็นชัชวาลจริงๆ นั่นแหละที่โทรเข้ามา จะโทรเข้าโทรศัพท์มือถือ หญิงสาวก็คงไม่รับสายเขา เพราะที่ผ่านมา เธอไม่เคยยอมรับโทรศัพท์ของเขาเลย ดังนั้นเขาจึงต้องโทรมาที่โต๊ะ ยังไงหญิงสาวก็คงไม่กล้าปล่อยให้โทรศัพท์ของตัวเองดัง โดยไม่รับสาย
“คิมบอกให้พอแล้วยังไงล่ะคะพี่ชัช พี่ชัชจะเสียเงินส่งดอกไม้มาให้คิมทำไม” เอาไปส่งให้ผู้หญิงคนนั้นดีกว่ามั้ย คิมหันต์คิดต่อในใจโดยไม่ได้พูดออกมา เธอไม่เข้าใจว่าทำไมชัชวาลไม่ยอมรับความจริงสักที ว่าเรื่องของเธอกับเขามันเป็นไปไม่ได้แล้ว
“พี่คิดถึงน้องคิม เดี๋ยวเลิกงานแล้วพี่แวะไปหานะครับ กินข้าวกับพี่ซักมื้อนะ” ชายหนุ่มไม่สนใจที่คิมหันต์ต่อว่าเรื่องดอกไม้ แต่กลับอ้อนวอนขอพบหน้าหญิงสาว
“เย็นนี้คิมไม่ว่างค่ะ” คิมหันต์ตอบสั้นๆ แบบไม่สนใจคำร้องขอของชายหนุ่มอดีตคนรัก
“ไปไหนครับ หรือนัดคุณแม่ไว้ ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ไปหาที่บ้านก็ได้” ชัชวาลยังไม่หยุดตื้อ วูบหนึ่งที่ได้ยินหญิงสาวบอกว่าไม่ว่าง เขารู้สึกกังวลว่าคิมหันต์จะมีนัดกับชายหนุ่มคนอื่นหรือเปล่า ความรู้สึกหึงหวงแล่นขึ้นมาถึงสมองทันที แต่ต้องระงับไว้ ถ้าขืนเขาถามออกไป หญิงสาวคงกระแทกหูโทรศัพท์ใส่เขาเป็นแน่
“คิมนัดกับหมอไว้ค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ คิมจะเก็บของแล้ว” หญิงสาวตัดบท พลางมองนาฬิกา เลยห้าโมงมาแล้ว ถ้าไม่รีบออกไป มีหวังรถติดจนเลยเวลานัดหมอเพื่อนพี่มีนแน่ๆ เธอขี้เกียจฟังสาวเฉี่ยวเทศนาเอาอีก
“อ้าว น้องคิมเป็นอะไรครับ” ชายหนุ่มรีบถามต่อ แต่ไม่ทันเสียแล้ว คิมหันต์วางสายไปแล้ว
ชัชวาลถอนหายใจ เขาไม่ได้พบหน้าอดีตคนรักมาร่วมเดือนแล้ว เขาไม่อยากจะคิดว่าคิมหันต์เป็นอดีตคนรักเลย เพียงเพราะความเผลอไผลชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นที่ทำให้ทุกอย่างต้องมาลงเอยแบบนี้ รอยยิ้มขื่นปรากฏขึ้นบนหน้า ดวงตาสีดำเผยแววเยาะเย้ยตัวเอง คำว่าชั่วครู่ชั่วยามนี่มันเกือบปีเชียวนะ ทำไมเขาถึงปล่อยตัวปล่อยใจให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ เรือนหอที่เขากับคิมหันต์ช่วยกันเลือก ช่วยกันตกแต่ง ตั้งใจว่าถ้าสร้างเสร็จ เขาจะขอเธอแต่งงานอย่างเป็นทางการซะที หลังจากลองทาบทามหญิงสาวเล่นๆ มาหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งคิมหันต์ก็มักจะยิ้มแล้วบอกให้เขาไปขอพ่อกับแม่ของเธอเอาเอง
ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจช้าๆ เขาไม่อยากยอมแพ้เลย ขอเพียงแค่คิมหันต์ยอมให้อภัยเขา เรื่องทางนั้นเขาจะจัดการให้เรียบร้อย แต่นี่ดูเหมือนหญิงสาวจะตัดใจจากเขาอย่างเด็ดขาดแล้ว นี่ฤดูร้อนของเขากำลังจะหมดลงแล้วใช่ไหม
เสียงเพลงจากวิทยุพร้อมแอร์เย็นฉ่ำในรถ ไม่สามารถทำให้หญิงสาวบรรเทาจากความหงุดหงิดได้ ก็โรงพยาบาลที่เธอกำลังจะไปอยู่ห่างจากออฟฟิศของเธอไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้นเอง แต่รถติดที่ไหนก็ไม่เท่ารถติดในเมืองกรุงยามเย็น
ดูสิ...นี่มันเลยหกโมงไปแล้วนะ คุณหมอ...เอ๊ะ! จำชื่อไม่ได้แฮะ นันอะไรซักอย่างนี่แหละ จะยังรอเธออยู่มั้ยเนี่ย หญิงสาวบ่นกับตัวเองในใจ
หญิงสาวรีบขับรถเลี้ยวเข้าโรงพยาบาล คิมหันต์จำชื่อหมอไม่ได้ ดีนะที่มีนาจดชื่อเพื่อนสาวผู้เป็นหมอไว้ให้เธอด้วย “มาพบคุณหมอนันทิตา แผนกอายุรกรรม นัดไว้ตอนหกโมงค่ะ” คิมหันต์รีบแจ้งกับประชาสัมพันธ์ เธอมาช้าไปสิบห้านาที แล้วไหนจะต้องทำบัตรใหม่อีก เพราะเธอไม่เคยมาโรงพยาบาลนี้
“มาครั้งแรก เชิญกรอกข้อมูลก่อนนะคะ” ประชาสัมพันธ์สาวของโรงพยาบาลยิ้ม พร้อมส่งแบบฟอร์มประวัติคนไข้ให้เธอกรอก
“เชิญรอที่แผนกอายุรกรรม ชั้นสองได้เลยค่ะ เดี๋ยวแฟ้มประวัติจะตามไปค่ะ” ประชาสัมพันธ์สาวคนเดิมยิ้มให้คิมหันต์ หลังจากที่เธอกรอกแบบฟอร์มเสร็จแล้วส่งคืนไปให้
“ขอบคุณค่ะ” คิมหันต์ตอบ แล้วรีบเดินไปยังบันไดเลื่อน
เลยเวลานัดแล้วนี่นา นี่เราจะโดนเบี้ยวหรือเปล่าเนี่ย อุตส่าห์อยู่รอตามที่ยัยมีนโทรศัพท์มานัด ความจริงวันนี้นันทิตาออกเวรตั้งแต่สี่โมงครึ่ง แต่เพราะเพื่อนสาวที่สนิทกันมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยโทรศัพท์มาขอให้ช่วยตรวจอาการปวดท้องของเพื่อนเธอให้หน่อย นันทิตาจึงรอ แต่นี่มันก็ใกล้จะหกโมงครึ่งแล้ว ถ้าคนที่นัดไว้ไม่มา เธอจะโทรไปเฉ่งยัยมีนาให้หูชาเลย
“หมอไนซ์คะ คนไข้ที่นัดไว้มาแล้วค่ะ” พยาบาลสาวหน้าห้องแจ้ง หลังจากเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา พร้อมยื่นแฟ้มประวัติคนไข้ให้
“เฮ้อ ไม่โดนเบี้ยวแล้วเรา” หมอสาวยิ้ม พร้อมให้พยาบาลเรียกคนไข้เข้ามาเลย หลังจากนั้นก็ก้มลงไปอ่านประวัติของผู้ที่เธอกำลังจะรักษา
คิมหันต์ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกล่าวทักทาย “สวัสดีค่ะคุณหมอ”
“สวัสดีค่ะ คุณ...” หมอสาวเงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้ม สายตาปะทะกับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ผมดัดลอนสีน้ำตาลเข้มดูคุ้นตา หญิงสาวนิ่งไป สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว
“คุณฤดูร้อนนี่นา” นันทิตาพึมพาเบาๆ หญิงสาวนึกออกแล้ว ก็เธอเพิ่งเจอผู้หญิงคนนี้เมื่อเช้าเองนี่นา หญิงสาวสวยที่คิ้วขมวดนั่งอ่านเอกสารอะไรไม่รู้โดยไม่สนใจสิ่งรอบตัวเลยสักนิด
“อะไรนะคะ” คิมหันต์ได้ยินเสียงหมอสาวพูดอะไรสักอย่างที่เธอฟังไม่ถนัดนัก จึงถามออกไป
“ไม่มีอะไรค่ะ เชิญนั่งค่ะ อาการเป็นยังไงบ้างคะ” หมอสาวรีบถามกลบเกลื่อน ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะจำเธอไม่ได้ ช่างเถอะ แต่ว่าเธอไม่น่าจดจำขนาดนี้เลยเหรอ เพิ่งเจอกันเมื่อเช้าแน่ๆ นันทิตานึกเคืองนิดๆ ในใจ แล้วก้มลงอ่านชื่อหญิงสาวจากหน้าแฟ้ม “คุณคิมหันต์” อ้าว เฮ้ย! ผู้หญิงคนนี้ชื่อฤดูร้อนจริงๆ นี่นา นันทิตาแอบยิ้มนิดๆ ขำความคิดของตัวเอง
“ขอโทษนะคะที่มาช้า รถมันติดกว่าที่คิดน่ะค่ะ” คิมหันต์รีบยกมือไหว้ขอโทษหมอสาว โดยยังไม่ได้ตอบคำถามเรื่องอาการปวดที่เป็นอยู่ เธอรู้สึกเกรงใจเพื่อนของสาวเฉี่ยวเป็นที่สุด เพราะเธอมาช้ากว่าเวลานัดเกือบครึ่งชั่วโมง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ การจราจรบ้านเราก็รู้ๆ กันอยู่” นันทิตายิ้มให้คุณฤดูร้อนของเธออย่างไม่ถือสา มาช้ายังดีกว่าไม่มาล่ะนะ “ตกลงอาการเป็นยังไงคะ” หมอสาวถามซ้ำ
“ก็ปวดท้องค่ะเป็นๆ หายๆ บางทีหลังทานข้าว ก็รู้สึกผะอืดผะอมจนต้องอาเจียนออกมาค่ะ” คิมหันต์ยิ้ม รู้สึกขอบคุณที่หมอสาวเข้าใจเธอ จากนั้นก็ตอบไปตามอาการที่เธอเป็นอยู่ คิมหันต์รู้สึกว่าหมอนันทิตาหน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก
“ขึ้นไปนอนบนเตียงเลยค่ะ” หมอสาวร่างสูงเพรียวลุกขึ้น พร้อมเชิญคนไข้สาวไปที่เตียง สงสัยงานนี้หนีไม่พ้นโรคกระเพาะแน่ๆ
“ขอโทษนะคะ รบกวนเปิดเสื้อนิดหนึ่งนะคะ” นันทิตาเอ่ยปายขออนุญาตคนไข้
คิมหันต์เลิกชายเสื้อขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นผิวขาวบนหน้าท้องแบนราบ
อืม...ผิวเนียนจัง เอ๊ะ! เราคิดอะไรเนี่ย ไม่เกี่ยวแล้ว คุณหมอร่างสูงหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย คิดในใจว่าเธอไม่ได้เป็นโรคจิตนะ จะแอบมองหน้าท้องคนไข้ทำไมเนี่ย เห็นมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ว่าแต่...ขอจับหน่อยก็แล้วกันนะคะคุณฤดูร้อน มือเรียวยื่นมากดบริเวณหน้าท้องของหญิงสาวที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง เออ...นุ่มด้วยแฮะ ว่าแล้วหมอสาวก็หน้าแดงอีกรอบ
“ตรงนี้เจ็บมั้ยคะ” นันทิตารีบไล่ความเพ้อเจ้อของตัวเองออกไป กลับไปมีสมาธิกับอาการของหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง วันนี้ทำงานเกินเวลา สงสัยสมองของเธอคงจะช็อตเสียแล้ว
หลังจากวินิจฉัยโรคเสร็จแล้ว หมอสาวก็เขียนในแฟ้มสั่งยาให้คิมหันต์ เป็นไปตามที่สันนิษฐานไว้แต่แรก หญิงสาวเป็นโรคกระเพาะ สาเหตุก็น่าจะมาจากการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลาที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคิมหันต์ไปแล้ว
“ทานข้าวให้ตรงเวลาสามมื้อนะคะ ช่วงนี้งดอาหารรสจัด อาหารเผ็ด ชา กาแฟ ถ้างดได้ก็ดีค่ะ” หมอสาวพูด แอบคิดในใจ งานนี้คนไข้จะเชื่อฟังเธอเหรอเนี่ย ท่าทางจะติดกาแฟไม่ใช่น้อย
“กาแฟก็ไม่ได้เหรอคะ” คิมหันต์หน้าจ๋อย ก็ทุกวันนี้เธอขาดมันได้เสียเมื่อไหร่ล่ะ กาแฟเนี่ย
“อืม ก็ควรงดค่ะ ถ้าอยากจะหายเร็วๆ เพราะโรคกระเพาะเนี่ย มันต้องใช้เวลาในการรักษานานพอสมควร ยิ่งคนไข้ไม่ตั้งใจปฏิบัติตัวตามที่หมอแนะนำ ก็จะยิ่งหายช้านะคะ” นันทิตาร่ายยาว เป็นเรื่องปกติของเธอที่คนไข้มักต่อรองขอกินนั่น ทานนู่นอยู่เสมอ
“หมอแนะนำให้คุณคิมหันต์ทานพวกอาหารอ่อนๆ พวกโจ๊กหรือข้าวต้มไปก่อนในช่วงนี้ ถ้าท้องว่างอย่าทานนมนะคะ เพราะถึงนมจะมีคุณสมบัติเคลือบกระเพาะได้ แต่ว่าหลังจากนั้นกระเพาะอาหารจะมีการหลั่งกรดเพิ่มมากขึ้น จะทำให้อาการแย่ลงค่ะ” หมอสาวยังคงสั่งต่อไป “พวกเหล้าหรือบุหรี่ก็ต้องเลิกนะคะ” คุณหมอคนสวยสั่งตบท้าย
“เอ่อ อันนั้นไม่ได้ดื่มไม่ได้สูบอยู่แล้วค่ะ” คิมหันต์ตอบยิ้มๆ หน้าอย่างเธอนี่เหมือนพวกขี้เหล้าเมายาเหรอเนี่ย
“ก็ต้องบอกไว้ก่อนค่ะ เห็นว่าเป็นเพื่อนที่ทำงานของมีน รายนั้นน่ะ สุราเมรัยของโปรดเลย” นันทิตาแอบนินทาสาวเฉี่ยวเพื่อนร่วมงานของคนไข้
“จริงค่ะ ไปเที่ยวทีไร พี่มีนนี่หัวโจกตั้งวงทุกที” คิมหันต์หัวเราะครืน ดวงตาสีน้ำตาลมีแววขบขัน เมื่อนึกถึงปาร์ตี้เกิร์ลอย่างมีนา
หมอสาวนิ่งไป ผู้หญิงคนนี้ปกติชอบทำหน้าเฉยๆ แต่เวลายิ้มนี่ก็ทำให้โลกสดใสไม่เลวนะ
“คนไข้เองก็อย่าเครียดมากนักนะคะ การหัวเราะบ่อยๆ จะช่วยคลายความเครียดได้ดี หมอนัดอีกสองอาทิตย์มาดูอาการนะคะ เดี๋ยวเชิญไปรอที่ฝ่ายการเงินชั้นหนึ่งได้เลยค่ะ” นันทิตาแนะนำพร้อมทั้งนัดหมายคนไข้ของเธอ
“ขอบคุณมากค่ะ” คิมหันต์ยิ้มให้นันทิตาพร้อมกล่าวลา พอใจกับการรักษาของคุณหมอคนนี้ไม่น้อย เพื่อนของมีนามีอัธยาศัยดี ถึงว่าทำไมถึงเป็นเพื่อนกับมีนาได้ ท่าทางคุยเก่งทั้งคู่ เวลาเจอกันคงเฮฮาไม่น้อย ว่าแต่หน้าตาแบบนี้เคยเจอที่ไหนนะ คิดไม่ออกซักที
หมอสาวจัดการล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากออกเวร นันทิตาลงมาที่ชั้นล่าง เพื่อแวะหาอะไรทานที่ห้องอาหารของโรงพยาบาล หมอสาวคาดว่ากว่าจะขับรถถึงบ้านก็คงเกือบสามทุ่ม คงจะหิ้วท้องกลับไปบ้านไม่ไหวแน่ๆ แล้วที่บ้านจะมีอะไรกินหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ เพราะเมื่อเช้าพี่สาวของเธอบอกว่าจะกลับดึก
นันทิตารับอาหารแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องอาหารของโรงพยาบาลในยามค่ำคืนมีผู้คนเบาบาง ทันใดนั้น สายตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวผมดัดลอนสีน้ำตาลคนนั้น หมอสาวทำหน้าตาขัดใจเมื่อมองไปบนโต๊ะ เห็นแก้วกาแฟเย็นตั้งอยู่
หมอร่างสูงเพรียวถอนหายใจ จริงๆ ก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเรื่องของคนไข้ โตๆ กันแล้วก็คิดเอาเองแล้วกัน แต่ไม่รู้ทำไมสองขาของเธอถึงก้าวเดินตรงไปยังโต๊ะที่หญิงสาวนั่งอยู่
“สงสัยคนไข้อยากเจอหน้าหมอนานๆ ใช่มั้ยคะเนี่ย” เสียงหวานของหมอสาวทำเอาคิมหันต์สะดุ้ง ตามองแก้วกาแฟเย็นบนโต๊ะโดยไม่รู้ตัว
“ขอโทษค่ะ พอดีลืมตัวสั่งไปแล้ว เลยเสียดายอ่ะค่ะ” คิมหันต์รีบแก้ตัว รู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกผู้ใหญ่จับได้ว่าทำอะไรผิด รู้สึกเขินไม่น้อย
“อ่ะนะ อย่าลืมตัวแบบนี้บ่อยนะคะ” หมอสาวพูดแล้วยิ้มให้คิมหันต์
หมอคนนี้ยิ้มน่ารักจริงๆ คนไข้หนุ่มๆ ติดกันตรึมแน่ๆ คิมหันต์แอบคิดในใจ
ตอนนั้นเอง นันทิตานึกถึงครั้งแรกที่เจอคิมหันต์ที่ร้านกาแฟเมื่อเช้านี้ ดูเหมือนทางนั้นจะไม่รู้ตัวเลยว่าเคยเจอเธอมาแล้ว ลองดูซะหน่อยดีกว่า ว่าหญิงสาวจะจำเธอไม่ได้จริงๆ เหรอ
“ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยคะ” หมอสาวพูดเสียงหวาน
คิมหันต์ชะงัก สายตาจ้องไปที่ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น ผมสไลด์ยาวเป็นทรง รอยยิ้มที่คุ้นตา อา...ใช่แล้ว
“คุณชาเขียวปั่น” คิมหันต์ตะโกนเสียงดังอย่างลืมตัว สายตาทุกคู่ที่อยู่ในห้องอาหารหันมามองที่เธอ หญิงสาวรู้สึกตัว รีบยิ้มแหยๆ
“ฮ่ะๆๆ ใช่แล้วค่ะ คุณกาแฟดำ” นันทิตาหัวเราะเสียงดัง ไม่คิดว่าผู้หญิงตรงหน้าจะตกใจขนาดนี้
เธอวางจานอาหารพร้อมทั้งนั่งลงตรงข้ามคิมหันต์ “เรียกไนซ์ก็ได้ค่ะ” หมอสาวยิ้มให้ พลางแนะนำชื่อเล่นของตัวเอง
“งั้นเรียกคิมว่าคิมก็ได้ค่ะ หมอไนซ์” คิมหันต์แนะนำชื่อเล่นของตัวเองบ้าง พร้อมยิ้มอย่างเป็นมิตรให้คุณหมอสาว
นันทิตาใจเต้นเล็กน้อย เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น เธอก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่ รู้แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ดูน่าสนใจไม่น้อย ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นสวยซึ้ง แต่มีแววเศร้าปนอยู่ อีกอย่างโรคกระเพาะที่เธอเป็นคงเกิดจากความเครียดที่สะสม ผู้หญิงคนนี้มีปัญหาอะไรกันหนอ นันทิตาแอบคิดตามนิสัยที่ชอบเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นของเธอ เพราะแบบนี้ยังไงล่ะ เพื่อนๆ ถึงชอบมาปรึกษาปัญหาหัวใจกับเธอกันนัก
หญิงสาวทั้งคู่นั่งทานอาหารกันไป สนทนากันไป แน่นอนว่าบทสนทนาส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นมีนา บุคคลที่ทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน เนื้อหาออกแนวนินทาสาวเฉี่ยว แต่ก็เป็นแบบรักใคร่ ไม่ใช่การว่าร้ายแต่อย่างใด
เสียงโทรศัพท์มือถือของคิมหันต์ดังขึ้น ทั้งสองสาวชะงักไป คิมหันต์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแวบหนึ่ง ก่อนกดตัดแล้วเอาใส่กระเป๋าสะพายดังเดิม ความเหม่อลอยเข้าครอบงำเธอ ชัชวาลโทรมาอีกแล้ว
“จะสามทุ่มแล้ว เรากลับกันดีกว่านะคะ” หมอสาวสังเกตเห็นคิมหันต์เงียบไปพักใหญ่ เธอจึงเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“จริงด้วยสิคะ ขอบคุณมากนะคะ หมอไนซ์ ที่มานั่งคุยเป็นเพื่อนคิม” หญิงสาวเริ่มรู้ตัว เมื่อกี้ยังอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ แค่เสียงโทรศัพท์จากอดีตคนรักก็เรียกความอึมครึมให้มาปกคลุมหัวใจเธอได้อย่างง่ายดาย
“ยินดีค่ะ ยังไงก็อย่าทานกาแฟมากนักนะคะ” ดูสิ เธอยังไม่วายจะเตือน ก็นิสัยหมอนี่นะ
“โอเคค่ะ คุณหมอ” คิมหันต์ยิ้มให้นันทิตา แอบรู้สึกดีที่มีคนคอยเป็นห่วง ถึงแม้จะเป็นแค่คำเตือนของคนเป็นหมอก็เถอะ ก็นานแล้วนี่นา ที่ไม่มีใครคอยเป็นห่วงเธอแบบนี้ แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะมีใครมาเป็นห่วงเธออีกหรือเปล่า ก็หัวใจของเธอเข็ดขยาดกับความรักไปแล้ว คงไม่กล้าเปิดรับใครง่ายๆ หรอก
สองสาวบอกลาด้วยมิตรภาพที่ดีต่อกัน แล้วแยกย้ายขึ้นรถของตัวเอง ระหว่างขับรถกลับบ้าน ชัชวาลยังโทรศัพท์เข้ามาให้คิมหันต์รู้สึกปั่นป่วนอีกรอบ เธอจึงตัดสินใจปิดโทรศัพท์มือถือไป หญิงสาวจับพวงมาลัยแน่น มองตรงไปข้างหน้า หัวสมองว่างเปล่า ลืมเรื่องของหมอสาวไปเสียแล้ว
ฝ่ายหมอสาวเปิดเพลงในรถ แล้วร้องตามอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้วันนี้จะทำงานเกินเวลา แต่ก็รู้สึกคุ้ม ที่ได้รู้จักเพื่อนใหม่อย่างคิมหันต์ ซักพักเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น
“ว่าไงคะ พี่นุส ถึงบ้านหรือยังคะ” หมอสาวกรอกเสียงหวานใส่โทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของพี่สาวคนเดียวของเธอ
“...” ฝ่ายนั้นเงียบ สักพักมีเสียงสะอื้นลอยเข้ามา
“พี่นุส เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” นันทิตาเริ่มร้อนรนเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้เป็นพี่
อีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว เอาไงดี หมอสาวเหยียบคันเร่งไม่ยั้ง ในใจลุกเป็นไฟ เกิดอะไรขึ้นกับพี่นุสของเธอ
ความคิดเห็น