ลำดับตอนที่ #19
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : ว่าด้วยเรื่อง :: กฏหมายอาญา3
ก่อนที่จะอธิบายต่อขออธิบายเรื่องเดิมเน้นย้ำอีกครั้งว่า
บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาต่อเมื่อ
โครงสร้างแรก การกระทำครบองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติ
โครงสร้างสองการกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด
โครงสร้างสามการกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ
ซึ่งทั้งสามโครงสร้างนี้เรียกว่า“โครงสร้างความรับผิดในทางอาญา”
และตอนนี้ ... ได้อธิบายมาถึงโครงสร้างแรก
แต่ที่เคยบอกแล้วว่าโครงสร้างแรกนั้นประกอบด้วย 4 องค์ประกอบดังนี้
1.มีการกระทำ
2.การกระทำนั้นครบองค์ประกอบภายนอก
3.การกระทำนั้นครบองค์ประกอบภายใน
4.มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
ได้อธิบายองค์ประกอบที่ 1 และ 2 แล้ว
------
ต่อไปผมจะอธิบายองค์ประกอบที่ 3 การกระทำนั้นต้องครบองค์ประกอบภายใน
องค์ประกอบภายใน ตามหลักกฎหมาย คือเรื่องเจตนา
เจตนาตามกฎหมายอาญาสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. เจตนาตามความเป็นจริง คือเจตนาประสงค์ต่อผล, เจตนาย่อมเล็งเห็นผล
1.1 เจตนาประเภทประสงค์ต่อผล ทางตำราเรียกว่า “เจตนาโดยตรง” ประสงค์ต่อผลหมายความว่ามุ่งหมายจะให้เกิดผล ถ้าเกิดผลก็เป็นความผิดสำเร็จถ้าผลไม่เกิดก็เป็นผิดพยายาม
ตัวอย่าง
แดงต้องการทำลายแจกันใบละล้านของนายเด่น แดงจึงแกล้งทำเป็นชนแจกันนั้นตกลงมาแตกเช่นนี้นายแดงเจตนาประสงค์ต่อการทำให้เสียทรัพย์ของนายเด่น
1.2 เจตนาเล็งเห็นผล “เจตนาโดยอ้อม” คือเล็งเห็นว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนเท่าที่จิตใจของบุคคลในฐานะเช่นนั้นจะเล็งเห็นได้
ตัวอย่าง
แดงต้องการฆ่าดำ แดงใช้ปืนยิงดำซึ่งยืนติดกับขาวปืนที่ใช้เป็นปืนลูกซองกระสุนถูกดำและแผ่กระจายไปถูกขาว ทั้งดำและขาว ตายในกรณีเช่นนี้เมื่อนายแดงต้องการฆ่าดำ นายแดงจึงมีเจตนาประเภทประสงค์ต่อผลต่อนายดำแต่การฆ่านายดำโดยใช้ปืนลูกซองนั้นนายแดงย่อมเล็งเห็นว่ากระสุนของปืนลูกซองจะต้องแผ่กระจายไปยังบุคคลที่อยู่ใกล้เคียงอย่างแน่นอนนายแดงจึงมีเจตนาประเภทเล็งเห็นผลต่อนายขาว
ตัวอย่าง
นายแดงนั่งกินไวน์ราคาขวดละ 18 ล้านบาท ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านขวดไวน์ตั้งอยู่ข้างหน้านายแดง นายแดงเห็นนายขาวและนายดำเดินผ่านมาด้วยความสนิทกับนายขาว นายแดงจึงเรียกนายขาวดื่มไวน์เพียงคนเดียวนายดำจึงรู้สึกอิจฉามากที่ไม่ได้กินไวน์
นายดำจึงนำปืนลูกซองที่บ้านของตนมาซุ่มยิงขวดไวน์ทิ้งแต่เมื่อยิงขวดไวน์แล้ว กระสุนกลับกระจายไปโดนนายแดงและนายขาวตายคาที่เช่นนี้นายดำจึงมีเจตนาประเภทประสงค์ต่อทรัพย์ต่อนายแดง (ต้องการยิงขวดไวน์)แต่นายดำย่อมเล็งเห็นว่ากระสุนของปืนลูกซองจะต้องแผ่กระจายไปยังบุคคลที่อยู่ใกล้เคียงอย่างแน่นอนนายแดงจึงมีเจตนาประเภทเล็งเห็นผลต่อนายแดงและนายขาว
2. เจตนาโดยผลของกฎหมายคือการกระทำโดยพลาด
กฎหมายอาญาวางหลักว่า “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่งแต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไปให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้นเพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้ายมิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น”
โปรดสังเกตคำว่า “ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนา” ซึ่งอธิบายได้ว่าที่จริงแล้วการกระทำเช่นนี้ไม่เป็นเจตนาเพราะการพิจารณาว่าบุคคลใดกระทำโดยเจตนาหรือไม่ให้พิจารณาว่าบุคคลนั้นกระทำโดยเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเจตนาย่อมเล็งเห็นต่อผลแต่เพื่อความเป็นธรรมต่อผู้ที่ได้รับผลร้าย กฎหมายจึงให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาจึงอาจเรียกได้ว่าเป็น “เจตนาโดยผลของกฎหมาย”
ตัวอย่างประกอบการพิจารณาเรื่องเจตนาโดยพลาด
กรณีที่ 1.
นายแดงซุ่มยิงนายขาว เมื่อนายขาวเดินมา นายแดงลั่นไกปืนแต่ด้วยความโชคร้าย นายขาวหลบไม่ทัน กระสุนกลับไปเฉี่ยวไปถูกหน้าอกของนายขาวนายขาวตายคาที่ และกระสุนได้แฉลบไปถูกนายดำที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ตายคาที่เช่นกัน เช่นนี้ นายแดงกระทำความผิดฐานฆ่านายขาวโดยประสงค์ต่อผลส่วนนายแดงต้องรับโทษต่อนายดำหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาว่า นายแดงเจตนาประสงค์ หรือเล็งต่อผล ต่อนายดำหรือไม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า นายแดงไม่มีเจตนาประสงค์ หรือเล็งต่อผลเลย อย่างไรก็ตาม กรณีที่ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่งแต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไปให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นดังนั้นจึงถือว่านายแดงมีเจตนากระทำความผิดต่อนายดำ(ผู้ได้รับผลร้าย)ด้วยซึ่งในทางกฎหมายเรียกว่า เจตนาโดยพลาด สรุปได้ว่านายแดงต้องรับผิดฐานฆ่านายดำโดยพลาด
กรณีที่ 2.
นายแดงซุ่มยิงนายขาวเมื่อนายขาวเดินมา นายแดงลั่นไกปืน แต่ด้วยความช่างสังเกตของนายขาว นายขาวหลบทันแต่กระสุนกลับไปถูกนายดำที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวตาย เช่นนี้นายแดงกระทำความผิดฐานพยายามฆ่านายขาวโดยประสงค์ต่อผลส่วนนายแดงต้องรับโทษต่อนายดำหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาว่า นายแดงเจตนาประสงค์ หรือเล็งต่อผล ต่อนายดำหรือไม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า นายแดงไม่มีเจตนาประสงค์ หรือเล็งต่อผลเลย อย่างไรก็ตาม กรณีที่ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่งแต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไปให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นดังนั้นจึงถือว่านายแดงมีเจตนากระทำความผิดต่อนายดำ(ผู้ได้รับผลร้าย)ด้วยซึ่งในทางกฎหมายเรียกว่า เจตนาโดยพลาด สรุปได้ว่านายแดงต้องรับผิดฐานฆ่านายดำโดยพลาด
กรณีที่ 3.
นายแดงซุ่มยิงนายขาวเมื่อนายขาวเดินมา นายแดงลั่นไกปืน นายขาวหลบไม่ทันกระสุนกลับไปเฉี่ยวไปถูกหน้าอกของนายขาว นายขาวตายคาที่แต่กระสุนกลับไปถูกนายดำที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวได้รับบาดเจ็บ เช่นนี้นายแดงกระทำความผิดฐานฆ่านายขาวโดยประสงค์ต่อผลส่วนนายแดงต้องรับโทษต่อนายดำหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาว่า นายแดงเจตนาประสงค์ หรือเล็งต่อผล ต่อนายดำหรือไม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า นายแดงไม่มีเจตนาประสงค์ หรือเล็งต่อผลเลย อย่างไรก็ตาม กรณีที่ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่งแต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไปให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นดังนั้นจึงถือว่านายแดงมีเจตนากระทำความผิดต่อนายดำ(ผู้ได้รับผลร้าย)ด้วยซึ่งในทางกฎหมายเรียกว่า เจตนาโดยพลาด สรุปได้ว่านายแดงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่า(เพราะไม่ตายเพียงได้รับบาดเจ็บเท่านั้น)นายดำโดยพลาด
ข้อสังเกต
1.ปกติแล้วการกระทำโดยพลาดจะมีบุคคล 3 ฝ่าย
1.1.บุคคลที่กระทำความผิด (นายแดง)
1.2.ผู้เสียหายฝ่ายที่ 1 (นายขาว)
1.3.ผู้เสียหายฝ่ายที่ 2 (นายดำ)
2.บุคคลที่กระทำความผิด (นายแดง) ต้องการจะกระทำความผิดต่อผู้เสียหายฝ่ายที่ 1 (นายขาว) เท่านั้น แต่ผลของการกระทำดังกล่าว ไปเกิดแก่ผู้เสียหายฝ่ายที่ 2 (นายดำ) ด้วย
3.ผู้เสียหายฝ่ายที่ 1 (นายขาว)อาจได้รับผลร้ายเท่ากับ ผู้เสียหายฝ่ายที่ 2 (นายดำ) ก็ได้ เช่นกรณีที่ 1
4.ผู้เสียหายฝ่ายที่ 1 (นายขาว) อาจได้รับผลร้ายน้อยกว่าผู้เสียหายฝ่ายที่ 2 (นายดำ) ก็ได้ เช่นกรณีที่ 2
5.ผู้เสียหายฝ่ายที่ 1 (นายขาว) อาจได้รับผลร้ายมากกว่า ผู้เสียหายฝ่ายที่ 2 (นายดำ)ก็ได้ ดังเช่นกรณีที่ 3
บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาต่อเมื่อ
โครงสร้างแรก การกระทำครบองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติ
โครงสร้างสองการกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด
โครงสร้างสามการกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ
ซึ่งทั้งสามโครงสร้างนี้เรียกว่า“โครงสร้างความรับผิดในทางอาญา”
และตอนนี้ ... ได้อธิบายมาถึงโครงสร้างแรก
แต่ที่เคยบอกแล้วว่าโครงสร้างแรกนั้นประกอบด้วย 4 องค์ประกอบดังนี้
1.มีการกระทำ
2.การกระทำนั้นครบองค์ประกอบภายนอก
3.การกระทำนั้นครบองค์ประกอบภายใน
4.มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
ได้อธิบายองค์ประกอบที่ 1 และ 2 แล้ว
------
ต่อไปผมจะอธิบายองค์ประกอบที่ 3 การกระทำนั้นต้องครบองค์ประกอบภายใน
องค์ประกอบภายใน ตามหลักกฎหมาย คือเรื่องเจตนา
เจตนาตามกฎหมายอาญาสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. เจตนาตามความเป็นจริง คือเจตนาประสงค์ต่อผล, เจตนาย่อมเล็งเห็นผล
1.1 เจตนาประเภทประสงค์ต่อผล ทางตำราเรียกว่า “เจตนาโดยตรง” ประสงค์ต่อผลหมายความว่ามุ่งหมายจะให้เกิดผล ถ้าเกิดผลก็เป็นความผิดสำเร็จถ้าผลไม่เกิดก็เป็นผิดพยายาม
ตัวอย่าง
แดงต้องการทำลายแจกันใบละล้านของนายเด่น แดงจึงแกล้งทำเป็นชนแจกันนั้นตกลงมาแตกเช่นนี้นายแดงเจตนาประสงค์ต่อการทำให้เสียทรัพย์ของนายเด่น
1.2 เจตนาเล็งเห็นผล “เจตนาโดยอ้อม” คือเล็งเห็นว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนเท่าที่จิตใจของบุคคลในฐานะเช่นนั้นจะเล็งเห็นได้
ตัวอย่าง
แดงต้องการฆ่าดำ แดงใช้ปืนยิงดำซึ่งยืนติดกับขาวปืนที่ใช้เป็นปืนลูกซองกระสุนถูกดำและแผ่กระจายไปถูกขาว ทั้งดำและขาว ตายในกรณีเช่นนี้เมื่อนายแดงต้องการฆ่าดำ นายแดงจึงมีเจตนาประเภทประสงค์ต่อผลต่อนายดำแต่การฆ่านายดำโดยใช้ปืนลูกซองนั้นนายแดงย่อมเล็งเห็นว่ากระสุนของปืนลูกซองจะต้องแผ่กระจายไปยังบุคคลที่อยู่ใกล้เคียงอย่างแน่นอนนายแดงจึงมีเจตนาประเภทเล็งเห็นผลต่อนายขาว
ตัวอย่าง
นายแดงนั่งกินไวน์ราคาขวดละ 18 ล้านบาท ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านขวดไวน์ตั้งอยู่ข้างหน้านายแดง นายแดงเห็นนายขาวและนายดำเดินผ่านมาด้วยความสนิทกับนายขาว นายแดงจึงเรียกนายขาวดื่มไวน์เพียงคนเดียวนายดำจึงรู้สึกอิจฉามากที่ไม่ได้กินไวน์
นายดำจึงนำปืนลูกซองที่บ้านของตนมาซุ่มยิงขวดไวน์ทิ้งแต่เมื่อยิงขวดไวน์แล้ว กระสุนกลับกระจายไปโดนนายแดงและนายขาวตายคาที่เช่นนี้นายดำจึงมีเจตนาประเภทประสงค์ต่อทรัพย์ต่อนายแดง (ต้องการยิงขวดไวน์)แต่นายดำย่อมเล็งเห็นว่ากระสุนของปืนลูกซองจะต้องแผ่กระจายไปยังบุคคลที่อยู่ใกล้เคียงอย่างแน่นอนนายแดงจึงมีเจตนาประเภทเล็งเห็นผลต่อนายแดงและนายขาว
2. เจตนาโดยผลของกฎหมายคือการกระทำโดยพลาด
กฎหมายอาญาวางหลักว่า “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่งแต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไปให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้นเพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้ายมิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น”
โปรดสังเกตคำว่า “ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนา” ซึ่งอธิบายได้ว่าที่จริงแล้วการกระทำเช่นนี้ไม่เป็นเจตนาเพราะการพิจารณาว่าบุคคลใดกระทำโดยเจตนาหรือไม่ให้พิจารณาว่าบุคคลนั้นกระทำโดยเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเจตนาย่อมเล็งเห็นต่อผลแต่เพื่อความเป็นธรรมต่อผู้ที่ได้รับผลร้าย กฎหมายจึงให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาจึงอาจเรียกได้ว่าเป็น “เจตนาโดยผลของกฎหมาย”
ตัวอย่างประกอบการพิจารณาเรื่องเจตนาโดยพลาด
กรณีที่ 1.
นายแดงซุ่มยิงนายขาว เมื่อนายขาวเดินมา นายแดงลั่นไกปืนแต่ด้วยความโชคร้าย นายขาวหลบไม่ทัน กระสุนกลับไปเฉี่ยวไปถูกหน้าอกของนายขาวนายขาวตายคาที่ และกระสุนได้แฉลบไปถูกนายดำที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ตายคาที่เช่นกัน เช่นนี้ นายแดงกระทำความผิดฐานฆ่านายขาวโดยประสงค์ต่อผลส่วนนายแดงต้องรับโทษต่อนายดำหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาว่า นายแดงเจตนาประสงค์ หรือเล็งต่อผล ต่อนายดำหรือไม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า นายแดงไม่มีเจตนาประสงค์ หรือเล็งต่อผลเลย อย่างไรก็ตาม กรณีที่ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่งแต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไปให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นดังนั้นจึงถือว่านายแดงมีเจตนากระทำความผิดต่อนายดำ(ผู้ได้รับผลร้าย)ด้วยซึ่งในทางกฎหมายเรียกว่า เจตนาโดยพลาด สรุปได้ว่านายแดงต้องรับผิดฐานฆ่านายดำโดยพลาด
กรณีที่ 2.
นายแดงซุ่มยิงนายขาวเมื่อนายขาวเดินมา นายแดงลั่นไกปืน แต่ด้วยความช่างสังเกตของนายขาว นายขาวหลบทันแต่กระสุนกลับไปถูกนายดำที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวตาย เช่นนี้นายแดงกระทำความผิดฐานพยายามฆ่านายขาวโดยประสงค์ต่อผลส่วนนายแดงต้องรับโทษต่อนายดำหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาว่า นายแดงเจตนาประสงค์ หรือเล็งต่อผล ต่อนายดำหรือไม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า นายแดงไม่มีเจตนาประสงค์ หรือเล็งต่อผลเลย อย่างไรก็ตาม กรณีที่ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่งแต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไปให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นดังนั้นจึงถือว่านายแดงมีเจตนากระทำความผิดต่อนายดำ(ผู้ได้รับผลร้าย)ด้วยซึ่งในทางกฎหมายเรียกว่า เจตนาโดยพลาด สรุปได้ว่านายแดงต้องรับผิดฐานฆ่านายดำโดยพลาด
กรณีที่ 3.
นายแดงซุ่มยิงนายขาวเมื่อนายขาวเดินมา นายแดงลั่นไกปืน นายขาวหลบไม่ทันกระสุนกลับไปเฉี่ยวไปถูกหน้าอกของนายขาว นายขาวตายคาที่แต่กระสุนกลับไปถูกนายดำที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวได้รับบาดเจ็บ เช่นนี้นายแดงกระทำความผิดฐานฆ่านายขาวโดยประสงค์ต่อผลส่วนนายแดงต้องรับโทษต่อนายดำหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาว่า นายแดงเจตนาประสงค์ หรือเล็งต่อผล ต่อนายดำหรือไม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า นายแดงไม่มีเจตนาประสงค์ หรือเล็งต่อผลเลย อย่างไรก็ตาม กรณีที่ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่งแต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไปให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นดังนั้นจึงถือว่านายแดงมีเจตนากระทำความผิดต่อนายดำ(ผู้ได้รับผลร้าย)ด้วยซึ่งในทางกฎหมายเรียกว่า เจตนาโดยพลาด สรุปได้ว่านายแดงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่า(เพราะไม่ตายเพียงได้รับบาดเจ็บเท่านั้น)นายดำโดยพลาด
ข้อสังเกต
1.ปกติแล้วการกระทำโดยพลาดจะมีบุคคล 3 ฝ่าย
1.1.บุคคลที่กระทำความผิด (นายแดง)
1.2.ผู้เสียหายฝ่ายที่ 1 (นายขาว)
1.3.ผู้เสียหายฝ่ายที่ 2 (นายดำ)
2.บุคคลที่กระทำความผิด (นายแดง) ต้องการจะกระทำความผิดต่อผู้เสียหายฝ่ายที่ 1 (นายขาว) เท่านั้น แต่ผลของการกระทำดังกล่าว ไปเกิดแก่ผู้เสียหายฝ่ายที่ 2 (นายดำ) ด้วย
3.ผู้เสียหายฝ่ายที่ 1 (นายขาว)อาจได้รับผลร้ายเท่ากับ ผู้เสียหายฝ่ายที่ 2 (นายดำ) ก็ได้ เช่นกรณีที่ 1
4.ผู้เสียหายฝ่ายที่ 1 (นายขาว) อาจได้รับผลร้ายน้อยกว่าผู้เสียหายฝ่ายที่ 2 (นายดำ) ก็ได้ เช่นกรณีที่ 2
5.ผู้เสียหายฝ่ายที่ 1 (นายขาว) อาจได้รับผลร้ายมากกว่า ผู้เสียหายฝ่ายที่ 2 (นายดำ)ก็ได้ ดังเช่นกรณีที่ 3
จากโครงสร้างความรับผิดในทางอาญาโครงสร้างแรก (ตอนที่7) สามารถสรุปได้ว่า เจตนาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1.เจตนาตามความเป็นจริง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1.1.เจตนาโดยประสงค์ต่อผล
1.2.เจตนาย่อมเล็งเห็นผล
2.เจตนาโดยผลของกฎหมายหรือเรียกว่าเจตนาโดยพลาด
-----------------------------------------------------------------------------------
หลักต่อมาที่ต้องพิจารณาคือ
“ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดจะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้”
อาจสรุปเป็นหลักสั้น ๆได้ว่า
“ไม่รู้(องค์ประกอบภายนอกของความผิด) ไม่มีเจตนา”
กรณีที่ 1. นายเอกไปซ้อมยิงปืนที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง โดยใช้โลงศพเก่ามาทำเป็นเป้ายิงปืนเมื่อนายเอกเริ่มซ้อมยิงปืน ปรากฏว่ามีสับปะเหร่อนอนอยู่ในนั้นกระสุนของนายเอกจึงไปถูกสัปเหร่อตายคาที่ เช่นนี้ นายเอกไม่รู้ว่าข้างในนั้นเป็นคนจึงไม่ทราบว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการฆ่าผู้อื่นจึงเป็นกรณีที่นายเอกมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดดังนั้นจะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้นายเอกจึงไม่มีเจตนาเมื่อนายเอกไม่มีเจตนาแล้วจึงขาดองค์ประกอบที่ต้องรับผิดในทางอาญาแล้วจึงขาดองค์ประกอบที่ต้องรับผิดในทางอาญา
กรณีที่ 2. นายเอกเข้าไปบ้านนายโทเพื่อร่วมฉลองงานวันเกิดของนายโท ระหว่างที่นายเอกเต้นนั้นนายเอกทำแหวนตก ตอนใกล้เวลากลับบ้าน นายเอกรู้ตัวว่าทำแหวนตกจึงรีบทำการค้นหาแต่นายเอกพบแหวนของนายโทวางอยู่ นายเอกคิดว่าเป็นของตน จึงหยิบเอามา เช่นนี้นายเอกไม่รู้ว่าแหวนนั้นเป็นของผู้อื่น (นายเอกคิดว่าเป็นของตน)จึงไม่ทราบว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการลักทรัพย์ของผู้อื่นจึงเป็นกรณีที่นายเอกมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด(ฐานลักทรัพย์)ดังนั้นจะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้นายเอกจึงไม่มีเจตนาเมื่อนายเอกไม่มีเจตนาแล้วจึงขาดองค์ประกอบที่ต้องรับผิดในทางอาญา
1.เจตนาตามความเป็นจริง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1.1.เจตนาโดยประสงค์ต่อผล
1.2.เจตนาย่อมเล็งเห็นผล
2.เจตนาโดยผลของกฎหมายหรือเรียกว่าเจตนาโดยพลาด
-----------------------------------------------------------------------------------
หลักต่อมาที่ต้องพิจารณาคือ
“ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดจะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้”
อาจสรุปเป็นหลักสั้น ๆได้ว่า
“ไม่รู้(องค์ประกอบภายนอกของความผิด) ไม่มีเจตนา”
กรณีที่ 1. นายเอกไปซ้อมยิงปืนที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง โดยใช้โลงศพเก่ามาทำเป็นเป้ายิงปืนเมื่อนายเอกเริ่มซ้อมยิงปืน ปรากฏว่ามีสับปะเหร่อนอนอยู่ในนั้นกระสุนของนายเอกจึงไปถูกสัปเหร่อตายคาที่ เช่นนี้ นายเอกไม่รู้ว่าข้างในนั้นเป็นคนจึงไม่ทราบว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการฆ่าผู้อื่นจึงเป็นกรณีที่นายเอกมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดดังนั้นจะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้นายเอกจึงไม่มีเจตนาเมื่อนายเอกไม่มีเจตนาแล้วจึงขาดองค์ประกอบที่ต้องรับผิดในทางอาญาแล้วจึงขาดองค์ประกอบที่ต้องรับผิดในทางอาญา
กรณีที่ 2. นายเอกเข้าไปบ้านนายโทเพื่อร่วมฉลองงานวันเกิดของนายโท ระหว่างที่นายเอกเต้นนั้นนายเอกทำแหวนตก ตอนใกล้เวลากลับบ้าน นายเอกรู้ตัวว่าทำแหวนตกจึงรีบทำการค้นหาแต่นายเอกพบแหวนของนายโทวางอยู่ นายเอกคิดว่าเป็นของตน จึงหยิบเอามา เช่นนี้นายเอกไม่รู้ว่าแหวนนั้นเป็นของผู้อื่น (นายเอกคิดว่าเป็นของตน)จึงไม่ทราบว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการลักทรัพย์ของผู้อื่นจึงเป็นกรณีที่นายเอกมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด(ฐานลักทรัพย์)ดังนั้นจะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้นายเอกจึงไม่มีเจตนาเมื่อนายเอกไม่มีเจตนาแล้วจึงขาดองค์ประกอบที่ต้องรับผิดในทางอาญา
การกระทำโดยประมาทเป็นความผิดได้หรือไม่
เมื่อกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่า “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนาเว้นแต่จะได้กระทำความโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท”
ดังนั้นบุคคลใดจะต้องรับผิดทางอาญาจะต้องปรากฏว่า บุคคลนั้นกระทำโดยเจตนาไม่ว่าเจตนาตามความเป็นจริง(เจตนาประสงค์หรือเล็งเห็นผล)หรือเจตนาโดยผลของกฎหมาย(เจตนาโดยพลาด)
หากบุคคลนั้นกระทำโดยประมาทโดยปกติแล้วไม่ต้องรับผิดทางอาญา เช่นประมาททำให้เสียทรัพย์อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้นในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาทเช่นประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย หรือประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสเป็นต้น ในกรณีเช่นนี้บุคคลนั้นต้องรับผิด แม้กระทำโดยประมาท
หลักของประมาทโดยสรุปคือ
การกระทำโดยมิได้เจตนาแต่ปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะต้องมีความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ซึ่งระดับความระมัดระวังนั้นไม่อยู่นิ่งตายตัวขึ้นและลงตามภาวะวิสัยและพฤติการณ์
เช่นขณะที่นายเอกอยู่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง นายเอกได้หยิบปืนขึ้นมาทำความสะอาด ขัดถูไปขัดถูมา ปรากฏว่าปืนลั่นไปถูกนายดำตาย และกระสุนยังแฉลบไปโดนนาฬิกาของบริษัทนาฬิกาสวย จำกัด เรือนละล้านบาท ทำให้นาฬิกาแตกละเอียด
ถามว่านายเอกมีการกระทำหรือไม่ ต้องตอบว่ามี เพราะว่านายเอกหยิบปืนขึ้นมาทำความสะอาดโดยรู้สึก
แต่การกระทำนั้นไม่มีเจตนา(ทั้งเจตนาประสงค์หรือเล็งเห็นผล)ที่จะทำให้นายดำตายหรือไม่มีเจตนาทำให้นาฬิกาของบริษัท นาฬิกาสวย จำกัดแตก
แต่ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการกระทำของนายเอกที่ปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะวิสัยและพฤติการณ์เช่นเดียวกับนายเอกคงไม่นำปืนหยิบขึ้นมาขัดถูไปมาในขณะอยู่ที่ศูนย์การค้าซึ่งมีคนจำนวนมาก
ดังนั้นนายเอกจึงต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายแต่นายเอกไม่ต้องรับผิดประมาททำให้เสียทรัพย์เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด
เมื่อกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่า “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนาเว้นแต่จะได้กระทำความโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท”
ดังนั้นบุคคลใดจะต้องรับผิดทางอาญาจะต้องปรากฏว่า บุคคลนั้นกระทำโดยเจตนาไม่ว่าเจตนาตามความเป็นจริง(เจตนาประสงค์หรือเล็งเห็นผล)หรือเจตนาโดยผลของกฎหมาย(เจตนาโดยพลาด)
หากบุคคลนั้นกระทำโดยประมาทโดยปกติแล้วไม่ต้องรับผิดทางอาญา เช่นประมาททำให้เสียทรัพย์อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้นในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาทเช่นประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย หรือประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสเป็นต้น ในกรณีเช่นนี้บุคคลนั้นต้องรับผิด แม้กระทำโดยประมาท
หลักของประมาทโดยสรุปคือ
การกระทำโดยมิได้เจตนาแต่ปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะต้องมีความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ซึ่งระดับความระมัดระวังนั้นไม่อยู่นิ่งตายตัวขึ้นและลงตามภาวะวิสัยและพฤติการณ์
เช่นขณะที่นายเอกอยู่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง นายเอกได้หยิบปืนขึ้นมาทำความสะอาด ขัดถูไปขัดถูมา ปรากฏว่าปืนลั่นไปถูกนายดำตาย และกระสุนยังแฉลบไปโดนนาฬิกาของบริษัทนาฬิกาสวย จำกัด เรือนละล้านบาท ทำให้นาฬิกาแตกละเอียด
ถามว่านายเอกมีการกระทำหรือไม่ ต้องตอบว่ามี เพราะว่านายเอกหยิบปืนขึ้นมาทำความสะอาดโดยรู้สึก
แต่การกระทำนั้นไม่มีเจตนา(ทั้งเจตนาประสงค์หรือเล็งเห็นผล)ที่จะทำให้นายดำตายหรือไม่มีเจตนาทำให้นาฬิกาของบริษัท นาฬิกาสวย จำกัดแตก
แต่ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการกระทำของนายเอกที่ปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะวิสัยและพฤติการณ์เช่นเดียวกับนายเอกคงไม่นำปืนหยิบขึ้นมาขัดถูไปมาในขณะอยู่ที่ศูนย์การค้าซึ่งมีคนจำนวนมาก
ดังนั้นนายเอกจึงต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายแต่นายเอกไม่ต้องรับผิดประมาททำให้เสียทรัพย์เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด
ผู้อ่านที่ติดตามมาตลอดคงจำได้ขึ้นใจแล้วว่า
บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาต่อเมื่อ
โครงสร้างแรก การกระทำครบองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติ
โครงสร้างสองการกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด
โครงสร้างสามการกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ
ซึ่งทั้งสามโครงสร้างนี้เรียกว่า“โครงสร้างความรับผิดในทางอาญา”
และตอนนี้ ... ผมได้อธิบายมาถึงโครงสร้างแรก ซึ่งประกอบด้วย 4 องค์ประกอบดังนี้
1.มีการกระทำ
2.การกระทำนั้นครบองค์ประกอบภายนอก
3.การกระทำนั้นครบองค์ประกอบภายใน
4.มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
ผมได้อธิบายองค์ประกอบที่ 1 2 และ 3 แล้ว
------
ต่อไปผมจะอธิบายองค์ประกอบที่ 4 การกระทำสัมพันธ์กับผลของการกระทำ
ในกรณีที่เป็นความผิดซึ่งสามารถแยกผลออกจากการกระทำได้นี้เมื่อมีผลของการกระทำเกิดขึ้น ผู้กระทำจะต้องรับผิดในผลหรือไม่ มีหลักคือ
1. ถ้าผลนั้นเป็นผลโดยตรงผู้กระทำจะต้องรับผิดในผลนั้นถ้าผลนั้นไม่ใช่ผลโดยตรงผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผลนั้นซึ่งในทางกฎหมายใช้ทฤษฎีเงื่อนไขมาอธิบาย อาจอธิบายได้ว่าถ้าไม่มีการกระทำของจำเลยผลก็ไม่เกิดขึ้น จึงต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุของผลนั้น
หากนายเอกใช้ไม้ตีนายโทที่หัว หากนายเอกไม่ตี นายโทก็ไม่บาดเจ็บดังนั้นนายเอกจึงมีความผิดฐานทำร้ายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย
2. ถ้าผลโดยตรงทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้นผลโดยตรงนั้นจะต้องเป็นผลธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยถ้าเป็นผลผิดธรรมดาผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผลที่ทำให้ตนต้องรับโทษหนักขึ้นนั้น
เช่นกฎหมายอาญาฐานทำร้ายร่างกายวางหลักว่า “ผู้ใดทำร้ายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษ ”
แต่หากว่าการทำร้ายร่างกายนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส(เช่นตาบอด, มือขาด, แขนขาด) ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น
หากนายเอกใช้ไม้ตีนายโทที่หัว นายโทได้รับบาดเจ็บหัวแตกเย็บ 1 เข็มนายเอกมีความผิดทำร้ายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย
หากนายโทตาบอด ต้องพิจารณาว่า หากนายเอกไม่ตีนายโทคงไม่บาดเจ็บและตาบอด อีกทั้งการตาบอดนั้นวิญญูชน(บุคคลทั่วไปในสังคม)พึงคาดหมายได้ว่าหัวเป็นศูนย์รวมประสาท หากตีไปที่หัวผู้เสียหายอาจตาบอดได้ จึงเป็นผลธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้นายเอกจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสซึ่งมีระวางโทษหนักกว่าความผิดฐานทำร้ายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย
3.ถ้าผลโดยตรงนั้นไม่ใช่ผลที่ทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้นแต่เป็นผลที่เกิดจากเหตุแทรกแซงผู้กระทำจะต้องรับผิดในผลบั้นปลายที่เกิดจากเหตุแทรกแซงนั้นก็ต่อเมื่อผลในบั้นปลายเกิดจากเหตุแทรกแซงที่วิญญูชนคาดหมายได้ถ้าวิญญูชนคาดหมายไม่ได้ผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผลบั้นปลายนั้น
เช่นนายเอกใช้ปืนปลอมเล็งยิงนั้นแล้วนายโทตกใจกลัวจนถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของนายเอกป็นผลโดยตรงจากนายเอกกระทำความผิดเพราะนายเอกไม่ใช้ปืนปลอมขึ้นเล็งความตายของนายโทก็จะไม่เกิดต้องถือว่าความตายเกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงจากนายเอกกระทำความผิดและต้องถือว่าเป็นเหตุแซกแชงที่เกิดจากตัวผู้เสียเป็นเหตุอันควรคาดหมายได้เพราะผู้ใดโดนปืนจ่อยิงย่อมต้องตกใจเป็นธรรมดาดังนั้นนายเอกจึงต้องรับผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
.
บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาต่อเมื่อ
โครงสร้างแรก การกระทำครบองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติ
โครงสร้างสองการกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด
โครงสร้างสามการกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ
ซึ่งทั้งสามโครงสร้างนี้เรียกว่า“โครงสร้างความรับผิดในทางอาญา”
และตอนนี้ ... ผมได้อธิบายมาถึงโครงสร้างแรก ซึ่งประกอบด้วย 4 องค์ประกอบดังนี้
1.มีการกระทำ
2.การกระทำนั้นครบองค์ประกอบภายนอก
3.การกระทำนั้นครบองค์ประกอบภายใน
4.มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
ผมได้อธิบายองค์ประกอบที่ 1 2 และ 3 แล้ว
------
ต่อไปผมจะอธิบายองค์ประกอบที่ 4 การกระทำสัมพันธ์กับผลของการกระทำ
ในกรณีที่เป็นความผิดซึ่งสามารถแยกผลออกจากการกระทำได้นี้เมื่อมีผลของการกระทำเกิดขึ้น ผู้กระทำจะต้องรับผิดในผลหรือไม่ มีหลักคือ
1. ถ้าผลนั้นเป็นผลโดยตรงผู้กระทำจะต้องรับผิดในผลนั้นถ้าผลนั้นไม่ใช่ผลโดยตรงผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผลนั้นซึ่งในทางกฎหมายใช้ทฤษฎีเงื่อนไขมาอธิบาย อาจอธิบายได้ว่าถ้าไม่มีการกระทำของจำเลยผลก็ไม่เกิดขึ้น จึงต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุของผลนั้น
หากนายเอกใช้ไม้ตีนายโทที่หัว หากนายเอกไม่ตี นายโทก็ไม่บาดเจ็บดังนั้นนายเอกจึงมีความผิดฐานทำร้ายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย
2. ถ้าผลโดยตรงทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้นผลโดยตรงนั้นจะต้องเป็นผลธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยถ้าเป็นผลผิดธรรมดาผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผลที่ทำให้ตนต้องรับโทษหนักขึ้นนั้น
เช่นกฎหมายอาญาฐานทำร้ายร่างกายวางหลักว่า “ผู้ใดทำร้ายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษ ”
แต่หากว่าการทำร้ายร่างกายนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส(เช่นตาบอด, มือขาด, แขนขาด) ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น
หากนายเอกใช้ไม้ตีนายโทที่หัว นายโทได้รับบาดเจ็บหัวแตกเย็บ 1 เข็มนายเอกมีความผิดทำร้ายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย
หากนายโทตาบอด ต้องพิจารณาว่า หากนายเอกไม่ตีนายโทคงไม่บาดเจ็บและตาบอด อีกทั้งการตาบอดนั้นวิญญูชน(บุคคลทั่วไปในสังคม)พึงคาดหมายได้ว่าหัวเป็นศูนย์รวมประสาท หากตีไปที่หัวผู้เสียหายอาจตาบอดได้ จึงเป็นผลธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้นายเอกจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสซึ่งมีระวางโทษหนักกว่าความผิดฐานทำร้ายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย
3.ถ้าผลโดยตรงนั้นไม่ใช่ผลที่ทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้นแต่เป็นผลที่เกิดจากเหตุแทรกแซงผู้กระทำจะต้องรับผิดในผลบั้นปลายที่เกิดจากเหตุแทรกแซงนั้นก็ต่อเมื่อผลในบั้นปลายเกิดจากเหตุแทรกแซงที่วิญญูชนคาดหมายได้ถ้าวิญญูชนคาดหมายไม่ได้ผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผลบั้นปลายนั้น
เช่นนายเอกใช้ปืนปลอมเล็งยิงนั้นแล้วนายโทตกใจกลัวจนถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของนายเอกป็นผลโดยตรงจากนายเอกกระทำความผิดเพราะนายเอกไม่ใช้ปืนปลอมขึ้นเล็งความตายของนายโทก็จะไม่เกิดต้องถือว่าความตายเกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงจากนายเอกกระทำความผิดและต้องถือว่าเป็นเหตุแซกแชงที่เกิดจากตัวผู้เสียเป็นเหตุอันควรคาดหมายได้เพราะผู้ใดโดนปืนจ่อยิงย่อมต้องตกใจเป็นธรรมดาดังนั้นนายเอกจึงต้องรับผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
.
***ต่อคร้าบ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น