คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 - Stranger
1
Stranger
เสียงสัญญาณเข้าเรียนดังเตือนสติเหล่านักเรียนทั้งหลายที่กำลังคึกคักและตื่นเต้นให้กลับมามีสติโดยพลัน เสียงประกาศหวานน่าฟังแจ้งให้เหล่านักเรียนทั้งชายหญิงทุกระดับชั้นไปเริ่มพิธีปฐมนิเทศที่หอประชุมใหญ่ที่ตั้งตระหง่านใกล้หอนาฬิกาหน้าทางเข้าโรงเรียน นักเรียนทยอยเดินเข้าไปด้านในและหาที่นั่งตามป้ายระดับชั้นและห้องเรียนที่ถูกแบ่งตามแถวไว้อย่างเรียบร้อย ชั่วครู่ใหญ่การปฐมนิเทศก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
สองชั่วโมงผ่านไปอย่างราบรื่นโดยที่นักเรียนส่วนใหญ่ทำหน้าเซ็ง บ้างก็เหมือนพึ่งตื่นนอน มีบ้างที่ดูฮึกเหิมรักสถาบันอย่างภาคภูมิใจจนออกนอกหน้า
ถึงที่นี่จะเป็นโรงเรียนสหะรวมชายหญิง แต่ทั้งสองแยกจากกันโดยสิ้นเชิง ทั้งตึกเรียน สนามกีฬาทั้งในร่มและกลางแจ้ง โรงอาหาร แถมกิจกรรมต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คล้ายกันเลยถึงแม้จะจัดขึ้นในวันเดียวกันก็ตามอย่างเช่นงานประจำปีขอโรงเรียน หรือแม้แต่งานกีฬาสีก็ตาม น้อยครั้งที่จะได้จัดกิจกรรมร่วมกันของทั้งสองฝั่ง
ห้องเรียนของเด็กมัธยมปลายปีหนึ่งดูวุ่นวายไม่น้อย เพราะหลายคนยังคงเดินเพ่นพ่านหาห้องเรียนของตัวเองไม่เจอ หรือถึงเจอก็พยายามเล็งหาที่นั่งที่ตัวเองต้องนั่งเรียนไปอีกหนึ่งปีเต็ม ส่วนใหญ่เสียงจะดังออกมาจากห้องหมายเลขสอง คงเพราะมีพวกที่รู้จักกันมาก่อนหน้านี้ไม่ก็เป็นเด็กเก่าตั้งแต่มัธยมต้นที่ได้กลับมาเจอกันอีกแล้วก็เฮาฮาเสียจนออกนอกหน้า หลายคนก็พยายามหาเพื่อนใหม่เอาไว้อุ่นใจว่าอย่างน้อยก็มีเพื่อนแล้วตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียน ส่วนบางคนก็ดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรสักอย่าง
เด็กผู้ชายคนหนึ่งดูเก้ ๆ กัง ๆ ที่สุดกำลังเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามาในห้องเรียนด้วยความลังเลก่อนจะได้ที่นั่งแถวหลังสุด เขายิ้มน้อย ๆ ออกมาอย่างพอใจคนเดียวและก็หน้าหดทันทีที่มีคนเข้ามาทักทาย
“ไง ฉันชื่อมิกะ นายชื่ออะไร ?”
“เอ่อ…”
เขาไม่ตอบอะไรได้แต่ก้มควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าเรียนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่จนทำให้คนถามนั่งงงกับอาการของเขา
ยังไม่ทันจะหยิบสิ่งของที่เขาหาขึ้นมา ครูประจำชั้นก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับพูดอะไรบางอย่างก่อนจะเรียกเขาออกไปหน้าห้อง
“ที่จริงในห้องของเราเกือบทุกคนก็เป็นเพื่อนใหม่กันหมด ครูเองก็เลยไม่รู้ว่าจะแนะนำว่าอย่างไรดี” อาจารย์หนุ่มเปลี่ยนคำพูดเป็นภาษาอังกฤษกับเด็กชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แทน “แนะนำตัวเองเลยก็แล้วกัน”
เขายิ้มรับอย่างประหม่าก่อนจะพูดออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยสำเนียงแปลกหูที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา
“ผมชื่อไท ยินดีที่ได้รู้จักครับ ขอฝากตัวด้วยครับ” เขายืนนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ผมเป็นคนไทยครับ”
ทุกคนในห้องมองเขาและเงียบกริบไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ ส่วนเขาก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ และก้มหน้าลง
“ไทพึ่งย้ายมาจากประเทศไทยได้แค่สองอาทิตย์ คงยังไม่เก่งภาษาญี่ปุ่นสักเท่าไร ถ้ายังไงก็ฝากทุกคนดูแลเพื่อนใหม่ มีอะไรก็ช่วยแนะนำเขาด้วยล่ะ” อาจารย์บอกและแตะไหล่ไทเบา ๆ “กลับไปนั่งที่ได้แล้ว”
สายตาของคนทั้งห้องจ้องมองขณะที่ไทเดินกลับไปที่นั่งของตัวเองอย่างไม่วางตา เขาค่อย ๆ นั่งลงและคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าเขาหันกลับมาพร้อมเลื่อนหนังสือไกด์บุ๊คที่เจ้าตัวหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าแต่ยังไม่ทันได้อธิบายกับเพื่อนใหม่เมื่อครู่
“ฉันชื่อมิกะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาพูดช้า ๆ ทำให้คนฟังพยักหน้าและยิ้มออกในที่สุด
มื้อกลางวันที่ดูเหมือนจะยากที่สุดเท่าที่นายไทจะจินตนาการไว้ก็ง่ายขึ้นเพราะการช่วยเหลือของมิกะ เพื่อนใหม่ของเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังลำบากสำหรับมิตรภาพใหม่ ได้เพื่อนใหม่ก็จริงแต่พอถึงเวลาม้อกลางวันมิกะเขาก็กลับไปรวมกับเพื่อนเก่าที่รู้จักก่อนหน้านี้ สุดท้ายเขาก็ปลีกตัวมานั่งกินมื้อกลางวันคนเดียวใต้ต้นไม้กลางสวนสาธารณะใจกลางโรงเรียน
ถึงมันจะดูเหมือนเป็นมื้อกลางวันที่น่าหดหู่แต่กลับกันมันทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมและมีกำลังใจมากขึ้นในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่เสียที
ต้องยอมรับและอยู่ในโลกความเป็นจริงให้ได้
เริ่มต้นวันใหม่ด้วยฝนเม็ดบางที่โปรยปรายพอให้รู้สึกสดชื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ผิดกับการเรียนที่จริงจังดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะวันนี้จะดูจริงจังมากขึ้น ขนาดผมที่ยอมรับตามตรงว่าไม่ค่อยสนจะเรียนเท่าไหร่ยังหมดพลังงานแม้พึ่งจะผ่านแค่ช่วงเช้าเท่านั้น
อันที่จริงผมไม่ชอบมาโรงเรียนสักเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จะมาเรียนทำไม ถึงจะได้เรียนอะไรที่ตัวเองชอบก็เถอะ แต่อย่างไรก็ต้องสืบทอดธุรกิจของที่บ้านอยู่ดี และมีชะตากรรมอีกอย่างที่ไม่อยากนึกถึงมันเลยด้วยซ้ำ
…พอรู้ชะตากรรมของตัวเองแบบนี้แล้วก็ไม่อยากจะทำอะไรเลย
แต่ช่วงนี้มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมลืมตาตื่นมามาโรงเรียนได้โดยไม่รู้สึกฝืนตัวเองเลยแม้แต่น้อย
ก็คือ “คน ๆ นั้น”
บอกตามตรงว่าผมสนใจเขาตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นหน้า แต่ก็ไม่คิดว่าความรู้สึกแบบนี้มันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้เร็วขนาดนี้
“เฮ้ย ! เอียน ทางนี้” อากิระ เพื่อนสนิทของผมตะโกนเรียกหลักจากที่ผมพึ่งซื้อมื้อกลางวันเสร็จ ผมโบกมือตอบและเดินตรงไปที่โต๊ะ
ผมนั่งลงด้วยความรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะมีบางคนที่ผมเองไม่รู้จักมาก่อน และเพื่อนผมคนนี้ไม่มีทางอย่างแน่นอนที่จะแบ่งที่ให้คนอื่นที่ไม่รู้นั่งร่วมวง
“ใคร ?” ผมถามเบา ๆ และอยู่ดี ๆ หมอนี่ก็หน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาทันทีแต่ก็ไม่ตอบอะไร ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตากิน ๆ จนผิดสังเกต
หลังจากที่แยกย้ายกันไป ผมแค่มองเขาด้วยความรู้สึกแปลกใจแต่ไม่รู้ทำไมเขาดูร้อนรนจนน่าสงสัย จนสุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ฉันแอบชอบคน ๆ หนึ่ง”
“เฮ้ย ! ” ผมสะดุ้งตัวโยนและเริ่มถามกลับ “เอาจริงเหรอวะอากิระ …ผู้ชายเนี่ยนะ”
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกรอบ
“นายก็รู้ไม่ใช่เหรอวะว่าทำไมพวกเราถึงต้องมาเรียนที่นี่ เหตุผลทั้งฉันเอง ทั้งนายเองมันเหตุผลเดียวกัน”คำตอบของเขาทำเอาผมรู้สึกหดหู่และหงุดหงิดได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เหตุผลบ้า ๆ ที่ผมต้องมาเรียนที่อย่างนั้นเหรอ !
“แต่ไม่รู้ทำไม ฉันว่าพ่อคิดถูกแล้วล่ะถึงได้ส่งมาเรียนที่นี่ …มั้ง” ผมขมวดคิ้วและเท้าโต๊ะรอฟังต่อ “อยู่ ๆ ฉันก็รู้สึกดีกับคน ๆ หนึ่ง …มันรู้สึกแปลก ๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไงว่ะ” อากิระพูดด้วยใบหน้าแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ
…ที่จริงแล้วพักนี้ผมเองก็เริ่มมีความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน
“ชอบผู้ชายด้วยกันเนี่ยนะ ?” เขาทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่หลังผมถามย้ำอีกครั้ง
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่แค่รู้สึกดีแค่นี้ไม่พอเหรอวะ ?”
คำตอบของเขาทำเอาผมอึ้งอีกรอบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ตอบอะไรดี หรือจะถามกลับดีก็ไม่แน่ใจ เพราะผมเองก็มีความรู้สึกแบบนั้นที่พอจะเข้าใจได้เหมือนกัน แต่แค่มันรู้สึกขัดแย้งในตัวเองจนรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
แค่รู้สึกดีกับคน ๆ หนึ่งแค่นั้นมันพอแล้วเหรอที่เราจะทำใจชอบเขาได้
…ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ชายเหมือนกันอย่างนั้นเหรอ ?
ผมมาเรียนด้วยความรู้สึกที่กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง แม้มันจะไม่ได้รู้สึกแบบนี้มาพักหนึ่งแล้วก็ตาม
“หดหู่ชะมัด” ผมบ่นกับอากิระที่กำลังกระดกเครื่องดื่มชูกำลังอยู่ ท่าทางดูไม่ดีสักเท่าไหร่ สงสัยเมื่อคืนคงดื่มมาแหง
“ก็เห็นพูดแบบนี้ตั้งแต่ยังไม่มาเหยียบที่นี่เสียอีก”เขาพูดก่อนจะกระดกน้ำกลืนยาแก้ปวดลงคอไป
“ไหวหรือเปล่าวะ ?”
“เมื่อคืนไปกินเลี้ยงกับตระกูลซากะยะมา โดนบังคับดื่มสาเกจนไม่รู้เมาหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
พอจะนึกภาพบ้านซากะยะออกเลย ตาแก่หัวล้าน ลงพุงขี้เมา ตัวมีแต่กลิ่นเหล้า จะไปเยี่ยมแต่ละครั้งเป็นได้ต้องเมาปลิ้นกลับบ้านทุกครั้งไป ทรมานตอนดื่มกับคนแก่พอว่าแต่ตื่นมาแล้วแฮงค์ปวดหัวตุบ ๆ แล้วยังต้องมาเรียนแบบนี้อีก ยากจะอธิบายเหลือเกิน
ระหว่างที่ผมกำลังเดินไปยังห้องเรียนอยู่นั้น มีบางอย่างชนผมจากด้านหลังและ “บางอย่าง” ที่ว่าก็คือคน แถมเขาล้มขมำหน้าคว่ำข้าวของกระจายเต็มทางเดินไปหมด
“เฮ้ย ! ไท เป็นอะไรไหม!?” เสียงของอีกคนวิ่งตามมาดูอาการเพื่อนที่ล้มอยู่
ระหว่างที่สองคนกำลังเก็บข้าวของกันอยู่ผมได้แต่ยืนทำหน้านิ่งเหมือนคนแล้งน้ำใจ แต่ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นนะสิ…
“ให้ช่วยไหม ?” อยู่ ๆ อากิระก็นั่งยองลงช่วยเก็บของ ทำให้ผมกลายเป็นพวกแล้งน้ำใจที่สุดบนโลกมนุษย์ไปโดยปริยาย
ตอนแรกแค่รู้สึกตกใจระดีบต้น แต่ตอนนี้ตกใจเกือบถึงขั้นขีดสุดว่าเจ้าอากิระเสนอตัวช่วยคนอื่นเนี่ยนะ !
ผมเพ่งมองที่ใบหูของเขา ใช่ ! แดงก่ำ ถ้าเดาไม่ผิดต้องเป็นหนึ่งในสองคนนี้อย่างแน่นอน ว่าแต่คนไหนล่ะ !?
คนที่วิ่งชนผมลุกขึ้นยืนและกล่าวขอโทษพร้อมก้มหัวให้อย่างสุภาพก่อนจะจากไป ยิ่งทำให้ผมรู้สึกกลายเป็นพวกใจแคบ ชั่วร้าย ใจดำอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้วสินะ
ถึงผมจะเป็นพวกไม่สนใจใครก็เถอะ แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่าสองคนนี้เรียนห้องเดียวกับผมอย่างแน่นอน โดยเฉพาะ “คนพิเศษ”คนนั้น แม้จะจำชื่อไม่ได้แต่เป็นคนเดียวที่ไม่ว่าใครก็ต้องพูดภาษาอังกฤษกับเขา ไม่ก็พูดภาษาญี่ปุ่นช้า ๆ อย่างกับกำลังอธิบายให้เด็กอนุบาลฟัง
“หนึ่งในสองคนนี้ใช่ไหม ?” ผมถามขึ้นมาทันที โดยที่เขาหน้าเหวอตั้งตั้วไม่ติด
“รู้ได้ไง !?”
“ก็หูนายมันแดงมาก” ผมพูดจบเขารีบเอามือจับหูพร้อมยิ้มออกมา
“อยากคุยด้วยสักครั้งจังเลยนะกับคนนั้นน่ะ”
ใช่จริงด้วยแฮะ !
“เหลือเชื่อเลย นี่นายเอาจริงใช่ไหมเนี่ย !?”
“เออ เอาจริง” คราวนี้เขาตอบอย่างไม่ลังเลด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผู้ชายนะ”
“มันต่างกันเว้ย ฉันรู้สึกแบบนี้กับแค่คน ๆ นี้เท่านั้น กับผู้ชายคนอื่นมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
ผมมุ่นคิ้วมองหน้ารอฟังต่อ แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรนอกจากรอยยิ้ม
“ไม่นานเดี๋ยวนายก็คงเข้าใจเองล่ะมั้ง”
…หวังว่าคงจะเป็นอย่างนั้น
บอกตามตรงผมไม่ได้สนใจวิชาประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณบนกระดานเลยสักนิด คำพูดของอากิระทำให้ผมคิดมากไม่รู้จบตั้งแต่เมื่อเช้า
รู้สึกแบบนี้กับแค่คน ๆ นี้เท่านั้น อย่างนั้นเหรอ ?
ผมเหลือบมอง “คน ๆ นั้น” ที่ทำให้ผมมีกำลังใจมาเรียนทุกวันเมื่อก่อนหน้านี้ และมันก็เกิดคำถามมากมายพร้อมคำตอบที่ขัดแย้งกันจนชวนอารมณ์เสีย
“เอียน ฉันจำได้ว่านายไปประเทศไทยบ่อย” โทยะส่งข้อความมาที่มือถือของผม
“ทำไม”
“ที่ประเทศไทยมีอะไรเด่น ๆ บ้างวะ ฉันรู้แค่เรื่องอาหารไทยนิดหน่อย”
ทำไมหมอนี่ถึงอยากรู้เรื่องแบบนี้กันนะ ครอบครัวเขากำลังจะไปเมืองไทยงั้นเหรอ ?
“ทะเลสวย อาหารอร่อย กรุงเทพฯ เมืองหลวงติดอันดับเมืองน่าเที่ยวที่สุดในโลก”
“แต๊งกิ้ว !”
อะไรของหมอนี่ หาเรื่องชวนคนที่ชอบคุยงั้นเหรอ ?
เดี๋ยวนะ !...ประเทศไทย หรือว่าจะเป็นคน ๆ นั้นกันนะที่เจ้าอากิระแอบชอบ ต้องใช่แน่ ๆ !!
พอพักเที่ยงผมก็ถูกเขาลากปุเลง ๆ มาที่โรงอาหาร และก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้…
“นั่งด้วยคนได้ไหมครับ ?” อากิระถามอีกสี่คนที่กำลังนั่งอยู่ โดยทั้งหมดก็พยักหน้ารับและเขยิบให้
ผมมองอากิระและส่ายหัว โดยตัวเขาเองไม่แสดงอาการอะไรแต่อย่างใด ส่วนคน ๆ นั้นที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเป้าหมายของเจ้าอากิระกลับลุกออกไปหลังคุยอะไรบางอย่างกับเพื่อนของเขา ผมมองอากิระที่กำลังมองตามหลังเขาไป
“ถ้าไม่เริ่มต้นแล้วมันจะรู้ผลไหม ?” ผมกระซิบบอกโดยที่เขายิ้มตอบกลับให้พร้อมพยักหน้ารับ
ปกติแล้วผมไม่เคยช่วยใครในทุก ๆ เรื่อง เพราะมันไม่เกี่ยวกับผม แต่เรื่องนี้ผมคงต้องช่วยเจ้านี่สักหน่อยแล้วล่ะ
ผมลุกเดินตามคน ๆ นั้นไป โดยที่เขากำลังนั่งลงใต้ต้นไม้ในสวนกลางโรงเรียนเหมือนทุกที ที่นี่มีคนเยอะก็จริงแต่เงียบสงบผิดกับทุก ๆ ที่ คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าที่โรงเรียนจะมีที่เงียบสงบแบบนี้ด้วย
จะว่าไปผมจะช่วยเขาอย่างไรดีล่ะ ? ผมเองเป็นพวกมนุษย์สัมพันธ์ไม่ค่อยจะดีเสียด้วยสิ จะเริ่มไปคุยก่อนมันก็รู้สึกแปลก ๆ
ขณะที่ผมกำลังเดินเข้าไป เขาก็หันมองสบตาเข้ากับผมพอดี ไม่รู้ทำไมมันถึงได้รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ผมประหม่ากับแค่เรื่องทักคนที่ไม่สนิทเนี่ยนะ …ไร้สาระสุด ๆ
“นั่งด้วยคนได้ไหม ?” ผมเริ่มถามก่อนส่วนเขาก็พยักหน้ารับ
พอได้เห็นหน้าใกล้ ๆ แบบนี้แล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าอากิระมันถึงได้หน้าแดงทุกครั้งที่เจอ
“ทำไมถึงมานั่งกินกลางวันคนเดียว ไม่นั่งกับเพื่อน ๆ ล่ะ ?”
“อ๊ะ ! นายพูดภาษาอังกฤษเก่งจัง”
“แม่ของฉันเป็นคนต่างชาติน่ะ พูดภาษาญี่ปุ่นไม่เก่งเท่าไร ”
“ที่จริงฉันก็พูดภาษาอังกฤษไม่เก่งเท่าไร ภาษาญี่ปุ่นก็พูดไม่เป็น ขอโทษด้วยนะ”
“ขอโทษทำไม ? ไม่ต้องห่วงฉันฟังรู้เรื่องน่ะ สำเนียงนายก็ฟังง่ายดี”
สารภาพตามตรงยิ่งพอเห็นรอยยิ้มของเขา ผมยิ่งไม่แปลกใจเข้าไปใหญ่ว่าทำไมอากิระถึงได้ชอบคน ๆ นี้ได้มากมายขนาดนั้น
“นายยังไม่ต้องคำถามฉันเลย”
“อ๋อ… ก็จะได้ให้เพื่อนนายคุยกับมิกะได้สะดวกขึ้นไง”
“เพื่อนของฉัน ? อากิระน่ะเหรอ ?”
“ใช่ ก่อนหน้านี้ได้คุยกันก็เลยรู้สึกได้ว่าเขาชอบมิกะ เวลาเขาเจอมิกะทีไรก็หน้าแดงทุกที ก็เลยคิดว่าถ้าปล่อยให้อยู่ตามลำพังคงอาจจะทำให้กล้าคุยกัน” เขาตอบพร้อมดื่มชาไป พักหนึ่งเขาก็ขอตัวและลุกขึ้นเดินไปจากตรงนั้นปล่อยให้ผมนั่งงงสงสัยอยู่คนเดียวว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ผมงงไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าสรุปแล้วผมเองเข้าใจผิดไปเองหรือว่าอะไรอย่างไรกันแน่
“ไม่ใช่ไทสักหน่อย” อากิระบอกพร้อมกอดอกมองหน้าผม “ทำไมนายถึงคิดว่าฉันชอบไทล่ะ”
ผมชะงักคำพูดขณะที่พนักงานกำลังเสิร์ฟเอสเพสโซ่บนโต๊ะ
“ก็นายถามเรื่องเมืองไทย ฉันก็คิดว่า…”
“คิดว่าฉันจะได้มีเรื่องชวนไทคุยสินะ”
“เป็นใครเขาก็คิดแบบนั้นทั้งนั้นแหละวะ แล้วนายถามเรื่องพวกนั้นทำไม ?”
“ฉันจะได้หาเรื่องคุยกับมิกะไงว่าไทเคยเล่าเรื่องเมืองไทยอะไรให้ฟังบ้าง ถ้าไม่มีข้อมูลไว้บ้างฉันก็หน้าแตกน่ะสิ” เขาจิบกาแฟก่อนจะว่าต่อ “อีกอย่างก่อนหน้านี้ฉันได้ยินมิกะพูดว่าจะไปเมืองไทย ฉันก็เลยทำเป็นสนใจไปหาเรื่องคุยกับเขาก็แค่นั้น”
ไม่คิดมาก่อนว่าหมอนี่จะคิดอะไรซับซ้อนจนไร้สาระได้ขนาดนี้…
“ไม่ดีใจเหรอที่ไม่ใช่ไท ?”
“ ดีใจ ? แล้วทำไมฉันต้องดีใจด้วยวะ ?” ผมถามกลับอย่างอารมณ์เสีย
“ก็ฉันเห็นนายชอบแอบมองเขาตลอดเลยนี่หว่า คิดว่าชอบเสียอีก” อากิระหัวเราะก่อนนะจิบกาแฟและที่เราสองคนจะแยกกันกลับบ้าน
คอยแอบมองเขาตลอดเลยอย่างนั้นเหรอ ? จะว่าไปมันก็ใช่อยู่หรอก แต่มันไม่ได้หมายความแบบนั้นเสียหน่อย !
แต่ก็จริงอย่างอากิระว่า ผมเองก็รู้สึกสบายใจขึ้นที่รู้ว่าอย่างน้อยคนที่เขาชอบไม่ใช่ไท
แล้วทำไมผมต้องรู้สึกสบายใจแบบนี้ด้วยล่ะ ! มันน่าหงุดหงิดมากเวลาที่เราไม่สามารถหาคำตอบในเรื่องบางเรื่องได้ทั้งที่มันเป็นเรื่องของเราเอง
ระหว่างที่รถจอดติดไฟแดงอยู่อยู่นั้นผมก็เหลือบเห็นไทกำลังเดินเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตข้างทาง ปฏิกิริยาตอบสนองโดยที่ผมเองก็ไม่คาดฝันเหมือนกันคือสั่งให้คนขับรถของผมจอดข้างทาง และผมก็เข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ต
“คุณเอียนจะซื้ออะไรเหรอครับ ?” พลขับที่เดินตามเข้ามาด้วยถามผม
“เปล่า แค่จะมาดูอะไรบางอย่างให้แน่ใจเฉย ๆ”
พูดก็พูดไปแต่ตายังมองอยู่ที่เขา ดูเหมือนเขากำลังเลือกของอยู่แต่พลิกดูไปดูมา วางลงชั้นแต่ก็หยิบกลับขึ้นมาดูใหม่ ผมก็เลยเดินเข้าไปหา
“ซื้อของเหรอ ?”
“อ้าว ! เจอกันอีกแล้ว”
มันดีหรือไม่ดีกันแน่นะที่พูดว่าเจอกันอีกแล้วเนี่ย
“ซื้ออะไร ?” ผมถามและเขาก็ยื่นถุงมันฝรั่งทอดกรอบสองถุงใหญ่ให้ดู
“นายเคยกินไหม รสไหนมันอร่อยกว่ากัน ?”
“ไม่เคย แต่มันเขียนว่า อันนี้เผ็ดปานกลาง ส่วนอันนี้เผ็ดมาก” ผมชี้ที่ถุงขนมและอธิบายพร้อมชี้ตัวคันจิและแปลให้เขาฟังที่ละคำ
“ฉันก็รู้นะว่ามันเผ็ด อ่านไม่ออกแต่มีรูปพริกกับคุณยายพ้นไฟได้ขนาดนี้แสดงว่ามันก็ต้องเป็นอาการเผ็ดแน่นอน ” คำตอบเขาทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ ส่วนเขาเองก็ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะเลือกแบบเผ็ดมากไป
“ว่าแต่บ้านนายอยู่แถวนี้เหรอ ?” เขาถามขณะกำลังจ่ายเงิน
ถ้าบอกว่าเปล่า แต่ลงรถมาเพราะเห็นนายแบบนี้มันคงฟังดูเหมือนคนโรคจิตพิลึก
“เปล่า แค่แวะมาซื้อของ”
เขาพยักหน้าและแกะห่อขนมและชิมอย่างตั้งใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำหน้ามุ่งมั่นขนาดนั้นด้วย และเขาก็ยิ้มร่าออกมาเหมือนเด็กที่พึ่งได้ของขวัญ
“อร่อยสุด ๆ ไปเลย ลองชิมดูสิ” เขายื่นถุงขนมนั่นให้ผม ผมเองก็ไม่อยากขัดน้ำใจเลยชิมไปหนึ่งชิ้น แค่ชิ้นเดียวก็เกินพอจริง ๆ ปฏิกิริยาเราทั้งคู่ดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เขายังคงกินต่ออย่างเอร็ดอร่อย ส่วนผมเหมือนคนกำลังจะตายต้องรีบไปซื้อน้ำมากระดกตาม
“นายกินเข้าไปได้ไงของแบบนั้น”
“มันเผ็ดดีนะ แต่ก็อร่อยมากเลย” เขายิ้มไปกินไป พอเขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือผมก็ทำหน้าตกใจ
“ฉันมีเรียนภาษาญี่ปุ่นต่อ ต้องไปแล้ว ไว้เจอกันนะ”
เขาโบกมือให้ก่อนจะเดินจ้ำไปตามทางบาทวิถี ส่วนผมก็เดินกลับขึ้นรถไป
“โทชิ นายจำหน้าเด็กคนนั้นได้ไหม ?” ผมถามคนขับรถของผม
“ได้ครับ”
“ต่อไปนี้นายกับชินยะตามเฝ้าดูเขาทุกวัน เข้าใจไหม?”
“รับทราบครับ”
ความคิดเห็น