ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    One Day - ขอเป็นนาย คนสุดท้ายของชีวิต

    ลำดับตอนที่ #1 : Preface - New Divide

    • อัปเดตล่าสุด 8 มิ.ย. 56


    Preface

    New divide

                    สำหรับหลาย ๆ คน แค่การเริ่มวันใหม่มันคือการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในชีวิตประจำวันไม่น้อยก็มากจนอาจคาดไม่ถึงก็ได้

                    ผมหยุดอยู่แผงหนังสือบนสถานีรถไฟฟ้า หยิบหนังสือนิยายฉบับกระเป๋ามาเปิดดูผ่านไปหลายเล่มและหนังสือการ์ตูนอีกสองสามเล่ม ทำให้นึกถึงคำพูดหนึ่งของเพื่อนสนิทผมที่เคยบอกว่า นิยายหรือการ์ตูนส่วนใหญ่ก็เริ่มต้นด้วยการเปิดเทอมใหม่ เป็นเด็กต่างถิ่นพึ่งเริ่มเรียนวันแรกที่โรงเรียนใหม่อะไรประมาณนี้เกือบทั้งนั้น มันคงเป็นพล็อตตลาดที่ได้รับความนิยมไม่น้อยเลยล่ะ

                    ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ชีวิตผมตอนนี้ก็กำลังเริ่มต้นเข้าสู่พล็อตตลาดแล้วสินะ และที่ผมมาหยุดตรงแผงหนังสือเกือบยี่สิบนาที ก็แค่ถ่วงเวลาไม่อยากไปโรงเรียนใหม่ก็แค่นั้นเอง

                    ผมเป็นเด็กอายุสิบหกธรรมดา เป็นพวกที่ใช้ชีวิตแสนจะธรรมดาที่สุดเท่าที่จะนึกออก ทำอะไรเหมือนเดิมทุกวัน ๆ หลายคนคงทำหน้าเบ้แน่นอนถ้าได้ยินอะไรแบบนี้ เพราะแค่คิดมันก็น่าเบื่อแล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบความเปลี่ยนแปลงอย่างผมมันคือเรื่องดีที่สุด

                    ผมอยู่กับแม่แค่สองคน พ่อผมเสียไปตั้งแต่ผมอยู่ชั้นประถม แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตของผมก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากมายและมันก็ไม่ได้สุขสบายใช้จ่ายได้ฟุ่มเฟือยเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ที่โรงเรียนเอกชนแห่งเก่าเช่นกัน จนเมื่อสองเดือนก่อนผมต้องเจอเข้ากับสิ่งที่อาจจะเรียกได้เต็มปากว่าเกลียดที่สุดในชีวิต

                    มันคือความเปลี่ยนแปลง แถมยังเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตก็ว่าได้

                    แม่ผมจากผมไปอีกคน

                    มันทั้งทำใจยากและสับสนจนไม่รู้จะหาคำได้มาสาธยายให้ฟังจนเข้าใจได้ ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร ไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นจากตรงไหน ความรู้สึกเดียวที่มีคือมันไม่เหลือใครเลยสักคนในชีวิตนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งมีบุคคลที่ผมไม่คุ้นหน้ามาก่อนปรากฏขึ้นในงานศพของแม่ เขาคือน้องชายของแม่ ซึ่งตอนนี้เขาแต่งงานและทำงานอยู่ที่ต่างประเทศก็เลยทำให้เราไม่เคยเจอกันมาก่อน อันที่จริงก็เคยเจอกันมาก่อนหน้านี้ แต่ผมคงเด็กมากจนจำความไม่ได้ พอได้ดูรูปเก่า ๆ มีหลายรูปในอัลบั้มที่น้าชายคนนี้ถ่ายคู่กับผมสมัยยังเด็ก คงตั้งแต่ผมยังเรียนอยู่อนุบาลแม้แต่รูปในวันงานศพของพ่อ เขาก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย

                    บอกตามตรงว่าระหว่างสองเดือนที่ผ่านมาผมเหมือนคนไม่มีสติ เหมือนเรื่องราวมันขาดตอนเป็นช่วง ๆ  ได้แต่ทำตามข้อเสนอที่ญาติทางแม่ตกลงกัน และสุดท้ายผมก็บินมาอยู่บ้านของน้าชายคนนี้

                    ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ผมมาช่วงที่โรงเรียนใกล้เปิดเทอมพอดี แถมแจ็คพ็อตก้อนใหญ่คือผมไม่สามารถปรับตัวได้จริง ๆ อย่างแรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือเรื่องภาษา อ่านก็ไม่ออก เขียนก็ไม่ได้ อย่าพูดถึงเรื่องฟังกับพูดเลย ได้แค่คำพูดแนะนำตัวนิด ๆ หน่อย ๆ จากไกด์บุ๊คและโรงเรียนสอนภาษาที่พึ่งเริ่มต้นเรียนได้แค่สองครั้งเท่านั้น และแถมนี่เป็นครั้งแรกที่ออกจากบ้านมาไกลเกิน 500เมตรเพียงลำพังเป็นครั้งแรก

                    เยี่ยมไปเลยใช่ไหมล่ะ ! แค่คิดก็อยากร้องไห้แล้ว

                    ผมทำได้แค่ถอนหายใจและเดินก้มหน้าเดินต่อไปตามแผนที่ที่น้าปริ๊นท์มาให้ มือหนึ่งจับแผนที่ไว้แน่ อีกมือล้วงในกระเป๋ากางเกงควานหาตั๋วรถไฟเพื่อให้แน่ใจว่ามันยังอยู่กับตัว ไม่รู้ทำไมแต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กอนุบาลที่กำลังหลงทางอยู่ก็ไม่รู้นะ

                    สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือความเปลี่ยนแปลง !

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×