คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : วายุ
บทที่ 3
วายุ
ที่โรงพยาบาล
“เอ่อ นาย...”
“เดี๋ยวฉันออกไปรอข้างนอกแล้วกัน ตามสบายเถอะ” ปรินซ์เดินออกจากห้องไปโดยที่ฉันยังไม่ทันพูดบอกให้เข้า
ออกไปจบดีด้วยซ้ำ แต่เอาเถอะ ปรินซ์ออกไปก็ถือว่าดีแล้ว
ฉันลากเก้าอี้ข้างเตียงมานั่ง ใบหน้าที่เคยซีดเซียวตรงหน้า ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้างแล้ว ก่อนที่จะเข้ามาเยี่ยม หมอบอกว่าวายุอาการดีขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ นับว่าเป็นเรื่องดีหนึ่งเรื่องในรอบหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา นับว่าเป็นเวลาที่ไม่ได้นานมากอะไร แต่สำหรับฉัน การอยู่ตัวคนเดียวโดยไม่มีใครเลยซักคน มันนานเหมือนเป็นปีเชียวล่ะ
ฉันเอื้อมมือตัวเองไปกุมไว้ที่มือของวายุ ก่อนจะเอามาแนบที่แก้มของตัวเอง ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินลงมาเงียบๆ
“อื้ม~”
เสียงปริศนาดังขึ้น แน่นอนว่าไม่ใช่เสียงของฉัน มือที่เคยกุมอยู่ ปาดน้ำใสๆ ออกจากหน่อยตาอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้ว
ของคนที่นอนอยู่บนเตียงกระดิกเพียงเล็กน้อย แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ฉันรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“นาลิน...”
“...” ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกจากปาก ฉันสวมกอดคนตรงหน้าทันที น้ำตาที่ปาดออกเมื่อครู่พากันไหลออกมาอีกรอบ
ความรู้สึกดีใจผสมปะปนกันอยู่ในอก ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้เพียงตัวหนังสือ
“ฉันนึกว่า ตัวเองจะต้องเห็นนายนอนเป็นเจ้าชายนิทราไปตลอดซะอีก”
“ก็ฟื้นขึ้นมาแล้วนี่ไง” น้ำเสียงอ่อนโยนดังเดิมทำให้ฉันอดไม่ได้ที่ยิ้มออกมา เพราะมันคือเสียงที่ฉันรักมากที่สุด “เฮ้!
ฉันฟื้นแล้วนะ อย่าขี้แยนักสิ”
“เปล่าซักหน่อย ...น้ำตามันไหลลงมาเองต่างหาก” คำพูดติดตลกของฉันทำให้เราสองคนมองหน้ากัน ก่อนจะระเบิด
เสียงหัวเราะออกมาในที่สุด
เสียงหัวเราะที่ไม่เคยหลุดลอดออกมาจากปากฉันเลยซักครั้งนับตั้งแต่วันนั้น... วันที่รถคันนั้นพุ่งชนเข้ามาที่เขาอย่างแรงจนทำให้เขาหลับไหลกลายเป็นเจ้าชายนิทรา... รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ทุกอย่างหายไปจากเขา เหลือเพียงแค่ร่างที่มีลมหายใจเท่านั้น แต่ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้วสินะ วันที่เขาลุกขึ้นมายิ้มให้กับฉัน
“วายุ..”
“หืม”
“นายมันใจร้ายที่สุด... นายปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวตั้งเป็นอาทิตย์ได้ยังไง”
“...”
“รู้อะไรมั้ย ว่าการกลับบ้านคนเดียว กินข้าวคนเดียว มองพระอาทิตย์ตกคนเดียวเหมือนคนบ้า...”
“ยัยเด็กบ้า... ทำไมขี้แยอย่างนี้นะ” น้ำตาที่ไหลลงมาอย่างต่อเนื่องถูกมือใหญ่คนวายุปาดมันออกอีกครั้ง เป็นอย่างนี้
เสมอ เขาไม่อยากให้ฉันร้องไห้ และมักจะปลอบโยนฉันด้วยคำพูดตลกๆ ไม่ก็การยีหัวฉันจนฟู ตามด้วยการล้อเลียนฉันสารพัด
“ยังอีก นี่น้ำตาหรือน้ำประปาเนี่ย ไหลไม่หยุดเลย -*-”
“ล้อฉันอีกแล้วนะ ชิส์” ฉันปาดฉันตาออกลวกๆ ก่อนจะเอามือมากอดอก เชิดหน้า ...ใช่! ฉันรู้ มันตลกและดู
ปัญญาอ่อนมาก เมื่อคนที่ร้องไห้จนตาบวม มานั่งทำหน้าเบ้กอดอกเชิดหน้า เพียงเพื่อหวังให้คนป่วยที่นอนอยู่ตอนนี้หันมาสนใจและง้อเราด้วยคำพูดน่ารักๆ นั่นซักที
ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าคำพูดน่ารักๆ นั่น คงไม่หลุดออกจากปากเขาคนนี้เป็นแน่ -_-^
“อย่าคิดว่าไอ้ท่าทางปัญญาอ่อนนั่นจะทำให้ฉันง้อเธอเหมือนในซี่รี่เกาหลีที่เธอดูนะ” วายุผลักหัวที่ฉันกำลังเชิดอยู่จน
คอแทบหมุน บอกแล้ว...หมอนี่ไม่เคยง้อด้วยคำพูดที่ฉันอยากได้ยินหรอก
ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับวายุ จะว่าไปคนนอกที่เห็นเราสองคนมักจะชอบคิดว่าเราเป็นพี่น้องไม่ก็ญาติกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า... เราอยู่บ้านเดียวกัน และเค้าดูมีวุฒิภาวะมากกว่าฉัน ซึ่งมันก็ไม่แปลกหรอก วายุอยู่ปีสาม ต่างจากฉันที่อยู่ ม.6 ยังไงเขาก็ต้องมีวุฒิภาวะมากกว่าอยู่แล้ว
วายุคือลูกของเพื่อนพ่อฉัน ตอนที่พ่อของฉันยังมีชีวิตอยู่ ท่านทั้งสองมักจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ พลอยให้ฉัน ที่มักจะถูกหนีบไปไหนมาไหนด้วยได้รู้จักกับวายุเข้าไปอีก
และด้วยความที่เรามักจะเจอกันบ่อย ทำให้ทั้งฉันและวายุจึง ‘สนิทสนม’ กันเป็น ‘พิเศษ’ จนกระทั่งวันที่พ่อของฉันเสียชีวิตลง พ่อของวายุเลยฝากฝังให้ลูกชายอย่างวายุ มาคอยอยู่ดูแลฉัน
อย่างที่บอก เราไม่ใช่พี่น้องกัน แต่... ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าระหว่าง ‘เรา’ ตอนนี้ ควรอยู่ ณ จุดไหน อาจจะใช่ ที่ฉันรู้อยู่แล้วว่าเราสองคน มี ‘ความรู้สึกที่ดี’ ต่อกัน แต่เพราะไม่เราไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว รวมทั้งเรื่องอุบัติเหตุนั่น ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนจะต้องค้างคาไว้แบบนี้...
“คิดอะไรอยู่เหรอ”
“...”
“...”
“ฉันอยากรู้... ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราอยู่ที่จุดไหนกันแน่” ราวกับความคิดทุกอย่างไหลมาจุกอยู่ที่ลำคอ ทำให้ฉัน
เผลอถามออกไปอย่างนั้น และดูเหมือนคำถามนี้จะทำให้วายุเงียบไปซักพัก “ที่ผ่านมา แม้ฉันจะคิดว่านายก็คิดเหมือนกัน เพียงแต่... นายไม่เคยยืนยันเลยซักครั้ง”
ฉันปล่อยให้ทุกคำถามในความคิด ไหลเวียนลงมาเป็นคำพูด ดวงตาทั้งสองข้างที่ประสานอยู่ในแววตาของเขาอย่างจริงจัง
“ฉันเคยคิดว่าตัวเองแสดงให้เธอรู้หมดแล้วนาลิน ว่าฉันคิดยังไง...”
“...”
“แต่ดูเหมือนว่ามันยังไม่ชัดเจนสินะ...” นัยน์ตาสีสวยของคนตรงหน้าเป็นประกาย ก่อนที่ริฝีปากจะฉีกยิ้มน้อยๆมาให้
“งั้นฉันจะตอบเธอตอนนี้เลยแล้วกัน J”
จบประโยคของวายุ ฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ พร้อมๆกับใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าลอยเข้ามาใกล้ ฉันหลับตาทั้งสองข้างรับสัมผัสอ่อนหวานบนจุมพิต ที่วายุมอบให้ ราวกับมีคำพูดมากมายถูกส่งมาให้ฉันผ่านริมฝีปากหยักได้รูปนั่น
“ฉันรักเธอ นาลิน....”
ที่สวนสาธารณะ
แฮกกกก! ๆ เหนื่อยชะมัด >,<
หลังจากที่เมื่อวานเรา เอ่อ... จูบกัน เราก็คุยกันแล้วว่าความสัมพันธ์ของเราในตอนนี้ อยู่ในสถานะที่เรียกว่า ‘คนรัก’ หรือ ‘แฟน’ นั่นเอง วันนี้เป็นวันที่หมออนุญาตให้วายุออกจากโรงพยาบาลได้เลย เพราะเขาดูปกติราวกับไม่เคยป่วยอย่างที่ควรจะเป็นเลยซักนิด หมอบอกว่าว่าที่เขาสามารถพักฟื้นได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน อาจเป็นเพราะวายุได้กำลังใจที่ดี และระยะเวลาที่เขาเป็นเจ้าชายนิทรานั้น เพียงไม่กี่วัน ทำให้ระบบอวัยวะต่างๆ ยังคงทำงานได้ในระดับดีเยี่ยม
แต่ไม่แน่ ว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะ ‘พร’ นั่นก็ได้...
“เฮ้! ช้าเป็นเต่าอยู่ได้ เดี๋ยวก็หลงกันขึ้นมาก็หาทางออกไม่เจอหรอก” วายุพูด ขณะที่กำลงวิเคราะห์เส้นทางของเขา
วงกตในสวนสาธารณะแห่งนี้อยู่ วายุบอกว่าจะพาฉันมาเที่ยว และหวังว่าที่นี่จะเป็น ‘เดทแรก’ ของเรา
…แต่ให้ตายเถอะ! ไม่คิดเลยว่าคนที่กำลังบ่นให้ฉันอยู่ จะทำวิมารอากาศน้อยๆ ของฉันพังครืนลงมาอย่างไม่ปราณี แทนที่เดทแรก จะเป็นอะไรที่โรแมนติกอย่าง ดูหนัง หรือเดินชมชายหาดท่ามกลางพระอาทิตย์ตกอะไรเทือกนี้
แต่นี่อะไร... วิ่งในเขาวงกตที่สวนสาธารณะแถวบ้านเนี่ยนะ L
รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่ฉันเกลียดและกลัวนอกจากผีและบรรดาสัตย์เลื้อยคลานอื่นๆ อีกแล้ว ยังมีการออกกำลังกาย... โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวิ่งท่ามกลางแดดในตอนเช้า ที่นอกจากจะทำให้ร่างกายรับวิตามินแล้ว ยังอาจจะทำให้ผิวของฉันเสียอย่างไม่น่าให้อภัยอีกด้วย
โอเค ฉันยอมรับก็ได้ว่าตัวเองเป็นคนรักสวยรักงานหน่อยๆ แต่ฉันก็ไม่ถึงกับเจียดเงินเก็บในบัญชีที่มีเพียงน้อยนิดออกมาซื้อครีมราคาแพงหูฉี่อะไรขนาดนั้นหรอกนะ ...จะมีก็แค่การบำรุงเล็กๆ น้อยๆ จากครีมกันแดด หรือโลชั่นบำรุงผิวธรรมดาๆ เท่านั้นแหละ
“ยังอีก ไม่เห็นรึไงว่าแฟนยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้น่ะ จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ยห๊ะยัยขาสั้น -*-”
โอวววว! เจ็บปวดกับคำด่าอย่างรุนแรง >[]<
ฉันทำหน้ามุ่ยใส่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของตัวเอง ก่อนจะสาวเท้า (สั้นๆ) ของตัวเองไปหาวายุ แต่ดูเหมือนการลาก
สังขารเดินไปของฉันจะไม่ทันใจเขาเท่าไหร่นัก วายุจึงเดินมาที่ฉัน และ...
“...!!!”
…ช้อนตัวฉันเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนที่แข็งแกร่งนั้น…
นั่นเท่ากับว่าตอนนี้... เขากำลังอุ้มฉัน!!
ชาตินี้ไม่คิดไม่ฝันว่าคนที่เอาแต่แกล้งฉันไปวันๆ อย่างวายุ จะช้อนตัวฉันขึ้นไปอุ้มได้ ให้ตายเถอะ... กลิ่นน้ำหอม
อ่อนๆ ที่เขาใช้กำลังทำให้ฉันเริ่มจะรู้สึกปั่นป่วนจนหัวใจที่กำลังเต้นตึกตักๆ มันแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่แล้วววววว
“ฉันว่าหัวใจเธอเต้นแรง มากกว่าปกติมากเลยนะ”
กรี๊ดดดดด! ถ้าไม่ติดว่าโดนอุ้มอยู่จะไปตะกุยหน้าซะให้เข็ด รอยยิ้มล้อเลียนที่ส่งมาให้ในระยะที่ใบหน้าของเราอยู่ใกล้
กันมาก ทำให้ใบหน้าของฉันร้อนผ่าวออกมาราวกับมีใครมาทอดอะไรไว้บนหน้ายังไงอย่างนั้น
ระหว่างที่คู่ชายหญิงคนสองคนกำลังอยู่ในวังวนของความรัก ใครคนนึง เดินออกมาจากมุมมืดของเขาวงกต สายตาที่ฉายแววเย็นชาคู่นี้จดจ่ออยู่ที่คนในอ้อมแขนของชายหนุ่ม ที่เดินทิ้งระยะห่างโดยไม่รู้เลยว่า ระหว่างเขาและเธอ ยังมี ‘เขา’ อีกคนที่สะกดรอยตามเขาอยู่
มีคนเคยบอกกับเขาว่า... ‘ผู้ที่มีความรัก ย่อมยอมทำทุกอย่างและปรารถนาให้คนรักของตน อยู่ข้างกายไปจนนิรันด์’ บัดนี้เขาได้รู้แล้ว ว่าคำพูดนี้เป็นความจริงอย่างไม่มีข้อกังขา
และนอกเหนือจากคำพูดนั่น ทำให้เขารู้อีกว่า ‘ความรัก’ มีอณุภาคมาพอที่จะทำให้ ใครคนนึงยอมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้อีกคน ซึ่งเป็นคนรักของตน อยู่ข้างกาย แม้ว่าคำขอนั้นอาจต้องแลกด้วย ‘ชีวิต’ ในเวลาถัดมา...
และเขาก็เป็นอีกคน ที่มีความปรารถนาอยากให้คนที่เขารัก อยู่เคียงข้างกาย เขายอมทำทุกอย่าง ไม่เว้นแม่แต่การหลังให้กับศีลธรรม ยอมให้ตัวเองแปดเปื้อนด้วยการทำบาปที่ร้ายแรงอย่างไม่สมควรได้รับการอภัย
...นั่นเพียงเพราะเพื่อแลกกับความปรารถนาที่จะได้อยู่เคียงข้างกับคนที่เขารักมากที่สุด... ให้นานที่สุด หรืออาจจะเป็นชั่วนิรันด์ ยังไงก็ได้
แม้ว่าสิ่งที่เขาทำจะเลือดเย็นเพียงใด... เขาพร้อมที่จะทำ!
ความคิดเห็น