คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Miracle
บทที่ 3
Miracle
โรงพยาบาล
“นาลิน!”
“…”
“นาลิน! เธอยังโอเครึเปล่า”
“ฉันโอเค ไปเถอะ”
ฉันตอบปรินซ์ก่อนจะปลดเบลที่คาดอยู่ออก หลบสายตาของปรินซ์ที่มองมาด้วยความเป็นห่วง เรามาถึงโรงพยาบาลภายในเวลาไม่ถึงห้านาที ทั้งที่ระยะห่างจากบ้านฉันไปโรงพยาบาลมันไม่ใช่ใกล้ๆเลยซักนิด
ฉันไม่ได้ถามอะไรออกไปเลยซักคำตอนที่นั่งอยู่ในรถ ทั้งเรื่องของวายุ และที่อยู่บ้านของฉัน ทั้งที่เรื่องวายุ ฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผู้ชายคนนี้กับรู้...
ปรินซ์เดินนำฉันไปที่ห้องฉุกเฉิน ทำให้ฉันสะบัดหัวไล่คำถามทุกอย่างออกไปหมดสิ้น หมอและพยาบาลกำลังเข็นเตียงผู้ป่วยเข้าไปในนั้น ฉันพยายามแทรกตัวเข้าไป แต่พยาบาลที่อยู่หน้าห้องเข้ามากันตัวฉันเอาไว้
“วายุจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
“ฉันไม่รู้”
“...”
“...”
เราสองคนเงียบไปทั้งคู่ ปรินซ์พาฉันเดินมานั่งที่โซฟาหน้าห้องฉุกเฉิน ปาดน้ำใสๆ ที่มันคลออยู่ที่หน่วยตาของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “พอมีทางที่จะทำให้วายุฟื้น...รึเปล่า”
ฉันพูดพร้อมกับช้อนสายตาขึ้นไปสบกับเขา รอยยิ้มเล็กๆ ที่ระบายออกมาราวกับแสงสว่างที่จะนำพาฉันออกจากความมืด...
“มีสิ”
“...”
“พรของนาฬิกาทรายไงล่ะ...”
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว ที่ฉันนั่งจ้องนาฬิกาทรายบนโต๊ะแบบนี้ ปรินซ์ขับรถมาส่งฉันที่บ้านตั้งแต่สองทุ่ม หมอบอกว่าอาการของปรินซ์น่าเป็นห่วงมาก ก่อนที่จะผ่านคืนนี้ไป ถ้าหากว่าหัวใจของเขายังไม่กลับมาเต้นดังเดิม ทุกอย่างก็จะจบลง
ตอนนั้นความรู้สึกมันเหมือนกับเราอยู่แค่ในความมืด หาทิศทางไม่เจอ จนกระทั่งมีคำพูดของปรินซ์ คำพูดที่คล้ายกับไฟดวงเล็กๆ โผล่ขึ้นมา มันทำให้ฉันคิดที่จะเดินไปที่ไฟดวงนั้น ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่สว่างเหมือนกับพระอาทิตย์ก็ตาม
นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องบ่งบอกเวลาเที่ยงคืน ห้าชั่วโมงแล้วที่ก้นของฉันแปะอยู่บนเก้าอี้ไม้แข็งๆ นี่ ห้าชั่วโมงแล้วที่สายตาของฉันไม่ได้ละไปไหนนอกจากนาฬิกาทรายนี่ ราวกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามีแรงดึงดูดบางอย่างตรึงฉันไว้ แรงดึงดูดที่แฝงมาด้วยอันตราย
...‘พรของนาฬิกาทราย’
ฉันรู้ ว่ามันดูตลกเป็นบ้า กับเรื่องพรนาฬิกาทรายงี่เง่า ที่เราไม่สามารถพิสูจน์ อะไรได้เลย นอกเสียจากว่าเราจะลองขอพรกับมัน และดูเหมือนมันจะเป็นทางออกเดียวที่ฉันมีอยู่ มันคงดูตลกมากนะถ้าหากว่าฉันลงทุนขอพรกับสิ่งที่ไม่รู้ว่ามีจริงรึเปล่า
...แต่ก็นั่นแหละ เพราะว่ามันเป็นทางออกแค่ทางเดียว ที่คิดว่ามีอยู่...
ฉันปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลงช้าๆ มือทั้งสองข้างประสานกันไว้กลางอก ริมฝีปากพึมพำกับนาฬิกาทรายตรงหน้า นาฬิกาทรายถูกคว่ำลงด้วยมือของฉัน ทรายที่อยู่ข้างบนค่อยๆไหลลงตามแรงโน้มถ่วง
ไม่ว่าพรของนาฬิกาทรายจะมีจริงอย่างที่ปรินซ์บอกหรือไม่ ฉันขอมันไปแล้ว
ขอ...แค่ให้เขาฟื้น และยิ้มให้ฉัน
...อีกครั้ง
ออดดดด~ ออดดดด~
เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น ฉันยกชามข้าวต้มไปไว้ที่อ่างล้างก่อนจะเดินมาประตูรั้ว หน้าบ้านมีร่างสูงโปร่งของปรินซ์กำลังยิ้มให้กับฉัน
“สวัสดี...”
ฉันกล่าวทักทายขณะที่เปิดประตูรั้ว เมื่อคืนมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น หมอโทรมาบอกว่าวายุพ้นขีดอันตรายแล้ว ปรินซ์เองก็รู้ข่าวเลยบอกว่าจะอาสามารับฉันไปที่โรงพยาบาลด้วยกัน
ตั้งแต่เมื่อวาน ฉันยังไม่ได้ถามออกไปเลยว่าเขารู้เรื่องวายุได้ยังไง จะบอกว่าเป็นคนรู้จักกันก็คงไม่ใช่ เพราะฉันที่ไปเยี่ยมเขาบ่อยๆยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยซักนิด
“สวัสดี ฉันมาแต่เช้าแบบนี้...รบกวนเธอรึเปล่า”
“ไม่หรอก ฉันต่างหากที่ควรจะถาม ว่าฉันรบกวนนายรึเปล่า” ฉันรีบเปลี่ยนจากสีหน้าสงสัยมาเป็นยิ้มแย้มให้กับปรินซ์แม้ในใจจะยังคงความสงสัยอยู่
“จะไม่รบกวนหรอก ถ้าเธอจะใจดีชวนฉันเข้าไปกินอะไรข้างในหน่อยน่ะนะ”
ปรินซ์พูดพร้อมกับมองเข้าไปในบ้าน ฉันเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เห็นว่ายังเช้าอยู่เลยให้เขาเข้ามาในบ้าน “ฉันทำข้าวต้มไว้ เดี๋ยวไปตักให้นะ”
เขาพยักหน้ารับกับคำพูด พร้อมกับก้าวเข้ามาข้างใน ฉันทิ้งให้ปรินซ์สำรวจบ้านฉันให้พอใจ แล้วค่อยหลบฉากมาตักข้าวต้มให้เขาเงียบๆ สายตาของปรินซ์มองสำรวจห้องรับแขกไปจนถึงชั้นวางรูปถ่าย...
“พ่อกับแม่เธอไม่อยู่บ้านหรอ”
“...”
“...”
“ไม่อยู่หรอก คือ...ท่านเสียแล้วน่ะ”
“เอ่อ...”
“ไม่เป็นไรหรอก ช่างมันเถอะ” ฉันตอบปัดเมื่อเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าส่อแววรู้สึกผิดได้อย่างชัดเจนราวกับถูกเขียนไว้บนหน้าผาก
แม้ว่าพ่อกับแม่ฉันจะเสียไปตั้งแต่ฉันเด็กๆ แต่เวลามันก็ผ่านไปนานมากแล้ว ไม่มีใครสามารถเรียกอดีตคืนมาได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรจะทำมากที่สุด คือทำใจยอมรับกับมัน ใครหลายๆ ชอบคนบอกว่าฉันเป็นคนเข้มแข็ง เย็นชา จนติดจะกลายเป็นตายด้าน
คนที่คิดอย่างนั้น มีแค่คนที่ไม่รู้จักฉันจริงเท่านั้นแหละ บางทีคนเราก็ต้องเรียกความเข้มแข็งความเย็นชา ออกมาใช้เพื่อไม่ให้คนรอบข้างเป็นห่วง แต่สงสัยฉันจะเรียกความเย็นชาออกมามากกว่าความเข้มแข็งสินะ
“...”
“อ้อ! นี่ไงข้าวต้ม ฉันตักไว้ให้ กินเลยแล้วกันนะ เดี่ยวจะเย็นซะหมด” ฉันรีบเบี่ยงประเด็นก่อนที่ปรินซ์จะรู้สึกผิดมากไปกว่านี้ ฉันยื่นชามข้าวต้มให้ เขามองมันเล็กน้อยก่อนจะหยิบไปวางที่โต๊ะใกล้ตัว
“แล้วเธอ...”
“ฉันกินแล้ว นายกินเถอะ”
“ฉันหมายถึง เธอโอเคมั้ย”
“...”
“...”
“ฉันโอเค วายุพ้นขีดอันตรายแล้วนี่”
“เธอกับวายุไม่เห็นเหมือนญาติกันเลยนะ” แววตาสงสัยถูกแทรกขึ้นมาแทนที่ความรู้สึกผิด “ดูเธอจะห่วงเขามากกว่าที่จะเป็นแค่ญาติ”
“เราไม่ใช่ญาติกันหรอก วายุเป็นหลานของเพื่อนพ่อฉันเอง เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก” ฉันตอบข้อคล่องใจออกไปพร้อมกับคิดย้อนไปถึงตอนที่ฉันกับวายุรู้จักกันใหม่ๆ จำได้ว่าตอนนั้นฉันอายุแค่ห้าขวบ ส่วนวายุอายุเจ็ดขวบ เราสองคนวิ่งเล่นกันในสนามเด็กเล่นด้วยกันทั้งที่ตอนนั้นยังไม่รู้จักชื่อกันด้วยซ้ำ
แปลกดีที่ฉันกับเขาเข้ากันได้ดีซะยิ่งกว่าพี่น้องในไส้ของคนอื่นๆ ทั้งที่เราก็ไม่ใช่ทั้งพี่น้องนอกไส้และในไส้เลยซักนิด เป็นแค่คนรู้จักที่อายุต่างกันแค่นั้นเอง
“เธอคงจะสนิทกับเขามาเลยสินะ”
“อืม คงเป็นเพราะเราชอบอะไรเหมือนกันละมั้ง ทั้งอาหาร ของเล่น การ์ตูน น่าขำที่ทุกคนชอบเข้าใจผิดว่าฉันกับเขาเป็นพี่น้องกันอยู่เรื่อย” ฉันพูดเพลินจนลืมมองว่าปรินซ์กำลังนั่งฟังฉันอย่างใจจดใจจ่อ “นี่ฉันเล่าอะไรออกไปเนี่ย นายคงเบื่อน่าดู ฉันว่าเราไปกันเถอะ”
“...” เขาไม่พูดเพียงแต่พยักหน้าแทนคำตอบเท่านั้น และฉันก็เห็นว่าข้าวต้มในชามหมดเกลี้ยงแล้ว เลยถือจานไปเก็บไว้ที่เดิมก่อนจะออกไปที่รถของเขา
ความคิดเห็น