คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เขาคือ 'เจ้าชาย'
บทที่ 2
เขาคือ ‘เจ้าชาย’
ที่สวนหลังโรงเรียน
ฉันวางกระเป๋านั่งลงที่เก้าอี้ไม้ยาวแถวนั้น ลมที่พัดเอื่อยๆกับกลิ่นหอมของไอดินธรรมชาติ ทำให้บรรยากาศแถวนี้ร่มเย็นสบาย เหมาะแก่การพักผ่อนของฉันในเวลาแบบนี้
อันที่จริงการมาที่นี่ก็ไม่เชิงว่าฉันจะมาแค่พักผ่อนหรอกนะ แต่เป็นเพราะฉันต้องการจะหนีเสียงแปดสิบแปดหลอดของยัยลิซ่านั่นต่างหาก จะว่าไป ว่างๆฉันคงต้องไปตรวจเช็คสภาพหูและแหละ ว่ายังอยู่ดีครบทุกประการรึเปล่า L
ซวบบบบ!~~~
“...”
เสียงบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวตัวจนเกิดเสียง ตามด้วยร่างสูงโป่งที่เดินเข้ามาในท่าทีสบายๆ ใบหน้าขาวใสที่ตัดกันอย่างลงตัวกับผมสีดำเงางาม รับกับจมูกโด่งเป็นสันได้รูป หากเปลี่ยนที่นี่เป็นแคชวอกส์ ฉันคงคิดว่าเขาเป็นดาราหรือนายแบบชื่อดังเป็นแน่ แต่เพราะเขาอยู่ที่นี่ ฉันถึงรู้ว่าเขาคือ...
“...ปริ๊นซ์”
ปริ๊นซ์ ฉายาเจ้าชายของโรงเรียน และคนๆนี้เอง ที่ถูกอ้างตัวว่าเป็นแฟนของยัยลิซ่า ร่างสูงเจ้าของชื่อ หันมองตามเสียงเรียกเบาๆของฉัน ก่อนจะเดินมาทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้ข้างตัว
“มาที่นี่บ่อยรึเปล่า” เขาถามขณะที่กำลังหลับตานั่งพิงเก้าอี้ตัวเดียวกันกับฉัน
“ก็...บางครั้ง”
“ของขวัญปีใหม่ ลิซ่าบอกว่าเธอเป็นคนจับมันได้...”
“อืม นายจะเอามันคืนไปให้ลิซ่าก็ได้นะ” ฉันหยิบกล่องของขวัญออกมาให้เขาดู ปริ๊นมองกล่องของขวัญของตัวเองเพียงเดี๋ยวเดียวก่อนจะหันมาสบตากับฉัน ดวงตาสีอำพันนั่นดูลึกลับน่าค้นหา ช่างเป็นคนที่มีเสน่ห์มากจริงๆ ไม่แปลกหรอกที่เขาได้ฉายาว่าเป็นถึงเจ้าชายที่คนทั้งโรงเรียนต่างพากันคลั่งไคล้และชื่นชม ไม่ต่างอะไรกับเจ้าชายจริงๆเลยซักนิด
“ทำไมเธอถึงคิดว่าฉันต้องเอาคืนด้วยล่ะ”
“ก็...”
ก็เพราะว่ามันควรจะเป็นของยัยลิซ่าน่ะสิ ฉันได้แต่คิดในใจไม่กล้าที่จะพูด เราไม่ได้สนิทกันซักหน่อย ฉันรู้จักเขาแค่เพียงชื่อและภายนอกเท่านั้น ส่วนเขา...คงไม่รู้จักฉันอยู่แล้วล่ะ
“ช่างเถอะ ในเมื่อเธอจับฉลากได้มัน มันก็เป็นของเธอ...แน่นอนอยู่แล้ว” น้ำเสียงนุ่มๆที่พูดออกมาราวกับเสียงดนตรีที่แสนจะไพเราะ เขายิ้มอ่อนโยนให้ฉันก่อนจะพูดต่อ “เธอเห็นการ์ดนั่นใช่มั้ย”
“อะ...อืม” ฉันตอบได้ไม่เต็มเสียงนัก เพราะการ์ดใบหรูนั่นฉันยังอ่านไม่ทันจบเลยด้วยซ้ำ (ต้องโทษยัยลิซ่าที่บังอาจเทน้ำใส่ตัวฉันคนเดียวเลย) แต่ฉันก็ดันทำมันเปียกไปซะก่อน
“เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องหลอกเด็กรึเปล่า”
“...”
“เงียบอย่างงี้แสดงว่าใช่สินะ” สายตาที่เหลือบมามองฉันเป็นระยะ ทำให้ฉันรู้สึกเกร็งเล็กน้อย “ความจริงในการ์ดใบนั้นไม่ใช่เรื่อหลอกเด็กอย่างที่คิดหรอกนะ ถึงแม้เธอจะมองว่าการขอพรกับนาฬิกาทรายอันนี้ออกจะ...แปลกๆไปซะหน่อย”
“นายกำลังจะบอกฉันว่า พรของนาฬิกาทรายเป็นเรื่องจริง...งั้นหรอ”
ปริ๊นเพียงพยักหน้าน้อยๆแทนคำตอบว่า ‘ใช่’ เท่านั้น และคำตอบนั้นเองที่ทำให้ฉันถึงกับเงียบ ถามอะไรต่อไม่ถูก ถ้าหากพรของนาฬิกาทรายเป็นเรื่องจริง ถ้างั้น “แสดงว่าฉันสามารถขออะไรกับนาฬิกาทรายนี่ก็ได้งั้นเหรอ…? ”
“อะไรก็ได้...ทุกอย่างไม่ว่ามันจะเป็นอะไร”
“...”
“อยู่ที่เธอจะยอม ‘แลก’ มันรึเปล่า”
ฉันเดินลงจากรถเมล์อย่างเลื่อนลอย เพราะมัวแต่คิดถึงคำพูดของปริ๊นเมื่อตอนอยู่ที่สวน คำพูดทิ้งท้ายมีเพียงคำว่า
‘อยู่ที่เธอจะยอม ‘แลก’ มันรึเปล่า’ ทำให้ฉันคิดไม่ตกจนเกือบจะนั่งรถเมล์เลยป้าย
ประโยคแปลกๆที่ฉันยังหาคำตอบไม่ได้ ว่าพรที่ว่านั้น มันจะต้อง ‘แลก’ ด้วยอะไร ตอนนั้นฉันกะจะถามออกไปอยู่แล้ว เพียงแต่โทรศัพท์ของเขาดันดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อน แล้วหลังจากนั้นเขาก็เดินออกไปโดยบอกกับฉันแค่ว่ามีธุระ
สรุปคือ...ฉันยังไม่ได้ถามเขาเลยซักคำ -_-^
ฉันเปิดประตูบ้านก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นสองที่ห้องนอนของตัวเอง ฉันวางกล่องนาฬิกาทรายลง พร้อมๆกับสำรวจนาฬิกาทรายอันนี้
เหอะ! ตลกชะมัด ที่อยู่ดีๆมีคนบอกว่าเจ้านาฬิกาทรายอะไรนี่สามารถขอพรได้ทุกอย่าง แถมคนๆนั้นยังได้ฉายาว่าเจ้าชายของโรงเรียนอีกต่างหาก
นาฬิกาทรายในมือถูกฉันวางเอาไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสืออย่างหมดสิ้นคุณค่าและราคาใดๆทั้งสิ้น โอเค ฉันรู้ว่ามันสวย มันแพง แต่ไม่ว่ามันจะสวยขนาดไหน หรือจะแพงมากถึงขั้นซื้อบ้านใหม่ได้ทั้งหลัง มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันสนใจจนคว้ามันขึ้นมานั่งจ้องหรอกน่า
หน้าต่างห้องนอนฉันหันไปทางทิศตะวันตก ทำให้ฉันได้เห็นแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นพระจันทร์ และวันนี้ก็คงเป็นอีกวันสินะ ที่ฉันได้มานั่งมองพระอาทิตย์ตกแบบนี้
มีใครหลายๆคนเคยบอกไว้ว่าพระอาทิตย์ตก มักจะให้ความรู้สึกเศร้า ความรู้สึกที่เคยผ่านมาเนิ่นนานจนไม่อาจย้อนกลับไปได้ ฉันกำลังรู้สึกแบนั้นอยู่สินะ
‘คิกๆ หน้าเธอตอนมองพระอาทิตย์ตลกเป็นบ้า’ เสียงนุ่มๆดังขึ้นในความคิดของฉัน มันผ่านมานานมากแล้ว แต่ทว่ามันยังคงชัดเจนสำหรับฉันเสมอ
‘นี่แน่ะ นายหัวเราะฉันอีกแล้วนะวายุ >_<’
‘ฮ่าๆ ก็มันจริงนี่ ไม่เชื่อเดี๋ยวฉันไปหยิบกระจกมาให้ก็ได้’ เขาทำท่าจะลุกไปหยิบกระจก แต่ฉันในตอนนั้นคว้ามือเอาไว้ก่อน ประจวบเหมาะที่ดวงตาทั้งสองคู่สบเข้าด้วยกัน ฉันมองเห็นภาพของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาสีสวยคู่นั้น ดวงตาที่คล้ายจะตรึงฉันให้อยู่กับที่ ไม่อาจมองไปทางไหน
เกิดความเงียบปกคลุมเราทั้งสอง ก่อนที่ริมฝีปากหยักได้รูปจะขยับออกเป็นคำพูดให้กับฉัน
‘ฉันรักเธอ นาลิน...’
ครืนนน~ ครืนนน~
เสียงสั่นจากโทรศัพท์มือถือ ปลุกฉันให้ออกจาภวังค์ความคิดของตัวเอง ฉันยกมือปาดน้ำตาออกลวกๆ แล้วจึงเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาดู หน้าจอปรากฏเบอร์แปลก ทำให้ฉันลังเลเล็กน้อย จนสุดท้ายฉันก็กดรับสายในที่สุด
[ฮัลโหล นั่นนาลินรึเปล่า]
“ใช่ แล้วนั่น...”
[ฉันปรินซ์ คนที่คุยด้วยกับเธอเมื่อตอนอยู่ในสวนน่ะ เธอจำฉันได้ใช่มั้ย]
“อืม ฉันจำได้ ว่าแต่นายมีอะไรรึเปล่า”
[ญาติของเธอที่ชื่อวายุ] เสียงของปรินซ์ขาดหายไป ก่อนจะดังขึ้นอีกครั้ง [ตอนนี้เขาอยู่ในไอซียู ดูเหมือนเขาจะหัวใจหยุดเต้น...]
คำพูดของปรินซ์ทำเอาสีหน้าของฉันตอนนี้ซีดเผือด ไม่มีคำพูดและคำตอบใดๆหลุดออกมา คล้ายกับหัวสมองฉันขาวโพลนไม่เหลือที่ให้คิดอะไรอีก โทรศัพท์ในมือร่วงหล่นลงกับพื้น ขาทั้งสองข้างคล้ายกับไม่มีเรี่ยวแรงขึ้นมาซะดื้อๆ
[นาลิน เธอยังอยู่รึเปล่า เฮ้!!] ปลายสายสบถออกมาอย่างหัวเสีย บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ร้อนรนมากเป็นพิเศษ [เธอรออยู่หน้าบ้านนะ ฉันใกล้จะถึงบ้านเธอแล้ว]
ไม่จริงใช่มั้ย วายุ... นายจะไม่เป็นไรใช่มั้ย
ความคิดเห็น