ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hourglass นับถอยหลังพรรัก นาฬิกาทราย

    ลำดับตอนที่ #2 : เขาคือ 'เจ้าชาย'

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 59


    บทที่ 2

    เขาคือ เจ้าชาย

    ที่สวนหลังโรงเรียน

    ฉันวางกระเป๋านั่งลงที่เก้าอี้ไม้ยาวแถวนั้น  ลมที่พัดเอื่อยๆกับกลิ่นหอมของไอดินธรรมชาติ  ทำให้บรรยากาศแถวนี้ร่มเย็นสบาย  เหมาะแก่การพักผ่อนของฉันในเวลาแบบนี้

    อันที่จริงการมาที่นี่ก็ไม่เชิงว่าฉันจะมาแค่พักผ่อนหรอกนะ แต่เป็นเพราะฉันต้องการจะหนีเสียงแปดสิบแปดหลอดของยัยลิซ่านั่นต่างหาก จะว่าไป ว่างๆฉันคงต้องไปตรวจเช็คสภาพหูและแหละ ว่ายังอยู่ดีครบทุกประการรึเปล่า L

    ซวบบบบ!~~~ 

    ...

    เสียงบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวตัวจนเกิดเสียง ตามด้วยร่างสูงโป่งที่เดินเข้ามาในท่าทีสบายๆ  ใบหน้าขาวใสที่ตัดกันอย่างลงตัวกับผมสีดำเงางาม  รับกับจมูกโด่งเป็นสันได้รูป  หากเปลี่ยนที่นี่เป็นแคชวอกส์  ฉันคงคิดว่าเขาเป็นดาราหรือนายแบบชื่อดังเป็นแน่  แต่เพราะเขาอยู่ที่นี่  ฉันถึงรู้ว่าเขาคือ...

    ...ปริ๊นซ์

    ปริ๊นซ์  ฉายาเจ้าชายของโรงเรียน  และคนๆนี้เอง  ที่ถูกอ้างตัวว่าเป็นแฟนของยัยลิซ่า ร่างสูงเจ้าของชื่อ  หันมองตามเสียงเรียกเบาๆของฉัน ก่อนจะเดินมาทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้ข้างตัว

    มาที่นี่บ่อยรึเปล่า เขาถามขณะที่กำลังหลับตานั่งพิงเก้าอี้ตัวเดียวกันกับฉัน

    ก็...บางครั้ง

    ของขวัญปีใหม่ ลิซ่าบอกว่าเธอเป็นคนจับมันได้...

    อืม นายจะเอามันคืนไปให้ลิซ่าก็ได้นะ ฉันหยิบกล่องของขวัญออกมาให้เขาดู ปริ๊นมองกล่องของขวัญของตัวเองเพียงเดี๋ยวเดียวก่อนจะหันมาสบตากับฉัน ดวงตาสีอำพันนั่นดูลึกลับน่าค้นหา ช่างเป็นคนที่มีเสน่ห์มากจริงๆ ไม่แปลกหรอกที่เขาได้ฉายาว่าเป็นถึงเจ้าชายที่คนทั้งโรงเรียนต่างพากันคลั่งไคล้และชื่นชม ไม่ต่างอะไรกับเจ้าชายจริงๆเลยซักนิด

    ทำไมเธอถึงคิดว่าฉันต้องเอาคืนด้วยล่ะ

    ก็...

    ก็เพราะว่ามันควรจะเป็นของยัยลิซ่าน่ะสิ  ฉันได้แต่คิดในใจไม่กล้าที่จะพูด  เราไม่ได้สนิทกันซักหน่อย  ฉันรู้จักเขาแค่เพียงชื่อและภายนอกเท่านั้น  ส่วนเขา...คงไม่รู้จักฉันอยู่แล้วล่ะ

    ช่างเถอะ ในเมื่อเธอจับฉลากได้มัน มันก็เป็นของเธอ...แน่นอนอยู่แล้ว น้ำเสียงนุ่มๆที่พูดออกมาราวกับเสียงดนตรีที่แสนจะไพเราะ เขายิ้มอ่อนโยนให้ฉันก่อนจะพูดต่อ เธอเห็นการ์ดนั่นใช่มั้ย

    อะ...อืม ฉันตอบได้ไม่เต็มเสียงนัก เพราะการ์ดใบหรูนั่นฉันยังอ่านไม่ทันจบเลยด้วยซ้ำ (ต้องโทษยัยลิซ่าที่บังอาจเทน้ำใส่ตัวฉันคนเดียวเลย) แต่ฉันก็ดันทำมันเปียกไปซะก่อน

    เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องหลอกเด็กรึเปล่า

    ...

    เงียบอย่างงี้แสดงว่าใช่สินะ สายตาที่เหลือบมามองฉันเป็นระยะ ทำให้ฉันรู้สึกเกร็งเล็กน้อย ความจริงในการ์ดใบนั้นไม่ใช่เรื่อหลอกเด็กอย่างที่คิดหรอกนะ ถึงแม้เธอจะมองว่าการขอพรกับนาฬิกาทรายอันนี้ออกจะ...แปลกๆไปซะหน่อย

    นายกำลังจะบอกฉันว่า พรของนาฬิกาทรายเป็นเรื่องจริง...งั้นหรอ

    ปริ๊นเพียงพยักหน้าน้อยๆแทนคำตอบว่า ใช่เท่านั้น และคำตอบนั้นเองที่ทำให้ฉันถึงกับเงียบ ถามอะไรต่อไม่ถูก ถ้าหากพรของนาฬิกาทรายเป็นเรื่องจริง ถ้างั้น แสดงว่าฉันสามารถขออะไรกับนาฬิกาทรายนี่ก็ได้งั้นเหรอ…? ”

    อะไรก็ได้...ทุกอย่างไม่ว่ามันจะเป็นอะไร

    ...

     “อยู่ที่เธอจะยอม แลก มันรึเปล่า

     

                    ฉันเดินลงจากรถเมล์อย่างเลื่อนลอย เพราะมัวแต่คิดถึงคำพูดของปริ๊นเมื่อตอนอยู่ที่สวน คำพูดทิ้งท้ายมีเพียงคำว่า

     อยู่ที่เธอจะยอม แลก มันรึเปล่า ทำให้ฉันคิดไม่ตกจนเกือบจะนั่งรถเมล์เลยป้าย

    ประโยคแปลกๆที่ฉันยังหาคำตอบไม่ได้ ว่าพรที่ว่านั้น มันจะต้อง แลก ด้วยอะไร ตอนนั้นฉันกะจะถามออกไปอยู่แล้ว เพียงแต่โทรศัพท์ของเขาดันดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อน แล้วหลังจากนั้นเขาก็เดินออกไปโดยบอกกับฉันแค่ว่ามีธุระ

    สรุปคือ...ฉันยังไม่ได้ถามเขาเลยซักคำ -_-^

    ฉันเปิดประตูบ้านก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นสองที่ห้องนอนของตัวเอง ฉันวางกล่องนาฬิกาทรายลง พร้อมๆกับสำรวจนาฬิกาทรายอันนี้

    เหอะ! ตลกชะมัด ที่อยู่ดีๆมีคนบอกว่าเจ้านาฬิกาทรายอะไรนี่สามารถขอพรได้ทุกอย่าง แถมคนๆนั้นยังได้ฉายาว่าเจ้าชายของโรงเรียนอีกต่างหาก

    นาฬิกาทรายในมือถูกฉันวางเอาไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสืออย่างหมดสิ้นคุณค่าและราคาใดๆทั้งสิ้น โอเค ฉันรู้ว่ามันสวย มันแพง แต่ไม่ว่ามันจะสวยขนาดไหน หรือจะแพงมากถึงขั้นซื้อบ้านใหม่ได้ทั้งหลัง มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันสนใจจนคว้ามันขึ้นมานั่งจ้องหรอกน่า

    หน้าต่างห้องนอนฉันหันไปทางทิศตะวันตก ทำให้ฉันได้เห็นแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นพระจันทร์ และวันนี้ก็คงเป็นอีกวันสินะ ที่ฉันได้มานั่งมองพระอาทิตย์ตกแบบนี้

    มีใครหลายๆคนเคยบอกไว้ว่าพระอาทิตย์ตก มักจะให้ความรู้สึกเศร้า ความรู้สึกที่เคยผ่านมาเนิ่นนานจนไม่อาจย้อนกลับไปได้ ฉันกำลังรู้สึกแบนั้นอยู่สินะ

    คิกๆ หน้าเธอตอนมองพระอาทิตย์ตลกเป็นบ้า เสียงนุ่มๆดังขึ้นในความคิดของฉัน มันผ่านมานานมากแล้ว แต่ทว่ามันยังคงชัดเจนสำหรับฉันเสมอ

    นี่แน่ะ นายหัวเราะฉันอีกแล้วนะวายุ >_<’

    ฮ่าๆ ก็มันจริงนี่ ไม่เชื่อเดี๋ยวฉันไปหยิบกระจกมาให้ก็ได้ เขาทำท่าจะลุกไปหยิบกระจก แต่ฉันในตอนนั้นคว้ามือเอาไว้ก่อน ประจวบเหมาะที่ดวงตาทั้งสองคู่สบเข้าด้วยกัน ฉันมองเห็นภาพของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาสีสวยคู่นั้น ดวงตาที่คล้ายจะตรึงฉันให้อยู่กับที่ ไม่อาจมองไปทางไหน

    เกิดความเงียบปกคลุมเราทั้งสอง ก่อนที่ริมฝีปากหยักได้รูปจะขยับออกเป็นคำพูดให้กับฉัน

    ฉันรักเธอ นาลิน...

    ครืนนน~ ครืนนน~

                    เสียงสั่นจากโทรศัพท์มือถือ ปลุกฉันให้ออกจาภวังค์ความคิดของตัวเอง ฉันยกมือปาดน้ำตาออกลวกๆ แล้วจึงเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาดู หน้าจอปรากฏเบอร์แปลก ทำให้ฉันลังเลเล็กน้อย จนสุดท้ายฉันก็กดรับสายในที่สุด

                    [ฮัลโหล นั่นนาลินรึเปล่า]

                    “ใช่ แล้วนั่น...

                    [ฉันปรินซ์ คนที่คุยด้วยกับเธอเมื่อตอนอยู่ในสวนน่ะ เธอจำฉันได้ใช่มั้ย]

                    “อืม ฉันจำได้ ว่าแต่นายมีอะไรรึเปล่า

                    [ญาติของเธอที่ชื่อวายุ] เสียงของปรินซ์ขาดหายไป ก่อนจะดังขึ้นอีกครั้ง [ตอนนี้เขาอยู่ในไอซียู ดูเหมือนเขาจะหัวใจหยุดเต้น...]

                    คำพูดของปรินซ์ทำเอาสีหน้าของฉันตอนนี้ซีดเผือด ไม่มีคำพูดและคำตอบใดๆหลุดออกมา คล้ายกับหัวสมองฉันขาวโพลนไม่เหลือที่ให้คิดอะไรอีก โทรศัพท์ในมือร่วงหล่นลงกับพื้น ขาทั้งสองข้างคล้ายกับไม่มีเรี่ยวแรงขึ้นมาซะดื้อๆ

    [นาลิน เธอยังอยู่รึเปล่า เฮ้!!] ปลายสายสบถออกมาอย่างหัวเสีย บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ร้อนรนมากเป็นพิเศษ [เธอรออยู่หน้าบ้านนะ ฉันใกล้จะถึงบ้านเธอแล้ว]

    ไม่จริงใช่มั้ย วายุ... นายจะไม่เป็นไรใช่มั้ย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×