ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พราวดาวดั่งฝัน

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 8

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 58


    ตอนที่ 8

    หมอวิทย์ขับรถพาปาวดีออกจากกรุงเทพใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง   ระหว่างทางหล่อนทั้งขู่ วี้ดใส่ ร้องกรี๊ดๆจนแสบคอ และหันไปทุบเขาแรงๆจนรถเกือบเสียหลักก็แล้ว เขาก็ยังไม่จอดให้ลง  สุดท้ายต้องยอมแพ้พ่ายเพราะกลัวตาย 

                    หล่อนสะบัดหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง   รถแล่นออกจากกรุงเทพไกลออกไปทุกขณะ คงไม่มีประโยชน์ที่คิดจะหนี   ในเมื่อหนีไม่ได้  หล่อนก็เริ่มเปลี่ยนความคิดหันมาวางแผนเอาคืน 

                    ไม่จบลงด้วยวิธีตาต่อตาก็ต้องจบด้วยวิธีฟันต่อฟัน

                    ไม่นาน ปาวดีก็เริ่มคิดแผนร้ายได้  หล่อนยิ้มกระหยิ่มขึ้นมาทันที อารมณ์ที่บูดบึ้งนั้นหายไปหมดสิ้น   แผนแรกหล่อนต้องแกล้งเป็นลมล้มพับ  หลังจากนั้น แผนสอง  จะได้รู้ฤทธิ์ของหล่อนก็คราวนี้ล่ะ

                    นายไม่รอดแน่

                    หล่อนชำเลืองมองคนขับอย่างครึ้มอกครึ้มใจ

                    หมอวิทย์ขับรถขึ้นแล่นไปตามถนนลาดยาง  ปาวดีผ็อยหลับไป  เมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นต้นไม้ ทุ่งหญ้า บนเนินเขาสวยงามทั้งสองข้างทาง

                    หล่อนอยู่ที่ไหนของประเทศไทย  

    เขาแล่นไปตามถนนบนเนินทอดยาว  สลับเนินสูง เนินต่ำ 4-5 เนิน  

                    หล่อนก็ทราบ  เมื่อเห็นอาคารเรือนไม้ที่มีป้ายชื่ออุทยาน

                    อาคารเรือนไม้ชั้นเดียวตั้งอยู่บนเนินทุ่งหญ้าเตี้ยๆ  ตกแต่งด้วยสวนดอกไม้นานาพันธุ์ รายล้อมด้วยขุนเขา ต้นไม้ และลำธาร

                    เขาจอดรถตรงหน้าอาคาร แล้วหันมาปรามหล่อน

                    “ห้ามลงจากรถ ไม่งั้น อย่าหาว่าผมไม่เตือน” เขาเตือนเสียงแข็ง

                    “ทำไมฉันจะต้องกลัวนายด้วย”

                    “ลองดู ผมจะได้บอกเขาไปว่า คุณเป็นเมียผม รับลองไม่มีใครหน้าไหนกล้ายุ่งกับผมหรอก

                    “นายกล้าเหรอ”

                    “หรือไม่ก็บอกตรงๆไปเลยว่า คุณหนีตามผมมาเอง คุณว่าน่าจะให้ผมบอกอย่างไหนดีครับ”

                    “นี่ นาย   อยากจะทำอะไรก็ไปทำสิ จะได้เสร็จเร็วๆ  ฉันเสียเวลากับนายมามากแล้วนะ” หล่อนแว้ดใส่

                    เขาหันมาขึงตามองก่อนจะก้าวลงจากรถเดินหายเข้าไปในอาคาร

                    “ปล่อยให้ย่ามใจไปก่อน  เดี๋ยวรอนายทำธุระเสร็จเมื่อไหร่  น่าดู”  หล่อนคำรามในใจ ฉายแววตากร้าวเปล่งประกาย 

                    ไม่นาน  หมอวิทย์  และผู้ชายสองคนสวมชุดฟอร์มเป็นเจ้าหน้าที่เดินออกมายืนปรึกษากันหน้าอาคาร  ปาวดีมองสำรวจเขาเป็นครั้งแรก

                    หมอวิทย์รูปร่างเกือบ180 เซนติเมตร ผิวขาวคล่ำแดด หน้าตาคมเข้ม ผมซอยลุ่ยด้วยเจลแต่งผม สวมแว่นตากันแดดยี่ห้อหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเข้ม กางเกงยีนส์กระบอกเล็ก   เข้ากับรองเท้าเดินป่าหนังแท้สีดำ 

                    เจ้าหน้าที่สองคนเดินมาเปิดประตูหลังรถ  แล้วช่วยกันยกกรงเหล็กคล้ายกรงสุนัขลงมา

                    หมอวิทย์ยืนมาดเข้มมองพวกเขาไม่ไกลจากหล่อนนัก 

                    หล่อนเหลียวหลังไปชะเง้อมองกระบะท้ายรถ 

                    หล่อนเห็น งูเหลือมยาวประมาณห้าเมตร ตัวเท่าต้นขาของหล่อนอยู่ในกรงเหล็ก

                    เท่านั้นแหละ

                    ปาวดีกรีดร้องเสียงตระหนกตกใจพร้อมเปิดประตูพรวดออกมาโผนเข้ากอดหมอวิทย์ไว้แน่น

                    เขาเซเกือบล้ม

                    ปาวดีร้องกรี๊ดกร๊าด  เพราะกลัวงูขึ้นสมอง และยิ่งรู้ว่าโดยสารร่วมทางกันมาด้วย  หล่อนก็ยิ่งส่งเสียงร้องไม่หยุด เขาต้องใช้มือปิดปากหล่อนไว้

                    “คุณหยุดร้องได้แล้ว เดี๋ยวงูก็ตกใจดิ้นหลุดออกจากกรงหรอก” เขาปราบเสียง

                    “มีอะไรหรือเปล่าครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามขึ้น

                    “ไม่มีอะไรหรอก เมียผม เค้ากลัวงูขึ้นสมองครับ”หมอวิทย์ตอบแล้วหน้าแดงเอง

                    “อ้อ ครับ งั้นผมไปแล้วนะครับ” เจ้าหน้าที่ตอบยิ้มมุมปาก

                    ทั้งสองก้มหน้าก้มตาช่วยกันยกกรงงูเข้าไปในอาคาร   เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่อยากรับรู้เรื่องของผัวเมีย

                    หล่อนใช้กำปั้นทุบอกลงทัณฑ์เขาเบาๆ  สะอื้น ฮักๆ   เขากอดหล่อนตอบใช้มือลูบแผ่นหลังของหล่อนเพื่อปลอบโยน   หล่อนเนื้อตัวสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนของเขา

                    หมอวิทย์เป็นคนแข็งแรง ร่างล่ำสันทำให้หล่อนรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย  เขาเริ่มมีอาการสั่น หายใจแรงรัวขึ้นโดยที่หล่อนไม่รู้สึก เพราะมัวแต่หวาดกลัว

                    เสียงสูดจมูกฟุดฟิด  หล่อนเช็ดใบหน้าถูไถกับเสื้อตรงแผ่นอกของเขา  อารมณ์วาบหวิวมอดม้วยลง  เขาผละห่างจากหล่อนแทบทันที

                    “อะไรของคุณนี่ เสื้อของผม....หมดกัน” เขาเอ่ยก้มมองเสื้อตัวเอง

                    เขาหน้าแดงก่ำ หล่อนก็หน้าแดงระเรื่อ เหมือนกัน

                    “ดี สมน้ำหน้า” หล่อนแวดใส่กลบเกลื้อน

                    เจ้าหน้าที่ทั้งสองเดินกลับมาอีกเห็นหล่อนกระดากอายยิ้มเจื่อนออกมา

                    ทั้งสองยิ้มชอบกล หันไปคุยงุบงิบกันจนจับใจความไม่ได้

                    “นั่งรถมากับงูตลอดทางไม่เห็นจะเป็นอะไร”

                    “สงสัยเมียอยากจะออเซาะผัว”

                    “ก็  ผัวท่าทางเอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวด ทำแต่งานไม่มีเวลาเอาใจเมียนะสิ”      

                    ทั้งสองซุบซิบแทรกเสียงกลั้วหัวเราะ 

                    “น่าเห็นใจวะ ถ้างั้น ส่งเคราะห์ให้เห็นอีกตัวสิวะ”

                    เจ้าหน้าที่ช่วยกันดึงกรงงูอีกตัวออกมาจากท้ายรถ  ทว่าตัวมันใหญ่จนเนื้อปริออกมาตามซี่ลูกกรงมากกว่าตัวเมื่อกี้

                    หล่อนตะลึงพรึงเพริด หน้าซีดเซียว แล้วเป็นลมล้มพับไปจริงๆ

                    ปาวดีปรือตาขึ้น แสงตะวันยามบ่ายส่องเข้าทางหน้าต่างสว่างจนระคายตา   หล่อนพบตัวเองอยู่ในห้องเล็กๆนอนบนโซฟาไม้ยาวแคบและแข็ง

                    หล่อนกวาดสายตา สบตาเข้มคมสีหน้าเคร่งขรึมของหมอวิทย์

                    “คุณเป็นไงบ้าง” เขาถามเสียงห้วน

                    หล่อนเริ่มคุ้นน้ำเสียงและสีหน้ากระด้างของเขา

                    เขานั่งอยู่ข้างๆบนโซฟาไม้เข้าชุดสำหรับที่นั่งเดียว  เขารินน้ำใส่แก้วแล้วส่งให้

                    หล่อนลุกพรวดขึ้น รับแก้วแล้วดื่มน้ำรวดเดียวหมด   หล่อนเพิ่งเห็นข้าวผัดไข่ดาวสองจานวางอยู่บนโต๊ะ  หล่อนรู้สึกหิวกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ  เพราะตั้งแต่เช้าข้าวยังไม่ตกถึงท้อง

                    เสียงท้องร้องดังโครมคราม  เขาก็หัวเราะหึหึ

                    หล่อนไม่สนใจหันไปเลื่อนจานมาใกล้ๆ  แล้วรีบตักข้าวพูนช้อนเข้าปาก เคี้ยวหมุบหมับกลืนรวดเร็ว จนข้าวติดคอ ไอ แค๊กๆ  เขารีบส่งน้ำ พลางลูบแผ่นหลังให้ หล่อนกลั้วน้ำตาม แล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ

                    เขามองหล่อนยิ้มมุมปาก ก่อนจะก้มหน้ารับประทานอาหารอย่างละเลียดจนหมด

                    เขาลุกไปชงกาแฟห้องถัดไป  แล้วนำมาเสริฟให้  

                    หล่อนเปลี่ยนที่นั่งลุกไปนั่งเก้าอี้ของเขา   เขายักไหล่ไม่คิดอะไรมากทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาไม้ยาว

                    ทั้งสองจิบกาแฟอย่างละเมียดละไม    ท่ามกลางบรรยากาศบ้านเล็กในป่าใหญ่  ไม่หรูหราเหมือนภัตตาคารที่หล่อนแวะเวียนไป ไม่เข้ากับชุดแบรนด์เนมที่หล่อนสวมใส่ 

                    เขามองดวงหน้าเรียวงาม หลุบตาลงมองเรียวปากเฉดสีแดงโดดเด่น  ดวงตาเปล่งประกายด้วยอายแชโดว์สีอ่อนและปัดแก้มใสให้สว่าง

                    เขาเปรียบเทียบกับตัวเอง  เป็นหมอจนๆธรรมดาคนหนึ่ง แต่งตัวปอนๆ  ไกลเกินระดับหล่อน

                    ปาวดีเห็นเขาเงียบขรึมไป 

                    หล่อนย่ามใจเริ่มแผนสองต่อทันที

                    หล่อนขยับนิ้วเข้าใกล้จนแตะปลายนิ้วเขา  แล้วเหลือบขึ้นสบตาเขาเต็มดวงตา 

                    หมอวิทย์หน้าแดง ตัวแข็ง นึกถึงตอนที่หล่อนโผนกอดเขา หัวใจก็เริ่มเต้นรัวแรง  

                    เขามองมือเรียงงามที่กุมทับมือแข็งแรงของเขาไว้

                    “คุณจะเล่นอะไรซุกซนอีกละ” เขาถามด้วยน้ำเสียงขลาดๆ

                    ปาวดีลุกขึ้นยืนอยู่เหนือเขา แล้วเอ่ยขึ้น

                    “นายรู้จักอาการ Puppy love มั้ย”

                    “ไร้สาระ คุณพูดถึงอะไร”เขาเหลือบสบตาอย่างไม่ไว้ใจ

                    เขารู้สึกวูบวาบชอบกล

                    “อาการ Puppy love มักจะเกิดในลูกสุนัข เวลาที่เล่นต่อสู้กัน” หล่อนพูดแสร้งทำหูตาแพรวพาย ก่อนผลักเขาลงไปนอนบนโซฟาทันที

                    “เฮ้ย อะไรกันเนีย” เขานอนแผ่หลาร้องเสียงหลง

                    “สุนัขตัวผู้จะยอมเผยจุดอ่อนให้สุนัขตัวเมียรู้ ตามคอ อก และก็ท้อง” ปาวดีกระซิกข้างหูใช้มือแตะตามที่พูดไปด้วย

                    “นี่ คุณจะบ้าแล้วเหรอ ” เขาร้องลั่นพลางยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้

                    “แล้วสุนัขตัวเมีย  ก็จู่โจมทั้งทึ้ง กัด แทะๆ” ปาวดีใช้มือขยุ้ม

                    จนร่างบอบบางขึ้นไปเกยทับตรึงร่างแข็งแรงของเขาไว้อย่างไม่รู้ตัว

                    “ไม่นะ ไม่ๆ” หมอวิทย์ร้องลั่น

                    “แล้วคุณรู้มั้ย  ลูกสุนัขตัวผู้เกือบทั้งหมดถึงจะมีร่างกายที่แข็งแรงกว่ามาก แต่เมื่อสู้กับตัวเมียกลับอ่อนปวกเปียก อย่างนี้ล่ะ นี่แนะๆๆ”

                    “ผมยอมแล้ว” หมอวิทย์เสียงหลง

                    เขายอมจำนน เพราะรู้สึกอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว ราวกับจะขาดใจ

                    ปาวดีขยุ้มจุดอ่อนของเขาจนหนำใจ ก็ผละออกถอยมายืนมองอย่างผู้กำชัยชนะ

                    “จำไว้อย่างมายุ่งกับฉันอีก แล้วรีบไปส่งฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้” หล่อนกรีดเสียงสั่ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×