ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พราวดาวดั่งฝัน

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 58


    ตอนที่   2           

    พราวดาวเข้าไปเรียนภาควิชาปฏิบัติได้อย่างสมใจหวัง ครั้งแรกที่ติดตามหมอนิธิไปกับหน่วยอาสาหล่อนรู้สึกตื่นเต้นมาก การออกไปปฏิบัตินอกมหาวิทยาลัยทำให้เห็นห้องเรียนที่กว้างกว่าห้องเรียนสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ในมหาวิทยาลัย 

                   หล่อนเห็นชีวิตวิถีของคนเลี้ยงโค กระบือ กลายเป็นสัตว์เลี้ยงไว้เพื่อขายไม่ต้องการใช้งานเหมือนสมัยก่อนอีกต่อไป  หลายครัวเรือนเลี้ยงไม่ต่ำกว่า 5 ตัว เสี่ยงต่อโรคระบาดที่มีเพิ่มขึ้นทุกขณะ   ทำให้หมอนิธิร่วมมือกับปศุสัตว์ของทางจังหวัดระดมสัตวแพทย์ นักศึกษาที่มีจิตอาสา และสัตวแพทย์ที่จบไปแล้ว ออกตรวจนอกพื้นที่ตามต่างจังหวัด

                  พราวดาวจะติดสอยห้อยตามหมอนิธิไปทุกหนทุกแห่ง   การสนทนาระหว่างหล่อนกับหมอนิธิก็หนีไม่พ้นพูดถึงกรณีการรักษาจากประสบการณ์ทำงานจริงที่พบเห็นของแต่ละวัน 

               ช่วงนี้ไม่ค่อยมีนักศึกษาสัตวแพทย์  เหลือหล่อนคนเดียวก็ว่าได้  ส่วนใหญ่ที่มาช่วยจะเป็นสัตวแพทย์รุ่นพี่ที่จบไปแล้วมากกว่า ซึ่งมีใจเป็นจิตอาสามักจะวนเวียนมาช่วยบ่อยๆ  หมอนิธิเคยบอก  ก่อนหน้านี้มีหลายรุ่นเมื่อเรียนรู้ประสบการณ์พอสมควรก็ห่างหายกันไป  

                   พราวดาวไม่ค่อยใส่ใจพวกเขาเท่าไหร่ หล่อนเอาแต่ก้มหน้าทำงานที่หมอนิธิมอบหมายไว้ให้ก็พอ   หล่อนอยู่ในหน่วยอาสามักทำตัวเหมือนไร้ตัวตน ไม่เป็นจุด ไม่ข้องแวะกับใคร และชอบแยกตัวออกจากผู้คนจนกลายเป็นนิสัยรักสันโดษ  

                    ตั้งแต่วัยเยาว์ความเจียมตัวทำให้หล่อนย่องกริบเข้าไปนั่งทำการบ้านเงียบๆในห้องนั่งเล่น  เพียงเพื่อต้องการอยู่ใกล้กับบิดาบุญธรรมเท่านั้น   หล่อนเติบโตขึ้นจึงเป็นหญิงสาวเงียบเหงา พูดน้อย ไม่มีเพื่อน ไม่เคยไปไหน  ขี้อายและไม่มีเสน่ห์ เหมือนเป็นกำแพงหนากั้น  จึงไม่มีใครพลัดหลงเข้ามาในแวดวงชีวิตของหล่อน  เว้นไว้บางคนไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ดูขวางหูขวางตาหล่อนไปหมด

                  สัตวแพทย์วาฬ  เกื้อวิริยะกุล    ชื่อนี้ทำไม พราวดาวต้องแวบคิดถึงเกือบทุกค่ำคืน   เขาเป็นรุ่นพี่ที่จบออกไปหลายปีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง  ทั้งเก่ง ทั้งรวย  ใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม    นาฬิกาหรู  ขับรถสปอร์ตราคาแพงลิบลิว   เหมือนจานมนุษย์ต่างดาวร่อนลงจอดอยู่กลางหมู่บ้านหลังภูเขา  

      พราวดาวยอมรับผู้คนส่วนใหญ่จะคิดถึงแต่ตนเองและแก่งแย่งเพื่อไปถึงเป้าหมายส่วนตัว  หมอวาฬก็เหมือนกับสัตวแพทย์คนอื่นๆ พวกเขาล้วนแต่มาช่วยหน่วยอาสาก็เพื่อต้องการหาความรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากหมอนิธิก็เท่านั้น  ซึ่งต่างจากพราวดาวมีแต่เหตุผลส่วนตัว  ทำเพื่อประทังชีพต่อลมหายใจไปวันๆ ก็แค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งต้องการความรักความอบอุ่นจากบิดาบุญธรรมโดยเลือกวิธีนี้ก็ไม่ผิดอะไร  เพราะทั้งคนทั้งสัตว์ก็ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น  

                 ทว่าหมอวาฬแทรกเข้ามาระหว่างหล่อนกับหมอนิธิ  เขามักเข้ามาช่วยเป็นลูกมืออยู่ข้างๆหมอนิธิทุกครั้ง ไม่ถึงเดือน  เขาก็เรียนรู้ประสบการณ์ได้อย่างรวดเร็ว จนได้รับความไว้วางใจจากหมอนิธิให้เป็นลูกมือคนสำคัญก็ว่าได้  จนระยะหลังๆไม่ว่าหล่อนจะทำอะไรก็ดูจะเกะกะขวางทางหมอนิธิไปหมด

      พราวดาวรู้สึกหงุดหงิดหัวฟัดเหวี่ยงไปชั่วขณะ  แต่ก็ต้องข่มความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้  ขืนเข้าไปแทรกก็กลายเป็นตัวยุ่งเปล่าๆ หล่อนต้องถอยห่างออกมาโดยปริยาย  ทำได้แต่ก้มหน้าเจียมเนื้อเจียมตัวคอยจัดเครื่องไม้เครื่องมือต่อไป                       

     ดูเหมือน  เขาจะมีเพื่อนสนิทติดตามมาด้วยคนหนึ่ง   ได้ยินเรียกชื่อกันว่าหมอวิทย์    เขาเคยเรียกพราวดาวมาช่วยเป็นลูกมืออยู่2-3 ครั้ง  ซึ่งเขามาในชายหนุ่มมาดใส ยิ้มแย้ม เข้าถึงง่าย และมีไมตรีจิตกว่านายมนุษย์ต่างดาวที่มาในมาดแย่ ทั้งนิ่ง เชิด หยิ่งไม่มีอะไรดึงดูดใจสักนิดเลย  

     ทั้งสองอยู่ช่วยหน่วยอาสาเกือบปี จนพราวดาวขึ้นปีที่ 5 ก็ได้ข่าวทั้งสองได้ทุนเรียนเฉพาะทางไปต่อต่างประเทศ   หล่อนคิดว่าขาดเขาไปก็ดีเหมือนกัน  งานในหน่วยอาสาก็ยังดำเนินต่อไปได้  ไม่หยุดชะงันซะหน่อย  แต่ทำไม  นายสัตวแพทย์วาฬ  เกื้อวิริยะกุล หรือชายหนุ่มมาดแย่  ชื่อนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในโสตประสาทของหล่อนอยู่เสมอ    เอาเป็นว่า เพื่อเห็นแก่พวกโค กระบือและสัตว์อื่นๆ ที่เข้าคิวรอการตรวจรักษาท่ามกลางแสงแดดจ้า หล่อนจะยอมไว้ให้คนเดียว

                 จริงๆ เด็กกำพร้าที่ขาดความรักความอบอุ่นอย่างหล่อนยากที่จะให้สิ่งนี้กับใคร  คิดง่ายๆ พราวดาวไม่เคยได้รับก็ไม่เคยมีให้ใคร  แม้แต่สัตว์ที่มารักษา  พราวดาวก็แค่สงสารชั่วครั้งชั่วคราว  กลับบ้านหมดหน้าที่ก็จบกัน   คล้ายๆกับวิถีชีวิตของคนเลี้ยงโค กระบือในสมัยนี้ แรก ๆ เลี้ยงก็รักสงสาร ประคบประหงบอย่างดี แต่เมื่อถึงเวลาขายได้ราคาดี ทั้งๆที่รู้ ว่า จะโดนเชือดก็ยังจะขายเหมือนส่งพวกมันไปตาย   พราวดาวกลับไปฉีดวัคซีนให้ครบตามกำหนดก็ไม่เห็นพวกมันหลายตัว เฮ้อ ความรักหมดอายุเสียแล้ว

               หมอวาฬล่ะ จะว่าอย่างไร เขาไปเรียนต่อ 2 ปีแล้ว ปานนี้น่าจะเรียนจบกลับมา พราวดาวกำลังเรียนอยู่ปีสุดท้ายก็ยังแวบคิดถึงเขาอยู่ดี  เอาเป็นว่า  แค่ชอบไม่ได้รัก น่าจะหมดอายุง่ายกว่าสัตว์พวกนั้นเสียอีก

               ความรักของพราวดาว  หากเปรียบกับสัตว์เหล่านั้น  จากประสบการณ์ที่ติดตามหมอนิธิไปช่วยรักษาอยู่เป็นประจำ ก็คงจะเปรียบความรักของหล่อนเหมือนช้าง  พวกมันตัวใหญ่ แต่มีจิตใจแออ่อน แสนรู้ รักเจ้าของ เจ้าของก็รักมัน และที่สำคัญอายุยืนยาวถึงร้อยปี   
                 หมอนิธิพาพราวดาวแวะเวียนไปดูอาการหลายครั้ง พวกมันก็ยังไม่ล้มหายตายจากไปไหน ดูๆไปคนเลี้ยงอาจจะชิงตายไปก่อนก็ว่าได้  ความรักจบลงแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน    แล้วความรักของหมอนิธิละ   รักหล่อนเหมือนลูกสาวในไส้คนหนึ่ง ไม่มีทางหมดรัก หากหมดรักก็ต่อเมื่อหมอนิธิ........

                    พราวดาวชะงันงัก ไม่อาจหาญคิดต่อ เปรียบเทียบอะไรบ้าๆบอๆ  

                  วันนี้พราวดาวไม่สบาย มีไข้รุ่มๆ หล่อนดื้อดึงจะตามไปช่วยงานให้ได้  แต่หมอนิธิกลัวไข้ขึ้น กำชับให้หยุดนอนพักผ่อนอยู่กับบ้าน  ซึ่งหล่อนไม่เคยนอนกลางวัน  ก็เลยนอนไม่หลับ  ช่วงบ่ายได้เรื่อง  ไข้ขึ้น  ต้องกินยาระงับไข้ก็ยังไม่ทุเลา หล่อนต้องลุกขึ้นมาเช็ดตัวเอง  อาการไข้ถึงได้ลดลง หล่อนจึงได้หลับเป็นตายจากบ่ายโมงไปจนถึงตีสอง  เมื่อได้หลับเต็มตาอาการไข้เกือบหายเป็นปกติ  แต่ก็ยังมีไข้รุ่มๆอยู่ 

                 พราวดาวลุกขึ้นจากเตียงเดินออกจากห้อง ลงบันไดมาชงโกโก้ร้อนในครัว  แล้วเดินไปนั่งจิบในห้องนั่งเล่นริมคลอง  หล่อนยังรู้สึกเพลียๆแต่ก็ยังดีกว่าตอนไข้ขึ้นใหม่ๆแทบแย่ 

                  จันทร์เจ้าเดินเข้ามาในห้อง  กระโดดขึ้นมานอนบนโซฟาโดยไม่ได้เชื้อเชิญ  มันเป็นแมวเพศผู้พันธุ์ไทยอายุเกือบสองปี  สีขาว หางยาว หมอนิธิเก็บมันมาเลี้ยงจากข้างถนนเมื่อ2-3เดือนก่อน จัดว่าเป็นพวกแมวจรจัด รักอิสระไม่ค่อยอยู่ติดบ้านในช่วงกลางวัน 

                   กว่ามันจะกลับก็ช่วงค่ำๆ  ซึ่งเป็นเวลาดวงจันทร์ส่องแสง พราวดาวก็เลยตั้งชื่อให้มันว่าจันทร์เจ้า   หล่อนไม่ค่อยจะชอบมันเท่าไหร่นัก เพราะมันจองหอง  เล่นตัว ขณะหล่อนอุตส่าห์คลุกข้าวให้มันกินเกือบทุกวัน  มันยังแว้งกัดกันได้เลย

                    พราวดาวรู้สึกหงุดหงิดผลักมันลงจากโซฟาลุกเดินไปยืนพิงริมหน้าต่าง  หล่อนชะเง้อมองไปที่โรงจอดรถ  และที่ประตูรั้วหน้าบ้านยังปิดนิ่งสงบ  ไม่มีวี่แววของหมอนิธิจะกลับมาเลย

                  ก่อนออกจากบ้าน หมอนิธิบอกและกำชับหล่อนว่าจะกลับช้าหน่อย ไม่ต้องคอย เพราะจะต้องแวะไปรับป้าพินที่สถานีหมอชิตก่อน เนื่องจากหลานสาวของแกป่วยเข้าโรงพยาบาล   ป้าพินขอลาไปดูแลหลานสาวที่ต่างจังหวัดหนึ่งอาทิตย์

               วันนี้ครบกำหนดกลับ  หมอนิธิขับรถกลับบ้านผ่านไปทางนั้นพอดี ก็จะแวะไปรับป้าพินกลับมาพร้อมกัน   

             พราวดาวเหลือบมองนาฬิกาทรงกลมแขวงบนผนังบอกเวลาเกือบตีสาม หล่อนเริ่มกระวนกระวาย ปานนี้ก็น่าจะถึงบ้านตั้งนานแล้ว

                    จู่ ๆ  เสียงโทรศัพท์บ้านก็แผดเสียงร้องขึ้น  พราวดาวแปลกใจ  เพราะไม่เคยให้เบอร์บ้านกับใคร และคนในบ้านนานๆจะใช้เบอร์นี้สักครั้ง หากมีกรณีที่ติดต่อมือถือใครไม่ได้ ก็จะโทรเข้าเบอร์บ้านแทน 

                 พราวดาวปล่อยให้เสียงดังอยู่ชั่วขณะ  เพราะมัวแต่งวยงง  ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู  หล่อนแทบช็อก เมื่อเสียงเจ้าหน้าจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งโทรมาบอกข่าวร้าย หมอนิธิกับป้าพินถูกรถสิบล้อหลับในชนบนทางด่วนเสียชีวิตทั้งคู่ทันที

                 พราวดาวเหมือนลมหายใจเฮือกสุดท้ายหลุดลอยออกจากร่าง

    งานศพหมอนิธิจัดขึ้นโดยทางมหาวิทยาลัยเป็นเจ้าภาพ  หมอนิธิเป็นลูกคนเดียวไม่มีญาติพี่น้อง  เมื่อลูกศิษย์ลูกหามาเคารพหน้าศพกันถ้วนหน้า  ทางเจ้าภาพเห็นสมควรแก่เวลาตั้งศพไว้ 5 วันก็ทำการฌาปนกิจ

                  อย่างที่คิดไว้ เมื่อความรักตายไป ทุกอย่างก็สิ้นสุดลง  

                 พราวดาวโศกเศร้าอย่างรุนแรงไม่กล้ายอมรับความจริง แม้แต่จะย่างกายเข้าไปในงานศพของบิดาบุญธรรม  หล่อนต้องหยุดเรียนสัตวแพทย์ปีสุดท้าย และไม่เคยคิดที่จะกลับไปเรียนต่อให้จบ   จากเด็กที่เติบโตมาอย่างความเงียบเหงาอยู่แล้ว  เมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้หล่อนกลายเป็นหญิงสาวเศร้าซึมหนักขึ้น

                สามเดือนผ่านไป  อาการโศกเศร้าบรรเทาลงบ้าง  สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้พราวดาวดีขึ้นก็เพราะจันทร์เจ้า หมอนิธิทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า   พราวดาวหันมาเอาอกเอาใจจันทร์เจ้าราวกับเจ้าชายน้อย หัวดื้อตัวหนึ่ง  บางครั้งมันก็แว้งกัด หล่อนก็ยังเอาใจใส่ ดูแล ให้ความรักมันเป็นอย่างดี   จันทร์เจ้าเริ่มเปลี่ยนนิสัยจากแมวจรจัดรักอิสระอยู่ไม่ติดบ้านกลายเป็นแมวที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน   ถึงแม้จันทร์เจ้าจะเปลี่ยนนิสัยแต่มันก็ยังแวบออกไปเที่ยวนอกบ้านตามภาษาแมวตัวผู้ที่เปล่าเปลี่ยวต้องการแมวตัวเมียเป็นบางครั้งบางคราว

                    พราวดาวบ่มอุบคอยจันทร์เจ้าอยู่ในห้องนั่งเล่นริมคลองเหมือนครั้งที่เคยรอหมอนิธิ  

                    ป่านนี้ จันทร์เจ้าทำไมยังไม่กลับ  หล่อนเริ่มวิตกกังวล ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  กลัวว่าจะซ้ำรอยเดิม 

                  หล่อนนึกเกลียดตัวเอง  ชอบนำไปผูกกับเรื่องราวในวันนั้น    หล่อนเดินตามหามันรอบบ้าน  ปกติแค่เรียกชื่อมัน  หรือร้องเหมียวๆ เดียวเดี๋ยวมันก็วิ่งพรวดเข้ามา   หล่อนตัดสินใจออกไปตามนอกบ้านเดินบนบาทวิถีขึ้นไปหน้าปากซอยผ่านโรงเรียนที่เคยเรียน 

                    แวบหนึ่งภาพในอดีตผุดขึ้น 

                   หมอนิธิเดินจูงมือหล่อนไปโรงเรียนตอนอยู่อนุบาล   เสียงเตือนของท่านยังดังก้องจนถึงทุกวันนี้   

                    “สุนัขจรจัดที่อาศัยอยู่กลางซอยมีเด็กเล็กๆเท่าหนูถูกพวกมันกัดเป็นประจำ หนูต้องไม่เดินไปแถวนั้น ถ้าโดนพวกมันกัดพ่อช่วยหนูไม่ได้หรอก เพราะพ่อไม่ได้อยู่ปกป้องหนูตลอดเวลา  สิ่งเดียวที่ช่วยหนูได้คือการเชื่อฟังและต้องปฏิบัติตาม  แล้วคำสอนของพ่อจะติดตามหนูไปทุกหนทุกแห่งเองจำไว้”

                   หล่อนน้ำตาคลอสะบัดภาพเก่าๆทิ้ง  จะพยายามคิดถึงแต่จันทร์เจ้า 

                 จันทร์เจ้าเป็นแมวฉลาดรู้ว่าสุนัขจรจัดกลางซอยเป็นเจ้าถิ่น มันไม่ทะเล่อทะล่าเข้าไปให้พวกมันฟัดง่ายๆ ถ้าจันทร์เจ้าพลัดหลงเข้าไปจริงๆ มันก็เอาตัวรอดได้ เพราะดุพอๆกัน แต่ถ้าใครแหลมเข้ามาถึงหน้าบ้าน ก็น่าดูเหมือนกัน

                   หล่อนเคยเห็นสุนัขจรจัดตัวใหญ่ตัวหนึ่งเดินกร่างเพ่นพ่านผ่านมา จันทร์เจ้าจำโจทย์เก่าได้แม่นย่ำ เคยฟัดกันมาก่อนหน้านี้แล้ว  มันปราดเข้าขย้ำคอกดไว้ ส่งเสียงขู่ฟ่อๆ ตะปบเล็บทั้งสองขาใส่หน้าอย่างรวดเร็ว สุนัขตัวนั้นดิ้นขลุกขลักๆกว่าจะหลุดออกได้ ก็โดนกรงเล็บจนเลือดอาบหน้า มิหนำใจ จันทร์เจ้าไล่ฟัดจนวิ่งหางจุกตุดกลับไปถิ่นของมันแทบไม่ทัน

                  หล่อนกลืนน้ำลายเอื๊อก ๆ  ตัดสินใจเขียนป้ายแขวนไว้หน้าบ้านว่า ระวังแมวดุ

                  พราวดาวคิดถึงเรื่องจันทร์เจ้าก็ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง  ทว่า  จันทร์เจ้าอาจมีเหตุจำเป็นติดแมวตัวเมียออกไปไกลถึงถนนใหญ่ที่มีรถพลุกพล่านล่ะ จะทำอย่างไรดี  ถึงมันจะฉลาด ปราดเปรื่อง คล่องแคล่ว  ว่องไว  ถึงอย่างนั้นก็ยังหลบรถไม่เป็นอยู่ดี 

                พราวดาวใจไม่อยู่กับล่องกับลอย   หล่อนเดินมาถึงปากซอยตรงหน้าโรงพยาบาลรักสัตว์ หล่อนมองป้ายเขียนบอกวันเวลาเปิดทำการวันแรก  หล่อนเพิ่งรู้ว่าสถานที่นี้เปิดใหม่ได้ไม่อีกวัน หล่อนเห็นแสงไฟจากภายในอาคารยังคงมีคนทำงานอยู่   

                    นาฬิกาแขวนผนังตรงหน้าเคาน์เตอร์บอกเวลาเกือบเที่ยงคืน

                    หล่อนลังเลอยู่ชั่วขณะ  ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไปตามหาจันทร์เจ้าริมถนนใหญ่ 

                  หล่อนเลี้ยวขวาอาศัยแสงสลัวจากหลอดไฟเสาไฟฟ้าเดินไปตามบาทวิถี ประมาณเกือบสองป้ายรถเมล์ก็เห็นเงาตะคุ่มอยู่ในระยะที่เห็นไม่ถนัด 

                  หล่อนก้าวเข้าไปใกล้เพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง  ก็ผงะ จันทร์เจ้านอนสลบไสลหายใจพะงาบๆอยู่พงหญ้าริมทาง  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×