ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พราวดาวดั่งฝัน

    ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ 13

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 58


    ตอนที่  13

    หลังจากมีปากเสียงกับเขา   พราวดาวก็เก็บเอามาฝันร้ายทั้งคืน    ในฝันหล่อนกอดเขาไว้แน่นราวกับกลัวเขาหนีจาก   เขากลั้นหายใจเมื่อหล่อนซบหน้ากับอกแข็งแรง   เขาพยายามจะผลักใส  หล่อนกลับยื้อยุดเขาไว้   เสียงเขากัดฟันดังกรอบแล้วตะปบไหล่หล่อนผลักออกอย่างแรง  หล่อนสะดุ้งตื่น เหงื่อซิกหายใจหอบแรง เมื่อล้มตัวลงนอนก็ทำให้หล่อนคิดถึงในวัยเด็กที่เคยฝันถึงหมอนิธิ

    ช่วงเวลาคอยหมอนิธิกลับบ้าน  หล่อนรอจนดึกผล็อยหลับไปเองในห้องนั่งเล่น    ในฝันเห็นหมอนิธิกลับมาแล้วกอดหล่อนไว้ ก่อนจะอุ้มขึ้นไปนอนในห้อง พอหัวถึงหนอนหล่อนก็สะดุ้งตื่นพบตัวเองในห้องมืดที่ว่างเปล่าอยู่ในห้องนั่งเล่นที่เดิม  หล่อนฝันคล้ายๆกันตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาว  ก็เพิ่งมาหยุดฝันก็หลังจากที่หมอนิธิเสียชีวิต เป็นเพราะจิตใต้สำนึกคงรู้ว่าหมอนิธิไม่มีวันหวนกลับมา หล่อนก็เลยไม่ฝันอีก  

    น่าแปลก  หมอวาฬเป็นผู้ชายคนที่สองเข้ามาเยี่ยมเยียนในความฝัน  จริง ๆ แล้วก็เริ่มฝันตั้งแต่เจอเขาอยู่ในหน่วยอาสา แต่พอห่างหายไปไม่เห็นหน้าก็ไม่ได้เก็บเอามาฝันอีก เพิ่งจะมาฝันก็กลางดึก ฝันร้ายเสียด้วย หล่อนเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี เมื่อรู้ว่าหลังจากนี้ไปหล่อนจะต้องคอยต้อนรับเขาในความฝันอีก

    พราวดาวแต่งตัวเสร็จ  ฝืนยิ้มให้กับตัวเองในกระจก   สำรวจตัวเองเห็นรอยคล้ำใต้ขอบตาเหมือนคนอดนอน  ก็อดนอนจริงๆคงไม่มีใครมองซอกแซก  เขาคงไม่รู้ว่าหล่อนฝันถึงเขา ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร เพราะไม่มีใครรู้สักหน่อย    หล่อนหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะก้าวออกจากห้อง           

    พราวดาวไปถึงโรงพยาบาลรักสัตว์แต่เช้า   ป้าเกษมกำลังไขกุญแจประตูบานกระจกเข้าไปในโรงพยาบาลรักสัตว์

    หล่อนยิ้มเก้อให้  เมื่อแกชักสีหน้าบึงตึง

                    “เมื่อวานยังดูเป็นมิตรอยู่แล้ว” พราวดาวเอ่ย

                    เพียงครู่เดียว หล่อนก็ไม่ใส่ใจในท่าทางของแก  แล้วเดินไปตามทางเดินของอาคารจนสุดทาง  เลี้ยวซ้ายเข้าอาคารที่เชื่อมต่อเป็นรูปตัวที  เดินลงบันไดตรงมุมห้องเก็บของที่สามารถเชื่อมต่อพื้นที่จัดสวนและเรือนคอกสัตว์ เรือนกรงนก 

                   หล่อนเดินเลียบไปตามริมรั้ว  ทางโรยกรวดแคบๆจนสุดทาง กลิ่นดอกโมกยามเช้าโชยสัมผัสจมูก  นกปรอดร้องส่งเสียงดัง   ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย  หล่อนยกนาฬิกาข้อมือดูเวลาก็พอมีเวลาเกือบชั่วโมงถึงจะได้เวลาทำงานปกติ

                    หล่อนตรงไปคอกสัตว์ริมสุด  น้องช้างเห็นพราวดาวก็จำได้แกว่งหางไปมา

                    หล่อนวางมือบนง่วงของมันแล้วเอ่ยขึ้น

                    “นายสบายดีใช่ไหม   นายรู้ไหม  นายมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีก3ตัวที่มาอยู่ที่นี่พร้อมกับนาย  จันทร์เจ้าหายแล้วฉันก็จะเอากลับบ้าน  จระเข้น้อยและตัวเงินตัวทองก็จะถูกปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ” หล่อนพูดเสียงเรียบ

                    ช้างน้อยส่ายหัวไปมาราวกับเข้าใจคำพูดของหล่อน

                    “ส่วนนาย ฉันยังไม่รู้เลยว่าหมอวาฬจะให้นายไปอยู่ที่ไหน”

                   “คุณไม่ต้องห่วงนะครับ  ผมติดต่อมูลนิธิช้างไว้แล้วครับ”  หมอวิทย์พูดเสียงดังมาจากทางเดินโรยกรวดใต้ต้นลีลาวลีดอกขาวบานสะพรั่ง

                    ผู้ชายรูปร่างสูงเกือบ180 เซนติเมตร ผิวขาว ไหล่กว้าง ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม สวมชุดกาวน์ปรากฏตัวขึ้น

                    เขาส่งยิ้มให้หล่อนอย่างอบอุ่นเดินเข้ามาหาน้องช้างเอื้อมมือไปลูบตัวมันอย่างน่าเอ็นดู

                 “นายก็ไม่ต้องห่วงเหมือนกัน ที่นั่นมีโรงเรียนฝึกช้าง นายต้องฝึกวาดรูปเก่งๆนะ จะได้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมเยอะๆ มูลนิธิจะได้เลี้ยงแกอย่างอิ่มหมีพีมันไม่ต้องออกมาเร่รอนข้างถนนอีก” เขาพูดราวกับสนิทสนมกับมัน

                    พราวดาวยิ้มอย่างเอ็นดูทั้งคนและช้าง

                    “สวัสดีครับ ผมหมอวิทย์ครับ” หมอวิทย์หันมาแนะนำตัว

                    “สวัสดีค่ะ ดิฉันพราวดาวค่ะ”

                    “ไอ้หมอวาฬ บอกผมแล้วว่าคุณจะมาทำงานกับโรงพยาบาลรักสัตว์ของเรา เสียดายเมื่อวานผมไปเขาใหญ่ ไม่ได้อยู่ต้อนรับคุณ”

                    “ไม่เป็นไรค่ะ  ดิฉันเป็นแค่พนักงานตำแหน่งเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้นเองค่ะ”

                    “ว่าที่สัตวแพทย์หญิง บุตรสาวคนเดียวของอาจารย์นิธิ พูนผล จะไม่สำคัญได้อย่างไรครับ”

                    “คุณทราบ”

                    “ครับ ผมจำคุณได้ด้วย เมื่อครั้งที่คุณติดตามอาจารย์หมอไปกับหน่วยอาสา”

                    “ค่ะ” พราวดาวตอบแล้วเงียบไป เบือนหน้าไปทางอื่นราวกับไม่ได้ยินคนข้างๆพูด

                    บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้น

                    หล่อนนิ่งไปชั่วขณะ

                    หมอวิทย์ก็พูดตัดบทขึ้น

                    “ครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกไม่ต้องเกรงใจนะครับ  ผมต้องไปก่อนครับ”

                    “เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณหมอ” พราวดาวเรียก “ขอบคุณนะคะ ที่ไม่ซักถามต่อ”

                    “ครับ ผมเชื่อว่าทุกคนมีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้นครับ ” หมอวิทย์บอกยิ้มให้กำลังจะหันหลัง

                    “เดี๋ยวก่อนค่ะ”   หล่อนเรียกอีกครั้ง

                    “ครับ” หมอวิทย์หันมาทำสีหน้างวยงง 

                    หล่อนหัวเราะเสียงใสในที่ท่าของเขา

                    “ฉันไปด้วยค่ะ” พราวดาวตอบ

                    “งั้น เชิญสุภาพสตรีก่อนเลยครับ” หมอวิทย์หัวเราะยิ้มกว้างพร้อมกับโค้งอย่างสุภาพ

                    พราวดาวเดินตามเขาไป ลมพัดหอบกลิ่นหอมละมุนของดอกลีลาวดีโชยมา  หมอวิทย์ทำให้หล่อนรู้สึกสบายใจขึ้น

         หมอวาฬเห็นทั้งคู่เดินคุยกันอย่างสนิทสนม  

                    เขายืนมองจากหน้าต่างในห้องทำงานในมือถือถ้วยกาแฟ สายตาจ้องเขม็งไปยังหญิงสาวหันไปคุยพลางผุดรอยยิ้มให้หมอวิทย์เป็นระยะๆ   เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที

                    “กับไอ้วิทย์ทำเป็นหน้าชื่นมื่น กับเราหน้าเง้าหน้างอ”  เขาบ่นขณะเสียงหัวเราะซิกๆของพราวดาวดังใกล้เข้ามา

                    หล่อนก้าวเข้ามาในห้อง หมอวิทย์ยืนซ้อนหลังอยู่

                    หมอวาฬสบตาหญิงสาวอย่างเคร่งขรึม 

                    บรรยากาศที่กำลังชื่นมื่นอยู่เมื่อครู่เงียบงันลง

                  “รู้จักกันแล้วสิ” หมอวาฬน้ำเสียงราบเรียบจนจับไม่ได้ว่าประชดประชัน

                    หมอวิทย์อมยิ้มมองอาการของเพื่อน

                 “เมื่อกี้ได้คุยกันเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ฉันสบายใจ  ว่า นายรับคนมาไม่ผิด”

                “คนรักสัตว์และมีประสบการณ์มาทั้งชีวิต  ยิ่งเป็นลูกสาวอาจารย์หมอหาได้ไม่ง่ายนัก  ฉันจึงรีบคว้าเอาไว้ก่อนที่งานสายอื่นจะแย่งไป”

                    พราวดาวก้มหน้านิ่ง   ไม่กล้าสบตา  เมื่อทุกคนรู้ว่าหล่อนเป็นใคร

                    “นี่ ถามจริงๆ นายจำคุณพราวดาวไม่ได้จริงๆเหรอ”

                    “ใครจะไปจำได้ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบอยู่หลังอาจารย์หมอ ไม่เคยเงยหน้าให้เห็นหน้าคาตากันเลยสักครั้ง” หมอวาฬพูดสีหน้านิ่งขรึม จ้องมองหล่อนที่เมินหน้าหนี

                    “งั้นหรือ ท่าทางนายจะโกรธ ที่คุณพราวดาวไม่บอกนาย”

                    “ใครจะโกรธได้  ยิ่งรู้ว่าเป็น  ว่าที่คุณหมอด้วย ฉันยิ่งยินดี”

                    หล่อนน้อยใจในทีท่าของหมอวาฬแล้วเอ่ยขึ้น

                   “ที่ไม่บอกคุณตั้งแต่แรก   เพราะฉันเห็นว่ามันไม่สำคัญค่ะ” หล่อนบอก

                    “คุณพราวดาว ทำไมคิดแบบนั้นละครับ” หมอวิทย์โพล่งถาม

                    “เพราะฉันจะทำงานนี้แค่ชั่วคราว”

                    “ลูกสาวอาจารย์หมอนิธิ พูนผลคิดได้แค่นี้เองหรือ”

                    “ท่านไปสบายแล้ว กรุณาอย่าดึงคุณพ่อเข้ามาเกี่ยวข้องนะคะ   ถ้าจะโทษก็โทษฉันคนเดียวก็พอค่ะ” หล่อนเน้นเสียง

                    “วาฬ ไม่เอาน่า ” หมอวิทย์ปรามเสียง

                    “ฉันแค่สงสารสัตว์”หมอวาฬทำเสียงเยาะ

                 “ฉันเชื่อว่ายังมีคนอุทิศตัวให้กับสัตว์ อย่างคุณหมอวิทย์ รวมทั้งคุณปาวดีด้วย”

                    “แต่ปาวดีทำเพื่อธุรกิจไม่ใช่อาสาอย่างพวกเรา” หมอวาฬ

                    “งั้นหรือค่ะ เมื่อวานฉันได้ยินว่าคุณจะไปคุยเรื่องนี้กับคุณพ่อของคุณปาวดีบ่ายนี้” พราวดาว

                    “เฮ้ย ไอ้หมอวาฬมันเรื่องอะไรกันวะ ” หมอวิทย์ถาม

                    “ฉันก็แค่ตัดรำคาญไป นายก็รู้จุดยืนของฉันดีอยู่แล้ว” หมอวาฬ

                    “แค่ว่าตำแหน่งที่ปรึกษา คงไม่กระทบถึงโรงพยาบาลรักสัตว์หรอกค่ะ”  พราวดาวทำเสียงเยาะพลางยักไหล่

                    “นายน่าจะปฏิเสธไปเลยดีกว่า”หมอวิทย์

                    “ฉันว่า การที่เราไปคุยกับทางนั้น น่าจะมีผลดีมากกว่าผลเสียนะ”

                    “ฉันชักสงสารสัตว์ผู้ยากไร้แล้วสิ”  พราวดาวพูดกระทบ

                    “นี่ คุณอย่าชักใบให้เรือเสียสิ”

                    “ก็จริงนี่ค่ะ ฉันยังไม่เห็นผลดีอะไรเลย นอกจากเงิน” หล่อนเถียง

                    “นี่ คุณไม่รู้อะไรอยากพูดดีกว่า”

                    “อ้อ ฉันลืมไป คุณปาวดีก็จะเป็นว่าที่ภรรยาในอนาคต คนนอกอย่างฉันไม่ควรเข้าไปยุ่ง”

                    “ฉันกับปาวดีเป็นแค่เพื่อนร่วมมหาลัยเดียวกัน ผมก็บอกคุณหลายครั้งแล้ว”

                    หมอวิทย์มองทั้งสองสลับกันราวกับดูเทนนิสแมตสุดท้าย

                    จู่ ๆ พี่ช้างก็อุ้มสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล หูยาวปรกลง สีน้ำตาลเพศเมียตัวหนึ่งเข้ามาวางแหมะบนโต๊ะ

                    ทุกคนยืนมองหน้าเหวอ

                    “นายคนเดียวรับมือไหวนะ ฉันขอไปตรวจสัตว์ตัวอื่นก่อนละ” หมอวิทย์พูดไม่ลืมหันมาบอกพราวดาว

                    “ผมขอตัวก่อนนะครับ” หมอวิทย์บอกก่อนเดินผละไป

             

                 ป้าเกษมแอบฟังทั้งสองทะเลาะกันก็โทรฯไปรายงานปาวดีแบบตีไข่ใส่สี

                “ที่แท้ นังนั่นก็เป็นลูกสาวของอาจารย์หมอนิธิ พูนผล ถึงว่าดูคล่องแคล่วเหมือนมีประสบการณ์มาก่อน  แล้วไงต่อป้า”

                    “ที่สำคัญกว่านั้น  นังพราวดาวไม่เห็นด้วยกับการที่คุณหมอวาฬจะไปเป็นที่ปรึกษาให้กับคุณพ่อของคุณ”

                    “อะไรนะ มันถือดีอย่างงั้นเชียวหรือ”

                    “คุณต้องรีบมาจัดการนะคะ”

                ปาวดีโกรธจัดกดสายทิ้งแล้วรีบแจ้นมาหาหมอวาฬที่โรงพยาบาลรักสัตว์ก่อนเวลานัดหมายทันควัน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×