ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พราวดาวดั่งฝัน

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 10

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 58


    ตอนที่  10 

    พราวดาวเดินไปตามทางเดินของโรงพยาบาลรักสัตว์     ซึ่งเป็นอาคารชั้นเดียวรูปทรงตัวที ด้านหน้าเป็นมุกกว้าง15เมตร ยาวราวๆ30เมตร  มีทางเดินตรงกลางเชื่อมต่อกับอาคารด้านหลังที่แยกออกเป็น2ทาง ความกว้างเท่ากับด้านหน้า แต่ความยาวจะยาวกว่า   มีห้องทุกช่วงทั้งสองข้าง หน้าต่างติดเพดานปลอดโปร่ง หน้าห้องมีป้ายติดชื่อสัตว์ที่มาพักรักษา อาคารหลังนี้น่าจะเป็นอาคารเก่าแก่ที่ถูกดัดแปลงตกแต่งใหม่ให้เป็นโรงพยาบาล    

                    พราวดาวเห็นอาคารหลังนี้ที่ยังไม่ได้ปรับปรุงมาตั้งแต่เด็ก  หล่อนได้ยินมาว่าเป็นของผู้ดีเก่า  ที่ดินและบ้านเช่าตลอดทั้งซอยก็เป็นของเขาทั้งหมด  ยกเว้นบ้านของหล่อนหลังเดียวที่ไม่ใช่ของคนอื่น  หล่อนสอดสายตามองเข้าไปทุกห้องเมื่อเดินผ่าน ผู้ชายสองคนสวมเสื้อกาวน์ กระเป๋าปักตัวหนังสือ โลโก้ของโรงพยาบาลรักสัตว์เดินผ่านมาพอดี   

    พี่มดรูปร่างอ้วนส่งยิ้มจุ๋มจิ๋มอดฟันซี่เล็กให้หล่อน   ส่วนคนผอมหล่อนเคยเจอแต่ไม่เคยทักทายกัน หล่อนเดาว่าน่าจะเป็นพี่ช้าง

                    “น้องพราวดาว ใช่ไหมครับ” คนผอมเอ่ยขึ้น

                    “ใช่ค่ะ พี่คงเป็นพี่ช้างใช่ไหมคะ”

                    “ใช่ครับ” คนผอมตอบยิ้มกว้างอดฟันขาว

        “ต้องขอโทษด้วยเมื่อวานไม่ได้ทักทายกัน”

        “ไม่เป็นไรเลยครับ อย่าคิดมาก”

                    “เมื่อวาน คุณหมอวาฬเปรยให้ฟังว่าฉกพวกพี่มาจากหน่วยกู้ชีพ มูลนิธิที่ไหนสักแห่งหนึ่งใช่ไหมค่ะ”พราวดาวถาม

                    “แหม น้องพราวดาวฉกที่ไหนกันเล่า พี่ทั้งสองเต็มใจหนีตามมาต่างหากครับ” พี่ช้างพูดปนเสียงหัวเราะ

                    “พี่ว่า น้องพราวดาว รีบไปเถอะ พี่เห็นคุณหมอวาฬถามหาตั้งแต่เช้าแล้วครับ” พี่มด

                    “งั้นเดินตามพวกพี่มาเลยครับ”

    พราวดาวเดินตามทั้งสองไปจนสุดทาง  เมื่อไปถึงห้องสุดท้ายด้านซ้ายมือ  หล่อนก็เห็นหมอวาฬกำลังฉีดยาปฏีชีวนะให้กับจระเข้น้อยที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง แล้วหันไปสั่งให้พี่ช้างกับพี่มดช่วยกันอุ้มไปไว้ในบ่อพักฟื้น

                    พราวดาวเห็นตัวเงินตัวทองอยู่ในกรง  หล่อนเดินเข้าไป  มันเอียงคอมองแลบลิ้นแผล็บๆ

                    “มันไม่เป็นอะไรมาก ให้อาหารอีก2-3วันก็ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติได้แล้วครับ”

                    หมอวาฬพูดก่อนจะเดินไปห้องถัดไป 

                    จันทร์เจ้านอนตาปรอยอยู่ในกรง หายใจปกติดีกว่าเมื่อวาน

                    “จันทร์เจ้าของคุณตัวยังอุ่นๆให้นอนพักสัก2วันก็น่าจะกลับบ้านได้” หมอวาฬบอกหันไปเปิดก๊อกน้ำล้างมือในอ่างสแตนเลส หล่อนยืนฟังอยู่ข้างๆเจ้าจันทร์

                    “โธ่ จันทร์เจ้าจะหายแล้วนะ” พราวดาวน้ำตาคลอไม่รู้ตัว

                    จันทร์เจ้าส่งเสียงเหมียว ๆ

                    “อ้าว อย่ามัวแต่น้ำตาซึม คุณยังมีอะไรทำอีกตั้งเยอะ”เขาพูดเสียงดัง

                    หล่อนสะดุ้งรีบใช้หลังมือปาดน้ำตา

                    “ตามผมมา” เขาสั่งแล้วส่งเสื้อกาวน์ตัวใหม่เอี่ยมให้

                    หมอวาฬเดินนำหน้าหล่อนออกมาตามทางเดิน  แล้วมาเจอ พี่ช้าง พี่มดพอดีก็เลยตามมาสมทบด้วยอีก

                    เขาพาลงบันไดที่เชื่อมต่อกับบริเวณพื้นที่จัดสวนเกือบ3ไร่  ปลูกต้นไม้นานาชนิด มีบ่อน้ำพูพวยพุ่ง มีม้านั่งยาวตามมุมสบายใต้ต้นไม้ที่มีดอกสีชมพู  ล้อมรั้งด้วยต้นโมกเขียวขจีหนาทึบส่งกลิ่นหอมฟุ้งจรุงใจจากดอกสีขาวช่อเล็กงดงามไปจนถึงด้านหน้า

                    ส่วนด้านหลังจะเป็นรั้วคอนกรีตสูง3เมตร  มีต้นจามจุรีใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุก หากไม่สังเกตดีๆ มองจากด้านหน้าจะไม่เห็นเรือนไม้คอกสัตว์เปิดโล่ง หลังคาจั่วทาสีครีม แบ่งเป็น10ล็อค เป็นแถวยาวตามรั่ว  แบ่งเป็นล็อคสัตว์ใหญ่5ล็อค  และทำเป็นเรือนลูกกรงสำหรับฟื้นฟูนกอีก 5 ล็อค

                    “นกพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นนกพิราบ  ได้รับบาดเจ็บจากการบินชนกระจกอาคารสูง ซึ่งก็เป็นปัญหาของเมืองใหญ่  เมื่อได้รับการรักษาหายแล้ว นกทุกตัวก็จะได้รับการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติเหมือนสัตว์ทุกตัว แต่ถ้านกตัวไหนปีกหักจนบินไม่ได้เราก็ต้องคอยเลี้ยงดูมันต่อไป”   หมอวาฬอธิบายสีหน้าขรึม                 

    พราวดาวยืนเกาะลูกกรงดวงตาสลด 

                    พวกมันทำตาปริบๆ มีนกพิราบปีกหักหลายตัว 

                    บางตัวตกลงไปในน้ำที่มีสารพิษจนขนสีขาวกลายเป็นดำ

                    ตัวไหนเจอสารพิษที่มีฤทธิ์แรงกว่า ขนจะหลุดร่อนเห็นผิวหนังแดงทั้งตัว

                    พวกเราเมื่อเดินมาหยุดอยู่เรือนคอกสัตว์ ดวงตาเริ่มมีประกาย 

                    พราวดาวเห็นน้องช้างที่ช่วยไว้เมื่อคืนยืนแกว่งหางไปมาอยู่ในเรือนพักฟื้นล็อคสุดท้าย

                    “คนสุดท้ายที่จะแนะนำให้รู้จักคือลุงไก่มีหน้าที่ดูแลสวนและให้อาหารสัตว์ทุกตัว ”

                  ลุงไก่อายุราวหกสิบ ผอม ใบหน้าตอบ ผิวคล้ำส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร หล่อนยิ้มตอบแล้วเดินเข้าไปลูบหัวช้างน้อยก่อนเอ่ยขึ้น

                    “อาการของน้องช้างเป็นไงบ้าง”    

                    “มันดีขึ้นแล้วครับ อารมณ์ดี ได้กินกล้วยไปหลายหวี”  ลุงไก่พูด

                    “เมื่อคืนน้องช้างน่าสงสารมาก ลุง”

                    “คุณก็เลยช่วยล้วงเอาห่อยานรกออกมาให้มัน คนสมัยนี้จิตใจทำด้วยอะไร ช้างยังเด็กอยู่เลย ถ้าไม่ได้คุณช่วย    ห่อยาอาจจะแตกในท้องก็ได้  คุณหนูพราวดาวสุดยอดจริงๆ” ลุงไก่พูดแถบยังยกนิ้วให้อีก

                    เสียงหัวเราะของพี่ช้าง พี่มดที่กลั้นไว้ไม่อยู่ดังแทรกขึ้น

                    พราวดาวหน้าเจื่อน  กระดากอายเมื่อทุกคนรู้เรื่องกันหมด

                    หล่อนเหลือบมองคาดโทษหมอวาฬไว้  ทำทีเป็นก้มหน้ากลั้วหัวเราะไปด้วยอีกคน

                    เมื่อทุกคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง  

                    พราวดาวเดินตามเขาเข้ามาในห้องพักที่โรงพยาบาลรักสัตว์

                    “แล้วหน้าที่หลักของฉันละคะ” พราวดาวถามขึ้น

                    “คุณก็เป็นผู้ช่วยผม คอยออกนอกสถานเมื่อได้รับแจ้ง ” หมอวาฬพูด

                    ขณะที่ป้าเกษมสอดสายตาจ้องจับผิดเพื่อจะเอาไปรายงานปาวดี  แกแสร้งทำเป็นเช็ดโต๊ะทำงานให้หมอวาฬแต่ก็คอยเอี้ยวหูฟังการสนทนาของทั้งคู่ตลอดเวลา

                  ปาวดีเดินเข้ามาในห้องพักแพทย์ของโรงพยาบาลรักสัตว์  หล่อนมองหาหมอวิทย์ตัวแสบ เจออีกที่จะขู่สักฟ่อให้หงอยไปเลย จะได้เริ่มยุ่งกับหล่อน  เมื่อไม่เห็นแม้เงาก็รู้สึกโล่งใจไปอีกอย่าง     

                    เสียงโทรฯสายด่วนกรีดเสียงดังขึ้น 

                    หมอวาฬรับสาย รอฟังเสียงต้นสายเพียงชั่วครู่

                    “วัวท้องสาวตกท่อ”เขาพูดขึ้น 

                    พราวดาวยืนอยู่ห่างๆขยับเข้ามาใกล้อย่างลืมตัว

                    “ทำเป็นตื่นเต้น แค่วัวท้องของชาวบ้านตกท่อ ไม่ใช่เมียตัวเองสักหน่อย” ปาวดีพึมพำชักสีหน้าใส่

                    “ที่ไหนครับ พุทธมณฑลสายสี่ ครับๆ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี่ครับ” หมอวาฬตอบวางสายแล้วหันมาบอก

                    “คุณพราวดาวมีคนแจ้งเข้ามาว่ามีวัวท้องตกท่อได้รับบาดเจ็บ ”

                    “ค่ะ ฉันพร้อมแล้วค่ะ”

                    “ดี  งั้นตามผมมา”เขาบอกขณะคว้ากระเป๋าเป้ที่พิงไว้หลังเก้าอี้ขึ้นมาพาดบ่า

                    “แล้วฉันล่ะ วาฬ” ปาวดีหน้าหวอ

                    หล่อนมองสองคนนั้นผลักประตูออกไป  

                    ป้าเกษมแอบฟังอยู่ก่อนหน้านี้  โผล่หน้าออกมาจากผนัง

                    “คุณวดี ตามคุณหมอไปสิ”

                    “ตามไปทำไม ร้อนก็ร้อน แถบอาจจะเจอขี้วัวอีก ยี๊” ปาวดีทำเสียงขึ้นจมูก

                    “ร้อนก็ต้องทน คุณปล่อยเขาไปกันตามลำพังได้ไงค่ะ  นังพราวดาวก็ทำคะแนนนำหน้าคุณไปก่อนสิค่ะ”

                    “เรื่องไร ฉันไม่ยอมหรอก” ปาวดีตาลุก

                    หล่อนมองผ่านประตูกระจกเห็นหมอวาฬสาวเท้ายาวๆไปที่รถโดยมีพราวดาวตามไปติดๆ

                    เท่านั้นแหละ 

                    หล่อนถึงได้รีบแจ้นตามไปฉับพลัน

                    พราวดาวเปิดประตูข้างคนขับกำลังก้าวขึ้นรถจี้ปหรู

                    “หลบไป” ปาวดีโพล่งขึ้นก่อนจะแทรกตัวเข้าไปนั่งข้างคนขับอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

                    พราวดาวถอนใจแล้วหันไปเปิดประตูขึ้นไปนั่งเบาะหลังด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

                    “คุณจะตามมาทำไม” หมอวาฬถาม

                    “วันนี้ฉันอารมณ์ดี อยากจะไปช่วยคุณ แล้วก็อยากจะไปช่วยตรวจสอบพนักงานใหม่ของคุณด้วยว่ามีคุณสมบัติเหมาะจะมาเป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์มือหนึ่งอย่างคุณได้หรือเปล่าค่ะ” ปาวดีตอบแล้วหันมาส่งสายตาเย้ยหยันอย่างผู้กำชัยชนะ

                    “เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับคุณ”

                    “เกี่ยวสิค่ะ แล้ววดีก็อยากไปด้วย เราจะได้ทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้นไงค่ะ”ปาวดีย่ำ

                “งั้น คุณไปสวมชุดกาวน์ของโรงพยาบาลก่อน ผมจะรอ” เขาบอกมองชุดกางเกงสีฉูดฉาดของหล่อน

                  “ไม่ค่ะ วดีกลัววาฬไม่รอ  ขับหนีไปก่อน วดีจะทำไง ไปเถอะค่ะ นะคะๆ” หล่อนทำเสียงออดอ้อนเกาะแขนติดหนึกไม่ยอมปล่อย

                    เขาทนฟังไม่ไหวจึงขับรถออกไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×