ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พราวดาวดั่งฝัน

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 9

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 58


    ตอนที่....9  

    ณ  โรงพยาบาลเสริมราษฎร์  รอยแกะสลักตัวอักษรสีทองป้ายชื่อโรงพยาบาลเสริมราษฎร์บนแผ่นหินอ่อนในย่านธุรกิจแห่งหนึ่งของเมืองหลวง  รถพลุกพล่านขับวนรอบวงเวียนน้ำพุสลับกันเข้า-ออกหน้าบริเวณอาคารสูง 20 ชั้น  ซึ่งทั้งภายนอกและภายในตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่าเพื่อให้สมฐานะของผู้ป่วยกระเป๋าหนักและอำนายความสะดวกสบายให้กับคนไทยและคนต่างชาติ

    ห้องผู้บริหารชั้นที่ 10 ของนายปรีชา  ประธานใหญ่  โต๊ะทำงานไม้มันขลับ  และมุมรับแขกหันหน้าไปทางผนังกระจกมองเห็นทิวทัศน์รอบเมือง 

                       ปาวดีลูกสาวคนเดียวของประธานใหญ่ และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ด้วย  หล่อนกำลังปรึกษาหารือเรื่องการจัดหาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพสูงมาช่วยงานบริหารแผนกรักษาสัตว์  เพื่อต้องการปรับปรุงให้ทัดเทียบกับโรงพยาบาลอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ  

                     ปาวดีนั่งไขว่ห้างบนโซฟาหนังสีดำขลับสไตร์คลาสสิคหรู   หวนนึกถึงหน้าหมอวิทย์ตัวแสบขณะขับรถกลับพาหล่อนมาส่ง    เขาโดนหล่อนแกล้งดูหวาดๆไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ค่อยระแวงว่าหล่อนจะขยับเข้ามาถูกเนื้อต้องตัวเขาอีก   ก่อนลงจากรถหล่อนยังข่มขู่ หากอาจหาญมาทำกับหล่อนอีก ครั้งต่อไปจะจัดหนักให้มากกว่านี้หลายเท่า

                   หมอวิทย์บ่นว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญที่สุด เขาโกรธจนหน้าแดงจัดตะเพิดไล่หล่อนลงจากรถแทบไม่ทัน ก่อนจะบึ่งรถหนีไปทันควัน  ปาวดียิ้มกระหยิ่มใจ แล้วเปลี่ยนสีหน้ากร้าว เมื่อคิดถึงคำพูดของหมอวาฬที่ปฏิเสธหล่อนอย่างไม่มีเยื่อใย   สายตาเขามองพราวดาวลึกซึ้งเกินกว่านายจ้างมองลูกจ้าง

                       “มีอะไรหรือเปล่าลูก วันนี้ดูลูกแปลกๆ” ปรีชาผู้เป็นบิดาถามขึ้น

                       หล่อนสลัดชื่อพราวดาวออกจากความคิด แล้วรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

                    “เจ็บใจจริงๆ วาฬไม่สนใจจะมาร่วมงานกับเราเลยค่ะปาวดีเน้นเสียง

                    “โรงพยาบาลรักสัตว์ของเขาเพิ่งเปิด พ่อว่าให้เวลาเขาหน่อยก็ดีเหมือนกันนะปรีชาตอบนั่งพิงพนักในท่าสบายพลางยกถ้วยกาแฟลายทองขึ้นมาจิบ

                    “แต่โรงพยาบาลเล็กๆอย่างนั้น เครื่องไม้เครื่องมือก็ยังไม่พอ สู้เอาสมองมาบริหารโรงพยาบาลใหญ่ๆที่เปิดครบวงจรจะมีประโยชน์กว่านะคะ”

                    “ใช่ สัตวแพทย์หนุ่ม  อนาคตไกล  มีดีกรีเกียรตินิยมทั้งมหาวิทยาลัยในประเทศและต่างประเทศ และเมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งได้รับรางวัลพิทักษ์สัตว์ระดับนานาชาติ โรงพยาบาลที่ไหนก็สนใจกันทั้งนั้น”

                    “หนูก็คิดอย่างนั้นค่ะ หากไม่รีบคว้าวาฬไว้ก่อน  หนูเกรงว่าโรงพยาบาลอื่นที่เป็นคู่แข่งของเราก็อาจจะแย่งตัวเขาไปได้ค่ะ” หล่อนพูดขณะลุกขึ้นเดินอ้อมไปด้านหลังของบิดาพร้อมกับใช้มือบีบนวดบนไหล่เบาๆ

                       “แน่นอนอยู่แล้ว” ปรีชายิ้มกริ่ม

                    ”ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้วนอกจากเขาคนเดียวปาวดีตอบน้ำเสียงประจบประแจพร้อมกับเพิ่มน้ำหนักมือบีบแรงกว่าเดิม  

                “พ่อว่า ลูกลองเปลี่ยนแผนให้เขามาเป็นแค่ที่ปรึกษาไม่ต้องให้เขาทำเต็มตัว น่าจะง่ายกว่านะลูก”

                “จริงด้วยค่ะ ทำไม หนูคิดไม่ถึงเลยค่ะ   คิดแต่ว่าจะเอาตัวเขามาให้ได้   ถ้างั้น ลูกจะไปเจรจากับเขาใหม่ หนูจะเสนอผลประโยชน์ให้เขาอย่างงาม ถ้าสำเร็จ   รับรองหมอวาฬนี่แหละจะดึงรายได้และสร้างชื่อเสียงให้กับโรงพยาบาลของเรามากขึ้นปาวดีมั่นอกมั่นใจ

                       “อย่าเพิ่งกระโตกกระตาก คนระดับนี้คุยเรื่องเงินเห็นทีจะยาก”

                       “แล้วจะให้หนูทำอย่างไรคะ”

                       “พาหมอวาฬมาคุยกับพ่อเองดีกว่า”ปรีชายิ้มกระหยิ่งด้วยสายตาแน่วแน่

                ขณะนั้น  นกพิราบสีขาวตัวหนึ่งบินเข้ามาทางหน้าต่างบานกระจกที่ปาวดีตั้งใจเปิดทิ้งไว้ช่องหนึ่ง   นกร่อนลงบนโต๊ะทำงาน  หล่อนก็ลืมเรื่องเคร่งเครียดที่คุยกันเมื่อครู่ ละมือจากการบีบนวดให้ปรีชา เดินยิ้มร่าผละไปหาทันที

              “เจ้าวิหค วันนี้มาช้าจัง”หล่อนเรียกชื่อนกที่เป็นคนตั้งให้  “ฉันรอแกตั้งนาน สงสัยแอบหนีไปเที่ยวแน่ๆ” หล่อนพูดพร้อมกับเทเมล็ดทานตะวันกะเทาะเปลือกลงบนฝามือและยื่นให้  เจ้าวิหคก้มลงจิกอย่างคุ้นเคย 

      เมื่อสองเดือนก่อน  วิหคบินหลงเข้ามาในอาคาร  มันบินวนเวียนไปมาเพื่อหาทางออกอยู่นาน  จนกระทั้งบินมาหมดแรงตรงริมหน้าต่างบานกระจกใกล้โต๊ะทำงานพอดี  หล่อนป้อนน้ำ ป้อนอาหารจนวิหคแข็งแรงขึ้น ก็ปล่อยมันไป   หล่อนทอดสายตามองนกพิราบขาวตัวนั้นอย่างมีความสุข  เมื่อเห็นมันมีอิสระที่จะบินไปไหนมาไหนก็ได้ตามที่ต้องการ หล่อนปล่อยนกไปแล้วก็รู้สึกใจหายอดคิดถึงมันไม่ได้

    ทว่าสองวันต่อมา นกตัวนั้นก็บินมาติดกระจกหน้าต่างบานเดิมที่ปล่อยมันไป  เวลานี้ถูกปิดไว้  มันใช้ปากจิกเหมือนแคะให้ได้ยิน  หล่อนหันไปมองและรีบไปเปิดให้ทันที   มันบินเข้ามาเกาะบนโต๊ะ เอียงคอมองชั่วครู่ ก่อนจะบินลงไปจิกพรมตรงที่หล่อนเคยใส่เมล็ดทานตะวันในชามรองกาแฟให้กิน   มันจิกหาอะไรสักอย่างจนพรมซุย  หล่อนถึงรู้ว่ามันเข้ามาหาอาหาร นับจากวันนั้นจนวันนี้ วิหคพิราบขาวก็บินเข้ามาเยี่ยมเยือนทุกวัน

                ปรีชาส่ายหน้ามองอาการของบุตรสาวอย่างน่าเป็นห่วงที่ทำเสียงจิบจับๆเหมือนคุยกันรู้เรื่องกับเจ้าวิหค  

    แสงแดดรับอรุณส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเป็นลำแสงอ่อน  เสียงนกแจ้วๆช่วยปลุกพราวดาวที่นอนหลับสบายทั้งคืนให้ลุกขึ้นรับอากาศสดชื่นยามเช้า  พราวดาวหันไปมองนาฬิกาแขวงทรงกลมบนผนังบอกเวลาหกโมงครึ่ง  หล่อนลุกจากเตียงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้านำเสื้อผ้าที่ต้องการใส่ออกมาวางไว้บนเตียง ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำและรีบอาบน้ำอย่างรวดเร็ว 

                   พราวดาวเช็ดตัวอย่างลวกๆ ทาโลชั่นกลิ่นอ่อนๆทั่วเรือนร่าง หยิบชุดชั้นในมาสวม สวมทับด้วยกางเกงยีน เสื้อกล้ามสีขาวและเสื้อยีนเข้ารูปหันมายิ้มให้ตัวเองในกระจกและลงมือแต่งหน้าโทนอ่อนเน้นสีธรรมชาติ เพราะทำงานกับสัตว์ไม่ต้องพิถีพิถัน  ไม่เหมือนแต่งตัวไปสมัครงาน ต้องเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว  หล่อนต้องตื่นเช้าเพื่อมานั่งเมคอัพและต้องใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะเฉิดฉายออกสู้โลกภายนอก 

                 พราวดาวยังพอมีเวลาเหลือเฟือเดินลงบันไดมาชั้นล่างเข้าไปในครัวเอื้อมมือไปปิดหน้าต่างก่อนจะหันมาเสียบปลั๊กน้ำร้อนบนโต๊ะ  หล่อนเปิดตู้เย็นชะงักงันหันไปมองรอบๆสำรวจว่ามีอะไรแอบแฝงเข้าในครัวอีก 

                 หล่อนถอนใจอย่างโล่งอกแล้วเอื้อมมือไปหยิบโยเกิร์ตรสธรรมชาติตักใส่ถ้วย ใส่ข้าวโอ๊ต 2 ช้อนพูน โรยหน้าด้วยลูกเกดสีเข็ม  ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะรับประทานอาหารขนาดเล็กริมหน้าต่าง 

                  หล่อนทานอาหารเช้าอย่างเอร็ดอร่อย ตามด้วยกาแฟหนึ่งถ้วย

                บรรยากาศปลอดโปร่ง สีสันการตกแต่งภายในครัวเน้นวัสดุไม้เนื้อดีเลือกทาสีฟ้าอ่อนสดใสสไตล์วินเทจ  เคาน์เตอร์เข้ารูปเหมาะกับพื้นทีสีเหลี่ยมผืนผ้า  ใต้ตู้เก็บของติดผนังบุกระเบื้องโมเสคสีสดใส  ผนังไม้ด้านหนึ่งทาสีฟ้ามีรูปวาดลายเส้นภาพดอกไม้ติดกลางผนัง

               พราวดาวเปลี่ยนบรรยากาศเดินไปที่ห้องรับแขกเปิดตู้เก็บของหยิบรูปบิดาบุญธรรมออกมาแล้วเดินไปพิงหน้าต่างเพ่งพินิจดูเพียงชั่วขณะก่อนจะกอดกรอบรูปไว้แนบอกทอดอารมณ์มองออกไปสนามหญ้าเล็กๆที่ตกแต่งด้วยไม้ดอกนานาพันธุ์ กลิ่นดอกเล็บมือนางช่อสีชมพูสดโชยเข้าแตะจมูก รู้สึกสบายใจขึ้น  

                เมื่อคืนหล่อนหวนคิดถึงเรื่องของเขาในอดีต   หมอวาฬเปรียบเป็นเงาของหมอนิธิก็ว่าได้ ซึ่งยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของหล่อนตลอดเวลาในช่วงนั้น เขาล้อมกรอบด้วยความเงียบงัน  สุขุม และมาดมั่น  มองหล่อนด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับไร้ตัวตน   เขาแทรกเข้ามาแย่งความสนใจจากหมอนิธิไปจากหล่อน  กลายเป็นหมาหัวเน่าก็ว่าได้  แต่ก็แปลกทั้งๆที่โดนแย่งหล่อนก็ยังแอบซุกซ่อนเขาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ   

            ทว่าเมื่อวาน  เขาทำให้วันวานคุกรุ่นขึ้นมาใหม่ อ้อมกอดของเขาที่ปกป้องหล่อนไว้จากปาวดี  หล่อนรู้สึกวาบหวิว ใจเต้นระรัวชอบกล  แต่ในขณะที่เขาเองก็ต้องการหล่อนไปร่วมงานด้วย หล่อนพยายามใจแข็งไม่ตอบตกลง เขากลับใช้สายตาอ้อนวอน พูดจาหว่านล้อมด้วยน้ำเสียงนุ่มหู ราวกับรู้จุดอ่อนของผู้ต่อสู้แล้วจู่โจมทันควัน หล่อนก็พ่ายแพ้ตอบตกลงทำงานกับเขาอย่างง่ายดาย  ซึ่งต่างจากอดีตดูเขาเย่อหยิ่งถือตัวและหมางเมิน  ถึงกระนั้นก็เถอะ  หล่อนก็ยากที่จะปฏิเสธหัวใจของตัวเองได้กรุ่น

    พราวดาวไปถึงที่ทำงานวันแรกก็พบกับแม่บ้านวัยกลางคนขะมักเขม้นก้มหน้าเช็ดกระจกด้านหน้าของโรงพยาบาลรักสัตว์  เมื่อเห็นพราวดาวเปิดประตูเดินเข้าไปก็รีบกุลีกุจอเข้ามา

                    “หนูชื่อพราวดาวใช่ไหมคะ

                    “ค่ะ”

                   “ป้าชื่อป้าเกษม  เป็นแม่บ้านอยู่ที่นี่  คุณหมอบอกว่าถ้าคุณมาถึงให้ตามไปที่ห้องเฝ้าดูอาการเลยค่ะ” ป้าเกษมส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

                    “ขอบคุณค่ะป้า”

                    เมื่อพราวดาวเดินลับหลังไป

                    เสียงโทรศัพท์มือถือชนิดโทรเข้าโทรออกได้อย่างเดียวก็แผดเสียงดังขึ้น

                    “ป้าเกษม วดีเองนะคะ” ปาวดีจิกเสียงพูด

                    “ค่ะ คุณวดี มีอะไรเหรอคะ  โทรมาแต่เช้าเลย”

                    “ป้าฟังให้ดี เช้านี้ป้าเห็นผู้หญิงสูงไม่เกิน160 ผมยาวยักโศกไปที่โรงพยาบาลบ้างไหม”

                    “อ้อ เห็นค่ะ เธอชื่อพราวดาวค่ะ”

                    “ตอนนี้อยู่ไหน”

                    “อยู่กับคุณหมอค่ะ”

                    “อะไรนะ” ปาวดีเสียงดังคนฟังต้องเบียงหน้าหนีจากมือถือ

                    “มีอะไรหรือค่ะ คุณวดี”

                    “ฟังให้ดีนะ ป้าเกษม ยัยพราวดาวไม่ใช่คนดี เมื่อคืนฉันเห็นหล่อนอยู่กับหมอวาฬสองต่อสองทั้งคืน”

                    “จริงหรือค่ะ คุณวดี”

                    “จริงคะ คนดีๆเค้าไม่นอนค้างอ้างแรมแบบนี้เหรอคะ ถ้าไม่มีแผนอะไร”

                    “แผนอะไรค่ะ”

                    “ถามอะไรโง่ๆ ก็แผนคิดจะจับคุณหมอไง”

                    “เหมือนคุณวดีใช่มั้ยคะ เทียวไล้เทียวขื่อมาหาคุณหมอทุกวัน”

                    “ป้าเกษม  ที่ฉันมาก็เพราะเรื่องงาน” ปาวดีตะคอกจนป้าเกษมต้องเบียงหน้าหนีจากมือถืออีก

                    “ค่า  ป้าทราบ แต่ว่าคุณมีอะไรจะให้ป้าช่วยละคะ” ป้าเกษมทำเสียงประชดประชัน 

                   “ฉันอยากให้ป้าช่วยจับตาดูความเคลื่อนไหวของมันทุกวิถีก้าว แล้วมารายงานฉัน ฉันจะให้รางวัลอย่างงาม” ปาวดีเน้นเสียง 

                    ยายเกษมตาลุกแววเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย

                    “ได้ค่ะ คุณวดี ป้าจะไม่ให้คาดสายตาเลย”

                    “แล้วปิดไว้เป็นความลับด้วย  ถ้ายังไม่อยากตกงาน”

                    “ค่า คุณวดี ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นนะคะ ป้ารับรองว่าจะอยู่ทำงานที่นี่อีกนานค่ะ”

                    “ดีมาก”

      

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×