ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พราวดาวดั่งฝัน

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 21 เม.ย. 58


    ตอนที่  1

                     เหตุผลอย่างหนึ่งที่ผู้อุปการะจะรับเด็กกำพร้าไปเลี้ยงดูเป็นบุตรธรรมก็คือ เด็กคนนั้นอาจมีหน้าตาน่ารัก ผิวขาว โตขึ้นมีแววสวย และหล่อ ความฉลาดยังดูไม่ออก  แต่มาเพิ่มเติมทางด้านการศึกษาภายหลังได้  และที่สำคัญขอให้ครบสามสิบสองไม่พิกลพิการเดือดร้อนพ่อแม่บุญธรรมภายหลังก็น่าจะเพียงพอ

                     ไม่น่าแปลก เด็กลักษณะนี้มักถูกชะตากับผู้คนที่พบเห็น  นึกรักและผูกพันธ์ตั้งแต่ครั้งแรก

                    แต่จะว่าอย่างไรสำหรับ เด็กหน้าตา ขี้ริ้วขี้เหร่ ขี้มูกแห้งกรัง  ผมหยิก  แผดเสียงร้องสร้างความรำคาญให้กับคนเลี้ยงในสถานที่เด็กกำพร้าเป็นประจำ ผู้คนต่างเมินหน้าหนี 

                    พราวดาวเป็นเด็กกำพร้า จัดว่าเป็นเด็กหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่  เธอถูกขอมาเลี้ยงด้วยวิธีแปลกๆ  ไม่เหมือนเด็กคนอื่นที่เข้าตามตรอกออกตามประตูที่ทำทุกอย่างถูกต้องอย่างเคร่งครัด    

                    สัตวแพทย์นิธิ   พูนผล  เป็นหัวหน้าหน่วยสัตวแพทย์อาสา  ผู้ซึ่งที่มีความเมตตาและสงสาร ท่านขอพราวดาวมาเป็นบุตรบุญธรรมด้วยวิธีแปลก ๆ  ดูเหมือนท่านจะเข้าใจเด็กกำพร้าดี   ดวงตาที่เหม่อลอย  พวงแก้มมีรอยคราบน้ำตาแห้งผากเหมือนไม่เคยมีใครเช็ดให้เหือดหายไปจากดวงหน้า 

                    วันนั้นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม  หมอนิธิแวะเอาขนมมาให้เด็กกำพร้าก่อนกลับบ้าน  ท่านคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ดี  เข้าออกเป็นประจำ เจ้าหน้าที่รู้จักกันทุกคน   โดยเฉพาะนฤมล  กลิ่นสะอาด  เป็นผู้อำนวยการใหญ่อยู่ที่นี่  และยังเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนประถม    จึงทำให้หมอนิธิสนับสนุนงานของเพื่อนเก่าแก่คนนี้แทบทุกวิถีทาง

                    หมอนิธิสะดุดตาเข้ากับหนูน้อยเพศหญิงคนหนึ่ง  อายุไม่เกินสองขวบ  นั่งเหม่อลอยอยู่ในเปลลูกกรง  ท่านนึกสงสารอุ้มขึ้นมาแนบอก กอดไว้หลวม ๆ  ท่านรู้สึกว่าหนูน้อยตัวเบาหวิวมากกว่าเด็กปกติในวัยเดียวกัน  

                    จู่ ๆ เสียงมือถือก็ดังขึ้น หมอนิธิใช้มือข้างหนึ่งล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกง  ยกขึ้นแนบหู  เสียงต้นทาง  แจ้งเหตุให้ทราบว่ามีงานเร่งด่วนต้องรีบไป  

                    หมอนิธิเคยเล่าให้พราวดาวฟังตอนสอบเข้าสัตวแพทย์ได้  เรื่องนานมาแล้ว  ท่านจำได้เลา ๆ ว่า ตอนนั้นท่านจะต้องรีบไปทำคลอดให้แม่วัวที่คลอดผิดธรรมชาติ  ท่านวางหนูน้อยคนนั้นไว้ที่เดิม   ทว่าแกเกาะติดหนึบไม่มีท่าว่าจะปล่อยง่าย ๆ   หมอนิธิมองหาเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนเลี้ยงเด็ก  ไม่เห็นแม้แต่เงา นี่ก็เกือบสองทุ่ม ท่านจะต้องรีบไปแล้ว

                    เสียงมือถือดังเตือนขึ้นมาอีก หมอนิธิปล่อยให้ดัง  หันรีหันขวาง ขณะนั้นเหลือบไปเห็น  ขวดนม กระป๋องนม  ผ้าอ้อมสำเร็จรูป เสื้อผ้า 2-3 ชุดในตะกร้า  ราวกับเตรียมเอาไว้ให้อย่างดี    ท่านไม่รีรอใช้มือข้างหนึ่งคว้าตะกร้ามาถือ อีกมือก็อุ้มเด็กไว้    เดินแกมวิ่งไปที่รถจอดห่างไม่ถึงยี่สิบเมตร   ท่านเปิดประตูรถแวนวางเด็กไว้บนเบาะข้างคนขับ  

                    บรรยากาศเป็นใจช่างเงียบสงบ ราบรื่น ไม่มีเสียงใบไม้ต้องสายลม  ไม่มีเสียงร้องไห้  ถ้าแผดเสียงร้องขึ้นมาสักหน่อย ท่านคิดว่าถึงอย่างไรก็ต้องเอาเด็กไปวางไว้ที่เดิม แม้จะไม่มีใครเหลียวแลก็ช่างกระไร  เมื่อปรับเบาะเกือบเอนราบ จัดหนูน้อยนอนให้เรียบร้อย ก่อนจะรัดเข็มขัดนิรภัย  ทว่าหนูน้อยก็ยังไม่ร้องไห้สักแอะ มองตาแป๋วแหวว

                    ท่านหัวเราะในลำคอ ก่อนจะสตาร์และออกรถอย่างระแวงระวัง   พลางคิดไปว่าทำคลอดวัวเสร็จ  พรุ่งนี้ค่อยแวะเอาหนูน้อยมาคืน  ท่านขับรถไปได้สักระยะหนึ่ง   เมื่อเห็นบนท้องถนนไม่ค่อยมีรถพลุกพล่าน หมอนิธิกดเบอร์มือถือโทรไปหาคุณนฤมล กลิ่นสะอาด เพื่อนเก่า  เขาเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น               

                    “สงสัยเด็กอยากจะไปเที่ยวจริง ๆ”  นฤมลพูด

    หมดนิธิกลั้วหัวเราะหันมามองด้วยสายตาอย่างน่าเอ็นดู

                    “เอาเป็นว่าคืนนี้คงไม่สะดวก  พรุ่งนี้ผมจะรีบนำเด็กไปคืนก็แล้วกัน” ท่านรับปากแล้วกดวางสาย

                    เวลาเกือบห้าทุ่มท่านเสร็จจากทำคลอดวัว   ท่านก็บึ้งรถกลับบ้าน  หนูน้อยก็ไม่ส่งเสียงรบกวนทำให้รำคาญใจแต่อย่างใด ถ้าหากทำท่าจะโยเยท่านก็แค่เอาขวดนมยัดใส่ปากให้ดูดเพลิน ๆ ประเดี๋ยวเดียวก็หลับปุ๋ย   ยิ่งเวลารถวิ่งหนูน้อยจะหลับสบายไปตลอดทาง 

                    เมื่อกลับถึงบ้านหมอนิธิก็ส่งหนูน้อยให้หญิงรับใช้  ป้าพินวัยกลางคนให้ช่วยดูแล  แกป้อนอาหารสำหรับเด็กอ่อนที่ติดมากับตะกร้า และจัดการอาบน้ำอาบท่า ปะแป้ง ชงนม เมื่อกินอิ่มเนื้อตัวสบายก็หลับปุ๋ยไปด้วยกัน

                    สามวันผ่านไป   หมอนิธิทุ่มเทให้กับงานหน่วยสัตวแพทย์อาสาจนลืมนึกถึงสิ่งอื่น  และด้วยความน่ารักน่าเอ็นดูของหนูน้อย ทำให้ป้าพินเลี้ยงเพลิน จนนมในกระป๋องที่ติดมาด้วยเกิดหมด  แกมาขอเงิน  ซื้อนมและของจำเป็นสำหรับเด็กวัยไม่เกินสามขวบ  

                    หมอนิธิถึงนึกขึ้นได้ว่า ไปฉกทารกเพศหญิงคนหนึ่งมาจากสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า ท่านบอกป้าจะเอาเด็กไปคืน   

                     ป้าพินร้องเสียงหลงห้ามไว้และอ้างกับท่านว่า คิดถึงหลานสาววัยเดียวกันที่อยู่ต่างจังหวัด และแกก็อยู่บ้านคนเดียวเกิดเหงาขึ้นมาด้วย แกอยากเลี้ยงไว้สักพัก เบื่อเมื่อไหร่ค่อยเอาไปคืน แกบอกมองตาละห้อย ท่านมองด้วยอาการงงๆก็ตามใจแกหน่อย คงเหงาและคิดถึงหลานขึ้นมาจริง ๆ  เด็กก็เลี้ยงง่ายไม่ส่งเสียงรบกวนอะไร  ราวกับบ้านนี้ไม่มีเด็กเล็กก็ว่าได้

                    ท่านก็ตามใจป้าแกหน่อย คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์สมัยนี้หายาก อะไรที่ยอมได้ก็ยอม ๆ กันไป   ไม่นาน  เด็กรู้สึกแปลกที่แปลกทางออกฤทธิ์ขึ้นมา  ป้าพินปรามไม่อยู่ก็คงจะรีบแจ้นเอาไปคืนเอง  ว่าแล้วหมอนิธิก็ส่งเงินให้แกจำนวนหนึ่งก่อนจะรีบออกไปทำงาน กว่าจะกลับก็เกือบสี่ทุ่มห้าทุ่มเป็นอย่างนี้ทุกวัน

                    หนึ่งเดือนผ่านไป   วันนั้นหมอนิธิกลับบ้านเร็วกว่าปกติ   ท่านอาบน้ำเสร็จก็ลงมานั่งทอดอารมณ์ สบาย ๆ ในห้องนั่งเล่นติดลำคลอง  ป้าพินกุลลีกุจอนำชาร้อน ขนมปังกรอบมาเสริฟ  

                    ลมพัดโชยกลิ่นดอกแก้วมา หมอนิธินั่งจิบชาอ่านหนังสือเพลิน ๆ

                    จู่ ๆ หนูน้อยก็คลานเข้ามาหยุดนั่งข้าง ๆ  แหงนหน้ามอง จ้องตาแป๋วแหวว   ท่านตกใจชักขาขึ้น

                    นับจากวันนั้น หนูน้อยก็กลายมาเป็น เด็กหญิงพราวดาว  พูนผล  ท่านเป็นผู้ตั้งชื่อ พร้อมกับให้ใช้นามสกุลรับเป็นบุตรธรรมเป็นเรื่องเป็นราวทันที     

                    เด็กหญิงพราวดาวเติบโตอายุได้สี่ขวบ   ครบเกณฑ์เข้าโรงเรียนตามรัฐบาลกำหนดไว้ให้    ท่านก็พาไปสมัครเข้าเรียนอนุบาลที่โรงเรียนวัดใกล้บ้านซึ่งห่างไปไม่ถึงป้ายรถเมล์   ท่านสอนเธอให้ตื่นแต่เช้ารีบ อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน  แต่งตัว แล้วลงไปทานข้าว  ก่อนจะพาไปส่งโรงเรียน 

                    ท่านจูงมือน้อย ๆ ปากก็พร่ำสอนไปด้วย  ทำนองว่า ตื่นแต่เช้าเพราะรถไม่ค่อยพลุกพล่าน คนก็ไม่จ้อกแจ้กจอแจ  เดินบนฟุตบาทจะปลอดภัยกว่าลงไปเดินริมถนน  และท่านยังกำชับให้พราวดาวระมัดระวังตัวจากคนแปลกหน้าที่ชอบล่อลวงเด็กไปขาย ไปทำมิดีมิร้าย  และที่แย่กว่านั้นอาจไม่ได้กลับมาเห็นหน้ากันอีกเลย   ท่านกำชับเรื่องสุนัขจรจัดด้วย เราไม่ควรประมาทเดินเข้าไปใกล้ เพราะถ้าโดนกัดก็จะต้องโดนฉีดยากัดพิษสุนัขบ้าหลายเข็ม 

                    เด็กหญิงพราวดาวทำตาโตพยักหน้าหงึก ๆ   เส้นผมลอนเล็กพลิ้วไปมา  พ่อบุญธรรมเอื้อมมือขยี้หัวเบาๆอย่างน่าเอ็นดู    ท่านไปรับไปส่งทุกเช้าเย็นและสอนย้ำเหมือนเดิมทุกวัน  เพียงอาทิตย์เดียว   เด็กหญิงพราวดาวก็เดินไปโรงเรียนได้เอง   

                    เมื่อโรงเรียนเลิกท่านยังสอนให้รักษาเวลา   เธอทำตามอย่างเคร่งครัดเดินตรงกลับบ้านโดยไม่เถลไถลไปไหน   กลับมาถึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า  ป้าพินก็จัดข้าวปลาอาหาร ขนม นม เนย เตรียมไว้ให้วางไว้รอบนโต๊ะทานอาหาร  ทานเสร็จก็ต้องรีบทำการบ้าน อ่านหนังสือ หลังจากนั้นค่อยเล่น หรือดูการ์ตูนที่โปรดปราน

                    หากวันใดหมอนิธิกลับมาจากหน่วยสัตวแพทย์อาสาเร็วกว่าปกติ  ท่านก็จะชอบเข้ามานั่งรับลม อ่านหนังสือ จิบชาร้อนๆ ทานของวางภายในห้องนั่งเล่นติดริมคลอง   

    เด็กหญิงพราวดาวก็จะโผล่หน้ามาจากขอบประตู  แล้วย่องกริบเข้าไปนั่งพับเพียบแทบเท้า ก่อนจะค่อยๆวางสมุดการบ้านไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา  แล้วค่อยๆกางออก ก่อนจะก้มหน้าลงมือทำ   พลางเงยหน้าคอยชำเลียงมองพ่อบุญธรรมเป็นระยะ ๆ ราวกับกลัวท่านหาย

                    หนูน้อยจะพยายามทำทุกอย่างให้เงียบเชียบ ไม่กระโตกกระตาก ไม่ให้มีเสียงรบกวนราวกับว่าไม่มีเธออยู่   เมื่อทำการบ้านเสร็จ ก็ไม่ยอมออกไปเล่นไหน หรือออกไปดูการ์ตูนเรื่องโปรด จะคอยติดหนึกอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป

                    ท่านเงยหน้าจากหนังสือมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นอากาศมืดค่ำ วางหนังสือลงบนโต๊ะ ลุกจากโซฟากำลังก้าวเท้าแต่ติดร่างหนูน้อยที่ผล็อยหลับอยู่ปลายเท้า

                    ท่านตะลึงงันมองเส้นผมปกบังใบหน้า ถึงได้รู้ว่ามีเด็กมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ อีกคน

                    ท่านช้อนร่างเด็กน้อยเดินขึ้นบันไดไปห้องนอนที่จัดไว้   ป้าพินยืนเช็ดกระจกหน้าต่างอยู่ในห้องพอดี   แกมองตาปริบๆ

                    หมอนิธิพูดเปรยขึ้นกับป้าพินไปว่า   เลี้ยงสุนัข  เลี้ยงแมวยังรู้จักพ้นแข้งพันขาน่ารำคาญ  แต่เลี้ยงพราวดาวง่ายกว่าเยอะ

                    เวลาผ่านไปอาการติดหนึกก็ยังแก้ไม่หาย   หมอนิธิได้รับเชิญเป็นอาจารย์สอนในภาควิชาปฏิบัติให้กับคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ในมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง  บ่อยครั้งพานักศึกษาไปปฏิบัติงานนอกสถานที่  ทั้งในเมืองหลวงและต่างจังหวัดแทบไม่ได้กลับบ้านต้องนอนค้างอ้างแรมเป็นประจำ   หมอนิธิมีงานล้นมือ ทั้งงานสอนและงานสัตวแพทย์อาสา   เวลาอันน้อยนิดที่เคยแบ่งปันให้ก็กลับไม่เหลือเวลาให้เลย  ขณะนั้นหล่อนอยู่มัธยมต้นปีที่ 3 กำลังขึ้นมัธยมปลายปีที่ 4

    พราวดาวโหยหา ความรัก ความอบอุ่น จากพ่อบุญธรรมเพียงลำพัง  หล่อนเริ่มหาทางที่จะได้อยู่ใกล้ ๆ พ่อบุญธรรมให้มากขึ้น    หล่อนจึงเลือกแผนวิทย์-คณิต เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะสอบเข้าเรียนคณะสัตวแพทย์ได้ จบออกไปก็จะติดสอยห้อยตามไปทำงานกับบิดาบุญธรรมของเธอได้ทุกเมื่อ

                    หล่อนไม่ต้องคอยชะเง้อ  ลุ้นว่าเมื่อไหร่พ่อบุญธรรมจะกลับถึงบ้าน  ถึงแม้ป้าพินจะบอกย่ำว่าวันนี้จะไม่กลับ แต่ก็อดใจคอยไม่ได้อยู่ดี 

                    พราวดาววางแผนเสร็จสับ  หล่อนจะต้องเรียนต่อแผนวิทย์-คณิตโดยไม่ต้องสอบ เพราะเป็นโรงเรียนวัดใกล้บ้าน ชื่อเสียงไม่เด่นไม่ดัง เพื่อน ๆ ที่เรียนเก่ง ๆ หนีไปสอบเข้าโรงเรียนมีชื่อเกือบยกห้อง เพราะมั่นใจว่าจะมีศักยภาพพอที่จะสอนให้นักเรียนมีประสิทธิภาพไปต่อคณะดี ๆ ในมหาวิทยาลัยชั้นนำต่อไปได้

                    อาจเหลือเธอคนเดียว อ้อ ยังมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่ไปไหนไม่ได้ต้องเรียนที่เดิม เพราะเกรดเฉลี่ยไม่ดี 

                    พราวดาวตั้งหน้าตั้งตาเรียนจนทำคะแนนได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ผิดหวัง  หล่อนได้เกรดเฉลี่ย 4.00   ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก    เพราะหล่อนเรียนดีมาตลอดตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน  ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นการเรียกร้องความสนใจจากบิดาบุญธรรมแต่อย่างใด  เพราะเด็กกำพร้าอย่างหล่อนไม่ขออะไรมาก  นอกจากป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ ก็พอ  

                    พราวดาวตั้งตารอเช็คข่าวจากทางมหาวิทยาลัยที่บิดาบุญธรรมสอนอยู่ที่นั้น   เมื่อประกาศรับสมัครนักศึกษาคณะสัตวแพทย์  หล่อนขมีขมันรีบไปสมัครเป็นคนแรกก็ว่าได้  

                    บรรยากาศก่อนการสอบเข้าเอ็นทรานซ์ระอุขึ้น  นักเรียนมัธยมต่างเคร่งเครียดอ่านหนังสือ สรรหาสถาบันกวดวิชาดัง ๆ เพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันถ้วนหน้า   พราวดาวไม่เคยเสียเงิน หล่อนใช้ห้องนั่งเล่นติดริมคลองเป็นศูนย์รวม ความรัก ความหวัง  และความฝันอยู่ใน ณ ที่แห่งนั้น

                    เมื่อถึงวันประกาศผลสอบ    พราวดาวไม่ผิดหวังได้คะแนนมาเป็นระดับหนึ่ง โรงเรียนวัดติดป้ายขึ้นชื่อประกาศให้ทุกคนรู้ถ้วนหน้าว่ามีนักเรียนสอบได้คณะสัตวแพทย์ของมหาวิทยาลัยระดับหนึ่งของเมืองไทย พราวดาวสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนทันที  สำหรับหมอนิธิก็แค่หันมายิ้มในที่ พยักหน้ารับรู้  เอื้อมมือมาลูบศีรษะสองสามครั้ง  แล้วหันไปสนใจหนังสือตรงหน้าต่อก็เท่านั้นเอง   ใช่! เพียงแค่นี้    พราวดาวก็ยิ้มปลาบปลื้มมีกำลังใจร่ำเรียนตลอดระยะเวลาที่เข้าไปเรียนคณะสัตวแพทย์กับมหาลัยแห่งนี้จนจบก็ว่าได้ 

                    พราวดาวเรียนปี 1-4  เรียนแต่ทฤษฏีจากตำราภาษาอังกฤษที่มีเนื้อหาเข้มข้น   เพื่อเตรียมตัวขึ้นไปเรียนภาควิชาปฏิบัติในปีที่ 5    ซึ่งเป็นปีที่นักศึกษาสัตวแพทย์ ยิ้มปลาบปลื้มให้กับวันรับเสื้อกาวน์กันทุกคน  

                    ทว่าพราวดาวรับเสื้อกาวน์ยิ้มแก้มปริให้กับการรอคอยจะสิ้นสุดในอนาคตอันใกล้
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×