คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Intro
Intro
มหานครนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา
ภายในอาคารทรงสีเหลี่ยมสีขาวดูสะอาดตา กระจกบานใสที่ถูกติดไว้ทั้ง 4 ชั้นของตึก หากมองภายนอก ตึกสีบริสุทธิ์นี้ก็คงมีหน้าตาไม่แตกต่างและไม่โดดเด่นไปกว่าตึกอื่นๆที่อยู่ในระแวกเดียวกัน ทั้งรูปร่าง รูปทรงรึก็ไม่ได้สะดุดตา ดูจะออกไปทางธรรมดาและเรียบง่ายเสียมากกว่า
หากแต่จะมีใครรู้บ้างว่าตึกแห่งนี้ได้รวบรวมนักสืบคดีระดับโลกไว้มากมายหลายชีวิต...
“ไค ลายพิมพ์นิ้วมือที่นายส่งไป ได้ผลมาแล้วนะ”
เสียง ‘แบคฮยอน’ นักสืบตาเรียวสัญชาติเกาหลีใต้พูดกับเพื่อนนักสืบของเขาที่นั่งตรงข้ามกันโดยมีเพียงแผงพลาสติกใสสีฟ้าอ่อนกั้นกลางหลังจากที่เครื่องแฟกซ์ข้างๆเขาปริ้นท์ใบผลลายพิมพ์นิ้วมือออกมา และเพียงแวบแรกเขาก็นึกได้ทันทีว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของคดีที่ไคกำลังตามสืบอยู่
“ขอบคุณ”
คำขอบคุณตัวบางๆที่ลอยออกมาจากปากของเพื่อนร่วมงานพ่วงด้วยเพื่อนนักสืบในกลุ่มเดียวกันที่พูดน้อยเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะลุกออกจากที่นั่งประจำของตัวเองแล้วก้าวขายาวๆออกไปหยิบใบผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือมาร่วมวิเคราะห์ในข้อสันนิษฐานของตัวเองที่สันนิษฐานค้างไว้
Holmes Company เป็นบริษัทของเหล่านักสืบมือฉกาจ พวกเขามารวมตัวกันก่อนที่จะก่อตั้งบริษัท โฮมส์ด้วยกัน ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าชื่อบริษัทนั้นก็คือชื่อตัวละคร นักสืบเชอร์ล็อก โฮมส์ นักสืบแสนฉลาดจากลอนดอน บุคคลในนวนิยายที่เก่งด้านนิติวิทยาศาสตร์ โดยหาความจริงจากข้อมูลหลักฐานและมักมีข้อสังเกตที่คาดไม่ถึงต่างๆที่ใช้ในการคลี่คลายคดีด้วย ความจริงแล้วนักสืบกลุ่มแรกๆที่มีแนวคิดในการสร้างโฮมส์คอมพานีขึ้นมา มีจุดประสงค์เพียงแค่หางานทำฆ่าเวลา แต่เพราะความสามารถที่มากล้นทำให้เป็นที่รู้จัก จากกิจกรรมฆ่าเวลาในรุ่นแรกกลับกลายมาเป็นงานประจำในรุ่นถัดๆไป
สภาพภายในโฮมส์คอมพานีแทบจะไม่แตกต่างไปจากออฟฟิศทั่วๆไป แผงกั้นสีฟ้าอ่อนแบ่งที่นั่งของนักสืบแต่ละคนอย่างชัดเจน โดยแต่ละที่นั่งจะมีคอมพิวเตอร์อัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับหน่วยงานต่างๆ เช่น หน่วยพิสูจน์หลักฐาน ไว้อย่างครบครันเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่เหล่านักสืบในด้านข้อมูลหลักฐานที่พวกเขาต้องการ
แต่ในความเป็นจริง ที่นั่งประจำของแต่ละคนแทบจะร้างราเสมอ เพราะงานนักสืบ ส่วนใหญ่เป็นงานภาคสนาม เหล่านักสืบจะต้องออกไปเก็บหลักฐานและสอบปากพยานเสียมาก ทำให้เวลาส่วนใหญ่เสียไปกับสถานที่ภายนอกคอมพานีมากกว่า
“นี่ๆ ชานยอล แบคฮยอน คยองซู พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ” เสียง ‘มินซอก’ นักสืบแก้มกลมกล่าวกับเพื่อนนักสืบกลุ่มตัวเอง “นี่เที่ยงแล้วนะ”
“ได้เวลากินข้าวแล้วล่ะ”
‘ลู่หาน’ พูดขณะที่นิ้วเรียวกำลังเคาะลงบนแผงพลาสติกกั้นที่เชื่อมระหว่างที่ 3 ที่ของบุคคล 3 บุคคลที่เขากำลังสนทนาอยู่คล้ายๆกับเป็นการกดดันฝ่ายตรงข้ามกรายๆ หลังจากที่เขาสังเกตพฤติกรรมการห่อริมฝีปากของแบคฮยอน หนึ่งในเพื่อนในกลุ่มของตัวเองขณะที่มือเล็กกำลังเก็บเอกสารให้มาอยู่ในกองเดียวกัน คิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย
“อื้อ เดี๋ยวฉันเก็บเอกสารอีกแปปนะ” แบคฮยอนพูดก่อนที่จะเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงอีกครั้ง ซึ่งนั่นเรียกความสนใจจากนักอ่านภาษากายอย่างลู่หานได้เป็นอย่างดี
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า แบคฮยอน”
“หืม?” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนตัวเองอย่างสงสัย
“ก็นายห่อริมฝีปาก แถมยังเม้มปากเป็นเส้นตรงติดกันแบบนั้น ภาษากายของนายกำลังบอกว่านายกำลังมีเรื่องไม่พอใจอยู่น่ะสิ พวกฉันไม่ได้เร่งนายใช่ไหม?”
“อ่า” แบคฮยอนคราง “นายนี่นะ ลู่หาน”
“?”
“พอดีฉันทำบทวิเคราะห์ของตัวเองหายไปน่ะสิ หาไม่เจอ ข้อมูลของคดีก็อยู่ในนั้นเกือบจะทั้งหมดเลย ส่วนที่เกี่ยวข้องที่มีอยู่ที่ฉันก็มีแค่พวกผลตรวจเลือด ลายพิมพ์นิ้วมือนิดๆหน่อยๆเอง”
แบคฮยอนพูด ในใจของเขากำลังว้าวุ่นเลยเผลอแสดงพฤติกรรมออกมาทางภาษากาย และนั่นทำให้ลู่หานจับสังเกตเขาจนได้ ลู่หานเป็นนักสืบที่เก่งกาจและความสามารถพิเศษของเขาคือ การอ่านภาษากายของผู้คน ดังนั้นเพราะเขาสามารถอ่านภาษากายของคนได้ ลู่หานจึงมักจะเป็นคนกุมความลับของใครหลายๆคนไว้
ถ้าหากลู่หานเป็นคนประเภท ลู่หานรู้ โลกรู้... ป่านนี้ความลับร้อยแปดพันเก้าของเพื่อนๆทุกคนในกลุ่มคงแพร่สะพัดไปทั่วคอมพานีได้ไวอย่างน่าเหลือเชื่อ และโชคดีที่ลู่หานไม่ใช่คนแบบนั้น
“นายลองหาดีๆสิ” เสียง ‘ชานยอล’ เพื่อนตัวสูงพูดกับเขา “ตอนนั้นฉันยังเห็นนายจดผลการตรวจ DNA ลงไปอยู่เลยนะ”
ชานยอลพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขามักเป็นแบบนี้เสมอกับแบคฮยอน มือยาวๆถูกส่งมาลูบหัวทุยน้อยๆก่อนที่จะหันไปสนใจเอกสารขอตัวเองที่ถูกเก็บค้างไว้อยู่เหมือนกัน แต่ดูเหมือนคราวนี้มือใหญ่จะเก็บเร็วขึ้น อาจเป็นเพราะกำลังห่วงเพื่อนตัวเล็กข้างๆที่ทำงานหายก็เป็นได้
“เครื่องแฟกซ์”
แล้วจู่ๆเสียงของบุคคลที่พูดน้อยที่สุดในกลุ่มก็เอ่ยขึ้นมา ทำให้เพื่อนทั้ง 5 คนหันไปให้ความสนใจ พร้อมกับแบคฮยอนที่เป็นเจ้าของเรื่องที่ขมวดคิ้วมุ่น
“?”
“บทวิเคราะห์ของนายเขียนใส่สมุดสีชมพู ลายพิกเล็ตหรือเปล่า แบคฮยอน?” ‘คยองซู’ พูดพร้อมทั้งชู สมุดโน๊ตสีชมพูสด ลายตัวการ์ตูนพิกเล็ตเล่มเล็กในมือข้างขวาของตัวเองขึ้นมา เรียกความสนใจของพวกเพื่อนๆอีกครั้ง
“เฮ้ย!” แบคฮยอนร้องเสียงหลง “นาย.. โอ๊ย! ฉันรักนายจัง คยองซู”
แบคฮยอนไม่พูดเปล่า เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนที่จะวิ่งถลาเข้าไปหาคยองซู เพื่อนรักที่หาบทวิเคราะห์ของเขาเจอ แบคฮยอนไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหามันไม่เจอ เขาจะไปเอาข้อมูลมากมายเหล่านั้นจากคดีที่ตนกำลังทำอยู่จากที่ไหน เพราะตอนนี้ตำรวจก็ได้เก็บหลักฐานออกไปหมดแล้ว ความจริงหลักฐานพวกนั้น เขาไปขอจากกรมอีกรอบก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอก แต่พวกคำสอบปากพยาน หรือ คำให้การต่างๆของคนรอบข้างที่เขาไปหามานี่สิ
แค่คิดก็อยากจะร้องไห้เสียแล้ว...
“สมกับเป็นคยองซูจริงๆ” มินซอกว่าพร้อมทั้งส่งสายตาชื่นชมเพื่อนตาโตในการวิเคราะห์สิ่งต่างๆจากหลักฐานที่มีอยู่ ซึ่งมันเป็นความสามารถพิเศษของคยองซูที่ใครๆต่างก็ยอมรับ
“ไม่หรอก ฉันก็แค่ลองเดินมาดูตามที่ไคบอกน่ะ” คยองซูไหวไหล่น้อยๆ “พอเดินมาดู ก็เห็นลอยฝุ่นบนเครื่องแฟกซ์ที่มันหายไปเป็นทางยาว เหมือนกับมีอะไรมาถูมันออกไปเลยก้มลงไปดูใต้โต๊ะก็เจอสมุดสีพิกเล็ต นอนเล่นอยู่น่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง” ลู่หานพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“โชคร้ายหน่อยที่สมุดของนายเปื้อนนะแบคฮยอน”
คยองซูหันไปพูดกับเพื่อนของตัวเองที่ดูเหมือนกำลังตั้งใจฟังเขาพูดคล้ายกับกำลังเก็บข้อมูลของพยานพบเห็นเหตุการณ์ สายตาสร้างความไว้ใจแบบนั้นถูกส่งมาให้เขาตลอดคำอธิบาย
“ไม่เป็นไรหรอกน่า อย่างน้อยฉันก็ได้บทวิเคราะห์คืนมาแล้ว ฮ๊า~” แบคฮยอนทำท่ากอดสมุดแนบไว้กับอกพร้อมทั้งหลับตาพริ้มๆ ยกมุมปากยิ้มออกมาคล้ายกับคนไม่ได้เจอกันมานาน เรียกเสียงหัวเราะของเพื่อนๆที่เหลือให้ลั่นคอมพานีได้เป็นอย่างดี
ชานยอลที่มองแบคฮยอนด้วยสายตาเอ็นดู ยกยิ้มไปพร้อมๆกับการหัวเราะในท่าทางของคนอีกฝ่าย สำหรับเขาแบคฮยอนก็เหมือนลูกหมาดีๆนี่เอง ที่เวลาคิดอะไร หรือรู้สึกอะไรก็มักจะแสดงออกมาทางสีหน้าเสียหมดทุกอย่าง แล้วเขาก็ชอบมองมันทุกครั้งเช่นกัน
“พวกนายเก็บของกันเสร็จแล้วใช่ไหม”
กวางตาหวานพูดขึ้นเรียกสติของทุกคน เขาไม่ห่วงแบคฮยอนและคยองซูหรอก เพราะทั้งสองรายนั้นลุกออกมาจากที่นั่งของตนเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ชานยอลคนเดียวเท่านั้นแหล่ะที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับแบคฮยอนจนลืมไปว่าเหลือเพียงตัวเองคนเดียวที่ยังเก็บของไม่เสร็จเสียที
เพื่อนตัวสูงก็เหมือนจะรู้ตัวว่าเป็นเขาอีกครั้งที่โดยดุเรื่องเฉื่อยแฉะแบบนี้ ชานยอลหันหน้ากลับมาเก็บเอกสารที่เหลืออีกนิดเดียวให้เข้าที่ โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว นักสืบคนอื่นก็ลงไปหามื้อเที่ยงกินกันตั้งแต่สิบเอ็ดโมงกว่าๆ
และเมื่อชานยอลเก็บของเสร็จ ร่างสูงก็ลุกขึ้นเป็นคนสุดท้ายก่อนที่จะหันไปยิ้มให้กับเพื่อนๆของเขาที่กำลังยืนรออยู่ “ป่ะ ไปกัน ฉันเสร็จแล้วล่ะ”
เสียงเฮโลของกลุ่มนักสืบจากโฮมส์คอมพานีกลุ่มสุดท้ายที่กำลังจะออกไปหามื้อเที่ยงกินกัน มองจากภายนอกเขาก็คงเหมือนๆกับพนักงานบริษัททั่วๆไป มินซอก ลู่หาน และไคที่เดินนำไปต่างก็พูดคุยกันเสียงดังลั่น เพราะมินซอกเป็นคนพูดเก่ง เขามักจะเป็นคนที่สร้างความสนุกให้ในกลุ่มไม่ต่างอะไรกับแบคฮยอนที่กำลังเดินเคียงข้างชานยอลอยู่ถัดจากสามหนุ่มด้านหน้า ปิดท้ายด้วยร่างเล็กๆของคยองซูที่ตอนนี้หูทั้งสองข้างถูกปิดด้วยเฮดโฟนขนาดเล็ก ตาโตมองทางไหนไปเรื่อยเปื่อย
ความจริงคยองซูน่ะทำเป็นมองทางอื่นไปอย่างนั้น...
ก็แค่พยายามหลีกหนีความจริงที่ว่า... สายตาคู่นี้ของเขาไม่สามารถละออกไปจากใครคนนั้นได้เลยสักครั้งเดียว
“นี่มินซอก นายหัดกินผักบ้างได้ไหมเนี่ย” เสียงดุของแบคฮยอนที่นั่งตรงข้ามคิม มินซอกบ่นออกมาเพราะเห็นว่าเพื่อนแก้มกลมของเขาเขี่ยผักในชิ้นพิซซ่าของตัวเองทิ้งอีกแล้ว
“ก็ฉันไม่ชอบนี่ นายชอบนายก็เอาไปกินสิ!”
มินซอกไม่ว่าเปล่าพลางทำท่าว่าจะยกผักที่เขาอุตส่าห์เขี่ยออกไปใส่จานตรงข้ามเขา และแบคฮยอนก็ได้แต่โวยวายยกจานของตัวเองหนีเสียยกใหญ่ มองไปรอบๆร้านคงจะมีแต่โต๊ะของนักสืบจากเอเชียกลุ่มนี้กลุ่มเดียวเท่านั้นล่ะมั้ง ที่เล่นสนุกเป็นเด็กๆ
เสียงหัวเราะยังคงดำเนินต่อไปหลังจากที่แบคฮยอนทำซอสมะเขือเทศหกใส่ชิ้นพิซซ่าของลู่หาน ชายผู้ที่ไม่กินซอสทุกอย่างบนโลก แบคฮยอนหัวเราะชอบใจที่แกล้งเพื่อนตากวางนั่นได้สำเร็จ และลู่หานก็ทำได้แค่ส่งพิซซ่าชิ้นเปื้อนช้อนไปแลกกับคยองซูที่นั่งอยู่ข้างแบคฮยอน และนั่งอยู่ตรงข้ามเขา เพราะมินซอกคนข้างๆก็เป็นแค่พวกคนที่เกลียดผักเข้ากระดูกดำที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย...
และทุกครั้งที่ทุกคนพยายามจะเอาคืนแบคฮยอน ก็จะถูกขัดขวางด้วยผู้ชายประสาทไวอย่างชานยอล เสมอๆ ทั้งที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่ช้า เฉื่อย และแฉะ แต่ในการสืบสวน เขาเป็นคนที่มีประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่ไวมาก ข้อมูลที่เขาเก็บได้ หลักฐานที่เขาหาเจอมักจะมีประโยชน์กับคดีของตัวเองเสมอๆ และมันจะเผื่อแผ่ไปยังคู่หูในคดีต่างๆของเขาด้วยตลอดการทำงาน
“ว่าแต่ ตอนที่นายพูดว่าเครื่องแฟกซ์ในคอมพานีนี่ ทำไมนายไม่บอกไปเลยล่ะว่าสมุดของแบคฮยอนอยู่ตรงไหน ฉันเชื่อว่าตาเหยี่ยวอย่างนายต้องเห็นตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม”
ชานยอลหันมาพูดกับไคที่นั่งตรงข้ามเขา หลังจากที่ปรามแบคฮยอนที่กำลังเล่นอะไรพิเรนทร์ๆอย่างเช่นการพยายามใส่พริกไทยลงไปในน้ำแก้วของมินซอก ไคที่นั่งละเลียดพิซซ่าชิ้นที่สองของตัวเองเงยหน้าขึ้นมาสบตากับชานยอล เพื่อนของตัวเองแล้วไหวไหล่น้อยๆ
เพื่อนตัวสูงได้แต่ยักไหล่เมื่อคำตอบเป็นเพียงภาษากายที่เขาเองก็ถอดรหัสมันไม่ออก ก็เขาไม่ใช่ลู่หานนี่ แต่ก็นั่นแหล่ะ ไคเป็นพวกพูดน้อยต่อยหนัก แต่ก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เขาชินเสียแล้วกับการกระทำที่มักจะแสดงออกมามากกว่าคำพูด ดูเหมือนไคจะไม่ใช่แค่พวกพูดน้อย แต่เขามักจะพูดคำสั้นๆออกมาเพียงคำสองคำ แต่แค่เพียงเท่านั้นบางครั้งก็มีประโยชน์มากมายเหลือเกินแล้ว
หลายครั้งในตอนแรกชานยอลก็แค่คิดว่าไคเป็นพวกเรียงประโยคไม่เป็น..
พิซซ่าถาดใหญ่ถูกจัดการด้วยผู้ชาย 6 คน แบคฮยอนยังคงพูดเจื้อยแจ้วขณะที่รอเช็คบิล และชานยอลยังคงแสดงอาการเอ็นดูอย่างไม่สิ้นสุด เพื่อนที่เหลือเคยชินเสียแล้วกับการที่ชานยอลมักจะใส่ใจแบคฮยอนมากกว่าใครๆเป็นประจำ
แต่อาจจะเหลืออยู่อีกคนที่ยังคงไม่ชินมันเสียที..
สายตาอ่อนโยนแบบนั้น...
ความห่วงใย ใส่ใจแบบนั้น...
คยองซูก็แค่คนนิสัยไม่ดี ที่อิจฉาได้แม้กระทั่งเพื่อนตัวเอง
————————————————————
“คยองซู คดีของนายไปถึงไหนแล้ว”
เสียงทุ้มต่ำของชานยอลพูดลอยข้ามแผงกั้นสีฟ้าอ่อนมาหาคยองซูที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนบทวิเคราะห์จากหลักฐานที่เขาหามาได้ ใบหน้าขาวเงยขึ้นมาสบตากับคนตรงหน้าแต่แล้วเพียงแวบเดียวตาโตคู่นั้นก็หลุบลงต่ำกลับมาทำงานของตัวเองต่อพร้อมกับตอบคำถามนั่นไปด้วย
“ฉันกำลังเขียนบทวิเคราะห์จากหลักฐานอยู่ ตอนนี้มีคนที่ฉันสงสัยแต่ไม่ในใจ”
“เหรอ อืม คดีของนายใช่คดีลอบวางเพลิงบริษัทนายหน้าขายที่ดินที่เกาะฮาวายใช่หรือเปล่า?” ชานยอลถาม เรียกความสงสัยจากเจ้าของคดีให้เงยหน้าขึ้นมาสบตาคู่สวยอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความจริงคยองซูก็แค่ชอบดวงตาของชานยอลมากเกินไปต่างหาก..
“อือ”
“วันก่อนฉันเดินทางไปที่นั่น พอดีต้องไปสอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์ที่ไปเที่ยวที่นั่นพอดี แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชค หรือ โชคกันแน่ที่ทำให้ฉันเดินผ่านบริษัทที่ว่านั่นน่ะ”
“แล้วไงต่อ” คยองซูดันกรอบแว่นทรงรีของตัวเองขึ้นพร้อมทั้งตั้งใจฟังข้อมูลที่อาจจะเป็นประโยชน์กับเขาจากคนตรงหน้า
ปากกาสีดำในมือคยองซูกำลังขยับยุกยิกหลังจากที่ได้ข้อมูลจากชานยอล และเป็นไปตามคาดว่ามันทำให้งานเขาง่ายขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว เพราะว่าเขาสามารถตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้หลายคน จนตอนนี้เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนที่อาจจะเป็นผู้ร้ายก่อคดี
เมื่อคยองซูคิดได้เช่นนั้น ร่างเล็กก็ตั้งใจว่าจะกลับไปที่เกาะฮาวายอีกครั้งเพื่อที่จะไปสอบปากคำผู้ต้องสงสัยที่เหลือ และจากข้อมูลของชานยอลรวมถึงบทวิเคราะห์ของเขา ถ้าหากมันเป็นไปตามข้อสันนิษฐาน คยองซูคิดว่าเขาพอจะรู้แล้วล่ะว่าใครเป็นคนร้ายที่แท้จริงกันแน่..
คนตาโตเก็บของลงกระเป๋าเป้สีดำของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน คราวนี้เขาก็แค่อยากไปทดลองอะไรให้มันแน่ใจมากยิ่งขึ้นก็เท่านั้น มือขาวเก็บเอกสารและสมุดบันทึกเล่มสีดำที่ภายในบรรจุไปด้วยบทวิเคราะห์หลากหลายคดีลงในเป้ดังกล่าว โดยที่ไม่ลืมหยิบเฮดโฟนขนาดเล็กประจำของตัวเองติดมาด้วย
หลังจากที่เก็บของทุกอย่างที่จำเป็นเสร็จแล้ว ในหัวก็แค่คิดอยากขอบคุณคนช่างสังเกตที่ช่วยให้งานเขาเสร็จไวขึ้น พลันความคิดนั้นสิ้นสุดลงร่างเล็กก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง นัยน์ตาโตตั้งใจเหลือบไปมองคนที่นั่งตรงข้ามของตัวเอง
แต่เขาคิดว่า นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ควรทำมากที่สุดเลยล่ะ
ภาพที่ชานยอลกำลังลูบหัวแบคฮยอนที่กำลังตั้งอกตั้งใจอ่านข้อมูลจากที่หน่วยพิสูจน์หลักฐานส่งมา สายตาอ่อนโยนยามที่มือใหญ่สัมผัสกับหัวทุยนั่นทำให้หัวใจของเขาชาแปลบขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวจนเผลอกัดปากของตัวเองไปเบาๆทีหนึ่ง
“อ่าว คยองซูจะไปไหนเหรอ?”
ไม่ช้าไม่นาน เสียงใสของแบคฮยอนก็ดังขึ้นถามเขาที่กำลังยืนมองคนทั้งสองอยู่ ชานยอลมองตามสายตาแบคฮยอนมาพบกับสายตาเขา คยองซูเผลอกลั้นหายใจตอนที่สบตากับชานยอลแวบแรก คำขอบคุณที่ตั้งใจจะเอื้อนเอ่ยถูกกลืนลงไปในลำคอขาว และมันถูกแทนที่ด้วยคำบอกลา
“ฉันจะไปฮาวาย”
“จะไปเก็บข้อมูลเหรอ อิจฉานายจังที่ได้ทำคดีในที่แบบนั้น” แบคฮยอนทำหน้าเพ้อฝัน ก่อนที่จะยู่หน้าทันทีที่มีมือของใครอีกคนตีเข้ามาที่หน้าผากมนของตัวเอง
ตีแค่เพียงเบาๆ เพราะ ชานยอลก็แค่หมั่นไส้แต่ก็กลัวคนตัวเล็กที่มักจะทำตัวน่ารักเสมอเจ็บ..
“เดินทางปลอดภัยนะ คยองซู” ชานยอลพูดพร้อมกับยิ้มให้เขาน้อยๆ คยองซูไม่ได้ยิ้มตอบกลับไป เขาเลือกที่จะเดินออกมาก่อนที่จะได้ฟังแบคฮยอนพูดอะไรสักอย่างเป็นเชิงดุที่ชานยอลบังอาจมาตีหน้าผากเข้าเมื่อครู่ เสียงใสดูเข้มขึ้นเล็กน้อย คยองซูไม่รู้ว่าเขาทั้งสองคนทำอะไร แต่เสียงเหล่านั้นมันฟ้อง
ฟ้องว่าพวกเขากำลังมีความสุข
และคยองซูก็แค่นั้น.. แค่เท่านั้นที่เขาสัมผัสกัน คยองซูก็รู้สึกเหมือนถูกกดสวิซต์ให้ดับลง ทุกครั้งที่เขามีความสุข คยองซูจะรู้สึกเหมือนถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แบคฮยอนเป็นคนน่ารักก็เลยมีคนรัก..
และคยองซู ไม่ใช่คนน่ารัก มันก็แค่นั้น..
แต่คยองซูก็แค่คนโลภคนหนึ่ง
เขาก็แค่อยากขอ ขอให้คนทั้งโลกหันหลังให้เขาก็ได้ ต่อให้เขาไม่น่ารักและไม่มีคนมารัก แต่เขาก็แค่อยากขอ..
ขอให้คนคนนั้นเป็นชานยอลได้ไหม..
ขอให้เป็นเขาแค่คนเดียว คนที่จะมาสนใจผู้ชายที่ไม่น่ารักคนนี้
ชานยอลอา.. ช่วยสนใจคยองซูคนไม่น่ารักคนนี้สักนิดจะได้ไหม..
หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ
( ̄▽ ̄)~*
ความคิดเห็น