ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อดีต..ปัจจุบัน ฉันและเธอ (The memory of you)

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5 (ซ้ำกันกับบทที่ 6 ค่ะ)

    • อัปเดตล่าสุด 10 ธ.ค. 48


            



                  ผู้หฺญิงคนหนึ่ง  ที่มีความเพรียบพร้อมทุกอย่าง  เฟอร์เฟ็กต์  ไร้ที่ติ  สวย  น่ารัก  อ่อนหวาน  พูดเพราะ  เรียบร้อย  



    มีสัมมาคารวะ  เรียกว่าหาที่เสียไม่เจอ  และที่สำคัญเขาเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ‘ตอง’  ได้เข้ามาพรากเวลาเหล่านั้น ของฉันกับเขาออกไป  



    เวลาที่ฉันคิดว่ามันยังเหลืออีกเยอะกับการที่จะทำให้เขาหันมารักฉันบ้าง  มันก็คงหมดลงไปแล้ว  ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะเลือดเย็น  



    ทำกับเพื่อนสนิทตัวเองได้ถึงขนาดนี้  เพราะตอง  ได้กระชากดวงใจของฉันออกไป  แล้วทำการเหยียบและกระทืบซ้ำด้วยพี่ฮายด์  



    พวกเขาสองคนนั้นไม่ผิดหรอก  เพราะเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย  เขาทำใจฉันสลายไปโดยที่พวกเขาไม่รู้อะไรเลย  จะมีเพียงฉัน  



    ที่ได้แต่รู้สึกฝ่ายเดียว  แน่ล่ะ  ก็ฉันรักเขามาข้างเดียวตั้งนานแล้วนี่  





                 ‘ตอง’  ผู้หญิงที่มีดวงตาสวย  มีแววตาเป็นประกาย  มีรอยยิ้มบาง ๆ แต่งแต้มใบหน้าสวยนี้เสมอ  ปากบางได้รูปสีชมพูเข้ม  



    เป็นผู้หญิงตัวเล็ก  บอบบาง  ที่เหมือนจะรอคอยผู้ที่จะมาดูแลและปกป้องตัวเธอ  ตรงข้ามกับคนอย่างฉัน  ซึ่งไม่ต้องการคนมาปกป้องสักนิด  



    ฉันสามารถทำอะไร ๆ เองได้โดยที่บางครั้งมันทำได้ดีกว่าผู้ชายบางคนด้วยซ้ำ  ฉันเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง  ฉันไม่ได้เป็นคนตัวเล็ก  



    ไม่ใช่คนบอบบาง  ไม่เรียบร้อย  ไม่น่ารัก ไม่ได้อ่อนหวาน  ไม่ได้พูดเพราะ  ไม่ได้มีใบหน้าที่สวยงามอะไร  แค่ผู้หญิงธรรมดา  



    แน่นอนว่าพี่ฮายด์ต้องเลือกตองอยู่แล้ว  





                อย่างที่บอกฉันไม่ใช่นางเอก  ที่จะต้องรักเขาข้างเดียวและยอมเสียสละคนที่รักให้คนอื่น



    ฉันจะต้องกลั่นแกล้งสารพัดให้ผู้หญิงคนนั้นออกห่างจากพี่ฮายด์ให้ได้  เพื่อคนที่เรารัก  ฉันจะทำอย่างนั้น  



    ไม่มีซะหรอกที่ฉันจะยอมให้คนที่ฉันรักไปมีคนอื่นได้  แต่ฉันก็ต้องเสียใจกับเรื่องราวทั้งหมด  เพราะแค่เริ่มต้นฉันยังทำอะไรไม่ได้เลย



    และแน่นอนแผนอื่นๆ ก็เกิดขึ้นไม่ได้  ในเมื่อคนที่ฉันรัก  ไปรักอีกคนที่ฉันรักเช่นกัน  ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่นางเอก  



    แต่ฉันก็ยังพอที่จะมีคุณธรรมบ้าง  ฉันจะไม่มีวันยอมให้คนที่ฉันรักเสียใจ  โดยเฉพาะเพื่อนสนิทของฉัน  





                 ทุก ๆ วันพี่ฮายด์คุยกับฉันด้วยเรื่องของตอง  ทุก ๆ อย่างของตองเขาคอยถามฉันตลอด  



    และฉันคงทำอะไรไม่ได้นอกจากให้ความร่วมมือกับเขาไป  ไม่มีสักครั้งที่ฉันจะปฏิเสธ  



    เปรียบกับฉันเป็นกระสอบทรายที่พร้อมจะให้นักมวยคนนี้ต่อยได้อย่างไม่ยั้ง  และก็จะไม่บ่ายเบี่ยงหลบ  ให้นักมวยต้องเปลืองแรง  



    ทุก ๆ วัน  เขาจะฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ  และกระสอบทรายอันนี้ก็ไม่เคยอู้  เหมือนเต็มใจจะเป็นคู่ซ้อมให้นักมวย  



    เขาต่อยกระสอบทรายทุก ๆ วัน  และเหมือนว่าทุกวันที่เขาต่อยจะเป็นที่ ที่เดียวกัน  ซ้ำแล้วซ้ำเล่า



    คล้ายกับว่าต้องการให้ทรายที่อยู่ในกระสอบรั่ว ออกมาให้ได้  โดยที่เขาไม่รู้เลย  ว่ากระสอบทรายอันนี้ก็มีความรู้สึกกับเขาเหมือนกัน  



    และมันก็มีหัวใจ  





                ตลกดีนะ ชีวิตฉันมันเหมือนนิยายน้ำเน่า  แต่นิยายเล่มนี้มันคงไม่เหมือนกับนิยายทั่ว ๆ ไปที่นางเอกต้องสมหวังเสมอไป  



    เพราะตอนนี้พระเอกของฉันได้มีคนที่ถูกใจแล้ว  แต่ถ้าจะคิดว่านิยายเล่มนี้ต้องจบด้วยว่านางเอกและพระเอกสมหวังกัน  ก็ได้นะ  



    เพราะตอนนี้เนื้อเรื่องก็ดำเนินมาใกล้ถึงตอนจบแล้ว  อีกไม่นาน  นางเอกและพระเอกจะได้สมหวังกัน  



    โดยมีมือที่สามอย่างฉันช่วยให้พวกเขาสมหวัง  สำหรับตัวฉันเองก็อยากจะทำให้นิยายเล่มนี้จบได้เร็ว ๆ



    เพราะฉันเป็นมือที่สามที่รักพระเอกเข้าไปเต็ม ๆ    





                    ถึงเวลาแล้ว  ที่กระสอบทรายอย่างฉันคงจะหมดความหมาย  ตอนนี้ใกล้แล้วที่ทรายมันจะไหลออกมาจากกระสอบ



      เมื่อมันถูกซ้อมจนหนัก  แต่กระสอบทรายใบนี้ก็ดีใจ  เมื่อได้ช่วยนักมวยคนนี้ให้สำเร็จ  ใช่  เขาชนะใจตองแล้ว  





                 ในที่สุดพี่ฮายด์กับตองก็เป็นแฟนกัน  ทั้งสองคนไปไหนมาไหนด้วยกัน  ไปดูหนังด้วยกัน  ไปทานข้าวด้วยกันทุกวัน



    คุยโทรศัพท์กันทุกวัน  และก็หวานกันได้สนิทใจ  ฉันรู้ดีว่าตองรักพี่ฮายด์มาก ก็เพื่อนสนิทฉันนี่นา ทำไมฉันจะไม่รู้  



    แน่นอนที่พี่ฮายด์ก็ดูจะรักตองมากเช่นกัน  





                ฉันรู้ตัวดีว่าอยู่ไปคงไม่มีความหมายอะไร  คงต้องถอยออกมาจากพี่ฮายด์แล้ว  



    ไม่อย่างนั้นกระสอบทรายถุงนี้คงได้ถูกเผาหรือไม่นักมวยคนนั้นก็ต้องจัดการกับมันโดยวิธีซักวิธีหนึ่ง   ฉันไม่อยากให้เขาทำอย่างนั้นเลย  



    ฉันจึงขอออกมาเองดีกว่า  ถ้าขืนปล่อยให้เขาเป็นคนไล่ฉัน  ใจฉันคงหยุดเต้นกันพอดี   ทว่า  ยังไม่ทันที่กระสอบทรายใบนี้จะหนีไป  



    นักมวยคนนั้นกลับนำผ้ามาปะตรงจุดที่เขาใช้ซ้อม  ทำเหมือนว่าเขายังไม่เคยใช้งาน  และคิดว่าเขาคงเก็บกระสอบทรายใบนี้ไว้เหมือนเดิม  



    ก็พี่ฮายด์ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง  ชวนฉันไปนิทรรศการวันดอกไม้บานเหมือนที่เคย  ไปเดินสวนสาธารณะกันตอนเย็น ๆ    



    เขายังให้ฉันสระผมให้  เขายังมารดน้ำกล้วยไม้ของเขาที่บ้านฉันอยู่เสมอ  เขาก็ยังโทรมาไม่เปลี่ยนแปลง  



    “หลี  ทำไมไปไหนไม่บอกกับพี่  ปล่อยให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย   หัดแคร์ความรู้สึกของคนอื่นบ้าง  นิสัยไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ  .....”



    และเขาก็ยังคงบ่นฉันเสมอเมื่อฉันไปไหนไม่บอกเขา







                 ฉันน่ะดีใจนะ  ที่เขายังไม่เปลี่ยนไป  ยังเหมือนเดิม  แต่ในขณะเดียวกันฉันก็เสียใจ  เสียใจแทนเพื่อนสนิทของฉัน  ที่ยอมไว้ใจ



    ให้เพื่อนของตัวเองสนิทกับคนรัก   การกระทำของเขา  มันทำให้คนอย่างฉันหวั่นไหว  ฉันดีใจทุกครั้งที่ยังเห็นเขามารดน้ำต้นไม้ให้



    ดีใจที่เขาชวนไปเดินสวนสาธารณะ  ดีใจที่เขาอนุญาตให้ฉันสนิทกับเขาและวางใจฉันมากถึงขนาดให้เข้าไปถึงบ้าน  



    ยอมให้ฉันใกล้ชิดถึงขนาดให้ฉันสระผมให้  ดีใจที่เขาโทรมาหาฉัน  ฉันรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่เขาโทรหา  



    ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าฉันขาดเขาไป  ฉันจะเป็นอย่างไร  ฉันจะขาดเขาได้หรือ  ฉันจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีเขา  



    ก็ตอนนี้เขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันไปแล้วนี่





               ถ้าเขาไล่ฉันออกไปไกล ๆ ด่าฉัน  ตวาดฉัน  ไม่ดีกับฉัน  เหมือนกับตอนนี้  มันอาจจะทำให้ความรู้สึกฉันดีกว่าตอนนี้ก็เป็นได้  



    เพราะการที่เขาทำกับฉันอย่างนี้  มันส่งผลให้ฉันเจ็บปวดเป็นหลายเท่าตัว  เขาคอยแคร์ฉัน  คอยเอาใจใส่ฉัน  แต่เขาไม่เคยรักฉัน  



    ไม่ได้รู้สึกกับฉันอย่างที่ฉันรู้สึกเลยสักนิด  





                   ฉันจำได้ว่าวันนั้นในตอนที่ฉันกับเขาเดินกลับบ้านเหมือนทุก ๆ วัน  พี่ฮายด์พูดบางอย่างขึ้นมา  บางอย่างที่ทำให้คนอย่างฉันรู้สึกผิดขึ้นเรื่อย ๆ



    “หลีเบื่อไหม ที่จะต้องเดินกลับบ้านกับพี่ทุกวัน”



    “ไม่นี่นา  จะได้ออกกำลังกายไปด้วยไง  อากาศก็สบ้ายสบาย  แล้วพี่ล่ะ  เบื่อไหมที่ต้องรอหลีที่โรงเรียนจนถึงหกโมงเย็นทุกวัน  



    ทั้ง ๆ ที่โรงเรียนเลิกตั้งแต่สามโมงกว่าแล้ว และบ้านเราก็ใกล้ ๆ โรงเรียนแค่นี้เอง  หลีว่าพี่แหละที่น่าจะเบื่อหลีมากกว่า”



    “ไม่หรอก  พี่จะเดินกลับบ้านกับหลีตลอดไปเลยก็ได้นะ”  



    “จริงเหรอ”



                 พี่ฮายด์ไม่ได้พูดอะไร  มีเพียงแต่รอยยิ้ม  รอยยิ้มนี้เองที่มันส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน  



    และรอยยิ้มนี้เหมือนกันที่มันไม่มีวันจะเป็นของฉันได้  ฉันรู้สึกผิด และผิดมากเมื่อนึกถึงเพื่อนรักของฉันเอง  



    ฉันไม่อยากให้เพื่อนรักของฉันต้องรู้สึกหึงหวงคนรักกับเพื่อนของตัวเอง  มันคงแปลกพิลึกนะ ถ้าเพื่อนฉันจะต้องรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ



    และฉันก็คงปล่อยให้เพื่อนรู้สึกอย่างนั้นไปไม่ได้  ฉันจะต้องตัดความรู้สึกทุกอย่างที่เคยมีต่อเขา และลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา





                   บางครั้งคนอย่างฉันก็ดูขี้คลาดไป   แค่เวลาที่ฉันคิดว่าฉันต้องลืมเขา  ต้องทำเย็นชากับเขา  



    ทำเหมือนว่าไม่มีเขาอยู่ในชีวิตอีกต่อไป  แค่คิดเท่านั้นเอง  ราวกับว่า  เลือดที่สูบฉีดเพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจฉัน  มันจะหมดไป  



    คล้ายกับว่าเลือดเหล่านั้นมันต้องมีส่วนของเขาด้วย  และถ้าขาดเขาไป  มันจะทำให้หัวใจฉันหยุดเต้น  



                  เพื่อเพื่อนของฉัน  ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สมควรที่สุดที่ฉันจะทำได้  บางครั้งฉันอยากจะให้พี่ฮายด์เย็นชากับฉัน  



    อยากให้เขาไล่ฉันออกไปจากชีวิตเขา  อยากให้เขาด่าฉันบ้าง  ทำอะไรก็ได้ให้ฉันเสียใจ  ไม่ใช่ ทำมาเป็นห่วงเป็นใยฉันอย่างนี้  



    เขาทำเหมือนว่าตัวฉันเป็นคนสำคัญสำหรับเขามากมาย  เหมือนว่าถ้าขาดฉันแล้วเขาจะอยู่ไม่ได้  เหมือนว่าฉันจะเป็นเพื่อนกับเขาตลอดไป



    เขาทำเป็นเหมือนว่า  เขารักฉัน ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย  และมันก็ไม่มีวันที่จะเป็นไปได้ด้วย  ในเมื่อเขามีคนรักอยู่แล้ว  



    มีคนที่เขาแคร์ที่สุดอยู่แล้ว    





    เขาชอบสเตอร์เบอรี่  ฉันชอบโชคโกแลต

    เขาใช้กระเป๋าตังค์สีสวยและหลากหลาย  ฉันใช้กระเป๋าตังค์ผ้าสีดำ

    เขาขาว  ฉันคล้ำ

    เขาสูง  ฉันเตี้ย

    เขาหล่อ  น่ารัก  ฉันไม่สวย  ไม่น่ารัก

    เขาเป็นลูกคนเดียว  ขณะที่ฉันเป็นเพียงเด็กเก็บมาเลี้ยง





                  ความแตกต่างของเราทั้งสอง  ทำให้ฉันพยายามเจียมเนื้อเจียมตัว  ไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายอีก  แค่ที่ผ่านมามันก็มากเกินพอ  



    สำหรับหมาอย่างฉัน  ที่ได้แต่คอยเงยหน้ามองเครื่องบินที่อยู่บนฟ้า  แม้คิดอยากจะเห่าเท่าไหร่  มันก็ไม่สามารถทำได้



    เพราะมันรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ



                  ปกติเราไปโรงเรียนด้วยกัน  คือ คนที่บ้านเราจะไปส่ง ถ้าเป็นคิวของบ้านฉันเขาจะมาหน้าบ้านฉันตั้งแต่  หกโมงครึ่ง



    และถ้าเป็นคิวของบ้านเขา  เขาก็จะมารับฉันที่หน้าบ้านตอนหกโมงครึ่ง  เผอิญว่าวันนี้เป็นคิวของบ้านเขาพอดี  ฉันจึงเลี่ยงที่จะไปกับเขา  



    โดยเขียนไว้ที่หน้าประตูบ้าน ว่า  ‘หลีไปโรงเรียนก่อนนะ’  และมันก็เป็นตามที่ฉันต้องการ  หกโมงครึ่งรถคันหรูก็มาจอดที่หน้าบ้านฉัน



    มีร่างบางสูงเดินลงมาด้วยหน้าตายิ้มแย้มเหมือนทุกครั้ง  เขากำลังจะกดกริ่งแต่ก็เหลือบไปเห็นป้ายหน้าบ้านเสียก่อน  



    จึงขึ้นรถกลับไปด้วยความหงุดหงิดใจเล็กน้อย  ฉันเดาอย่างนั้น  เพราะถ้าไปไหนไม่บอกกับเขาก่อนเขาจะเป็นอย่างนี้เสมอ  



    ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนก็คุยโทรศัพท์กัน และฉันก็บอกว่าพรุ่งนี้มารับด้วยนะ





        พอรถเขาลับสายตาไป  ฉันจึงเดินออกมาและเดินต่อเนื่องไปยังโรงเรียน  กว่าจะถึงก็สายไปเกือบครึ่งชั่วโมง  ครูเวรก็ไม่ได้ว่าอะไร  



    เพราะเห็นว่าฉันเป็นนักดนตรีและก็ไม่เคยมาโรงเรียนสายสักครั้ง  จึงเว้นโทษให้



                  ตอนกลางวัน  ฉันก็เอาแต่หลบหน้าเขา  ที่โรงเรียนเวลากินข้าวจะคนละเวลากัน  



    พี่ฮายด์จึงมีเวลาว่างมาหาฉันตอนพักกินข้าวของเขkเสมอ  และเป็นที่รู้กันว่าคาบนี้ของฉันเป็นคาบว่าง  



    คาบนี้ทั้งคาบเขาก็มัวแต่ตามหาฉันจนหมดเวลาพักทานข้าว  เขาดูอารมณ์เสียไม่น้อย  ที่อยู่ ๆ ฉันก็ดูแปลกไป  และเปลี่ยนไป  



    ฉันรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร  แต่ความรู้สึกของเขา  คงเทียบไม่ได้กับคนที่พยายามลืมเขา  โดยที่เห็นเขายังแคร์ตัวเองอยู่เสมอ  



    แต่จะทำไงได้  ในเมื่อฉันต้องการให้มันเป็นแบบนี้  ไม่ต้องการให้เราพบกัน  ไม่ต้องการให้เราเป็นเหมือนเดิม



      หลีขอโทษนะ  พี่ฮายด์





               ตอนเย็นของทุก ๆ วัน  พี่ฮายด์จะรอฉันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ของโรงเรียน  จนถึงเวลาเลิกซ้อมของนักดนตรี  คือ  หกโมงเย็น



    เมื่อถึงเวลา  เขาก็เก็บของที่อยู่บนโต๊ะเตรียมจะกลับบ้านพร้อมกับฉันเหมือนทุก ๆ วัน  



    “หลีกลับบ้านไปนานแล้วค่ะ”  เพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกันกับฉันบอกเขา  





              เมื่อได้ยินดังนั้น  เขาก็เดินออกจากโรงเรียนไปทันที  และเขาไม่ได้ไปทางกลับบ้านของเรา  เขาเดินไปที่ที่ไหนสักแห่ง



    ที่ที่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะไปไหน





            ที่ตรงนี้  ที่ที่เขาจะรอฉันตอนเย็นทุก ๆ วันก่อนกลับบ้าน  มันยังมีกระดาษที่เขาจะพับให้ฉัน  ทุก ๆ วันเหมือนเช่นเคย  



    จะแปลกไปก็ตรงที่มันมีข้อความหนึ่งเขียนไว้  ‘จะรอเสมอนะ’



          เพื่อนของฉันมันก็ถามว่ามีอะไรกันเหรอ  ฉันไม่ได้ตอบอะไรไป  เพียงแค่ยิ้มให้และก็เดินจากไปจากตรงนั้น  ด้วยคิดว่าถ้าอยู่นานกว่านี้



      เพื่อนฉันมันต้องเห็นน้ำตาของคนอย่างฉันเป็นแน่    ฉันเดินออกไปและไม่ลืมที่จะเอากระดาษใบนั้นติดมือไปด้วย  





                   ฉันไม่รู้ว่าฉันเดินมาที่นี่ได้อย่างไร  พอรู้สึกตัว  ฉันก็มายืนอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งนี้แล้ว  ก็ดีเหมือนกัน  



    ไม่อย่างนั้นพี่ฮายด์คงอาจจะรอฉันอยู่ที่หน้าบ้านก็เป็นได้  



                   วันนี้ฉันขอเหลวไหลสักวันเถอะ  ขืนถ้าฉันกลับบ้านไปตอนนี้  ต้องมีเรื่องแน่นอน  ฉันไม่อยากจะคิดเลย  



    ว่าคำถามต่าง ๆ มากมายมันจะถูกใครถามบ้าง



    \'ทำไมหลีกลับบ้านมาคนเดียว

    ทำไมกลับดึก

    แล้วฮายด์ล่ะ\'





    แค่คิดมันก็เหมือนยกเอาภูเขามาไว้บนหัวฉันหลายสิบลูก  รู้สึกหนักอึ้งเลยทีเดียว  นานเหมือนกันที่ฉันมาอยู่ที่นี่  



    ฉันไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งนิ่ง ๆ มองออกไปยังด้านนอกของสถานที่แห่งนี้  ดูการจราจรที่ติดขัดเหมือนทุกวัน  



    ปล่อยให้น้ำตานองหน้าอย่างเงียบ ๆ หวังว่ามันคงจะดีขึ้น ถ้าได้ร้องออกไป







                     ก่อนที่ผ้ากำมะหยี่สีดำยามราตรีที่มีดวงดาวประดับอยู่มากมายจะเกิดขึ้น  มีแสงสีแสดบนท้องฟ้า  ประดับด้วยฝูงนกกาต่าง ๆ



    เป็นร้อยพัน  คล้ายกับว่าเป็นเวลาที่วุ่ยวายบนท้องฟ้าเวลาหนึ่ง  เปรียบเสมือน  การจราจรอันคับคั่งของเมืองมหานคร



    และเมื่อพ้นเวลานั้นไป  ความเงียบสงบ  และความเย็นสบายได้แผ่เข้าปกคลุมแทนความวุ่ยวายเมื่อครู่  



    และฉันก็หวังว่าชีวิตฉันจะเป็นเช่นนั้น  เมื่อได้ผ่านเวลาที่เราท้อแท้และเสียใจ  ไปได้แล้ว  



    เราก็จะพบกับเราก็จะพบกับความเงียบสงบของช่วงเวลาที่เราจะมีความสุขกับมันได้  



    ถึงแม้เวลานี้ความเงียบสงบและความเย็นสบายที่เข้ามาแทนความวุ่นวายนั่น  จะกลายเป็นความเงียบเหงา  และวังเวงสำหรับฉันก็ตาม  





               หมู่ดาวบนผืนผ้ากำมะหยี่สีดำ  แข่งกันส่องประกายแวววาว  ดังเพชรที่มีค่าประดับผู้สวมใส่ให้สง่าขึ้น  



    ถ้าก่อนหน้านี้ฉันว่ารู้เพชรเหล่านั้นมันสวยขนาดนี้  ฉันคงไม่นั่งคุยกับเขาอย่างเดียวหรอก  หลายครั้งที่ฉันกับพี่ฮายด์มาที่นี่  



    เราตั้งใจที่จะมาดูดาวกัน  และพบว่าทุกครั้งเราไม่เคยชมเพชรน้ำงามบนผืนผ้าสีดำยามราตรีนั่นเลย



    อาจจะเป็นเพราะเรามัวแต่ชวนกันคุยบ้าง  เล่นกันบ้าง จนลืมว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร  





               พี่ฮายด์คงจะชอบมันมากนะ  ดาวดวงนั้น  ที่มีประกายสว่างสดใส  ระยิบระยับ อยู่บนท้องฟ้า  ซึ่งแม้แต่ผู้คนอื่น ๆ ก็พากันชื่นชม    





    ก็แน่ล่ะ  ดาวในน้ำอย่างฉันจะไปสู้อะไรได้  แม้มันจะเป็นดาวเหมือนกัน  รูปร่างเหมือนกัน  แต่ก็มีหลายอย่างที่ต่างกันอย่างสุดกู่  



    แค่ระดับที่อยู่มันอยู่ก็ต่างกันอย่างไม่มีวันพบเจอกันได้แล้ว  ถ้าให้เลือก  แน่นอน  ว่าคนทุกคนจะต้องเลือกดาวบนฟ้า  



    ที่มีแสงสว่างสดใส  พราวแพรว เป็นสง่า  เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า  ดาวเหล่านั้นก็จะถูกชื่นชมอยู่เสมอ  เหมือนว่าเป็นที่รักของคนทั่วไป



    กลับกันกับดาวในน้ำที่อยู่ต่ำต้อย  แม้จะเป็นดาวเหมือนกัน  แต่ความสว่างกลับหาไม่เจอ  น้อยคนนักที่จะนึกถึงมัน  



    มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ผู้คนชื่นชม  แต่กลับเป็นสิ่งที่ผู้คนมองมันไม่ค่อยจะเห็น  ตรงกันข้ามกับคนที่ผิดพลาดในชีวิต   ผิดหวัง  หรือเศร้าใจ  



    กลับมองเห็นแต่ดาวในน้ำดวงนั้น  ที่มันอยู่พร้อมกับยิ้มรับรอยน้ำตาจากผู้คนเหล่านั้น  ไม่ว่าเวลาไหน  มันคงยิ้มสู้  



    และยังคงเป็นกำลังใจให้กับผู้คนที่มองเห็นมัน  





    ฉันคงต้องเจียมตัวให้มากกว่านี้สินะ    



                ตามทางเดินที่มีแสงไฟจากดวงดาวบนท้องฟ้า  และโคมไฟ  ฉันมุ่งหน้าตรงกลับบ้าน  โดยที่ไม่สนใจสิ่งใดที่อยู่รอบตัว



    ถ้าไม่มีเสียงอะไรที่ดังออกมา  ทำให้ฉันต้องเหลือบไปมอง  และหยุดชะงักอยู่ท่ามกลางแสงนวลของดวงจันทร์  



    สิ่งที่ฉันเห็นมันไม่ได้ทำให้ฉันคิดจะหนี  ไม่คิดจะหนีออกไปไกล ๆ ใช่  ฉันไม่ใช่นางเอก  ฉันจึงไม่คิดจะเบี่ยงหลบสายตา  



    จากภาพตรงหน้า  แม้ภาพนั้นจะทำให้เจ็บปวดเพียงใด  ภาพที่เป็นเหมือนมีดคม ๆ  ยิ่งมอง มันก็ยิ่งเหมือนจะกรีดหัวใจ  



    ให้แหลกสลายและลึกลงไปทุกที





                มีหญิงชายเพียงสองคนตามลำพัง  เหมือนว่าชายคนนั้นจะมีกล่องของขวัญมาให้หญิงสาวร่างบางคนนั้นด้วย  



    มันเป็นเพียงกล่องเล็ก ๆ เท่านั้น  แต่ของข้างในกลับทำให้ใบหน้าร่างบางข้าง ๆ เขา มีรอยยิ้มผุดขึ้นมา  



    เขาใส่สร้อยคอให้ร่างบางข้างตัวด้วยความตั้งใจ  ดูเขาทั้งสองจะมีความสุขมาก   ถึงแม้จะมีแสงไฟจากโคมและดวงดาวยามราตรีเท่านั้น





    แต่ฉันก็รู้  รู้ว่าชายหญิงคู่นั้นเป็นใคร  ทั้งสองเป็นคนที่อยู่รอบตัวฉัน และฉันก็รู้จักพวกเขาดี  



    ร่างบางเป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจกันมาตั้งแต่ประถม  และร่างสูงอีกคน คือคนที่ฉันรักจนหมดใจ









                 ราวกับว่าทำนพทลาย  ภาพที่ฉันเห็นพร่ามัวไปหมด  ด้วยน้ำใส ๆ ที่ร่วงหล่นจากดวงตาคู่นี้    นี่ไงสิ่งที่ฉันอยากให้เป็น  



    และก็นี่อีกไง  สิ่งที่ทำให้เขามีความสุข  





                    ฉันเคยคิดว่าสิ่งที่เขาทำ  สิ่งที่เขาให้ สายตาที่เขามองมา  และรอยยิ้มที่มีให้ฉันเสมอ



    เป็นการบอกถึงความรู้สึกภายในใจของเขาที่ตรงกับความรู้สึกของฉัน  แม้จะไม่บอกเราทั้งสองก็รู้ได้  แต่ตอนนี้  ฉันได้รับคำตอบแล้วว่า  



    ฉันเองที่โง่  ฉันเองที่หลอกตัวเองมาตลอด  มันก็สมควรแล้วล่ะ  กับบทเรียนบทนี้





                ฉันไม่รู้ว่านานเท่าไหร่กับเวลาที่ผ่านไป  ความคิดฉันตอนนี้มีแต่เพียง  เขา  คนเดียวเท่านั้น  น้ำตาที่ได้ปล่อยให้มันไหลออกไป  



    มันทำให้ฉันไม่มั่นใจเลย  ว่ามันจะหมดสิ้น  ว่ามันจะไม่มีอีก  ฉันรู้สึกไม่มั่นใจเลย  เมื่อได้รับรู้ว่าตัวเองอ่อนแอขนาดไหน





                เป็นเวลาเกือบอาทิตย์ที่ฉันทำแบบนี้  วันนี้เป็นวันศุกร์และอาทิตย์หน้ามีงานที่โรงเรียน  ทางโรงเรียนจึงประกาศหยุด 1 อาทิตย์  





    มันทำให้ฉันโล่งใจมาก  เพราะมันง่ายเหลือเกินกับการหลบหน้าพี่ฮายด์ในวันหยุด  และเช่นกันวันนี้ฉันทำเหมือนเดิม  



    เหมือนวันก่อน ๆ และก็เหมือนเดิมที่พี่ฮายด์ดูจะหงุดหงิด  แต่ระดับความหงุดหงิดมันต่างจากวันแรกมาก  เมื่อผ่านตอนเช้าไปได้



    ฉันก็รู้สึกว่าเหมือนยกภูเขาออกจากอกไปทีละลูก  แม้ว่าการเดินไปโรงเรียนจะเป็นการหลบหน้าที่ดีที่สุดสำหรับฉัน



    แต่มันก็เป็นอุปสรรคอยู่ไม่น้อย  เพราะอาทิตย์นี้ นับดูดี ๆ แล้ว  ฉันกระโดดตบเป็นพันครั้งแล้วมั้ง  สงสัยวันอื่นจะต้องหาวิธีที่มันดีกว่านี้





                  ถึงตอนกลางวัน  อย่างที่คิด  เพราะฉันก็ทำวิธีเดิม และมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี  แต่ด้วยวิธีนี้ มันทำให้เขาดูผอมลงไปกว่าเดิมมาก  





    ปกติเขาก็ผอมอยู่แล้ว นี่ข้าวกลางวันไม่ได้กินเกือบอาทิตย์ก็เลยดูผอมลงไปใหญ่  และอีกครั้งที่ฉันคิดว่าต้องเปลี่ยนวิธีอื่นที่มันดีกว่านี้  



    ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป  พี่ฮายด์คงตายแน่ ๆ







             ทุก ๆ อย่างที่ทำดูเหมือนว่าจะเป็นเหมือนเดิม  เหมือนวันแรกที่ฉันเริ่มตีตัวออกห่าง  กระทั่งตอนเย็น  



                 “หลีกลับบ้านไปนานแล้วค่ะ”  เขาอาจจะหงุดหงิดเหมือนวันก่อน ๆ แต่ไม่เลย  สายตาเขามีแต่ความเศร้าหมอง



    ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเขาที่ฉันเคยเห็น  สิ่งที่ทดแทนกลายเป็นความเงียบเหงา  



                    จากสายตาเขา  มันหยุดไม่ได้จริง ๆ เมื่อได้มองดวงตาคู่นั้น  มันไม่สามารถหักใจให้เบี่ยงหลบสายตาไปทางอื่นได้  



    สายตาที่เคยบ่งบอกความเข้มแข็ง  ความแข็งแกร่ง  ที่พร้อมจะดูแลใครสักคนที่อยู่ในหัวใจเขา  ให้มีความสุขได้เสมอ  บัดนี้  



    สายตานั้นกลายเป็นผิดหวัง  กลายเป็นความปวดร้าว  กลายเป็นความเงียบเหงา  แทบจะล้มลง  เมื่อเห็นน้ำตาเอ่อคลอบนดวงตาเขา  



    ไม่สิ  บางทีฉันอาจจะตาฝาดก็ได้





                 ลับร่างสูงบางไปแล้ว  ฉันตรงดิ่งไปยังที่ที่เขารอฉัน  กระดาษที่เขาเคยพับให้ฉันทุกวัน  มันก็ยังคงมีเสมอ  ไม่เปลี่ยนไป  



    ฉันตัดสินใจเดินตามร่างสูงบางนั้นไป  อยากรู้ว่าเขาจะไปไหนอีก  ในเมื่อทุก ๆ วันนั้น  เขายังคงมีตองเสมอ  



    ถึงแม้จะมีความเศร้าจากเรื่องของฉัน  แต่เขาก็มีรอยยิ้มให้ตองไม่เปลี่ยนแปลง  ฉันคงคิดผิดไปว่าเขาจะเสียใจให้กับเรื่องของฉัน  



    ใช่ฉันอาจจะคิดผิดไปจริง ๆ เมื่อทุก ๆวัน เขายังมาพบตองเสมอ  ไปทานข้าวด้วยกันเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น



    หลายครั้งที่ฉันตามเขาทั้งสองไป  ฉันดีใจที่เวลาอยู่กับเขาแล้วทำให้ตองมีความสุข  และเช่นกันกับเขา  การที่ได้อยู่กับตองก็ทำให้เขามีความสุข



    มันทำให้ฉันรู้สึกดีใจที่ตัวเองสามารถถอยออกมาจากเขาได้สำเร็จ  และก็ดีใจที่ตองไม่ต้องมาคิดหึงหวงคนรักกับเพื่อนสนิทของตัวเอง



    ถ้าตอนนั้นฉันไม่ได้อยู่ในที่สาธารณะ  มันอาจจะมีรอยยิ้มทั้งน้ำตาเกิดขึ้นก็เป็นได้  





                   ตอนนี้เขาและฉันอยู่ในสวนสาธารณะแห่งนี้  เขานั่งลงบนม้านั่ง  สายตาเขายังคงเหมือนเดิม  ฉันอาจจะเข้าข้างตัวเองไปก็ได้  



    ที่เห็นสายตาของเขาเป็นอย่างนั้น  และเมื่อเขาหยิบกระเป๋าสตางค์ที่มีรูปฉันอยู่ข้างในมาดู  คล้ายกับอารมณ์ของเขาได้เปลี่ยนไป  



    ฉันได้เห็นมือขาวกำหมัดแน่น  ทั้งทุบทั้งต่อย  ลงไปบนผนังตึกสีขาว  และสิ่งที่ฉันไม่มันใจว่าจะหมดก็เป็นจริง  น้ำใส ๆ ค่อยๆ  ไหลรินจากดวงตาเล็ก  ๆ คู่นี้  



    แม้เวลาที่ผ่านไปจะนานเท่าไหร่  ฉันมองไม่เห็นว่าสิ่งที่เขาทำจะหยุดได้เลยสักนาที   ราวกับหมัดของเขาเป็นก้อนหินที่ทุบลงในใจฉัน  



    ซ้ำและหนักลงตรงจุดเดิม  ยิ่งเขาต่อยนานและหนักเท่าไหร่  ใจฉันมันก็บอบและช้ำมากเท่านั้น  







               เข่าของฉันเหมือนจะอ่อนลงไป  แรงที่ใช้ยืนอยู่บนโลกใบนี้  หายไปกับรอยเลือดบนผนังสีขาวนั่น  เขาคงจะเจ็บน่าดู  



    เลือดออกขนาดนั้น  ฉันคงเลวมากสินะ ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้  ทำให้คนที่ตัวเองรักเจ็บได้  แต่เขาไม่ได้รักฉันไม่ใช่เหรอ  



    ทำไมเขาต้องทำอย่างนี้ด้วย  





               ยิ่งเขาเจ็บเท่าไหร่  ฉันก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น  รอยเลือดที่มันเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่  น้ำตาฉันมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ





             ฉันเองไม่ใช่ผู้หญิงพอที่จะเป็นนางเอกในละครได้  ไม่ใช่นางเอกที่เห็นพระเอกทำร้ายตัวเองแล้วจะเข้าไปช่วย  ฉันคงไม่ดีขนาดนั้น



    อย่างที่บอกฉันคงเลวมากคนหนึ่ง  แค่คำว่าเลวคงยังไม่พอกับคนอย่างฉัน   ฉันคิดว่าฉันจะไม่กลับไป  ไม่ไปหาเขา  



    ไม่อย่างนั้นความพยายามที่ทำมาเกือบอาทิตย์ของฉันจะสูญเปล่า แม้การกระทำนี้มันจะทำให้ตัวฉันเองดูเป็นคนใจร้ายก็ตาม  



    แต่ฉันตัดสินใจเดินกลับไป   กลับไปทั้งความเศร้าเสียใจ  กลับไปทั้งคราบน้ำตา  กลับไปกับความเลวของตัวเองที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้  





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×