ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อดีต..ปัจจุบัน ฉันและเธอ (The memory of you)

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ย. 48




                       ฉันได้รู้จักกับพี่ฮายด์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว  ตอนนั้นฉันยังเรียนอยู่ม.3 ในโรงเรียนชื่อดังของเมืองมหานครแห่งนี้  



    มันไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากสำหรับการสอบเข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของฉัน ก็สมองและรอยหยักของฉันมันคงมีมากพอสมควร(ในตอนนั้น)  



    จึงทำให้ฉันสอบเข้าที่นี่มาด้วยคะแนนอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว  



                  ฉันเป็นนักดนตรีของโรงเรียนซึ่งก็พอจะมีคนรู้จักฉันมากพอควร  เนื่องจากฉันจะต้องออกงานต่าง ๆ ไม่ว่าในหรือนอกโรงเรียน  



    บ่อยครั้งที่มีหน้าฉันฉายบนจอแก้วตามบ้านเรือน น่าตลกดี  เมื่อนึกถึงคนที่เข้ามาจีบฉัน  มันไม่เท่าไหร่หรอก ถ้าเป็นแค่คนเดียว  



    นี่มากันมากหน้าหลายตาให้ฉันได้เลือกมากมาย  ทั้ง ๆ ที่ฉันก็เป็นผู้หญิงที่ถือว่าหน้าตาธรรมดา ๆ  คนหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรพิเศษ



    หรือมีอะไรที่คนอื่นเค้าไม่มีเลย  ซ้ำฉันยังเป็นผู้หญิงที่ไม่น่าสนใจเสียด้วย  เพราะฉันไม่ใช่คนสวยมากมายอะไร  



    แค่พอดูได้นี่ก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว  คิ้วบาง ๆ ทับบนดวงตาที่ไม่ค่อยจะมีชั้นสักเท่าไหร่  ปากเป็นรูปกระจับสวยแต่สีนี่สิมันไม่ได้สวยไปด้วย  



    ยังกะคนสูบบุหรี่ แถมผิวยังขาว ‘ไปหมด’ อีก  เนี่ยแหละ  แล้วมันจะสวยได้ยังไง    ก็ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่เหมือนผ้าพับไว้  



    ไม่ใช่ผู้หญิงที่น่ารัก  และก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เหมือนผู้หญิง  อาจจะเป็นเพราะเพื่อนของฉันเป็นผู้ชายเสียมากกว่า  



    ก็เครื่องดนตรีที่ฉันเล่นอยู่มันมีแต่ผู้ชายนี่นา  แต่ทั้งหมดที่เป็นฉันมันทำให้ฉันเป็นคนดังคนหนึ่งในโรงเรียน    



                    ตอนนั้นพี่ฮายด์อยู่ ม.4 เป็นนักเรียนเข้าใหม่  ฉันรู้ว่าเขาเพิ่งย้ายมาจากด้านหนึ่งของเมืองนี้  



    ก็วันที่เขาย้ายมาฉันก็เห็นเขาและยังได้คุยกับเขาเลย  ไม่ใช่อะไรหรอก  เพราะแม่ของพี่ฮายด์เค้ารู้จักกับแม่ของฉันมาก่อนน่ะสิ



      พี่ฮายด์เป็นคนที่เรียนเก่งคนหนึ่ง  ซึ่งฉันเองก็ทึ่ง ๆ อยู่นะ  เพราะสายการเรียนที่เขาเรียนน่ะเป็นสายการเรียนที่ยากสายหนึ่งเลย



    แต่เกรดที่เขาได้น่ะสิ  หืม มันเยอะมากนะสำหรับสายนี้  แล้วเขาเองก็เป็นผู้ชายด้วย  นี่แหละที่ฉันนึกชื่นชมเขา  



    เขาเป็นคนที่มีหน้าตาดีมากเลยทีเดียว  สาว ๆ กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่  นอกจากส่วนสูงที่ต่างจากคนทั่วไปแล้ว  



    เขายังมีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์อย่างโดดเด่นเลยทีเดียว  คิ้วเข้มหนา  พาดบนดวงตา กลมแต่ไม่ถือว่าโตนัก  ปากบางที่เป็นสีแดงระเรื่อ  



    ผิวขาวถึงขาวจัด  จมูกโด่ง  นอกจากเครื่องประดับบนหน้าที่กล่าวมาแล้ว  เขายังมีรูปหน้าที่สวยเหมือนผู้หญิงอีกต่างหาก  



    ซึ่งทั้งหมดนี้มันต่างกับคนอย่างฉันอย่างสุดกู่  แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ  เขาเล่นดนตรีเหมือนกับฉันและก็เป็นตำแหน่งเดียวกันซะด้วย



    แต่พี่ฮายด์ไม่ได้เล่นเป็นกิจกรรมพิเศษ ไม่ได้เป็นนักดนตรีของโรงเรียน เราจึงไม่ได้พบกันบ่อยนักที่โรงเรียน  



    บางเวลาที่เราสองคนเล่นดนตรีด้วยกันนะ  จะมีพวกปากหอยปากปูปากปลา(ร้า)  มาเสียดสีให้มันรู้สึกเจ็บแสบบ้างบางเวลา  



    เช่น  แหม  คู่นี้เหมือนดอกไม้กับโลงศพเลยนะ  ต๊าย ใครเอาควายมาอยู่กับราชสีห์เนี่ย  เป็นไง แค่นี้ก็รู้แล้วว่าไอ้โลงศพกับควายน่ะ



    มันใคร  ก็ต้องทนอ่ะนะ  เวรกรรมจริง ๆ



                      ฉันได้รู้จักกับพี่ฮายด์ก่อนที่พี่ฮายด์จะเข้ามาเรียนในโรงเรียนเดียวกับฉัน ฉันจำได้ตั้งแต่วันแรก  วันที่พี่ฮายด์ย้ายบ้านมา  พี่ฮายด์เป็นคนทักฉันก่อน



    “ สวัสดีครับ”



    “ค่ะ”



    “ชื่ออะไรเหรอครับ”



    “อ๋อ  หลีค่ะ แล้ว  พี่....”



        “ฮายด์ครับ”



    “ค่ะ  เพิ่งย้ายมาใหม่ใช่ไหมคะ  แล้วแม่เราก็คงรู้จักกันด้วยใช่ไหมคะ”



    “ครับ  คิดว่าใช่”



    “งั้น  หลีขอเรียก  พี่ว่า  พี่ฮายด์แล้วกันนะ  แล้วพี่ก็ไม่ต้องพูดครับด้วยนะ  ฟังแล้วมันห่างไกลกันไปมั้งเนอะ  คุยกันเหมือนเพื่อน ๆ ดีกว่า   ไม่ต้องเป็นทางการหรอก”



    “ได้ครับ  เอ๊ย ได้ ๆ งั้นหลีช่วยแนะนำพี่ด้วยนะ  พี่ยังไม่ค่อยรู้จักกับที่นี่เท่าไหร่”



    “ได้จิ  เดี๋ยวหลีพาพี่เดินไปรอบ ๆ ดีกว่า   แล้วหลีจะพาพี่ไปเที่ยวด้วย”



    “จริงเหรอ  ดีเลย”





    “หลีนี่ดูร่าเริงดีเนอะ  คนที่โรงเรียนเก่าพี่ไม่ค่อยมีแบบหลีหรอก  ส่วนมากจะเป็นเด็กเรียนกันทั้งนั้น  น่าเบื่อจะตาย”



    “แหมพี่  เรียน  เรียน เรียนและเรียนไป  วัน ๆ ได้แต่หน้าบึ้งหน้างอ  หลีไม่ค่อยชอบหรอก  บ้า ๆ บอ ๆ ทั้งวันดีกว่า”



    “หลีน่ารักดีเนอะ”



    “โห  พี่  ร้อยวันพันปีจะมีคนชมซักคน  มองใหม่ได้นะ ยังให้โอกาสแก้ตัวน้า”



    “ทำไมล่ะ  ก็จริง ๆ นี่  พี่ไม่เคยเห็นใคร น่ารักแบบหลีมาก่อนเลย”



    “คนที่โรงเรียนหลีนะ  ไม่เห็นจะมีใครบอกซักคน”



    “สงสัยคนเค้าไม่ทันสังเกตมั้ง  ว่าหลีน่ารัก”



    “ส้าธุ  ขอให้มันเป็นจริง ๆเถอะ”



    “แหม  พี่ฮายด์ก็ไม่ใช่ย่อยน้า  หล่อนี่”



    “จริงดิ  พี่ไม่เห็นจะรู้เลย”



    “ก็จริงไง  นี่ถ้าไปเรียนที่โรงเรียนหลีนะ  คงจะมีแต่คนสังเกตทั้งนั้นแหละว่าพี่หล่อ  คงไม่เหมือนหลีหรอก  ที่ไม่เคยสังเกตว่าหลีน่ารัก”



    “ฮ่า ๆ ๆ ๆ   เฮ้ย”  เขาหัวเราะพร้อมอุทานออกมาเมื่อฉันกำลังเดิน ๆ อยู่แล้วขาพลิก



    “เป็นอะไรหรือเปล่าหลี  ”



    “ไม่เป็นไรหรอกพี่  เดี๋ยวนี้ไม่รู้เป็นไง  ได้อยู่ใกล้ ๆ ผู้ชายยย  แล้วมันอ่อนระทวย   ฮ่า ๆ ๆ”





                      แค่ครั้งแรกที่คุยกันฉันก็รู้สึกถูกชะตากับเขาอย่างบอกไม่ถูก  เขาไม่เหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไป ที่ยังไงก็เป็นผู้ชายวันยังค่ำ  



    ไม่เคยรู้เท่าทันนิสัยผู้หญิง  หรือไม่เคยใส่ใจในรายละเอียดต่าง ๆ ที่ผู้หญิงทั้งหลายอยากให้ผู้ชายเป็น   พี่ฮายด์เป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ  



    และเป็นสุภาพบุรุษทุกระเบียดนิ้ว  เนื่องจากการคุยด้วยกันกับเขาแล้ว  เขาทำให้ฉันรู้สึกอย่างนั้น  



                 ฉัน เชื่อมั่นเสมอว่า  ไม่มีทางเป็นไปได้กับการเจอกับปุ๊ปก็รักกันปั๊ป   ฉันไม่เคยเชื่อเลยว่าความรักที่มั่นคงจะเกิดขึ้นเพียงแค่พบกันครั้งแรก  



    ซึ่งตอนนี้ฉันก็ยังเชื่อมั่น กับความคิดนั้นเสมอ   เพียงแต่ว่าการที่ได้พบกับเขามันทำให้ฉันยอมรับอยู่ข้อหนึ่งที่ว่า  



    เพียงแค่เราได้ถูกชะตากับใครแล้ว  แค่คุยกันแป๊ปเดียวก็เหมือนรู้จักกันมานาน  เพียงไม่กี่วันฉันกับเขาก็สามารถสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว  



    ราวกับได้รู้จักกันมาเป็นสิบปีก็ไม่ปาน



      +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





    “พี่ฮายด์  วันนี้ไปเที่ยวกันเหอะ”



    “โอเค  ได้ ๆ วันนี้ว่าง”



    “แล้วนี่ทำไรอยู่อ่ะเนี่ย  เดี๋ยวหลีจะแวะไปที่บ้านพี่นะ”



    “เฮ้ย  ยังไม่ต้องมา”



    “ทำไมล่ะพี่”



    “ก็พี่ยังไม่ได้แต่งตัวเลยน่ะสิ”



    “ไม่เป็นไรพี่  หลีถึงหน้าบ้านแล้วแหละ”



    “ยัยหลีเอ๊ย  เข้ามาเดี๋ยวได้เห็นพี่โป๊แน่ ๆ เลย”



    “ไม่เป็นไร  นาน ๆ เห็นที 555”





                       รายการทีวี  รายการตลกต่าง ๆ จะเป็นเพื่อนฉันเสมอในวันปิดเทอมหรือวันหยุดสุดสัปดาห์  เนื่องจากฉันเป็นคนในครอบครัวที่อายุน้อยที่สุดและยังไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง  



    จึงต้องอยู่บ้านคนเดียว  ซึ่งเพื่อนของฉันจากคนได้กลายเป็นโทรทัศน์จอสีขนาด 30 นิ้วไปเสียแล้ว  



    ถ้าเวลาไหนอุตริคิดอยากมีแฟนขึ้นมาล่ะก็  จากผู้ชายได้เปลี่ยนเป็นชุดโฮมเทียเตอร์ที่ตั้งอยู่ในห้องนอน



    มันอาจจะเป็นปกติสำหรับหลาย ๆ ครอบครัว  แต่เมื่อมีพี่ฮายด์เข้ามาในชีวิตฉัน  ดูเหมือนว่าเพื่อนของฉันได้กลายร่างกลับมาเป็นคนอีกครั้ง



    และฉันก็รู้สึกดีใจว่าฉันคงไม่ได้เป็นมนุษย์ประหลาดอย่างที่ฉันเคยคิดอยู่บ่อย ๆ  



                   ฉันยอมรับว่าครั้งแรกที่ได้เจอเขา  ฉันก็แอบสนใจเขาอยู่ไม่น้อย  แต่ด้วยความคิดที่ว่า  ไม่มีทางเป็นไปได้กับการตกหลุมรักใครสักคนเพียงแค่ได้พบหน้า  มันทำให้ฉันคิดว่าความรู้สึกที่มีเป็นเพียงความสนใจของฉันมีต่อเขา  



                   เวลาที่ฉันได้เห็นหน้าเขา  ฉันรู้สึกดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็น  และฉันกลายเป็นคนพูดมากกว่าปกติเมื่อได้พูดคุยกับเขา  



    เมื่อมีเขามาอาการของฉันกำลังใกล้เข้าขั้นคนบ้าเข้าไปทุกที ก็รอยยิ้มที่เคยมีเกือบตลอดเวลา  ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เวลาที่ได้อยู่กับเขา  



    น่าแปลกสำหรับอาการทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับฉัน  แต่ฉันก็สามารถแก้ตัวให้กับตัวเองได้  



    ในเมื่อตลอดเกือบ 3 ปีที่ผ่านมาในชั้นมัธยมต้นฉันไม่เคยมีเพื่อนที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ตลอดเวลา  



    ก็เลยรู้สึกดีใจมากเมื่อมีเขาเข้ามาเป็นเพื่อน  จึงทำให้ความรู้สึกมันเป็นอย่างนั้น





                    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



                   “พี่ฮายด์ หลีหิวอ่ะ  เมื่อเช้าไม่ได้กินข้าวมา  กลางวันมันก็เลยมาแล้ว  ไปหาที่กินข้าวกันเถอะนะ”  ฉันส่งเสียงออดอ้อน  เมื่อเขาจะลากฉันไปดูชุดกีฬาที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังในตัวเมือง



                    วันนี้ก็เป็นวันหนึ่งที่เรามาเที่ยวกัน  ผ่านมาได้ไม่กี่อาทิตย์  เหมือนกับว่าความสนิมสนมพุ่งกระชูด  



    เราพากันไปเที่ยวกันทุก ๆ ที่ที่จะไปได้  เมื่อวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ก็พอดีกับห้างสรรพสินค้าแห่งนี้  



    ที่เป็นที่สุดท้ายที่เหลือให้เราเที่ยวกัน  เนื่องจากห้างหลาย ๆ ห้างในระแวกนี้  สองคนฉันและเขาได้พากันตะลุยกันมาหมดแล้ว  



    “อ้าว   เหรอ  พี่ก็ดูเพลิน ป่ะไปกินกัน  วันนี้กินอะไรกันดีล่ะ”



    “กินสุกี้แล้วกันนะ  หลีอยากกิน”  ความจริงจะเรียกว่าอยากกินไม่ได้หรอก  ในเมื่อสุกี้  มันเป็นสิ่งที่ฉันยังไม่เคยกินในสัปดาห์นี้  



    ที่หมดไปกับ 5-6 วันนั้น  สองเราสรรหาอะไรมากินกันนักก็ไม่รู้  ความอ้วนคือสิ่งที่ฉันกลัวที่สุด  



    และมันคงกำลังจะมาเยือนอีกครั้งในไม่ช้านี้แน่นอน





                  ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



                 “หลี  โอเคไหม  ครั้งเดียวเอง”  เขาพูดพร้อมแววตาเป็นประกาย  ประหนึ่งว่ามันอาจจะเป็นการอ้อนวอนแกมทะลึ่งทะเล้น



                “ไม่ดีมั้งพี่ฮายด์”  ครั้งแรกฉันคิดไว้ในใจว่าโอเคเลย  แต่คิดไปคิดมาฉันมันก็ผู้หญิง  (ต้องคิดด้วยเหรอนี่)  มันจะไม่สู้ดีเท่าไหร่  



    แล้วในนี้มันที่สาธารณะ  สายตาผู้คนที่ผ่านไปผ่านมามันต้องมีหันมามองกันบ้าง  บางทีไม่เพียงแค่หันมามองมันต้องจ้องเป็นไทยมุงกันล่ะน่า



    เหมือนว่าเขาจะรู้ถึงความรู้สึกของฉัน



                    “หลีจะอายอะไร  คนเยอะแยะ”  ประโยคแรกเหมือนต้องการให้ฉันคลายกังวล และไม่กระอักกระอ่วนใจ  แต่ประโยคหลังนี่มันทำให้ความอายของฉันที่มี  (อยู่บ้าง)  พุ่งกระชูด  อยากจะชกปากคนพูดเสียเหลือเกิน  



                 “นี่ตกลงจะให้อายหรือไม่ให้อายเนี่ย”



                 “โอเค ๆ พี่พูดเล่น  ครั้งนี้ครั้งเดียวน่า คนอื่นเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกัน”



                 เวร  นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันอยากให้คนอื่นรู้



                  “นี่ลองคิดดูดี ๆ นะหลี  มันทำให้เราประหยัดงบประมาณของเราได้เป็นอย่างดีเลยนะ อย่างน้อย  เราก็สามารถเลือกกินอะไรก็ได้  จะแพงก็ได้นะ ลองคิดดูสิ”



               “เอาวะ  ตายเป็นตาย สู้โว้ย”  ฉันตอบตกลงเขาไปอย่างใจสู้  อย่างว่าเรื่องเงินน่ะสำคัญที่สุด



                   ไม่รู้ว่ามันเป็นโปรโมชั่นอะไรของทางห้าง   ที่อยู่ ๆ  จัดการแข่งขันขึ้น  การแข่งขันอะไร  ฉันก็เรียกไม่ถูกนะ  อุปกรณ์ในการเล่น



    ก็ไม่มีอะไรมากหรอก  แค่ผ้าผืนเดียว  แต่ข้อจำกัดของผู้ร่วมเล่นนี่สิ  มันทำให้เราสองคนจำต้องเลิกคิดไปได้เลย  



                  ต้องให้คนที่เป็นแฟนกันเล่นเท่านั้น



                โห  แล้วอย่างนี้ฉันจะเล่นได้อย่างไร  ในเมื่อฉันและเขาไม่ได้เป็นแฟนกัน  แต่เหมือนสวรรค์เข้าข้าง (หรือนรกไม่รู้)



    ที่ทางพิธีกรมองเห็นรังสีหรือรัศมีของฉันกับพี่ฮายด์โดดเด่นเป็นประกาย  จึงขอเชิญมาร่วมเล่นเกมส์นี้  โดยมีรางวัลที่เรียกว่าวิเศษที่สุด  



    กินอะไรก็ได้  ฟรีทุกอย่าง   แล้วอย่างนี้มีหรือที่น้องหลีจะไม่ชอบ  ไม่เพียงฉันคนเดียวเท่านั้น  ร่างสูงขาวข้าง ๆ ก็เห็นด้วย



               เมื่อฉันได้รับรู้ถึงวิธีการเล่นของเกมส์นี้แล้ว  ฉันก็อยากจะปฏิเสธใจแทบขาด  แต่เมื่อเห็นสีหน้าของพี่ฮายด์อ้อนวอนเสียเหลือเกินนั้น



    ก็ทำให้ฉันเปลี่ยนเป็นไม่มั่นใจแทนการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง   ไม่มีอะไรมากครับ  แค่คู่รักคู่ไหนได้อยู่ในผ้าผืนนี้เป็นคู่สุดท้ายได้  



    ก็จะเป็นผู้ชนะ  โดยลำดับการเล่นของเราจะพับผ้าให้เล็กลงเรื่อย ๆ  แล้วทุกคนคงรู้ดีว่า  คู่รักคู่ที่จะอยู่เป็นคู่สุดท้ายนั้นแล้วก็ต้องกอดกันกลมเป็นแน่แท้  



              นึกออกไหมคะ  การเล่นแบบนี้  เอาผ้าปูแล้วเอาคู่รักแต่ละคู่เข้าไป  เมื่อพับให้เล็กลง  คู่รักแต่ละคู่ก็จะต้องเบียดกันมากขึ้น  และพยายามทรงตัวอยู่ในผ้าผืนนี้ให้ได้ดีที่สุด



             “หลีเข้ามาอีกหน่อยสิ  เดี๋ยวก็ได้แพ้กันพอดี”  พี่ฮายด์เอ่ยขึ้นเมื่อพิธีกรพับผ้าเป็นครั้งที่สาม



               มีคู่รักเพียงแค่ 4 คู่ที่จะเล่นได้ ขนาดผืนผ้าไม่ใหญ่มากนัก  ครั้งที่สองของการพับผ้าก็เบียดกันนิดหน่อยแต่ก็พอยังยืนห่างจากกันได้ประมาณ 1 ฝ่ามือ  



    ซึ่งครั้งแรกนั้นผู้เล่นทั้งหมดสามารถยืนได้อย่างสบาย ๆ  เมื่อการพับผ้าครั้งที่สามมาถึง  คู่รักแต่ละคู่ก็ย่อมต้องใกล้ชิดกันธรรมดา



                “เอาล่ะครับ  ครั้งนี้เหลือคู่รักอีก 3 คู่นะครับ  เราจะพับผ้าเป็นครั้งที่ 4”  หลังจากมีคู่รักตกหล่นจากผ้าผืนนี้ไปแล้วหนึ่งคู่



                 และการพับผ้าครั้งนี้  มันทำให้ฉันและเขาที่ไม่ได้เป็นคู่รักกันใกล้ชิดกันเข้ามาอีกระดับหนึ่ง  ที่มีระยะห่างระหว่างเราเพียงสามฝ่ามือที่ปลายจมูกพี่ฮายด์จะชนกับใบหน้าฉัน  



    ฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อน ๆ ที่เป่ารดบนใบหน้า   ตอนนี้ปลายเท้าของเราเกือบจะชนกันแล้ว  ฉันรู้สึกตื่นเต้นพิกล  ใจมันเต้นรัว ๆ ยังไงไม่รู้



               ก็แค่ตื่นเต้นตามเกมส์น่า  คิดไรมาก



                 เมื่อเหลือคู่รักเพียงแค่สองคู่ที่อยู่บนผ้าผืนนี้  ตัวฉันและเขาก็แทบไม่มีที่ยืน  ฉันต้องขยับเข้าใกล้เขาไปอีก  



    ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะเอามือไปไว้ที่ไหนดี  จะวางไว้ข้าง ๆ ลำตัวก็ดูตลก  



    ขอเอามาป้องกันสิ่งสำคัญก่อนแล้วกัน  และมือฉันก็ไปชนเข้าเต็ม ๆ กับอกผายของเขา  เรียกว่าแนบจะถูกกว่ามั้ง



             และเมื่อพิธีกรพับผ้าอีกครั้งมันทำให้ใบหน้าฉันร้อนผ่าว  เมื่อคิดถึงว่าฉันกับเขาต้องอยู่ยังไง



              “พี่ฮายด์จะดีเหรอ  เลิกดีกว่าไหม”  ฉันกระซิบบอกเขาด้วยความเขินอาย



              “แหม  หลีเขินก็น่ารักดีเนอะ”



             “บ้าน่า”



              “ก็เล่น ๆ มันอีกหน่อยก็แล้วกัน  จะชนะแล้วน้า”



            “เออ ๆ ก็ได้”  ฉันตอบรับไปด้วยนึกถึงรางวัลที่จะได้รับ





              ในที่สุดฉันกับเขาก็ชนะ  ฉันรู้สึกดีใจระคนขัดเขิน  เนื่องจากโดนพิธีกรกลั่นแกล้ง



                 “เดี๋ยว ๆ ครับ  เราต้องให้คู่ของคุณอยู่อย่างนี้สักพักนะครับ  ไม่อย่างนั้น  รางวัลในวันนี้มันจะเหลือแค่ครึ่งเดียว”



                   “เอาครึ่งเดียวก็ได้เนอะพี่ฮายด์”  ฉันเอ่ยขึ้นด้วยใจที่มันเริ่มจะฝ่อ  ก็แค่ให้เล่นฉันก็จะบ้าตายอยู่แล้ว  



    แล้วยังให้ฉันอยู่อย่างนี้กับพี่ฮายด์สักพักเนี่ยนะ ตายแน่ล่ะ



                  “เล่นมาจนชนะแล้ว  เหลืออีกนิดเอง  สู้หน่อยสิจ๊ะ  ที่รัก”  



                 “เฮ้ย”  ฉันอุทานออกมาด้วยสรรพนามที่เขาใช้เรียกฉันมันทะแม่ง ๆ



                  วันนี้ฉันจะบ้าตายไหมเนี่ย



                  การเขย่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราทั้งสองยืนอยู่ได้ในผ้าผืนเล็ก ๆ ผืนนี้ได้  ฉันจึงต้องทำอย่างนั้น  



    ส่วนเขานั้นให้ยืนเป็นหลักน่าจะดีที่สุด  แต่ด้วยผ้าที่มันเล็กเกินขนาด  จึงทำให้ฉันต้องใช้ปลายเท้าของเท้าที่เกือบจะเล็ก  



    ยืนตรงเนื้อที่ที่มันยังเหลืออยู่นิดหน่อย  ข้างหนึ่งอยู่ข้าง ๆ เท้าของเขาและอีกข้างหนึ่งมันอยู่ระหว่างเท้าของเขาทั้งสองข้าง  



    มือเล็กสองข้างของฉันทำหน้าที่ประคองตัวเองโดยยึดหลักมั่นที่ไหล่ของเขาทั้งสอง วิธีนี้ทำให้ฉันสบายใจเนื่องจากสิ่งสำคัญด้านบนของฉัน



    มันพอจะเลี่ยงการประชันจัง ๆ กับอกผายของเขา  รู้สึกโล่งทีเดียว ด้วยวิธีการนี้ฉันจึงเอาชนะทั้ง 4 คู่มาได้  



    เพราะส่วนมากพวกเขาจะอุ้มคนรักของตนกัน หลักยืนจึงไม่มีทำให้เราทั้งสองดันพวกเขาออกไปได้ง่าย  



    ไม่รู้ว่าเขานึกบ้าอะไร  ที่ทำในสิ่งที่มันไม่มีในกฏกติกาเลยสักนิด



    มือใหญ่หนา  จับแขนทั้งสองข้าง ที่อยู่บนไหล่ของเขาพาดไปบนลำคอ   ไม่ทันที่ฉันจะได้ตกใจ  มือหนาเมื่อกี้ก็อยู่บนเอวของฉันแล้ว



    คงจะดีถ้าเขาไม่โอบ เอวฉันจนหายใจไม่ออกเหมือนตอนนี้  



                  “พี่ฮายด์”  ฉันกระตุกเสียงทันควัน  ส่งสายตาดุ  ไปให้เขา  แต่เขาก็คงดูออกว่าตอนนี้ฉันกำลังอายสุด ๆ

        

               ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งยุ  สุภาษิตนี้ใช้ได้ดีกับพี่ฮายด์  เมื่อเขายกตัวฉันให้ลอยขึ้นมาเหนือพื้น  แม้จะเป็นระยะทางไม่สูงมาก  



    แต่มันทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า  เนื้อแนบเนื้อ  ไม่ต้องบอกว่าอะไรที่มันต้องแนบกันบ้าง  



    ฉันถวายค้อนไปให้เขาหนึ่งวง  โทษฐานที่อุตส่าห์ช่วยฉันโดยที่ฉันไม่ได้ขอสักนิด



    “พี่กลัวว่าหลีจะเมื่อยน่ะ”  



    “พี่ฮายด์ล่ะ  เมื่อยไหม  หลีมีวิธีทำให้หายเมื่อยเลย ”



    ยังไม่ทันที่เขาจะตอบตกลง  “โอ๊ยยย  หลีทำอะไรน่ะ”



    “ก็ช่วยให้พี่ฮายด์เมื่อยไง”  ก็เจอฉันบิดเนื้อเข้าไปเต็ม ๆ จะไม่ให้ร้องโอ๊ย  ก็เกินไปล่ะ



    “พี่ยังไม่ได้ขอเลยนะ”  



    “แล้วทีพี่ล่ะ  หลีก็ไม่ได้ขอเหมือนกันนั่นล่ะ  เดี๋ยวนี้เล่นแล้วชักลามปาม  น่าเกลียดที่สุด”



             ตอนนี้เนื้อขาว ๆ ของเขาคงกลายเป็นรอยจ้ำสีแดงจัดไปแล้ว  คาดว่าวันต่อไปจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวและม่วงตามลำดับ  โดยการนวด



    (แบบสาหัส)จากมือของร่างที่ไม่ค่อยจะบางของฉัน



          แม้จะต่อว่าเขาไปอย่างนั้น  แต่ใจฉันมันรวนเร่ไปอีกทาง  ยิ่งอยู่ใกล้เขาเท่าไหร่ใจฉันมันก็ยิ่งเต้นร่วนมากขึ้นเท่านั้น



              สงสัยจบเกมส์นี้  ฉันจะต้องไปตรวจเช็คหัวใจซะแล้วสิ  



                “หลี  หลบหน้าทำไมเล่า  หันมาทางนี้สิ  เดี๋ยวเค้าก็หาว่าเราโกงเขา เดี๋ยวอดรางวัลกันพอดี  ดีไม่ดีเขาจะเอาเรื่องเราด้วยนะ  ฐานโกหกคนทั่วห้างเลย”



    พี่ฮายด์คงจะสังเกตใบหน้าของฉันที่มันเอียงหลบเขา  ขืนถ้าให้ฉันจ้องหน้ากับเขา ทั้ง ๆ ที่เราอยู่ด้วยกันอย่างนี้  ฉันคงสลบคาตัวเขาล่ะ  



    ลมหายใจร้อน ๆ กำลังรดมาที่ต้นคอของฉัน ส่งผลให้หัวใจมันกระตุกอย่างไม่เคยเป็น  ใบหน้าของฉันเห่อแดงยิ่งกว่าเดิม



    และเหมือนว่ามือไม้มันจะสั่นตามขาที่ก่อนหน้านี้มันสั่นไปก่อนแล้ว



       “จะบ้าเหรอ แค่นี้ก็พอแล้วน่า  เขาไม่สงสัยหรอก  ทำถึงขนาดนี้แล้วนะ”  ฉันพยายามบังคับเสียงให้มันไม่สั่นตามมือและขาไปด้วย  



    ปกติถ้าฉันโดนใครท้าทาย  เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะอยู่นิ่งเฉยโดยไม่ต่อสู้ให้รู้ดำรู้แดงให้รู้กันไปข้างหนึ่ง  



    “กลัวอ่ะดิ  โธ่เอ๊ย”  และเขาก็คงคิดอย่างนั้นเหมือนกัน



    “เออ  กลัวว่ะ”  ฉันตอบตามความจริง  



    สำหรับเขาคงผิดคาดน่าดู  ว่าทำไมฉันจึงตอบรับอย่างง่ายดาย  ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่โดนท้าทายอย่างนี้ทีไร เป็นต้องได้เรื่องทุกที  



    “เอ่อ...  งั้น.... ถ้าหลีไม่ทำ  พี่จะจูบ...”  ยังไม่ทันจะจบประโยคดี  เหมือนว่าฉันลืมตัวไปชั่วขณะ  หันควับไปจ้องหน้าเขา



    คล้ายกับหัวใจในอกจะหยุดเต้น  เมื่อจมูกของเขาสัมผัสกับใบหน้าของฉัน   และอีกครั้งที่ฉันรู้สึกได้ว่าเขากำลังยกตัวฉันขึ้นจากพื้น  



    จะไม่ให้เขายกได้อย่างไร  ในเมื่อเข่าฉันอ่อนไปหมดแล้ว  



    ถ้าฉันไม่ได้ตาฝาด  ฉันว่าฉันเห็นรอยยิ้มจากสายตาเขา



      

               เวลามันผ่านไปไม่กี่นาทีสำหรับในห้างและความเป็นจริง  แต่สำหรับฉันแล้ว  มันช่างเนิ่นนานอะไรเช่นนี้  



    ด้วยความคิดที่ว่าจะต้องไปตรวจหัวใจหลังจบเกมส์  บัดนี้ความคิดนั้นมันก็เปลี่ยนไป  



    เพราะตอนนี้ฉันไม่รู้เลยว่าจะอยู่รอดถึงเวลานั้นหรือเปล่า



             “พี่ฮายด์  อะไร” ฉันกระซิบเขา  เมื่อสายตาที่เขามองมามันเหมือนต้องการบอกอะไรเป็นนัย ๆ ให้รู้



               เขาไม่ได้พูดอะไรมีเพียงรอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าสวยคล้ายผู้หญิง  ลักยิ้มที่แก้มข้างซ้ายและคิ้วเข้มที่กระดกขึ้นเล็กน้อยดูมีเลศนัยชอบกล  



    ส่งผลทำให้ใบหน้าเขาตอนนี้ราวกับผู้ชายเจ้าชู้ที่เปรียบเสมือนเสือผู้หญิง ดูน่ากลัว  ยิ่งเขามองอย่างนี้  ใจฉันก็ยิ่งเต้นรัวเข้าไปใหญ่



    และคำตอบที่ทำให้ฉันต้องต่อว่าเขาเพียงคำเดียวว่า  บ้า   ไม่มีอะไรนอกจากสายตาของเขาที่ละจากสายตาของฉันเลื่อนลงมาที่อกผาย



    “พี่ฮายด์บ้า”  



    เราทั้งสองชนะแบบที่เรียกว่าขาดลอย  ฉันแทบจะล้มลง เมื่อเขาปล่อยฉันออกจากอ้อมกอด  



        เฮ้อ !!!



            ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



               เมื่อทานอาหารฟรีเรียบร้อย  ฉันกับเขาก็ตัดสินใจไปดูหนังต่อ ระหว่างการทานข้าว  เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาที่มันเกี่ยวกับเรื่องการเล่นเกมส์เลยสักนิด  และนั่นมันช่วยให้ฉันทำใจได้อย่างรวดเร็ว  





            “น้อง ๆ”  คนแปลกหน้าด้านล่างที่ถัดจากที่นั่งของฉันในโรงหนังเอ่ยเรียกฉันขึ้น  จะว่าไปหน้าตาเขาใช้ได้นะ  เรียกว่าหล่อเลยแหละ



    “มีอะไรหรือคะ”



    “มีเบอร์ไหมครับ”



    ยังไม่ทันที่ฉันจะส่งเสียงอะไรออกไปซักคำ



    “ขอโทษนะครับ  นี่แฟนผม”  เสียงของพี่ฮายด์ก็เอ่ยขึ้นก่อน  พร้อมนำมือซน ๆ มาโอบด้านหลังของฉัน  แสดงถึงความเป็นเจ้าของเต็มที่  



    “พี่ฮายด์  ไปพูดอย่างนั้นทำไมเล่า”



    “หลีไม่เห็นเหรอว่าหน้าตามันห่วยกว่าพี่อีก  ดูหื่นชะมัด  จะหาแฟนทั้งที  เอาที่หน้าตาดีกว่าพี่หน่อยสิ”



    “แอวะ  หลงตัวเองชะมัดเลย”



    “จริงป่ะล่ะ”  ฉันไม่ได้เถียงอะไรเขาอีก  ก็หน้าตาเขาหล่อจริง ๆ นี่นา





    “พี่ฮายด์รออยู่นี่ก่อนนะ  เดี๋ยวหลีไปซื้อน้ำมากินก่อน”  ฉันให้เขารออยู่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่งในห้าง  หลังจากหนังจบ  



    เมื่อฉันกลับมาจากซื้อน้ำก็ได้เห็นเต็ม ๆ ตาว่ามีสาวสวยสุดเซ็กซี่มาพูดคุยกับเขา



    “ขอโทษนะคะคุณ”  ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้น



    “ครับ  มีอะไรหรือครับ”



    แค่พูดแค่นั้นมันก็ทำเอาหญิงสาวตรงหน้าพี่ฮายด์แทบอยากจะร้องกรี๊ดกระมัง  ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่า  หน้าหล่อแล้วเสียงยังเท่ห์อีก



    “มาคนเดียวเหรอคะ  สนใจไปทานข้าวหรือเปล่า”



               เพื่อเป็นการล้างแค้น  ฉันก็วิ่งรี่เข้าไปหาเขาในทันที  พร้อมกับควงแขนของเขาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ



                   “ ฮายด์คะ กลับบ้านเราเถอะค่ะ  หลีหิวข้าวจังเลย  เดี๋ยววันนี้ช่วยหลีทำอาหารสูตรเด็ดดีไหมคะ  ของโปรดของฮายด์เลยน้า กลับบ้านเราเถอะค่ะ”  ฉันส่งเสียงพร้อมแววตาอ้อนวอนอย่างหวานหยาดเยิ้ม



                “อ้าว  เพื่อนฮายด์เหรอคะ  ไปทานข้าวที่บ้านเราด้วยกันดีไหมคะ   หลีไม่รังเกียจหรอกค่ะ” ฉันหันหน้าไปพูดกับผู้หญิงคนนั้น  



              “ขอ  ขอโทษนะคะ”  แล้วผู้หญิงคนนั้นก็รีบหันหลังกลับเดินไปเลย  รู้สึกสะใจดี





                   “หลี  ไปพูดอย่างนั้นทำไม”



                 “พี่ฮายด์ไม่เห็นหน้าตาผู้หญิงคนนั้นเหรอห่วยกว่าหลีอีก  น่าเกลียดชะมัด จะหาแฟนทั้งทีเอาที่หน้าตาดีกว่าหลีหน่อยสิ”  




                   แต่คำตอบของพี่ฮายด์ไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิดสักนิดเดียว



        “งั้นเรากลับบ้านเราแล้วกันนะที่รัก  เดี๋ยวฮายด์จะช่วยหลีทำกับข้าวเองจ๊ะ”



        “เฮ้ย  หลีล้อเล่น ไม่ต้องทำเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้นก็ได้”



                “  นี่ฮายด์พูดจริงนะหลี  แหม ที่รักก็  อย่าทำเป็นเล่นตัวหน่อยเลยน่า  ฮายด์ชักหิวข้าวแล้วสิ”



        “พอเลย  พี่ฮายด์พอเลย  แล้วหยุดเลยด้วย  มือน่ะมือ เดี๋ยวนี้มันชักจะซนใหญ่แล้วนะ”  ฉันเอ่ยห้ามปรามเขา  



    เมื่อเห็นว่ามือซน ๆ นั่นมันทำท่าจะมาโอบรอบเอวฉันเพื่อเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของอีกครั้ง  และเมื่อเขาไม่ยอมฟังกันบ้าง



        “เพี๊ยะ”  เสียงตีมือดังขึ้น



        “หลี  ตีพี่ทำไมอ่ะ เจ็บนะ”



        “ก็มือพี่ฮายด์น่ะ  ซนนักนะ บอกก็ไม่ยอมฟัง”



        “ไม่ให้โอบ  แสดงว่าจะให้หอมแก้มใช่ไหม”



        “นี่  อย่ามาพูดอะไรบ้า  ๆ นะ  วันนี้ก็ทั้งวันแล้ว หลียังอายไม่หายเลย”



        “เฮ้ย  หลี  นั่นพิธีกรเกมส์นั้นนี่หว่า”  



        “ไหน ๆ  ทำไมหลีไม่เห็นเลย”



        ฉันมองหาจนทั่ว  ไม่เห็นจะมีเลย  และเมื่อหันไปมองหน้าเจ้าตัวเข้า  ก็ได้พบกับ  



    รอยยิ้มกวน ๆ  ทำให้ฉันกำลังจะคิดออกว่าโดนเขาหลอก  แต่ก่อนจะคิดออกนั้น  สายตาได้ไปสะดุดกับมือหนาที่กำลังโอบรอบตัวฉันอยู่  



    เมื่อกลับไปมองใบหน้าสวยคล้ายผู้หญิงนั่น  ฉันก็ได้พบกับคิ้วหนาที่กำลังยักขึ้นยักลง  คล้ายเขากำลังจะบอกว่า  \'พี่ชนะแล้ว\'



        “โอ๊ย”  เสียงที่อุทานออกมา  พร้อมกับการยกเท้าตัวเอง  เป็นของผู้ชายร่างสูงบางข้าง ๆ ฉัน  



    เนื่องจากเท้าที่ไม่ค่อยจะเล็กของผู้หญิงที่ยืนข้างเขา  กระทืบเข้าไปเต็ม ๆ



                    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





                     พี่ฮายด์ที่ฉันเคยรู้จักน่ะ  เป็นคนที่พูดเก่ง  มีอารมณ์ขัน  กวนพระเบื้องล่างเป็นที่หนึ่ง  แถมยังเป็นคนคุยสนุก



    ไม่น่าเบื่ออีกต่างหาก เขาเป็นคนชอบสเตอร์เบอรี่มาก  เวลาไปกินไอติม  พี่ฮายด์จะชอบสั่งว่า



    “เอาอะไรก็ได้ครับ แต่ขอรสสเตอร์เบอรี่”



    เขาพูดเสียจนติดปาก  จนฉันท่องได้แล้ว  



                  พี่ฮายด์เป็นคนชอบกล้วยไม้มาก ๆ  ที่บ้านเขาจะมีสวนต้นไม้ซึ่งจะปลูกแต่ต้นไม้ตระกูลกล้วยไม้ทั้งนั้น  



    เขาเป็นคนเก่งนะ ที่เลี้ยงกล้วยไม้ให้มีดอกได้  ตรงข้ามกับฉันที่เลี้ยงทีไร  ตายได้ทุกต้น



    “พี่ฮายด์นี่เก่งเนอะ  เลี้ยงกล้วยไม้ได้ด้วย  หลีนี่สิ  ตายทุกต้นเลย”



    “ก็เราไม่ได้ใส่ใจมันเท่าที่ควรน่ะสิ  มันถึงตาย”



    “มันก็เหมือนนิสัยเรานั่นแหละ  ไม่เคยแคร์ใคร ไม่เคยสนใจ  ไปไหนไม่เคยบอก  ไม่เคยคิดว่ามีคนเค้าเป็น.......”



    “พอแล้ว ๆ”  ฉันเบรคเขา  เพราะคิดว่าคงอีกนานกว่าจะหยุด  เรื่องต้นกล้วยไม้เป็นเรื่องที่ฉันพูดทีไรก็ได้เข้าตัวเองทุกที



                  ฉันจึงไม่ค่อยได้คุยเรื่องนี้กับเขาสักเท่าไหร่  แต่ฉันก็ยังไม่เคยพลาดเวลามีงานนิทรรศการวันดอกไม้บานสักครั้ง  



    ก็ไปกับเขานั่นแหละ อยู่กับเขาเหมือนว่าโลกมันสวยงามยังไงก็ไม่รู้  ถึงแม้ฉันจะเป็นคนที่ไม่ได้พิศวาสต้นไม้สักเท่าไหร่  



    แต่ฉันก็ไม่เคยเบื่อเวลาที่ได้ไปเดินดูต้นไม้กับเขา  บางทีพี่ฮายด์ก็จะซื้อกล้วยไม้มาจากงานต่าง ๆ ที่เราสองคนไปด้วยกัน  



    และบ่อยครั้งที่เขาซื้อมาให้ฉัน ที่บ้านฉันจึงมีแต่ต้นกล้วยไม้เต็มไปหมด  ไม่แปลกหรอก  ที่มันออกดอกให้ฉันได้เห็น



    ตัวฉันเองก็คงไม่มีปัญญาทำให้มันออกดอกได้    ก็พี่ฮายด์นี่แหละ  เค้าเล่นมารดน้ำใส่ปุ๋ยทุกวัน  



    คอยดูแล  เอาใจใส่ คอยเป็นห่วงเป็นใย ทุกครั้ง  บางครั้งฉันก็คิดว่าไม่ใช่แค่ต้นไม้อย่างเดียว   แต่มันยังเผื่อแผ่มาถึงคนอย่างฉันด้วย



                   นานวัน  เราก็เริ่มสนิทและคุ้นเคยกันมากขึ้นทุกวันและทุกวัน  ระยะเวลา เกือบ 2 เดือน  คำว่าเพื่อนสำหรับเขาน่ะคงใช่



    กับฉันมันก็อาจจะใช่เช่นกัน  ถ้าฉันไม่หลอกตัวเองมันก็คงเป็นอย่างนั้นจริง  ตลอดเวลา  ฉันเลี่ยงและคิดคำแก้ตัวให้กับตัวเองเสมอ  



    ว่าฉันไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นกับเขาจริง ๆ  ฉันก็เหมือนคนทั่ว ๆ ไป  ที่กลัวว่าถ้าบอกเขาไปแล้วเขาจะเปลี่ยนไป  กลัวว่าเขาจะรังเกียจ  



    กลัวว่าเขาจะไม่มองหน้าฉัน  ความกลัวของฉันที่มากขึ้นทุกที  มันทำให้ฉันต้องเก็บความคิดนั้นไว้  



    ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะเป็นบ้าไปก่อนที่จะบอกกับเขาแล้วก็ได้  



                  

                  นิทรรศการวันดอกไม้บานที่จัดขึ้นทุกครั้ง  เราทั้งสองจะต้องหาโอกาสไปฝากรอยเท้าไว้ที่นั่นสักครั้ง  



    เหมือนว่าถ้าพลาดไปครั้งหนึ่งแล้ว  มันจะเป็นอะไรที่คาใจมาก ๆ  



    “เฮ้ย หลี  เป็นไรหรือป่าว”  เขาตกใจอยู่ไม่น้อย  เมื่อเห็นฉันสะดุดกับรากต้นไม้เข้าอย่างจัง  นิทรรศการครั้งแรกของเราก็ดูเหมือนว่าจะไปได้ไม่ราบรื่นดีนัก  



    “ถามได้  ก็เจ็บอ่ะดิ  อ้าว  แล้วมัวแต่ทำอะไรอยู่  มาช่วยหน่อยดิ๊”  ฉันพูดพร้อมทำหน้าตาที่ทำให้คนมอง  หน้าซีดเป็นไก่ต้ม  



    เมื่อเขาเข้ามาพยุงตัวฉัน  ตัวฉันกลับทรุดลงไปอีก    



    “หลีเจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ”  



    “โกหกแล้วได้ตังค์เหรอ”  ฉันตอบกลับเป็นคำถามให้เขา  ก็ถ้าไม่เจ็บฉันก็เดินไปนานแล้วน่า



    “อ้าว  งั้นขี่หลังพี่ก็ได้นะ ถ้าเจ็บมากขนาดนั้น”  ถ้าฉันคิดจะแกล้งเขา  ตอนนี้คงทำสำเร็จล่ะ  



    “ไม่เป็นไร  เดินเองได้  ไม่จำเป็น”  และมันต้องสมจริงสมจังถ้าคิดจะแกล้งเขาจริง  มันต้องเล่นตัวหน่อย



    “หลี!!”  เขาอุทานเมื่อเห็นฉันลุกขึ้นเดินเอง  แต่ก้าวไปได้แค่ก้าวเดียวเท่านั้น  ฉันก็ล้มไม่เป็นท่า



    “โอ๊ยยยยย  เป็นไรวะเนี่ย  ”  ฉันบ่นขึ้นกับตัวเอง  เพราะว่าขาฉันมันไม่ได้ดั่งใจเลย



    อยู่ ๆ ตัวฉันก็ลอยขึ้นเหนือพื้นดิน  ฉันยังไม่ทันได้ตกใจ  ก็ได้รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้ตัวฉันลอยได้  ตอนแรกก็นึกว่าตัวเองหมดสติล้มไป  



    แต่นี่ไง  ฉันอยู่บนแขนทั้งสองข้างของพี่ฮายด์ไง



    “แหม  ทำตัวเป็นซุปเปอร์แมน  หมั่นไส้จริงๆ”  ฉันพูดพร้อมบิดจมูกโด่งคม ด้วยความหมั่นไส้



    “เดี๋ยวก็ปล่อยให้เดินเองเสียเลยนี่”  เขาขู่ฉัน  



    “ก็ปล่อยดิ  ไม่กลัวหรอก  กล้าหรือเปล่าล่ะ”  ฉันท้าเขา  เพราะรู้อยู่ว่าเขาไม่ปล่อยฉันแน่



    “เวร”  ฉันสบถออกมา  เพราะเขาปล่อยฉันให้เดินจริง ๆ  แต่ฉันก็ไม่หวั่นอยู่แล้ว  ก็มันจะถึงบ้านฉันแล้วนี่นา  



    จากนั้นฉันก็วิ่งเขาบ้านและออกมาแลบลิ้นปลิ้นตาให้เขา  อยู่ในประตูบ้าน



    “เฮ้ย  นี่หลีหลอกพี่เหรอเนี่ย”



    “ป่าว  เค้าเรียกว่า  เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสต่างหาก”  ฉันแก้ข้อกล่าวหาของเขาให้ถูกต้อง



    “เดหลี  ถ้าออกมาเมื่อไหร่นะ  จะไล่ตีให้ก้นเขียวเลย คอยดู”  



        เวลาเป็นอย่างนี้ทีไร  ฉันรู้ดีว่าพี่ฮายด์ไม่ทำจริงหรอก  เขาก็แค่แกล้ง ๆ ฉันเท่านั้นแหละ  เราสองคนเป็นแบบนี้เสมอ แหย่กันไปก็แหย่กันมา  



    แต่ไม่รู้สินะ  ฉันยั่วโมโหเขาทีไร  เขาก็ไม่เคยโกรธฉันเป็นจริง เป็นจังทุกที  แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความน้อยใจนะ  โห  ท่วมท้น  



    งอนเก่งมากเลยเจ้านี้  ยิ่งนานวัน  ความสนิทสนมของเราก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น  



    และความคิดที่คอยหลอกตัวเองหรือคำแก้ตัวสำหรับความรู้สึกที่มีต่อเขานั้น  ก็ได้จบลง  ฉันไม่ใช่นางเอกละคร  



    ที่จะต้องโกหกความรู้สึกตัวเอง  และคงไม่มีดีกรีถึงขนาดนั้น   บางคนเคยพูดไว้ว่า   ความเป็นเพื่อนอาจจะพัฒนามาเป็นความรักได้    



    และสำหรับฉัน  ถึงแม้การพัฒนามันจะดูล้ำหน้าไปเสียหน่อย  แต่ก็ต้องยอมรับว่า  มันได้พัฒนาไปแล้วจริง ๆ  



                    เหมือนว่าเส้นด้ายที่ขีดกั้นคำว่าเพื่อนของฉัน  มันถูกความเป็นเพื่อนของเขาที่มีให้มากมาย  



    ให้เสียจนที่ที่เก็บความรู้สึกของเพื่อนมันเต็มจนล้นและต้องแบ่งปันไปไว้ตรงส่วนอื่น ๆ บ้าง  และมันต้องผ่านเส้นด้ายนี้ก่อน  



    ใช่  เส้นด้ายที่ขีดกั้นคำว่าเพื่อนของฉันได้ขาดกระจุยไปแล้ว



             ก็ไม่เป็นไรนี่นา  ในเมื่อเขาก็ยังไม่มีใคร  สำหรับการที่จะทำให้เขาหันมารักฉันบ้างก็ไม่เป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×