ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อดีต..ปัจจุบัน ฉันและเธอ (The memory of you)

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ย. 48




                    “สวัสดีค่ะ  จะรับอะไรดีคะ”  ฉันกล่าวทักทายลูกค้าคนหนึ่งที่เดินเข้ามา  โดยที่ยังง่วนอยู่กับการเอาขนมเค้กลง



                    “ขอไอศครีมอะไรก็ได้  แต่ขอรสสเตอเบอร์รี่นะ”   แฮะ  กินเหมือนพี่ฮายด์เลย  



                    ถึงแม้เสียงของผู้ชายคนนั้นจะหล่อ  แต่ฉันต้องทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด  ฉันจะไม่เอาความหลงไหลและคลั่งไคล้ต่อผู้ชายของฉันมาปนกับงานหรอก  



    ถึงแม้ว่าเสียงผู้ชายคนเมื่อกี้จะหล่อและเซ็กซี่บาดใจฉันขนาดไหนก็ตาม แต่....ให้ตายเถอะ  ฉันแอบเหล่เขาไปแล้วล่ะ?!



                   “ค่ะได้ค่ะ  รอสักครู่นะคะ”  คล้ายกับว่าวันนี้เป็นวันเลี้ยงต้อนรับการมาทำงานวันแรกของฉัน  ซึ่งมีผู้ร่วมงานเยอะแยะมากมาย    



    จนฉันนับไม่หวั่นไม่ไหว  แล้วยิ่งวันนี้พี่ที่เค้าอยู่ประจำที่นี่ก็ขอลาหยุดไปอีก  มันเป็นวันเลี้ยงต้อนรับการทำงานครั้งแรกที่หฤโหดจริง ๆ



                  ถ้าสวรรค์จะเอาคืนบ้าง  มันเป็นการเอาคืนที่คุ้มค่าที่สุดเลย



                    คงจะเป็นปกติของที่นี่ที่วันธรรมดาจะมีลูกค้าเยอะอย่างนี้  โดยเฉพาะช่วงเช้า และช่วงกลางวัน  



    และจะเยอะเป็นพิเศษช่วงที่เป็นเวลาพักกลางวันของพนักงานตามบริษัทต่าง ๆ  จะว่าไปร้านเราไม่ได้ขายอาหารตามสั่งหรือข้าวราดแกงแต่อย่างใด  



    มันทำให้ฉันไม่เข้าใจถึงความน่าจะเป็นที่ลูกค้าจะมาอุดหนุนร้านเราเยอะแยะมากมายขนาดนี้  



                   ฉันยกไอศครีมมาเสริฟลูกค้า  จากสายตาของฉันแล้ว  แค่เหล่มันจะไปรู้อะไร  เห็นมะ  ถ้าฉันหยุดมองก็คงไม่พลาดการเห็นใบหน้าของผู้ชายเสียงเซ็กคนเมื่อกี้หรอก (เติม ‘ซี่’ไปด้วยสิโว้ย)  



    เกิดอาการเซ็งเล็กน้อย  ก่อนจะนึกได้ถึงความสูง หล่อ เท่ห์ สมาร์ท  (นี่ขนาดไม่ได้เห็นหน้านะ)  เอาน่ะ ๆ ฉันว่าคนนี้ล่ะ  เพราะเขายังไม่มีอาหารซักอย่างเลยนี่นา  



                “เอ่อ  ขอโทษนะคะ  คุณสั่งไอศครีมสเตอเบอร์รี่หรือเปล่าคะ”



               ลูกค้าคนนี้ไม่ได้หันมามอง  และเพียงพยักหน้าก็ไม่มี  ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินนะ  



                “ขอโทษนะคะ  ไอศครีมสเตอเบอร์รี่ของคุณหรือเปล่าคะ”  ฉันเพิ่มเสียงให้ดังและชัดเจนขึ้น  เผื่อว่าเขาจะไม่ได้ยินจริง ๆ  



                เมื่อพูดครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วเขายังไม่หันมา  



                   “ไอศครีมอะไรก็ได้แต่ขอรสสเตอร์เบอรี่ของคุณได้แล้วค่ะ”  ฉันจึงทวนประโยคที่เขาสั่งเมื่อกี้ให้เขาฟัง  เผื่อเขาจะจำไม่ได้ว่าสั่งอะไรไป



                   เมื่อฉันเอ่ยมันเป็นครั้งที่สามแล้ว  และเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะหันกลับมาตอบรับอะไร  ฉันจึงตัดสินใจไม่พูดอีก  



    เพียงแต่ยืนยกไอศครีมและจ้องไปที่แผ่นหลังกว้างของเขาเท่านั้น  คนอะไรหยิ่งชะมัด  พูดก็ไม่พูด  แค่หันหน้ามายังไม่หันเลย  



    ฉันชักจะเดือดแล้วนะ  ลูกค้าก็ลูกค้าเถอะหัดมีมารยาทซะบ้างซิ  ไอ้คำว่าลูกค้าคือพระเจ้าน่ะ  มันใช้ไม่ได้สำหรับฉันหรอกนะ  รู้ไว้ซะ   (พูดกับใครเนี่ย)  



                  ถึงจะหน้าตาหล่อมากแบบบาดใจ  ฉันก็ไม่มีทางให้อภัยหรอกเฟ้ย!!



                เหมือนกับว่าสายตาที่จ้องเขาราวกับว่าต้องการกินเลือดกินเนื้อของฉันนั้น  ทำให้เขารู้สึกตัวและหันกลับมา



                 “เอาวางไว้”  พูดอย่างนี้กัดกันเลยดีกว่าไหม   มันเป็นประโยคที่ไพเราะเพราะพริ้งที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมันออกมาจากปากลูกค้า



               ฉันพยายามวางไอศครีมรสสเตอร์เบอรี่ลงอย่างระมัดระวังไม่ให้มันเสียงดังเกินไปตามอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีของฉันตอนนี้  



    และพยายามควบคุมสติสัมปชัญญะให้อยู่กับเนื้อกับตัว  พยายามใช้เหตุผลมากกว่าใช้อารมณ์  แต่ผลที่ออกมามันไม่สู้ดีนัก  



           โอ๊ย  ก็บอกแล้วไง  ถึงหน้าตาหล่อแบบบาดใจแค่ไหน  ฉันก็ไม่ให้อภัยแน่ ๆ ถึงตอนนี้ฉันจะยังไม่เห็นหน้าเขาก็เถอะ!



                   ฉันรีบเดินออกไปจากโต๊ะของลูกค้าคนนั้นทันที  และไม่ทันหันไปมองว่าเขาเป็นใคร  แต่จะเป็นใครก็ไม่สำคัญสักนิด  



    เพราะลูกค้าอย่างนี้  ฉันคนหนึ่งล่ะ  ที่ไม่ต้อนรับ  น่าเกลียดที่สุด  พูดออกมาได้  การแต่งตัวก็ดีอยู่หรอก  แต่เวลาพูดนี่ฟังไม่ได้เลย  



    มันไพเราะสิ้นดี??  แต่ .......เมื่อมองไปที่แผ่นหลังกว้างดูเท่ห์  นิ้วเรียวขาวสวยงามราวเทพบุตร  เส้นไหมสีดำยาวเคลียไหล่  ความคิดฉันก็เกิดขึ้น



             \'แต่ก่อนที่ฉันจะเดือด  ขอดูหน้าก่อนได้ไหม???\'



                  ฉันเป็นพวกเอาแต่ใจตัวเอง  เวลาที่ฉันพูดแล้วคนฟังไม่ยอมฟัง  ฉันจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่  แต่ข้อนี้ยังให้อภัยได้  



    แต่ประโยคของลูกค้าเมื่อกี้ที่เอ่ยออกมา  ฉันรับไม่ได้จริง ๆ  



               ซึ่งลูกค้ากวนอารมณ์คนนี้ทำให้อารมณ์ของฉันขุ่นมัวไปเกือบตลอดทั้งวัน  ส่งผลให้การทำงานวันแรกของฉันดูว่าจะไม่ราบรื่นนัก



    ขณะที่จดเออร์เดอร์และบริการลูกค้าคนอื่นอยู่  ฉันก็ยังอดไม่ได้ที่จะให้ค้อนวงใหญ่กับเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว  และเมื่อยิ่งมองฉันก็ยิ่งหงุดหงิด  



              เหมือนว่ามีจิตใต้สำนึกบางอย่างให้ฉันเลือกที่จะไม่เก็บเอาลูกค้าคนนั้นมาเป็นอารมณ์  และทำงานของตัวเองไปอย่างสบาย ๆ ดีกว่า  ขืนถ้าปล่อยให้อารมณ์เป็นอย่างนั้นต่อไป  ลูกค้าคงได้หนีหมดเป็นแน่



           ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



                “สวัสดีค่ะ  จะรับอะไรดีคะ”  ฉันกล่าวทักทายและเอ่ยคำถามแก่ลูกค้าที่เข้ามาใหม่  ด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย  เนื่องจากลูกค้าวันนี้มันเยอะเกินคาดจริง ๆ



                อีก  15  นาที  จะบ่ายโมงครึ่งแล้ว  ฉันรู้สึกดีใจมากมาย  เพราะมันกำลังจะเข้าสู่เวลาทำงานของพวกลูกค้าอีกครั้ง   ลูกค้าที่รีบ  



    ก็ทยอยออกไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ถึงกับบางตา  จะเหลือก็แต่ตรงหน้าร้าน  ที่เป็นซุ้มต้นไม้ต่าง ๆ  



               “น้องครับขอ  น้ำส้มแก้วนึง”  ลูกค้ามุมโน้นสั่งรายการอาหารเพิ่ม



                “น้องคะพี่ขอกาแฟด้วยค่ะ”  ลูกค้าอีกมุมสั่งเพิ่มอีกคน



                  “พี่คะ  หนูอยากกินขนมเค้ก”  คราวนี้คุณลูกค้าตัวน้อย ๆ สั่งเพิ่มจากที่นั่งในร้าน



              “เอ่อ  ขอขนมปังคู่นึงจ๊ะ”  ลูกค้าสั่งอีกคนแล้ววว



               “เออ น้อง......”  โห  จะมาสั่งอะไรกันตอนนี้ว้าเนี่ย  ตายแล้วฉัน  คุณป้าขอตัวไปข้างนอกเสียด้วย  ตายแน่ ๆ



                 หลังจากมีเออร์เดอร์เข้ามาอย่างมากมายกว่าที่มันไม่น่าจะเป็น  ฉันก็รีบทำรายการอาหารที่สั่ง  และเสริฟพร้อมยิ้มให้หน้าสวยไว้ก่อน  



              มันเป็นเคล็ดรับดึงดูดคนน่ะไม่ว่าเหนื่อยแค่ไหน ก็ต้องยิ้มไว้ก่อน  เพราะฉันเคยไปตามร้านอาหารต่าง ๆ บางทีคนเยอะและพวกพนักงานเสริฟทำหน้างอ หน้าบึ้ง  ฉันก็รู้สึกไม่ชอบใจ



         ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



              “พี่คะ  นี่ค่ะ  ค่ากรอบรูปที่ตกไปเมื่อกี้ ถึงมันจะไม่เป็นอะไร และทางห้างก็ไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากหนู  ก็คิดซะว่าเงินนี้เป็นค่าบำรุงการศึกษาของพนักงานที่นี่นะคะ  ”



              ฉันเคยเอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกไปอย่างไม่ไว้หน้าคนฟังเลยสักนิด  ขนาดตอนนั้นอายุฉันมันเพิ่งพ้นเลข 15  มาไม่กี่เดือน  



    แต่ด้วยอายุขนาดนี้สามารถตอกหน้าคนฟังที่อายุน่าจะเกิน 20 ไปหลายปีแล้วเหมือนกันด้วยประโยคแสบร้อน  ซึ่งนับครั้งได้ที่ฉันจะเอ่ยประโยคพวกนี้ออกไป    



    เมื่อเพื่อนของฉันทำกรอบรูปตก  แทนที่พนักงานจะมาบอกไม่เป็นไรค่ะ  อย่างโน้นอย่างนี้  ก็ว่ากันไป  แต่กลับไม่ทำ  



    เอาหน้างอ ๆ ออกมารับแขก  มันทำให้ความเอาแต่ใจของฉันพุ่งกระชูด  จึงทำให้ฉันแสกหน้าพนักงานไปอย่างไม่น่าให้อภัย  





               ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



               เมื่อจัดการกับเออร์เดอร์เมื่อกี้เรียบร้อยก็เหลือกาแฟเย็นเป็นแก้วสุดท้าย  ที่จะต้องเสริฟให้กับลูกค้า  ขณะที่กำลังชงก็นึกขอโทษลูกค้าไปด้วย  



    ด้วยว่าถ้าฉันไม่ได้จดเออร์เดอร์ไว้  ลูกค้าคนนี้คงอดแน่ ๆ  และเมื่อหันไปหาลูกค้าโต๊ะหนึ่งที่สั่งกาแฟเย็นถ้วยนี้  



    อารมณ์เดือดฉันก็เริ่มกรุ่น ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง  เมื่อเจ้าของเออร์เดอร์นี้เป็นเจ้าของประโยคน่าประทับตราต้องใจ ที่เอ่ยออกมาได้อย่างไร้มารยาท  



               ด้วยนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนใจร้อน  ขี้หงุดหงิด ขี้โมโห และไม่ยอมใครของฉัน  มันได้คุกรุ่นอยู่ภายในใจ  



    ถ้าฉันไม่ได้ทำอะไรซักอย่างเพื่อเป็นการตอบแทนคำพูดอันไร้สามัญสำนึกของผู้พูดแล้ว  ฉันคงต้องทรมานอย่างไม่มีวันสิ้นสุด  (เว่อร์)



                “ขอโทษนะคะที่ให้รอนาน  กาแฟเย็นได้แล้วค่ะ” ฉันเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังเอาที่รองแก้วกาแฟเย็นวางลงบนโต๊ะซึ่งมีแจกันทรงสูงตกแต่งอย่างเรียบง่าย



                “ว้าย!!!”  ฉันร้องออกมาอย่างตกใจสุดขีด  เมื่อขาเจ้ากรรมของฉัน  พลาดไปสะดุดกับขาเก้าอี้  (แค่ยืนอยู่ยังสะดุดได้ ฉลาดน่าดู)



    ทำให้กาแฟเย็นในมือหกรดใส่เสื้อเชิ้ตของลูกค้ากวนอารมณ์คนนั้นเข้าไปเต็ม ๆ



               “ขอโทษค่ะ  เลอะหมดแล้ว  หลีขอโทษจริง ๆ ค่ะ”  ฉันละล่ำละลักพูดออกไป   หน้าฉันซีดลงอย่างเห็นได้ชัด  มือไม้สั่นคลอนตามอารมณ์ตกใจ  



                ผลที่ตามมาก็คือ  เสื้อเชิ้ตของเขาได้กลายเป็นสีขาว ‘สนิท’  ไปแล้ว  ฉันรู้สึกใจหายไม่น้อยเลยทีเดียว  นี่ถ้าคุณป้ารู้  



    ฉันจะเป็นยังไงบ้างนะเนี่ย  ไม่อยากจะคิดเลย  





              แต่ความรู้สึกในความใจหายของฉัน  ก็สร้างความสะใจให้ฉันไม่น้อย  แน่ล่ะ  เมื่อกี้  มันเป็นแผนการอันชั่วช้าของฉัน  



    เพื่อที่จะให้ความทรมานของฉันสิ้นสุดลง  หุหุ  ในที่สุด  มันก็สำเร็จอย่างง่ายดาย  และแนบเนียน  



    นี่ถ้าฉันเป็นนักแสดง รางวัลตุ๊กตาทองคำคงอยู่แค่เอื้อม  อิอิ  สะใจจริง ๆ !!



    เพื่อความแนบเนียน  ฉันยังคงทำเป็นตื่นตกใจกับเหตุการณ์นั้นอยู่  ถ้าวันนี้ใครจะเรียกฉันว่านางมารร้าย  ฉันก็ยอมล่ะ  



    สงสัยว่าเขาจะพอมีการศึกษามาบ้าง  เมื่อคำว่า  i]ครับ   ออกมาจากปาก



    \"เออ....ไม่ต้องก็ได้ครับ  เดี๋ยวผมเช็ดเองก็ได้”  เขาเอ่ยปฏิเสธฉัน  ขณะที่ฉันกำลังจะเช็ดเสื้อให้เขา  



    \"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  เดี๋ยวหลีเช็ดให้ดีกว่า  ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ  หลีซุ่มซ่ามเองค่ะ”    มีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก  เป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับนางมารร้ายเวลาได้แกล้งนางเอกแล้วรู้สึกสะใจ



                    โอ้ว  วันนี้ฉันจะกลายร่างไหมเนี่ย



               ฉันพยายามทำตีหน้าเศร้าเต็มที่และเสียใจอย่างสุดซึ้งที่มันเป็นแบบนี้  



             หลีไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยค่ะ เอ่อ  คือหลีไม่ได้ตั้งใจ  หลี  หลีขอโทษนะคะ



      มันเป็นประโยคที่ฉันคิดไว้ในใจว่าจะเอ่ยขอโทษเขา  แต่เอาเข้าจริง  ประโยคนั้นมันได้ถูกปล่อยออกมาเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น  



    อีกครึ่งมันถูกกลืนเข้าไปในลำคอเรียบร้อยแล้ว  ฉันรู้ดีว่าควรเก็บประโยคพวกนั้นไว้เอ่ยกับลูกค้าคนอื่นดีกว่า  เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าฉัน  



    รู้หมดนั่นแหละว่าฉันทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรและเพราะอะไร  



                  “พะ  พี่....พี่ฮายด์”  เสียงลากชื่อของเขายาวยืด  และสั่นเล็กน้อย   ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้หรือต่อจากนี้ฉันควรทำอะไรดี  ดูว่ามือไม้ของฉันมันดูเก้งก้างผิดปกติ ไม่รู้ว่าจะเอามันไปไว้ที่ไหนดี



               ตายแน่ ๆ เลยอ่ะ



                หน้าตาตอนนี้ของฉันคงซีดยิ่งกว่าไก่ที่ถูกต้มเปื่อยมาแล้วสิบกว่ารอบ  ความเย็นยะเยือกเข้าครอบงำตัวฉันและลามเข้าไปถึงสถานการณ์อันตรึงเครียด  



    จะเรียกว่าฉันกลัวเขาหรือ  นั่นแหละถูกเผ้งเลย   ถึงแม้ฉันกับเขาไม่ได้รู้จักกันมาเป็นสิบปี  แต่ฉันก็รู้ว่าเขารู้หมดเลยว่าฉันทำอะไรโดยมีเจตนาอย่างไรและรู้สึกอย่างไร  



                     ตายแน่ ๆ นี่ถ้าแม่ฉันรู้นะ  ฉันคงต้องตายแน่ ๆ  กระทงแรกเพิ่งไปส่งเขาที่มหา’ลัย  กระทงใบที่สองฉันต้องไปรับเขากลับบ้าน  



    กระทงที่จะต้องลอยใบที่สามฉันต้องลอยคือไปส่งเขาทานข้าว  ทั้งหมดเป็นความต้องการของผู้เป็นมารดาฉัน  โทษฐานทำรถเขายางรั่ว  



    แล้วถ้าแม่รู้อีกล่ะว่าฉันแกล้งทำกาแฟหกใส่เสื้อเขา  มิต้องไปเป็นเด็กรับใช้ที่บ้านเขาเลยเหรอเนี่ย  



                ความจริงตอนนี้เรื่องแม่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลยสักนิด  ในเมื่อเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องเล็กกะจิดริดถ้าเทียบกับความผิดของฉันที่ก่อกับคนเบื้องหน้า  ซ้ำแล้วซ้ำเล่า



               เมื่อเขาไม่ได้พูดอะไร  ฉันก็ขอพูดก่อนแล้วกัน  แต่เอ๊ะ  เมื่อกี้ใครพูดนะ  ว่าขอเห็นหน้าเขาก่อนได้ไหม...

      

               “อ้าว  พี่ฮายด์เอง  แล้วทำไมถึงมาอยู่นี่ล่ะคะ”  ฉันพูดพร้อมรอยยิ้มที่พยายามยิ้มให้สวยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อกลบเกลื่อนความผิดเมื่อครู่ แต่ผลที่ออกมามันคงฝืดเต็มที  แหะ ๆ ไม่ว่ากันนะ



                 ไม่มีคำตอบอะไรออกจากปากเขา  แม้คำตอบจากดวงตาก็ยังไม่มี  ใบหน้าสวยคล้ายผู้หญิงที่ฉันเคยนึกชื่นชมและปลาบปลื้ม  



    ตอนนี้  เรียบเฉย  สงบนิ่ง  ดูเยือกเย็น  ถ้าใครไม่รู้จักเขาจริงก็จะไม่สามารถรู้ได้เลย  ว่าเขารู้สึกอย่างไร  และสงสัยว่าฉันก็คงเป็นอย่างนั้น  



    เพราะฉันก็เดาไม่ออกว่าเขารู้สึกอย่างไร   ฉันจะตายก่อนอายุ 19 ไหมเนี่ย



               เมื่อเช้าฉันไปรับเขาที่บ้าน  และออกมาส่งมหา’ลัย  ซึ่งห่างจากที่นี่ก็นับว่าไกลเหมือนกัน  ระหว่างทางเขาไม่ได้พูดอะไรกับฉันเลยซักคำ  มีแต่ฉันที่ชวนเขาคุย  ก็เพราะบรรยากาศมันอึดอัดเหลือเกิน



               “พี่ฮายด์สบายดีหรือเปล่าคะ  ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”



                 “อือ” นี่คือ  คำตอบคำเดียวที่ได้รับ



                 เหลือเชื่อไหมคะ  กับคนที่ร่วมทางกันไปในรถ  นับชั่วโมง  พูดกันแค่ 2 ประโยค  ในเมื่อเขาไม่อยากจะพูดกับฉัน  



    ฉันก็ไม่พยายามให้มันเสียแรงเปล่าหรอกน่า  แค่พยายามลืมเขาก็เสียแรงจะแย่แล้ว  ยังจะให้ไล่จับเขา ให้เขาพูดด้วยอย่างนั้นเหรอ  



    ไม่ดีกว่า  มันเสียเชิงหมด



                ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่า  เมื่อเขาได้มาพบกับฉันอีกครั้ง  รู้สึกว่าเขาจะไม่ชอบหน้าฉันอย่างรุนแรง  เนื่องจากคำพูดของเขาที่แสดงความเย็นชาและห่างเหิน  ทำให้ฉันรู้สึกอย่างนั้น



                 ฉันรู้สึกงงกับตัวเองมากเลย  ว่าความคิดนี้มันเกิดมาได้อย่างไรในหัวของฉัน   ในเมื่อเวลานี้สิ่งที่ควรคิดน่าจะเป็นการทำให้เขาให้อภัยตัวเองมากกว่าจะคิดอย่างอื่น  



    ก็ฉันบอกแล้วไง  ฉันน่ะมีความฉลาดเป็นพิเศษ (น้อยเป็นพิเศษ)   สรุปแล้วความผิดของฉันที่ทำไว้กับเขาส่งผลให้ฉันกำลังจะเป็นบ้าแน่ ๆ



                เหมือนเวลาที่ผ่านไปราวกับชั่วโมงกว่าได้  ทั้งทั้งที่จริง  มันเพิ่งผ่านมาไม่ถึง 10 นาที  เขายังมองหน้าฉันอย่างนิ่งเฉย  



    ด้วยสายตาที่เย็นชาราวกับจะแช่แข็งตัวฉัน  ส่งผลให้ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากชวนเขาคุยไปตามเรื่อง  เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  



                  หน้าของฉันตอนนี้คงราดด้วยคอนกรีตจำนวน 11 ชั้นแล้วถมทับด้วยยางมะตอยอีกประมาณ 4 ชั้น นี่ยังไม่นับดินแดงและกรวดที่ลงไปก่อนหน้านี้แล้ว!



                 “แล้วพี่ฮายด์จะกลับไปมหา’ลัยหรือเปล่าล่ะคะ”  ฉันเอ่ยประโยคนี้ขึ้นกับเขา    และเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นเคย  



    ฉันรู้ตัวดีว่าตอนนี้ฉันทำผิดเข้าไปเต็ม ๆ และมันก็ยากเกินกว่าที่จะให้อภัย  แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือทำอะไรดีที่มันดีไปมากกว่านี้  เรียกว่ามีปัญญาพูดแค่นี้จะดีกว่า



        สำหรับสมองทั้งหมดที่มีของฉันแล้ว  การที่ต้องหาคำตอบของคนตรงหน้าที่ให้มาแต่ความเงียบและความเงียบเท่านั้น  มันไม่ง่ายเลยที่จะประมวลผลความเงียบให้ก่อบังเกิดเป็นคำตอบ  



                  ก็โถ่!!  ฉันไม่ได้มีญาณวิเศษนะ  จะได้รู้ว่าใครคิดอะไร



                 “งั้นเดี๋ยวหลีไปส่งนะคะ” ความเงียบของเขาบวกกับสายตา หารกับท่ายืน คูณกับความหล่อ  คำตอบก็ได้ว่า  



    ‘อืม  พี่จะกลับ’ และคำตอบของฉันก็ส่งเป็นประโยคเมื่อครู่ออกไป



                  และเขาก็ไม่พูดอะไรอีกเช่นเคย  เหมือนรอดูฉันว่า  ไปทำกับเขาขนาดนั้นแล้ว  ฉันจะทำอะไรเพื่อเป็นการลบล้างความผิดได้บ้าง



    เมื่อเขาเห็นว่าฉันคงไม่มีปัญญาทำอะไรให้มันน่าประทับใจหรือน่าให้อภัยได้เลยสักนิด  เขาก็เลยเดินออกจากร้านไปดื้อ ๆ



    ทิ้งเศษเงิน  แบงค์สีม่วงไว้ให้หนึ่งใบ  พร้อมกับสร้างความลุ้นระทึกใจยิ่งกว่าภาพยนต์สยองขวัญให้ใจฉันมันเต้นกระตุกเล่น ๆ



    แล้ว ก็ยังทิ้งระเบิดลูกใหญ่ ๆ ให้ฉันได้คิดกู้มันได้สำเร็จก่อนมันจะระเบิดขึ้นมา  ฉันต้องใจหายอีกครั้งในเมื่อคะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ของฉันไม่สู้ดีสักเท่าไหร่    



             เรียนไม่เก่งบ้างให้มันรู้ไป   แต่ตอนนี้.....เอาไงดีเนี่ย  คิดแล้วกลุ้มจริง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×