ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3
                “สวัสดีค่ะ  จะรับอะไรดีคะ”  ฉันกล่าวทักทายลูกค้าคนหนึ่งที่เดินเข้ามา  โดยที่ยังง่วนอยู่กับการเอาขนมเค้กลง
                “ขอไอศครีมอะไรก็ได้  แต่ขอรสสเตอเบอร์รี่นะ”  แฮะ  กินเหมือนพี่ฮายด์เลย 
                ถึงแม้เสียงของผู้ชายคนนั้นจะหล่อ  แต่ฉันต้องทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด  ฉันจะไม่เอาความหลงไหลและคลั่งไคล้ต่อผู้ชายของฉันมาปนกับงานหรอก 
ถึงแม้ว่าเสียงผู้ชายคนเมื่อกี้จะหล่อและเซ็กซี่บาดใจฉันขนาดไหนก็ตาม แต่....ให้ตายเถอะ  ฉันแอบเหล่เขาไปแล้วล่ะ?!
              “ค่ะได้ค่ะ  รอสักครู่นะคะ”  คล้ายกับว่าวันนี้เป็นวันเลี้ยงต้อนรับการมาทำงานวันแรกของฉัน  ซึ่งมีผู้ร่วมงานเยอะแยะมากมาย   
จนฉันนับไม่หวั่นไม่ไหว  แล้วยิ่งวันนี้พี่ที่เค้าอยู่ประจำที่นี่ก็ขอลาหยุดไปอีก  มันเป็นวันเลี้ยงต้อนรับการทำงานครั้งแรกที่หฤโหดจริง ๆ
              ถ้าสวรรค์จะเอาคืนบ้าง  มันเป็นการเอาคืนที่คุ้มค่าที่สุดเลย
                คงจะเป็นปกติของที่นี่ที่วันธรรมดาจะมีลูกค้าเยอะอย่างนี้  โดยเฉพาะช่วงเช้า และช่วงกลางวัน 
และจะเยอะเป็นพิเศษช่วงที่เป็นเวลาพักกลางวันของพนักงานตามบริษัทต่าง ๆ  จะว่าไปร้านเราไม่ได้ขายอาหารตามสั่งหรือข้าวราดแกงแต่อย่างใด 
มันทำให้ฉันไม่เข้าใจถึงความน่าจะเป็นที่ลูกค้าจะมาอุดหนุนร้านเราเยอะแยะมากมายขนาดนี้ 
              ฉันยกไอศครีมมาเสริฟลูกค้า  จากสายตาของฉันแล้ว  แค่เหล่มันจะไปรู้อะไร  เห็นมะ  ถ้าฉันหยุดมองก็คงไม่พลาดการเห็นใบหน้าของผู้ชายเสียงเซ็กคนเมื่อกี้หรอก (เติม ‘ซี่’ไปด้วยสิโว้ย) 
เกิดอาการเซ็งเล็กน้อย  ก่อนจะนึกได้ถึงความสูง หล่อ เท่ห์ สมาร์ท  (นี่ขนาดไม่ได้เห็นหน้านะ)  เอาน่ะ ๆ ฉันว่าคนนี้ล่ะ  เพราะเขายังไม่มีอาหารซักอย่างเลยนี่นา 
            “เอ่อ  ขอโทษนะคะ  คุณสั่งไอศครีมสเตอเบอร์รี่หรือเปล่าคะ”
          ลูกค้าคนนี้ไม่ได้หันมามอง  และเพียงพยักหน้าก็ไม่มี  ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินนะ 
            “ขอโทษนะคะ  ไอศครีมสเตอเบอร์รี่ของคุณหรือเปล่าคะ”  ฉันเพิ่มเสียงให้ดังและชัดเจนขึ้น  เผื่อว่าเขาจะไม่ได้ยินจริง ๆ 
            เมื่อพูดครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วเขายังไม่หันมา 
              “ไอศครีมอะไรก็ได้แต่ขอรสสเตอร์เบอรี่ของคุณได้แล้วค่ะ”  ฉันจึงทวนประโยคที่เขาสั่งเมื่อกี้ให้เขาฟัง  เผื่อเขาจะจำไม่ได้ว่าสั่งอะไรไป
              เมื่อฉันเอ่ยมันเป็นครั้งที่สามแล้ว  และเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะหันกลับมาตอบรับอะไร  ฉันจึงตัดสินใจไม่พูดอีก 
เพียงแต่ยืนยกไอศครีมและจ้องไปที่แผ่นหลังกว้างของเขาเท่านั้น  คนอะไรหยิ่งชะมัด  พูดก็ไม่พูด  แค่หันหน้ามายังไม่หันเลย 
ฉันชักจะเดือดแล้วนะ  ลูกค้าก็ลูกค้าเถอะหัดมีมารยาทซะบ้างซิ  ไอ้คำว่าลูกค้าคือพระเจ้าน่ะ  มันใช้ไม่ได้สำหรับฉันหรอกนะ  รู้ไว้ซะ  (พูดกับใครเนี่ย) 
              ถึงจะหน้าตาหล่อมากแบบบาดใจ  ฉันก็ไม่มีทางให้อภัยหรอกเฟ้ย!!
            เหมือนกับว่าสายตาที่จ้องเขาราวกับว่าต้องการกินเลือดกินเนื้อของฉันนั้น  ทำให้เขารู้สึกตัวและหันกลับมา
            “เอาวางไว้”  พูดอย่างนี้กัดกันเลยดีกว่าไหม  มันเป็นประโยคที่ไพเราะเพราะพริ้งที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมันออกมาจากปากลูกค้า
          ฉันพยายามวางไอศครีมรสสเตอร์เบอรี่ลงอย่างระมัดระวังไม่ให้มันเสียงดังเกินไปตามอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีของฉันตอนนี้ 
และพยายามควบคุมสติสัมปชัญญะให้อยู่กับเนื้อกับตัว  พยายามใช้เหตุผลมากกว่าใช้อารมณ์  แต่ผลที่ออกมามันไม่สู้ดีนัก 
      โอ๊ย  ก็บอกแล้วไง  ถึงหน้าตาหล่อแบบบาดใจแค่ไหน  ฉันก็ไม่ให้อภัยแน่ ๆ ถึงตอนนี้ฉันจะยังไม่เห็นหน้าเขาก็เถอะ!
              ฉันรีบเดินออกไปจากโต๊ะของลูกค้าคนนั้นทันที  และไม่ทันหันไปมองว่าเขาเป็นใคร  แต่จะเป็นใครก็ไม่สำคัญสักนิด 
เพราะลูกค้าอย่างนี้  ฉันคนหนึ่งล่ะ  ที่ไม่ต้อนรับ  น่าเกลียดที่สุด  พูดออกมาได้  การแต่งตัวก็ดีอยู่หรอก  แต่เวลาพูดนี่ฟังไม่ได้เลย 
มันไพเราะสิ้นดี??  แต่ .......เมื่อมองไปที่แผ่นหลังกว้างดูเท่ห์  นิ้วเรียวขาวสวยงามราวเทพบุตร  เส้นไหมสีดำยาวเคลียไหล่  ความคิดฉันก็เกิดขึ้น
        \'แต่ก่อนที่ฉันจะเดือด  ขอดูหน้าก่อนได้ไหม???\'
              ฉันเป็นพวกเอาแต่ใจตัวเอง  เวลาที่ฉันพูดแล้วคนฟังไม่ยอมฟัง  ฉันจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่  แต่ข้อนี้ยังให้อภัยได้ 
แต่ประโยคของลูกค้าเมื่อกี้ที่เอ่ยออกมา  ฉันรับไม่ได้จริง ๆ 
          ซึ่งลูกค้ากวนอารมณ์คนนี้ทำให้อารมณ์ของฉันขุ่นมัวไปเกือบตลอดทั้งวัน  ส่งผลให้การทำงานวันแรกของฉันดูว่าจะไม่ราบรื่นนัก
ขณะที่จดเออร์เดอร์และบริการลูกค้าคนอื่นอยู่  ฉันก็ยังอดไม่ได้ที่จะให้ค้อนวงใหญ่กับเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว  และเมื่อยิ่งมองฉันก็ยิ่งหงุดหงิด 
          เหมือนว่ามีจิตใต้สำนึกบางอย่างให้ฉันเลือกที่จะไม่เก็บเอาลูกค้าคนนั้นมาเป็นอารมณ์  และทำงานของตัวเองไปอย่างสบาย ๆ ดีกว่า  ขืนถ้าปล่อยให้อารมณ์เป็นอย่างนั้นต่อไป  ลูกค้าคงได้หนีหมดเป็นแน่
      ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
            “สวัสดีค่ะ  จะรับอะไรดีคะ”  ฉันกล่าวทักทายและเอ่ยคำถามแก่ลูกค้าที่เข้ามาใหม่  ด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย  เนื่องจากลูกค้าวันนี้มันเยอะเกินคาดจริง ๆ
            อีก  15  นาที  จะบ่ายโมงครึ่งแล้ว  ฉันรู้สึกดีใจมากมาย  เพราะมันกำลังจะเข้าสู่เวลาทำงานของพวกลูกค้าอีกครั้ง  ลูกค้าที่รีบ 
ก็ทยอยออกไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ถึงกับบางตา  จะเหลือก็แต่ตรงหน้าร้าน  ที่เป็นซุ้มต้นไม้ต่าง ๆ 
          “น้องครับขอ  น้ำส้มแก้วนึง”  ลูกค้ามุมโน้นสั่งรายการอาหารเพิ่ม
            “น้องคะพี่ขอกาแฟด้วยค่ะ”  ลูกค้าอีกมุมสั่งเพิ่มอีกคน
              “พี่คะ  หนูอยากกินขนมเค้ก”  คราวนี้คุณลูกค้าตัวน้อย ๆ สั่งเพิ่มจากที่นั่งในร้าน
          “เอ่อ  ขอขนมปังคู่นึงจ๊ะ”  ลูกค้าสั่งอีกคนแล้ววว
          “เออ น้อง......”  โห  จะมาสั่งอะไรกันตอนนี้ว้าเนี่ย  ตายแล้วฉัน  คุณป้าขอตัวไปข้างนอกเสียด้วย  ตายแน่ ๆ
            หลังจากมีเออร์เดอร์เข้ามาอย่างมากมายกว่าที่มันไม่น่าจะเป็น  ฉันก็รีบทำรายการอาหารที่สั่ง  และเสริฟพร้อมยิ้มให้หน้าสวยไว้ก่อน 
          มันเป็นเคล็ดรับดึงดูดคนน่ะไม่ว่าเหนื่อยแค่ไหน ก็ต้องยิ้มไว้ก่อน  เพราะฉันเคยไปตามร้านอาหารต่าง ๆ บางทีคนเยอะและพวกพนักงานเสริฟทำหน้างอ หน้าบึ้ง  ฉันก็รู้สึกไม่ชอบใจ
    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
          “พี่คะ  นี่ค่ะ  ค่ากรอบรูปที่ตกไปเมื่อกี้ ถึงมันจะไม่เป็นอะไร และทางห้างก็ไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากหนู  ก็คิดซะว่าเงินนี้เป็นค่าบำรุงการศึกษาของพนักงานที่นี่นะคะ  ”
          ฉันเคยเอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกไปอย่างไม่ไว้หน้าคนฟังเลยสักนิด  ขนาดตอนนั้นอายุฉันมันเพิ่งพ้นเลข 15  มาไม่กี่เดือน 
แต่ด้วยอายุขนาดนี้สามารถตอกหน้าคนฟังที่อายุน่าจะเกิน 20 ไปหลายปีแล้วเหมือนกันด้วยประโยคแสบร้อน  ซึ่งนับครั้งได้ที่ฉันจะเอ่ยประโยคพวกนี้ออกไป   
เมื่อเพื่อนของฉันทำกรอบรูปตก  แทนที่พนักงานจะมาบอกไม่เป็นไรค่ะ  อย่างโน้นอย่างนี้  ก็ว่ากันไป  แต่กลับไม่ทำ 
เอาหน้างอ ๆ ออกมารับแขก  มันทำให้ความเอาแต่ใจของฉันพุ่งกระชูด  จึงทำให้ฉันแสกหน้าพนักงานไปอย่างไม่น่าให้อภัย 
          ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
          เมื่อจัดการกับเออร์เดอร์เมื่อกี้เรียบร้อยก็เหลือกาแฟเย็นเป็นแก้วสุดท้าย  ที่จะต้องเสริฟให้กับลูกค้า  ขณะที่กำลังชงก็นึกขอโทษลูกค้าไปด้วย 
ด้วยว่าถ้าฉันไม่ได้จดเออร์เดอร์ไว้  ลูกค้าคนนี้คงอดแน่ ๆ  และเมื่อหันไปหาลูกค้าโต๊ะหนึ่งที่สั่งกาแฟเย็นถ้วยนี้ 
อารมณ์เดือดฉันก็เริ่มกรุ่น ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง  เมื่อเจ้าของเออร์เดอร์นี้เป็นเจ้าของประโยคน่าประทับตราต้องใจ ที่เอ่ยออกมาได้อย่างไร้มารยาท 
          ด้วยนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนใจร้อน  ขี้หงุดหงิด ขี้โมโห และไม่ยอมใครของฉัน  มันได้คุกรุ่นอยู่ภายในใจ 
ถ้าฉันไม่ได้ทำอะไรซักอย่างเพื่อเป็นการตอบแทนคำพูดอันไร้สามัญสำนึกของผู้พูดแล้ว  ฉันคงต้องทรมานอย่างไม่มีวันสิ้นสุด  (เว่อร์)
            “ขอโทษนะคะที่ให้รอนาน  กาแฟเย็นได้แล้วค่ะ” ฉันเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังเอาที่รองแก้วกาแฟเย็นวางลงบนโต๊ะซึ่งมีแจกันทรงสูงตกแต่งอย่างเรียบง่าย
            “ว้าย!!!”  ฉันร้องออกมาอย่างตกใจสุดขีด  เมื่อขาเจ้ากรรมของฉัน  พลาดไปสะดุดกับขาเก้าอี้  (แค่ยืนอยู่ยังสะดุดได้ ฉลาดน่าดู)
ทำให้กาแฟเย็นในมือหกรดใส่เสื้อเชิ้ตของลูกค้ากวนอารมณ์คนนั้นเข้าไปเต็ม ๆ
          “ขอโทษค่ะ  เลอะหมดแล้ว  หลีขอโทษจริง ๆ ค่ะ”  ฉันละล่ำละลักพูดออกไป  หน้าฉันซีดลงอย่างเห็นได้ชัด  มือไม้สั่นคลอนตามอารมณ์ตกใจ 
            ผลที่ตามมาก็คือ  เสื้อเชิ้ตของเขาได้กลายเป็นสีขาว ‘สนิท’  ไปแล้ว  ฉันรู้สึกใจหายไม่น้อยเลยทีเดียว  นี่ถ้าคุณป้ารู้ 
ฉันจะเป็นยังไงบ้างนะเนี่ย  ไม่อยากจะคิดเลย 
          แต่ความรู้สึกในความใจหายของฉัน  ก็สร้างความสะใจให้ฉันไม่น้อย  แน่ล่ะ  เมื่อกี้  มันเป็นแผนการอันชั่วช้าของฉัน 
เพื่อที่จะให้ความทรมานของฉันสิ้นสุดลง  หุหุ  ในที่สุด  มันก็สำเร็จอย่างง่ายดาย  และแนบเนียน 
นี่ถ้าฉันเป็นนักแสดง รางวัลตุ๊กตาทองคำคงอยู่แค่เอื้อม  อิอิ  สะใจจริง ๆ !!
เพื่อความแนบเนียน  ฉันยังคงทำเป็นตื่นตกใจกับเหตุการณ์นั้นอยู่  ถ้าวันนี้ใครจะเรียกฉันว่านางมารร้าย  ฉันก็ยอมล่ะ 
สงสัยว่าเขาจะพอมีการศึกษามาบ้าง  เมื่อคำว่า  i]ครับ  ออกมาจากปาก
\"เออ....ไม่ต้องก็ได้ครับ  เดี๋ยวผมเช็ดเองก็ได้”  เขาเอ่ยปฏิเสธฉัน  ขณะที่ฉันกำลังจะเช็ดเสื้อให้เขา 
\"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  เดี๋ยวหลีเช็ดให้ดีกว่า  ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ  หลีซุ่มซ่ามเองค่ะ”    มีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก  เป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับนางมารร้ายเวลาได้แกล้งนางเอกแล้วรู้สึกสะใจ
                โอ้ว  วันนี้ฉันจะกลายร่างไหมเนี่ย
          ฉันพยายามทำตีหน้าเศร้าเต็มที่และเสียใจอย่างสุดซึ้งที่มันเป็นแบบนี้ 
        หลีไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยค่ะ เอ่อ  คือหลีไม่ได้ตั้งใจ  หลี  หลีขอโทษนะคะ
  มันเป็นประโยคที่ฉันคิดไว้ในใจว่าจะเอ่ยขอโทษเขา  แต่เอาเข้าจริง  ประโยคนั้นมันได้ถูกปล่อยออกมาเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น 
อีกครึ่งมันถูกกลืนเข้าไปในลำคอเรียบร้อยแล้ว  ฉันรู้ดีว่าควรเก็บประโยคพวกนั้นไว้เอ่ยกับลูกค้าคนอื่นดีกว่า  เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าฉัน 
รู้หมดนั่นแหละว่าฉันทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรและเพราะอะไร 
              “พะ  พี่....พี่ฮายด์”  เสียงลากชื่อของเขายาวยืด  และสั่นเล็กน้อย  ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้หรือต่อจากนี้ฉันควรทำอะไรดี  ดูว่ามือไม้ของฉันมันดูเก้งก้างผิดปกติ ไม่รู้ว่าจะเอามันไปไว้ที่ไหนดี
          ตายแน่ ๆ เลยอ่ะ
            หน้าตาตอนนี้ของฉันคงซีดยิ่งกว่าไก่ที่ถูกต้มเปื่อยมาแล้วสิบกว่ารอบ  ความเย็นยะเยือกเข้าครอบงำตัวฉันและลามเข้าไปถึงสถานการณ์อันตรึงเครียด 
จะเรียกว่าฉันกลัวเขาหรือ  นั่นแหละถูกเผ้งเลย  ถึงแม้ฉันกับเขาไม่ได้รู้จักกันมาเป็นสิบปี  แต่ฉันก็รู้ว่าเขารู้หมดเลยว่าฉันทำอะไรโดยมีเจตนาอย่างไรและรู้สึกอย่างไร 
                ตายแน่ ๆ นี่ถ้าแม่ฉันรู้นะ  ฉันคงต้องตายแน่ ๆ  กระทงแรกเพิ่งไปส่งเขาที่มหา’ลัย  กระทงใบที่สองฉันต้องไปรับเขากลับบ้าน 
กระทงที่จะต้องลอยใบที่สามฉันต้องลอยคือไปส่งเขาทานข้าว  ทั้งหมดเป็นความต้องการของผู้เป็นมารดาฉัน  โทษฐานทำรถเขายางรั่ว 
แล้วถ้าแม่รู้อีกล่ะว่าฉันแกล้งทำกาแฟหกใส่เสื้อเขา  มิต้องไปเป็นเด็กรับใช้ที่บ้านเขาเลยเหรอเนี่ย 
            ความจริงตอนนี้เรื่องแม่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลยสักนิด  ในเมื่อเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องเล็กกะจิดริดถ้าเทียบกับความผิดของฉันที่ก่อกับคนเบื้องหน้า  ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
          เมื่อเขาไม่ได้พูดอะไร  ฉันก็ขอพูดก่อนแล้วกัน  แต่เอ๊ะ  เมื่อกี้ใครพูดนะ  ว่าขอเห็นหน้าเขาก่อนได้ไหม...
 
          “อ้าว  พี่ฮายด์เอง  แล้วทำไมถึงมาอยู่นี่ล่ะคะ”  ฉันพูดพร้อมรอยยิ้มที่พยายามยิ้มให้สวยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อกลบเกลื่อนความผิดเมื่อครู่ แต่ผลที่ออกมามันคงฝืดเต็มที  แหะ ๆ ไม่ว่ากันนะ
            ไม่มีคำตอบอะไรออกจากปากเขา  แม้คำตอบจากดวงตาก็ยังไม่มี  ใบหน้าสวยคล้ายผู้หญิงที่ฉันเคยนึกชื่นชมและปลาบปลื้ม 
ตอนนี้  เรียบเฉย  สงบนิ่ง  ดูเยือกเย็น  ถ้าใครไม่รู้จักเขาจริงก็จะไม่สามารถรู้ได้เลย  ว่าเขารู้สึกอย่างไร  และสงสัยว่าฉันก็คงเป็นอย่างนั้น 
เพราะฉันก็เดาไม่ออกว่าเขารู้สึกอย่างไร  ฉันจะตายก่อนอายุ 19 ไหมเนี่ย
          เมื่อเช้าฉันไปรับเขาที่บ้าน  และออกมาส่งมหา’ลัย  ซึ่งห่างจากที่นี่ก็นับว่าไกลเหมือนกัน  ระหว่างทางเขาไม่ได้พูดอะไรกับฉันเลยซักคำ  มีแต่ฉันที่ชวนเขาคุย  ก็เพราะบรรยากาศมันอึดอัดเหลือเกิน
          “พี่ฮายด์สบายดีหรือเปล่าคะ  ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
            “อือ” นี่คือ  คำตอบคำเดียวที่ได้รับ
            เหลือเชื่อไหมคะ  กับคนที่ร่วมทางกันไปในรถ  นับชั่วโมง  พูดกันแค่ 2 ประโยค  ในเมื่อเขาไม่อยากจะพูดกับฉัน 
ฉันก็ไม่พยายามให้มันเสียแรงเปล่าหรอกน่า  แค่พยายามลืมเขาก็เสียแรงจะแย่แล้ว  ยังจะให้ไล่จับเขา ให้เขาพูดด้วยอย่างนั้นเหรอ 
ไม่ดีกว่า  มันเสียเชิงหมด
            ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่า  เมื่อเขาได้มาพบกับฉันอีกครั้ง  รู้สึกว่าเขาจะไม่ชอบหน้าฉันอย่างรุนแรง  เนื่องจากคำพูดของเขาที่แสดงความเย็นชาและห่างเหิน  ทำให้ฉันรู้สึกอย่างนั้น
            ฉันรู้สึกงงกับตัวเองมากเลย  ว่าความคิดนี้มันเกิดมาได้อย่างไรในหัวของฉัน  ในเมื่อเวลานี้สิ่งที่ควรคิดน่าจะเป็นการทำให้เขาให้อภัยตัวเองมากกว่าจะคิดอย่างอื่น 
ก็ฉันบอกแล้วไง  ฉันน่ะมีความฉลาดเป็นพิเศษ (น้อยเป็นพิเศษ)  สรุปแล้วความผิดของฉันที่ทำไว้กับเขาส่งผลให้ฉันกำลังจะเป็นบ้าแน่ ๆ
            เหมือนเวลาที่ผ่านไปราวกับชั่วโมงกว่าได้  ทั้งทั้งที่จริง  มันเพิ่งผ่านมาไม่ถึง 10 นาที  เขายังมองหน้าฉันอย่างนิ่งเฉย 
ด้วยสายตาที่เย็นชาราวกับจะแช่แข็งตัวฉัน  ส่งผลให้ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากชวนเขาคุยไปตามเรื่อง  เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 
              หน้าของฉันตอนนี้คงราดด้วยคอนกรีตจำนวน 11 ชั้นแล้วถมทับด้วยยางมะตอยอีกประมาณ 4 ชั้น นี่ยังไม่นับดินแดงและกรวดที่ลงไปก่อนหน้านี้แล้ว!
            “แล้วพี่ฮายด์จะกลับไปมหา’ลัยหรือเปล่าล่ะคะ”  ฉันเอ่ยประโยคนี้ขึ้นกับเขา    และเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นเคย 
ฉันรู้ตัวดีว่าตอนนี้ฉันทำผิดเข้าไปเต็ม ๆ และมันก็ยากเกินกว่าที่จะให้อภัย  แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือทำอะไรดีที่มันดีไปมากกว่านี้  เรียกว่ามีปัญญาพูดแค่นี้จะดีกว่า
    สำหรับสมองทั้งหมดที่มีของฉันแล้ว  การที่ต้องหาคำตอบของคนตรงหน้าที่ให้มาแต่ความเงียบและความเงียบเท่านั้น  มันไม่ง่ายเลยที่จะประมวลผลความเงียบให้ก่อบังเกิดเป็นคำตอบ 
              ก็โถ่!!  ฉันไม่ได้มีญาณวิเศษนะ  จะได้รู้ว่าใครคิดอะไร
            “งั้นเดี๋ยวหลีไปส่งนะคะ” ความเงียบของเขาบวกกับสายตา หารกับท่ายืน คูณกับความหล่อ  คำตอบก็ได้ว่า 
‘อืม  พี่จะกลับ’ และคำตอบของฉันก็ส่งเป็นประโยคเมื่อครู่ออกไป
              และเขาก็ไม่พูดอะไรอีกเช่นเคย  เหมือนรอดูฉันว่า  ไปทำกับเขาขนาดนั้นแล้ว  ฉันจะทำอะไรเพื่อเป็นการลบล้างความผิดได้บ้าง
เมื่อเขาเห็นว่าฉันคงไม่มีปัญญาทำอะไรให้มันน่าประทับใจหรือน่าให้อภัยได้เลยสักนิด  เขาก็เลยเดินออกจากร้านไปดื้อ ๆ
ทิ้งเศษเงิน  แบงค์สีม่วงไว้ให้หนึ่งใบ  พร้อมกับสร้างความลุ้นระทึกใจยิ่งกว่าภาพยนต์สยองขวัญให้ใจฉันมันเต้นกระตุกเล่น ๆ
แล้ว ก็ยังทิ้งระเบิดลูกใหญ่ ๆ ให้ฉันได้คิดกู้มันได้สำเร็จก่อนมันจะระเบิดขึ้นมา  ฉันต้องใจหายอีกครั้งในเมื่อคะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ของฉันไม่สู้ดีสักเท่าไหร่   
        เรียนไม่เก่งบ้างให้มันรู้ไป  แต่ตอนนี้.....เอาไงดีเนี่ย  คิดแล้วกลุ้มจริง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น