ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2
                  ฉันตื่นขึ้นพร้อมกับอากาศที่กำลังเย็นสบาย  อาจเป็นเพราะเช้ามืดมีเม็ดฝนเล็ก ๆ โปรยปรายลงมา  แต่ด้วยความอ่อนเพลียที่มีบดบังบรรยากาศตอนเช้าเสียหมด  ทำให้ฉันรู้สึกสบายตัวน้อยกว่าที่ควรจะเป็น 
                เมื่อคืนหลังจากที่มือไปกระแทกกับขอบหน้าต่างอย่างจังแล้ว  ฉันก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้อย่างปกติ 
เนื่องจาก ‘ฝันร้าย’  ครั้งนี้มันรุนแรงเหลือเกิน  รุนแรงเกินกว่าฉันจะทิ้งมันและไม่กลับไปคิดซ้ำไปซ้ำมาให้มันปวดใจเล่นได้ 
              สักพักฉันก็กลับเข้าบ้านมาอาบน้ำ อาบท่า  หลังจากที่ไปสูดอากาศบริสุทธิ์และรดน้ำต้นไม้เสร็จ 
ว่าวันนี้ฉันจะออกไปหางานพิเศษทำสักหน่อย  เผื่อเวลาว่างที่ไร้สาระของฉันมันจะมีค่าขึ้นมาบ้าง  สักนิดก็ยังดี 
ตัวฉันเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอกนะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ น่ะ  ครอบครัวของฉันก็ถือว่ามีพออยู่พอกิน 
ฐานะก็ปานกลางที่พอจะส่งเสียฉันเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนได้  แต่แค่อยู่ว่างมาก ๆ แล้วมันฟุ้งซ่าน  หางานทำบ้างก็ดี 
            เอาล่ะ  เวลาต่อจากนี้ไป  ฉันจะทำตัวเป็นคนมีค่า  หาเงินหาทองเป็นของตัวเอง เอ้า  ไปกันเลย
              ฉันสูดหายใจลึก ๆ พร้อมก้าวเท้าออกจากบ้านด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม 
          ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
            “พรุ่งนี้ก็เริ่มงานได้เลยนะจ๊ะ”
            “ค่ะ”
        ฉันได้งานพิเศษทำที่ร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ อยู่แถวบ้านของฉัน  เจ้าของร้านเป็นหญิงที่ดูแล้ว  น่าจะมีอายุมากกว่าแม่ฉันนิดนึง 
ท่านเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมาก  และก็ใจดีกับฉันที่สุด  ฉันคิดว่าไม่น่าจะลำบาก  ถ้าฉันได้ทำงานกับคุณป้าคนนี้ 
          ซึ่งกว่าจะหาได้  ก็เล่นเอาฉันเหนื่อยทีเดียว  เขาว่ากันว่าเส้นผมเล็ก ๆ สามารถบังได้กระทั่งภูเขา 
แล้วอะไรกับร้านเบเกอรี่ที่อยู่ในระแวกบ้านฉันล่ะ  อุตส่าห์ดั้นด้นไปหางานทำตั้งไกล  แค่นั่งรถไปก็เหนื่อยแล้ว  หาอยู่ 4-5 ที่ 
แต่ไม่ได้เลยซักแห่ง กลับมาได้ร้านที่อยู่แถวบ้านตัวเอง              ฉันควรจะดีใจหรือเปล่านะ
              พอดีตอนฉันเดินกลับบ้านด้วยความหมดอะไรตายอยากเนี่ยแหละ  สวรรค์ก็ให้โอกาสฉัน 
หลังจากที่ฉันบนบานสานกล่าวมานานแล้ว  นานมากจนฉันลืมไปเลยว่าฉันขออะไรกับสวรรค์ไว้บ้าง 
            โอ้ว  ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าการขอพรของฉันต้องรอคิว - - ยาวถึงห้าชั่วโมง 
              สวรรค์ท่านส่งให้ฉันเดินเข้าไปในร้านขายกาแฟ เบเกอรี่เล็ก ๆ และไปนั่งชิมกาแฟอยู่นานโข  จนเกือบจะกลับบ้าน
ความคิดที่สวรรค์คงจะต้องดลใจ (เพราะฉันมั่นใจว่า ตัวฉันคงฉลาดน้อยกว่านั้นแน่ ๆ)  ให้ฉันเข้าไปถามไถ่ถึงเรื่องสมัครเป็นพนักงาน
และแน่นอน  สวรรค์ก็ทำให้ฉันประสบความสำเร็จ 
          เยส  ฉันมีงานทำแล้ว  ถ้าฉันได้เงินเดือนเดือนแรก ฉันจะปิดโรงเรียนเลี้ยงเลย  เอ้า... 
              ระยะทางของร้านและบ้านของฉัน  ไม่ไกลกันมากนัก  ฉันก็ตัดสินใจเดินกลับบ้านดีกว่า 
ด้วยว่าอยากสูดอากาศบริสุทธิ์จากต้นไม้ริมทาง  และขอชื่นชมต้นไม้ในบ้านหลาย ๆ หลังของหมู่บ้านแห่งนี้ 
ว่าตอนนี้พัฒนากันไปถึงไหนแล้ว  หมู่บ้านฉันการปลูกต้นไม้เห็นว่าจะเป็นงานอดิเรกของทุกบ้าน 
ถ้าบ้านไหนไม่มีคงจะใช้คำพูดไหนไม่ดีเท่ากับคำว่า  ‘เชย’  เหมือนกับว่าการปลูกต้นไม้ของพวกเขาเป็นการแข่งขันโดยปริยาย 
และดูจะตรงข้ามกับหมู่บ้านอื่นที่มีการแข่งขันในเรื่อง  ‘ถังขยะ’ สูง  เมื่อมองไปรอบ ๆ 
สามารถเรียกได้ว่ามันอาจจะเป็นงานสะสมของเก่าไปได้เลยทีเดียว  หมู่บ้านผู้ดี  มีอันจะกินก็อย่างนี้แหละ 
แค่ต้นไม้นิด ๆ หน่อย ๆ ราคาแค่ไม่กี่บาท  ถึงแม้จะรวมกันหลายต้นทำให้  ราคาเพิ่มพูนมากขึ้น 
แต่ก็ไม่ได้ไปสะกิดเงินในกระเป๋าของพวกเขาสักนิด 
                ประตูใหญ่  สูง  เป็นเหล็กดัดสีน้ำเงินเข้ากับสีของตัวบ้าน  ดูใหม่อยู่เสมอ  เหมือนว่าเจ้าของจะใส่ใจกับมันไม่น้อย 
เนื่องจากนิสัยการรักความสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยของแม่ฉัน  ทำให้สภาพบ้านของเรา  ดูใหม่อยู่ตลอดเวลา 
และก็ดูว่ามันเป็นปกติธรรมดาของหมู่บ้านนี้  ที่จะพยายามทำให้บ้านของตนไม่เสื่อมสภาพลงไป    เมื่อฉันกำลังจะเปิดประตูรั้วเข้าบ้าน 
โชคที่เกือบจะดีวันนี้  ลดประสิทธิภาพลง  กลายเป็นศัพท์คำใหม่  ที่บัญญัติและเรียกกันว่า ‘ซวย’
              “จะรีบไปตายที่ไหนวะ”  ฉันสบถเสียงดัง  คิดอยากจะให้คนขับได้ยินใจจะขาด
รถคันหรูสีดำ  ดูปราดเปรียว  วิ่งไปอย่างรวดเร็ว  และด้วยความเร็วที่มากมายเหมือนกับว่าคนขับรีบจะไปทำอะไรที่มันด่วนมาก ๆ
จึงทำให้ไม่ทันระวังแอ่งน้ำขนาดย่อมที่เกิดจากฝนเมื่อเช้า  คงไม่เป็นอะไรถ้ามันไม่ได้อยู่ใกล้กับฉัน
                เมื่อเพ่งมองเสื้อตัวโปรดของฉันนิดนึง  ก่อนจะแหกลูกตาเบิ่งมองมันอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ก็พบว่ามัน... 
            โอ้ว  ไม่นะ  เสื้อฉัน  โห  อยากจะร้องไห้จริง ๆ
              “ไอ้บ้าเอ๊ย  ฮือ”  ก็มันกลายเป็นสีขาว ‘สนิท’  ไปแล้วน่ะสิ  ฮือ  เสื้อตัวโปรดสีขาวของฉัน  ถ้ารู้นะว่าเป็นใคร  แม่จะเทศน์ให้หูแฉะไปเลยจริง ๆ มันน่านัก 
            ร่างสูงของฉันกำลังก้าวเข้าไปในบ้านด้วยอารมณ์เศร้าสนิท  เสื้อฉ้านนนน.... ฉันไม่รู้จะทำอะไรที่มันดีไปกว่านี้เลยจริง ๆ ตอนนี้ก็ทำได้แค่  กรีดร้องในใจ  ฮือ ๆ ๆ  
            ฉันหันหลังเข้าสู่ตัวบ้านและกำลังจะปิดประตู  แต่ก็ต้องชะงัก  เมื่อบังเอิญไปเห็นหรูคันเดิมกำลังถอยหลังกลับมา ฮือ ๆ ๆ  ๆ  ฉันยังคงกรีดร้องในใจอย่างต่อเนื่อง    จะถอยกลับมาทำไมเล่า ไอ้บ้า
            ทันใดนั้น  ความคิดอันชาญฉลาดที่ยังพอเหลืออยู่บ้างก็บังเอิญเกิดขึ้นในหัวของฉันอย่างน่าอัศจรรย์ใจ 
          โฮะ ๆ ๆ ๆ ฉันรู้แล้วล่ะ  ว่าจะทำอย่างไรกับความหวังดีของเพื่อนร่วมถนนของฉันดี  ฮะ ฮ่ะ ฮ่า  คิดแล้วสะใจเฟ้ย!!!
            ฉันคิดว่า คนขับคงจะไม่ใช่คนในหมู่บ้านแน่นอน ในเมื่อหมู่บ้านของฉันมีแต่ผู้ดีได้รับการ อบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดีทั้งนั้น 
แต่ถึงแม้จะเป็นคนในหมู่บ้านนี้หรือไม่ใช่ก็ตาม  ในเมื่อคนขับอุตส่าห์ พยายามทำเสื้อของฉันให้มีสีใหม่โดยที่ฉันไม่ได้ร้องขอแล้ว 
ฉันก็คงต้องให้อะไรตอบแทนซะบ้าง  ไม่อย่างนั้นจะหาว่าฉันใจร้ายไป  ฮะ ฮ่ะ ฮ่า... (หัวเราะอย่างมีชัย)
      +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
          ตอนเย็นของทุก ๆ วัน  ครอบครัวของฉันจะมาทานข้าวด้วยกัน ปกติตอนเช้าและกลางวัน เราจะไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่ด้วยกันซักเท่าไหร่
จึงยึดอาหารค่ำเป็นมื้อสนทนากันเสียมากกว่า  ต่างคนก็ต่างมีงาน  อย่างที่บอก  ครอบครัวฉันไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวยอะไรมากมาย 
คงไม่ถึงกับว่า ‘ไม่ต้องทำงานเงินก็ยังเหลือ’  คงไม่ถึงขนาดนั้น  ครอบครัวฉันมีพ่อ  แม่  และพี่สาวอีกหนึ่งคน 
ฉันเป็นคนในบ้านที่มีอายุน้อยที่สุด  ต่างคนก็ต่างทำงาน  พี่สาวฉันเรียนจบแล้วและมีกิจการส่วนตัวที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ก้าวแรกที่เริ่มทำ  พ่อ แม่ จึงภูมิใจในตัวลูกสาวของเขาเป็นอันมาก
              “หลีไม่ได้ต้องไปหางานทำก็ได้  เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่  เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยมันเหนื่อยนะหลี” พ่อ แม่ฉัน เคยบอกไว้อย่างนี้
และฉันก็รู้ดีว่าท่านหวังดีต่อฉันมาก  แต่จะทำไงได้ล่ะ  แค่เขาเลี้ยงดูมาก็เป็นบุญของฉันแล้ว  ยังจะให้ที่พัก ที่อาศัยอีก 
แล้วจะให้ฉันผลาญเงินเขาอย่างเดียวโดยที่ไม่คิดจะช่วยเหลือตัวเองได้ยังไง
          ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
              ครอบครัวของฉันมีพ่อ  แม่ และพี่สาว  รวมถึงฉันเป็น 4 คน  ครอบครัวเราเป็นครอบครัวธรรมดาที่เหมือนกับครอบครัวทั่ว ๆ ไป
ทุกคนมีภาระหน้าที่เป็นของตัวเอง  เช้าทำงาน กลับมาบ้านอีกทีก็ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว  เรียกว่าแทบไม่มีเวลา
เพราะพื้นเพของครอบครัวเราเป็นคนกรุงเทพก็ต้องจำยอมรับกับสภาพแบบนี้ 
แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงเหล่านี้  นับว่าเป็นโชคดี  ที่ทุกคนในครอบครัว  มีเวลาให้กัน  แม้ว่ามันจะไม่มากก็ตาม 
ฉันคิดว่า  ฉันเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งที่มีครอบครัวอบอุ่น  คอยให้ความรักความห่วงใย  และคำปรึกษาแก่ฉันเวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจ 
พวกเขาไม่เคยทำให้ฉันกลายเป็นเด็กมีปัญหา  เหมือนกับหลายครอบครัวในปัจจุบัน  ซึ่งฉันเองก็ไม่คิดจะทำตัวแบบนั้นด้วย 
เท่าที่จำความได้  ไม่เคยมีอะไรที่ทำให้ฉันนึกน้อยใจคนที่บ้านเลยสักนิด  แม้ว่าหลายครั้งที่ฉันต้องอยู่โดดเดี่ยว  คนเดียว 
ในขณะที่เพื่อน ๆ ไม่เคยเป็นแบบฉัน  ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในหลายครอบครัวที่เกิดมาโชคดีที่สุด  ฉันมีความสุขมาก 
ที่ได้เกิดมาในครอบครัวนี้  ขอบคุณสวรรค์  ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณทุก ๆ คน 
              ว่ากันว่า  มีทุกข์ก็ย่อมมีสุข  เป็นสัจธรรมของชีวิต  สำหรับฉันคงกลับกัน  เมื่อเรามีสุขก็ย่อมมีทุกข์ด้วยเช่นกัน 
เมื่อคนในครอบครัวฉันเห็นว่าฉันโตพอที่รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้แล้ว    และท่านคงคิดว่าเมื่อคนเราโตแล้ว 
น่าจะยอมรับความจริงและทำใจได้ง่ายกว่า  จึงบอกความจริงในชีวิตที่ฉันควรจะได้รับรู้เอาไว้ 
ว่าฉันไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพวกท่าน  และฉันก็รับทราบว่าท่านเป็นคนใจบุญ  ที่รับเด็กคนหนึ่งจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาเลี้ยงดู 
ให้เติบใหญ่มาได้  แม้ว่าพวกท่านจะมอบความรักและความจริงใจให้ฉันเสมอมา  และไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกต่ำต้อย 
แต่ความจริงข้อนี้  สำหรับฉัน  ฉันทำใจไม่ได้  ในเมื่อชีวิตในอดีตของฉันมันมีครบทั้งพ่อ แม่ และพี่สาว 
แต่บัดนี้  ทุกคนไม่ได้เป็นของฉันเลย  ทุกอย่างมีแต่ความหลอกลวง 
         
                คล้ายกับว่าฝันไป  มันเป็นความฝันอันยาวนานและเป็นฝันที่ทำให้ฉันมีความสุข  เมื่อตื่นขึ้นพบกับโลกของความจริง 
ก็แทบจะร้องไห้  ถ้าความฝันนั่นมันร้ายกาจอย่างนี้  ฉันขอเลือกที่จะไม่ฝันดีกว่า 
              แม้ว่ามันอาจจะทำให้ชีวิตฉันไม่พบความสุขเลยก็ตาม 
                วันนั้นที่ฉันได้รับความจริงจากพวกท่าน  มันทำให้ฉันตกใจและเสียใจไม่แพ้กัน  คล้ายกับว่าดวงใจของฉันหลุดลอยหายไป 
หายไปกับความจริงเหล่านั้น  พวกท่านพยายามพูดทุกอย่างให้มันดูนุ่มนวลและอ่อนโยนที่สุดเพื่อที่จะไม่ให้ฉันตกใจ
และค่อย ๆ ยอมรับความจริง  ถึงแม้ความจริงของฉันจะถูกบอกออกมาเป็นคำพูดที่นุ่มนวลและอ่อนโยนนั่น 
แต่มันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาเลย  เมื่อความจริงมันบ่งบอกอยู่แล้วว่า  ฉันไม่เป็นที่ต้องการของพ่อและแม่ 
ฉันไม่เป็นที่ต้องการของคนในสังคม  ความรู้สึกมากมายที่มี  มันประดังเข้ามา  เหมือนต้องการจะตอกย้ำให้ฉันรู้จักตัวเอง 
ให้ฉันได้รู้สึกตัว  บางครั้งฉันก็รู้สึกว่าเป็นตัวที่น่ารังเกียจของสังคม  เหมือนว่าตัวฉันเองไม่สามารถยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ได้ 
ขาทั้งสองที่เคยยืนหยัดอยู่บนผืนดินอย่างมั่นคง  บัดนี้มันอ่อนแรงลง  คล้ายกับว่า ความเข้มแข็งมันหายไป 
พร้อมกับดวงใจที่หลุดลอยไปในวันนั้น  ฉันไม่มีแรงและไม่เข้มแข็งพอที่จะยืนอยู่บนโลกใบนี้ตามลำพังกับความจริงที่แสนจะโหดร้าย 
            ก็แค่พ่อกับแม่แท้ ๆ ของฉัน  ฉันยังไม่รู้เลย  แล้ววันนี้ฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร     
              เด็กคนหนึ่งที่ร่าเริง แจ่มใส ทะลึ่งทะเล้น ดูแข็งแกร่ง  มีดวงตาที่สว่างสดใส มีความมั่นใจ 
พร้อมที่จะรับกับทุกปัญหาที่ผ่านเข้ามาได้  ภายใต้ครอบครัวอันแสนอบอุ่น  แต่เมื่อเด็กคนนั้นรู้เข้าว่าครอบครัวที่แสนจะอบอุ่นของตัวเอง
ครอบครัวที่เธอเติบโตมาพร้อมกับความรักของทุก ๆ คนในบ้าน  มันไม่ได้เป็นของเธอเอง  มันไม่ใช่ครอบครัวอันแท้จริงของตัวเธอแล้ว 
ทุก ๆ อย่างก็เปลี่ยนไป  จากเด็กที่ร่าเริงแจ่มใส  กลายเป็นเด็กขี้เหงา  ดูอ่อนแอ  ดวงตาที่เคยสว่างสดใส กลับกลายเป็นเศร้าหมอง 
จากเด็กที่มีอารมณ์ขัน  กลายเป็นคนเงียบ  ไม่พูดไม่จา  เด็กคนนั้นเปลี่ยนไปมาก 
มากเสียจนทำให้เธอต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่หลายวันเลยทีเดียว  ก็หลังจากวันนั้น วันที่เด็กคนนี้ได้รับรู้ความจริงของตัวเอง 
ทุก ๆ คนก็ไม่เคยได้ยินคำพูดหรือแม้แต่เสียงที่ออกจากปากของเธอเลยซักคำ  เธอไม่เคยเปิดปากพูดอะไร
            เธอไม่เคยแม้แต่จะเปิดปากให้อาหารเข้าไปข้างในร่างกายเพื่อการมีชีวิตอยู่ของตัวเธอเอง
            ฉันรู้ดีว่าการกระทำแบบนี้มันทำให้คนในบ้านของฉันพลอยกินไม่ได้นอนไม่หลับไปด้วย   
แค่พวกเขาเลี้ยงดูฉันให้เติบโตมาขนาดนี้ได้ก็เป็นบุญของฉันแล้ว  แล้วฉันจะทำให้พวกเขาไม่สบายใจไปอีกเหรอ 
เมื่อฉันคิดได้  ฉันก็กล่าวคำขอโทษกับทุกคนในบ้าน ซึ่งพ่อและแม่เลี้ยงของฉันรวมถึงพี่สาวไม่แท้ของฉัน  พวกเขาก็เต็มใจให้อภัย 
และให้ฉันคิดซะว่าเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเขา ‘เหมือนเดิม’  จากนั้น ฉันก็พยายามทำงานทุกอย่างภายในบ้านที่ฉันสามารถทำได้
ล้างจาน กวาดบ้าน เช็ดกระจก ล้างห้องน้ำ ถูพื้น  เรียกว่าทำทุกอย่าง  ฉันก็แค่อยากจะทำอะไรตอบแทนพวกเขาบ้างก็เท่านั้น 
          “หลี  ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วย  พี่ก็บอกหลีแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเรายังเป็นเหมือนเดิม” พี่สาวฉันเอ่ยขึ้น ในขณะที่ฉันกำลังตัดหญ้าหน้าบ้านอยู่
        “หลีก็ไม่ได้ทำอะไรนี่นา พี่หลิน” 
        “แล้วที่หลีทำอยู่เนี่ยล่ะอะไร  งานพวกนี้เอาไว้ให้น้าเพียงเค้าทำก็ได้”  พี่หลินหมายถึงคนงานที่สวน  พอเวลาที่หญ้าขึ้นสูง  แม่  ไม่สิ  แม่เลี้ยงฉันจะวานให้น้าเพียงมาตัดให้
        “หลีก็แค่..”
        “หลีไม่ต้องเลย  กลับเข้าบ้านไปได้แล้ว  เดี๋ยวพี่เรียกน้าเพียงเอง”
          พี่สาวเคยดุฉันตอนที่ฉันพยายามทำงานทุกอย่างเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเขาเลี้ยงดูและมอบความรักให้กับฉันมาตลอด 
ถึงวันนี้ ฉันก็ยังรู้สึกว่าพวกเขามีบุญคุณท่วมหัว  บุญคุณที่ชาตินี้ฉันก็ไม่สามารถชดใช้ให้หมดได้
ฉันจึงจะหางานพิเศษทำเพื่อเป็นรายได้เล็ก ๆ น้อยๆ แบ่งเบาค่าใช้จ่ายของแม่เลี้ยงฉัน 
ถึงแม้จะไม่มากมาย แต่มันก็ยังพอที่จะทำให้ฉันสบายใจได้
      ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
            ปกติบ้านเราจะซื้ออาหารมาทานจากข้างนอก  ยกเว้นว่าฉันจะทำเอง  เมื่อในบ้านของฉันทั้งพ่อ  แม่ และพี่ 
ไม่มีใครทำอาหารเป็นสักคน  อาจเป็นเพราะพวกเขางานยุ่งมากจึงไม่มีเวลามานั่งใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ก็เป็นได้กระมัง
            “แหม  ยัยหลี  วันนี้แสดงฝีมือเองเหรอจ๊ะ”  ผู้เป็นแม่ฉันเอ่ยขึ้นขณะที่เห็นกับข้าวมากมายกำลังลำเลียงวางไว้ที่โต๊ะ 
              ถึงจะไม่ฉลาดนัก  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะทำกับข้าวห่วยแตกนี่นา
            “โห  อย่างนี้พ่อก็อ้วนแย่ล่ะสิ  ดู  มีแต่ของโปรดพ่อทั้งนั้นเลย” คราวนี้พ่อเอ่ยขึ้น  หลังจากที่รายการอาหาร ทั้งหมดได้มาอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว  โหะ ๆ แน่ล่ะค่ะ  ฝีมืออย่างฉัน น้ำลายหกกันมาทุกคน 
            “ก็นาน ๆ ที ที่หลีจะทำเอง ก็อยากทำให้มันถูกปากทุกคนไงคะ” ฉันเอ่ยขึ้นบ้าง ตามความจริง 
              หลังจากที่ทนมองบรรดาอาหารเหล่านี้อยู่นาน  พี่หลินก็ตัดสินใจเอ่ยประโยคนี้ออกไป คล้ายกับว่าถ้ารอนานกว่านี้  อาหารมันจะพร่องลงไปล่ะมั้ง
              “งั้นพี่กินล่ะนะ”  เอ่อ  พี่คะ  เก็บน้ำลายด้วยค่ะ  พี่
              “อือ  นี่  พรุ่งนี้หลินไปทำงานหรือเปล่า”  แม่ถามขึ้นหลังจากเติมข้าวจานที่สอง
              “ไปสิคะแม่ แม่ถามทำไมล่ะคะ”
              “ก็พอดี  แม่จะแวะให้เราไปส่งพ่อฮายด์ที่มหา’ลัยเค้าหน่อยน่ะ”
              “อ้าว  ทำไมล่ะคะแม่ น้องฮายด์เค้าก็มีรถนี่คะ”
            “ก็เจ้าฮายด์รถยางรั่วน่ะ ก็เลยเอารถเข้าอู่  เช็ครถด้วย”        เอ๊ะ.....
              รถยางรั่วเหรอ   ฉันไม่ได้แปลกใจอะไรกับคำพูดเมื่อกี้  แต่แค่มันสะกิดใจนิดหน่อยเท่านั้น 
แม้ว่าครอบครัวฉันจะเหมือนครอบครัวอื่น ๆ ซึ่งงานหรือธุรกิจของตนจะทำให้ไม่ค่อยมีเวลาไปรู้จักหรือสนิทสนมกับใคร 
ใช่  บ้านฉันไม่ค่อยมีเวลาไปสนิทกับใครหรอก  แต่กับเพื่อนบ้านคนนี้  ครอบครัวฉันดูว่าจะรู้จักกันดีทั้งครอบครัวเลยทีเดียว 
เนื่องจาก  แม่ของพี่ฮายด์และแม่ของฉันรู้จักกันมาก่อนหน้านี้  และด้วยความสัมพันธ์ของลูกชายและลูกสาว ‘คนเล็ก’ของเขา 
จึงทำให้พวกเขาได้รู้จักกันมากขึ้น  และสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
            “ แต่แปลกนะรั่วที่ไหนไม่รั่ว มารั่วแถวหน้าบ้านนี่แหละ” เกิดอาการน้ำติดคอฉันทันทีหลังจากที่แม่พูดจบ  ตายแน่ฉัน
                    โอ้ว  ไม่นะ  มันคงไม่ใช่....
            “อ้าว  เหรอคะแม่ เหอะ แปลกนะคะ”
              คำว่า  ‘บรมซวย’  คงใช้ไม่ได้สำหรับตอนนี้  คำที่ดูว่าจะเหมาะมากกว่าคือ  ‘บรมโคตรซวย’ 
              แค่ฝันถึงหน่อยเป็นไม่ได้นะ เฮ้อ  ฉัน หาเรื่องมาใส่ตัวอีกแล้ว....
                  “งั้นหลินไปส่งพ่อฮายด์เค้าละกันนะ”
                    “ได้ค่ะแม่  เดี๋ยวหลินแวะไปส่งให้”
                  “พี่หลินคะ”  ฉันพยายามพูดให้เป็นปกติมากที่สุด  แต่ถึงอย่างไรนั้น  เสียงฉันมันก็เกือบสั่นไปแล้วล่ะ
                  “อะไรจ๊ะ”
                “มันคนละทางไม่ใช่เหรอคะ ทางที่ไปที่ทำงานของพี่หลินกับมหา’ลัยพี่ฮายด์น่ะ” 
                  เวรจริง ๆ  เมื่อเช้าใครก็ได้บอกทีว่าฉันก้าวเท้าไหนออกจากบ้านนะ  วันนี้ถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้  ให้ตายเถอะจอร์จ  โรบิ้น และป้ามาธ่า?!
              “เอ้อ ใช่ หลิน  แม่ก็ลืมไป”
              “งั้นเดี๋ยวหลีไปส่งแทนพี่หลินก็ได้ค่ะ  เพราะว่าหลีไม่ได้ไปไหน แค่ไปทำงานร้านแถวบ้านเอง  อีกอย่าง มหา’ลัยก็มหา’ลัยเดียวกับหลีนั่นแหละ  หลีรู้ทางดีค่ะ” 
                ส้าธุ  ถ้าคุณพระคุณเจ้ามีจริง  ขอให้วันนี้ลูกอยู่รอดปลอดภัยด้วยเทอญ  เอ้า  แล้วลูกจะถวายหัวหมูให้ด้วย
                “ก็ดีนะ  หลินจะได้ไม่ต้องเสียเวลา  งั้นวานให้หลีไปส่งพี่ฮายด์เค้าแทนละกัน บ้านเจ้าฮายด์เค้าไม่มีคนอยู่ ไปต่างจังหวัดกันหมด  ตอนแรกเจ้าฮายด์มันก็ไม่ได้ให้พวกเราไปส่งหรอก  แต่แม่ขอร้องน่ะ  สงสาร แต่ก่อนเจ้าฮายด์มันก็ช่วยแม่ไว้เยอะเหมือนกัน” 
            หลีรักแม่จังเลยค่ะ
                  “เอ  ร้อยวันพันปี  ไม่เห็นหลีจะเสนอตัวไปไหนมาไหนกับเจ้าฮายด์มันเลยนะ เวลามีเรื่องอะไรหลีก็เลี่ยงตลอดนี่นา  แต่วันนี้เป็นอะไรเนี่ย  มันมีอะไรแปลก ๆนา” 
          พ่อคะ  กินข้าวอย่างเดียวก็ดีอยู่แล้วนี่นา  ไม่พูดก็ไม่มีใครเค้าว่าหรอกอ่ะ 
              แฮะ ๆ สงสัยพระเจ้าคงจะไม่ชอบหัวหมูแน่ ๆ
          ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฉันต้องเล่าไอ้เรื่องที่คุณพ่อว่ามันแปลกให้คนในบ้านฟัง  ว่าจะไม่เล่าก็ไม่ได้  ก็ถ้าไม่รีบเล่าเดี๋ยวนี้และตอนนี้ 
ฉันอาจตายคาที่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย  ถ้าสายตา 3 คู่นั้นเป็นไฟจริง ๆ  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากองขี้เถ้าข้างหน้าพวกเขาเป็นของใคร!
            และ  ถ้าฉันตุกติกเล่าเรื่องโกหกหรือเปลี่ยนแปลงเรื่องราวเพียงนิดเดียว  ฉันอาจจะไม่มีชีวิตหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ 
อีกอย่าง  ฉันก็รู้อีกว่า  ถ้าจะเลี่ยงไม่เล่าเรื่องนี้ให้คนในบ้านฟัง 
          สู้ให้ฉันไปตีเทนนิสแข่งกับเฟดเดอเรอแล้วชนะ  ยังง่ายเสียกว่า เฮ้อ...
              “ก็พอดีตอนเย็นน่ะค่ะ....”  ฉันเล่าทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นให้พ่อแม่และพี่สาวฟัง 
            ถ้าอยากรู้ว่าพ่อ แม่และพี่สาวฉัน  เวลารอฟังผลประกาศเอ็นทรานซ์เป็นยังไง  นี่เลย  มาดูเลย 
          ตั้งใจฟังกันอย่างกับจะถูกหวย 15 ล้าน แล้วตบท้ายด้วยรางวัลพิเศษอีก 50 กว่าล้าน  เอากันเข้าไป
            “แล้วพอหลีจะปิดประตู  ก็เห็นรถคันเดิมถอยกลับมา  หลีเห็นตะปูมันอยู่ข้าง ๆ บ้านเราตรงหัวต้นเสาน่ะค่ะ  หลีก็เลยเตะมันไป  แค่4-5ตัวเองนะคะ  แต่แค่....แค่ .ตัวมันใหญ่ไปหน่อยก็เท่านั้น”  ฉันก็รู้สึกผิดนะ  แต่เขาผิดกว่า  เขาทำเสื้อฉันเลอะนี่ 
            “เพราะเรื่องนี้หลีก็เลยจะไปส่งพี่ฮายด์เค้า  เพื่อให้หลีไม่รู้สึกผิดงั้นเหรอ”  พี่หลินดุฉัน
          “ก็....ก็ใช่ค่ะ” 
            “หลี  เราควรจะไปขอโทษเค้านะลูก”  แม่ฉันเอ่ยขึ้นต่อจากพี่สาว
          “แต่...แต่เสื้อ....”
            “ไม่มีแต่  หลี  แม่ให้เวลาลูกไปเตรียมตัวเตรียมใจคืนนึงนะ  พรุ่งนี้หลีจะต้องไปขอโทษพี่ฮายด์แล้วก็ขับรถไปส่งเค้าด้วย” 
แม่คะ  มันเว่อร์ไปหรือเปล่า พี่ฮายด์ยังไม่ได้ขอโทษหลีซักคำ  ฉันได้แต่ค้านในใจ  ก็รู้ตัวดีว่ามีส่วนผิดเหมือนกัน แต่คิดว่ามันนิดเดียวเองนะ
สงสัยจะช่วยไม่ได้  รถมันหรูหรามีราคา  แค่เรื่องเล็กกะจิดริดก็สามารถเป็นเรื่องใหญ่โตอย่างกับภูเขาได้
            ฉันได้แต่พยักหน้า  ไม่ได้พูดอะไรต่อ  รู้สึกโล่งอกชะมัด  ที่แม่ไม่ได้ว่าอะไรฉันอีก  นึกว่ามันจะมีมากกว่านี้ 
ก็ฉันทำผิดทีไรจะต้องโดนไปเชิญเขา  มาทานอาหารที่บ้านแล้วก็ชวนไปโน่นไปนี่  เหมือนแต่ก่อนที่ฉันชอบทำผิดกับเขาบ่อย ๆ
และต้องไถ่โทษตามที่ผู้เป็นมารดาฉันต้องการ
          “อย่านึกว่าแค่นั้นนะหลี  แม่ยังพูดไม่จบ”  หา!!  แม่คะ  แค่นี้ก็เกินพอแล้วน้า  ฉันมองหน้าแม่อย่างตกใจสุดขีด 
ถ้าภาพยนต์เรื่องเดอะแมส หน้ากากเทวดาเป็นจริง  ตาของฉันคงทะลุออกมานอกเบ้าแล้ว  ก็มันเป็นแบบที่ฉันคิดไว้ไม่มีผิด 
            ทำไมเวลาฉันทำข้อสอบเลขแล้วมันไม่ถูกแบบนี้บ้างนะ  
            “เราต้องไปรับเจ้าฮายด์กลับบ้าน  แล้วก็ต้องพาเขาไปทานข้าว เพื่อเป็นการไถ่โทษ” 
โหแม่  เว่อร์จริง ๆ เลย  ทำยังกะหลีไประเบิดรถเขาอย่างนั้นแหละ  แค่ยางรั่ว  ให้ทำอะไรนักก็ไม่รู้
            “แม่คะ  มันมากไปหรือเปล่าคะ  แค่ยางรั่ว”  ฉันได้แต่พูดเสียงเบา ยิ่งท้ายประโยคยิ่งเหมือนพูดคนเดียว 
เพราะสายตามารดาของฉันที่มองมา มันก็ทำให้ฉันรู้สึกได้ว่า  ถ้ายังอยากมีลมหายใจอยู่ก็หุบปากไปซะ!
              รู้สึกว่าอาหารมื้อนี้สำหรับฉัน  กลายเป็นอาหารมื้อที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต  วันนี้ทั้งวันอะไรมันจะซวยได้ขนาดนี้
แค่เดินเข้าบ้านยังโดนโคลนสาด  ถ้าเจ้าของรถคันที่สาดโคลนมาไม่ใช่พี่ฮายด์มันก็คงจะไม่ยุ่งขนาดนี้สินะ 
  หน้าฉันมีคำว่าซวยติดอยู่หรือไง  ขอปลงให้กับชีวิตตัวเองทีเถอะ
                โอ้ว  อามิตตาพระ  !!!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น