ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1
           
                        นานแล้วสินะที่ฉันไม่ได้มาเหยียบที่นี่
                        อากาศเย็น ๆ โอบรอบร่างกายของฉันไว้อย่างมิดชิด  ทุก ๆ อนูของร่างกายสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็น ลมหนาวที่โชยมา  หอบเอาผมหยักศกสีดำสนิทปัดเป๋ประใบหน้า  บางคราลมหนาวนี้ก็ทำเอาฉันขนลุกเกรียว
แม้ภายนอกจะเป็นเช่นนั้น  ทว่าความรู้สึกลึก ๆ แล้ว  มันบ่งบอกถึงความสุขและความยินดีที่ได้มาสัมผัสบรรยากาศเดิม ๆ และสถานที่เก่า ๆ
ที่ฉันคุ้นเคยอีกครั้ง  แม้จะเป็นการมาครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปีเต็ม  แต่ฉันก็ยังจำได้ถึงทุก ๆวัน ที่เคยผ่านไป 
ยังจำได้ทุก ๆ เหตุการณ์ที่ล่วงลับไป  เหมือนว่าฉันคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี  ราวกับตลอดเวลา  ฉันมาที่นี่ทุก ๆ วัน  จนคุ้นเคย 
ภาพที่เกิดขึ้นในสมองของฉันมีเหตุการณ์มากมาย  ทั้งทุกข์ทั้งสุข  ภาพเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในหัว 
และทุกภาพของฉันมักจะมีเขาคนนั้นอยู่เสมอ 
                คนที่ฉันไม่เคยลืมตลอด 4 ปีเต็ม 
              และความคิดเหล่านั้น  ต้องหยุดชะงัก  เหมือนมีสิ่งมากระตุกความรู้สึกให้ฉันตื่นจากภวังค์อันหอมหวานนั่น 
              ความรู้สึกปลื้มปิติยินดี  เกิดขึ้นแทนที่ภาพต่าง ๆ  เมื่อคนในภาพความทรงจำทุก ๆ ภาพของฉัน  มายืนอยู่เบื้องหน้าของฉันแล้ว 
คล้ายกับว่าลมหายใจฉันขาดห้วงเมื่อได้เห็นร่างบางสูงขาว  เดินเข้ามาใกล้  รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าสวยคล้ายผู้หญิงทำให้หัวใจฉันเต้น
ไม่เป็นจังหวะ 
    “หวัดดี พี่ฮายด์”  ฉันทักทายเขาพร้อมกับความดีใจที่ต้องเก็บงำเอาไว้ไม่ให้มันออกอาการนอกหน้านอกตาไปมากกว่านี้
              โอ๊ย  อย่าเต้นให้มันดังนักได้ไหม  หัวใจน่ะ เดี๋ยวพี่ฮายด์ก็ได้ยินกันหมดพอดี!
    “หวัดดี  หลี”  เขาพูดพร้อมรอยยิ้มที่ไม่รู้ว่าเก๋หรือเท่ห์สำหรับเขา แต่สำหรับฉัน
                รอยยิ้มของเขาเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดที่ฉันอยากพบ  อยากเจอ และต้องยอมรับว่าฉันเคย ‘อยากได้’  มาก่อน
    “พี่ฮายด์สบายดีหรือป่าวล่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”  คิดถึงจริง ๆ เลย  ประโยคหลังฉันต่อให้เขาในใจ  ถ้าขืนพูดออกไปสิ  ไม่รู้ว่าเขาจะมองหน้าฉันยังไง
    “คิดถึงพี่บ้างหรือเปล่า”  สงสัยเสียงหัวใจของฉันมันจะดังไปถึงโสตประสาทของเขานะ  ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงมีญาณวิเศษที่สามารถหยั่งรู้ความในใจของฉันได้เลยทีเดียว
              ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้  มีเพียงตาเล็กตี่ ที่พยายามเปิดกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้  และยิ่งพยายามทำผลที่ได้ก็เข้าขั้นของคนตาเหลือกเข้าไปทุกที 
              รู้สึกตกใจมากถึงมากที่สุด  ฉันไม่มั่นใจเลยว่านี่คืออะไร  เขามาพูดอย่างนี้กับฉันทำไม  และเพื่ออะไร
              “หลีสบายดีหรือเปล่าล่ะ”  เอ๊ะ  ฉันจำได้ว่าฉันถามเขาก่อนนะ
            “อือ  ก็อย่างที่เห็น” ร่างกายของฉันมันสมบูรณ์ทุกอย่างนั่นแหละ  แต่หัวใจฉันมันอาจจะตรงกันข้ามกระมัง 
ฉันจึงตอบเขาไปอย่างเลี่ยง ๆ  ก็ไม่อยากโกหกนี่นา
            เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ  คิ้วเข้มที่พาดบนดวงตากลมแต่ก็ไม่ถือว่าโตนัก ตอนนี้กระดกขึ้นเล็กน้อย 
เหมือนว่าเขากำลังต้องการคำตอบจากคำถามของเขาที่ว่า  มองดูแล้วรู้ด้วยเหรอว่าสบายหรือไม่สบาย
            “หลีถามพี่ก่อนนะว่าสบายดีหรือเปล่า พี่ยังไม่ได้ตอบหลีเลย”
            เมื่อรอยยิ้มสวยฉีกกว้าง  เผยให้เห็นลักยิ้มที่แก้มข้างซ้าย  ดูมีเลศนัย ส่งผลให้ประโยคที่เอ่ยดูมีจุดประสงค์อย่างเป็นนัย ๆ
            “หลีอยากรู้มั้ยล่ะว่าสบายหรือไม่สบาย”  โอ้ว อย่ายิ้มกระชากใจฉันนักได้ไหม  ฉันจะบ้าตายเพราะยิ้มบาดใจสาวของพี่นั่นแหละ
            เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองออกจากความอันตราย  จึงต้องเอ่ยปากปฏิเสธ ทั้งที่ใจนั้นอยากจะตอบรับแทบแย่??
            “หลีไม่อยากรู้แล้ว” 
            “อ้าว แล้วกัน”  เขาทำหน้าผิดหวัง  และกำลังจะหันกลับไป  เฮ้ย  ไม่นะ....จอร์จ  อย่าไปสิ
            “ถ้าหลีไม่อยากรู้แล้วหลีจะถามพี่ฮายด์ทำไมล่ะ”  ฉันรีบพรั่งพรูประโยคเมื่อกี้ออกไปด้วยความสามารถพิเศษ 
ด้วยว่าถ้าขืนเล่นตัวมากกว่านี้  คงไม่มีโอกาสคุยกับเขานานแน่  สาบานได้เลยว่าการเล่นตัวตอนนี้ไม่มีประโยชน์แน่ ๆ
    ฉันพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ตื่นเต้น  เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาอย่างนี้  พยายามไม่ฉีกยิ้มมากเกินไป
เพราะมันจะบ่งบอกถึงความรู้สึกภายในใจที่ซ่อนอยู่เอาไว้ให้เขารู้  และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ  ฉันพยายามไม่สบตาเขา 
กลัวเหลือเกินกับสายตาคู่นั้น  สายตาที่ดูแข็งแกร่งและมั่นคง  แต่เมื่อใดที่สายตาคู่นั้นเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานและอ่อนโยน 
ครานั้นเองมันจะทำให้ฉันสามารถล้มทั้งที่ยืนอยู่ได้เลยทีเดียว
              “พี่ไม่ได้เป็นอะไรหรอก สบายดีทุกอย่าง  ไม่ป่วยไม่ไข้  เพียงแต่ว่า...  ตอนนี้พี่แค่อยากหาใครสักคน....”  เขาพูดค้างไว้แค่นั้น
แต่ทุกอย่างไม่ได้ค้างไว้เหมือนกับคำพูดเมื่อกี้เลยสักนิด  จบประโยคนั้นไม่ได้นาน  มือเขาก็เลื่อนมาจับมือฉัน  ตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น 
ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน  ฉันมองหน้าเขาอย่างฉงน  ไม่รู้ว่าท่าทางที่เขาทำจะสื่อความหมายอะไรบ้าง 
แน่นอน  ฉันไม่กล้าคิดหรอกว่าความหมายนั่นจะตรงกับใจฉันทุกประการ
            “ดูแล”  ส่วนจะดูแลอะไรนั้นเขาได้บอกความหมายชัดเจนแล้วในการกระทำ  ตอนนี้มือของเขาเลื่อนไปอยู่บนอกผาย  ด้านซ้ายของเขาเรียบร้อย  และแน่นอน เขาไม่ลืมเอามือฉันติดไปด้วย
            วันนี้โลกจะแตก  ฟ้าจะถล่ม  ดินจะทลาย  โอ้ว แม่เจ้า  พี่ฮายด์......กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด (ฉันบ้าไปแล้วแน่ ๆ)
          ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ฉันคิดและหวังมาตลอดจะเป็นจริงขึ้นมา  แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุก ๆ อย่างที่เขาสื่อมาตอนนี้มันมีหมายความอย่างนั้นจริง ๆ
          เวลานี้  โดเรมอน คือสิ่งที่ฉันอยากเป็นที่สุด  ฉันจะได้ใช้เครื่องมือที่มี  หยุดเวลาเพียงแค่นี้  แม้จะหยุดมันไม่ได้
ก็ขอเพียงให้เวลาที่เดินไปแต่ละวินาทีนั้นช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ก็พอ  มีแค่ฉันกับเขา แม้จะไม่พูดอะไรเราก็สื่อถึงกันได้ 
เพียงแค่มองตาซึ่งเป็นหน้าต่างของหัวใจ  ก็สามารถรับรู้สิ่งที่อยู่ในใจของสองเรา 
            ใช่หน้าต่าง  มันคือหน้าต่าง  ใช่แล้ว  จัง ๆ เลย    “ปัง!”  “โอ๊ย!!”  มืออันสวยงามของฉันกระแทกแรง ๆ กับขอบหน้าต่างในห้องนอน  ฉันลุกและร้องอุทานออกมาดัง ๆ  ก็ใช่น่ะสิ  มันโคตรเจ็บเลย
          เมื่อสติฉันกลับมาอยู่กับตัว  มีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอ  รอยยิ้มแต่งแต้มใบหน้าและรูปปาก  ไต่ม่รู้ว่าจะเรียกว่ารอยยิ้มดีหรือเปล่า
  ในเมื่อดวงตาเล็กคู่นี้กลับมาน้ำอุ่น ๆ ไหลลงมา  เกิดอาการหัวเราะและร้องไห้ในคราเดียวกัน 
ฉันขอหัวเราะให้ความคิดที่บ้า ๆ บอ ๆ ความคิดที่ไม่มีวันเป็นไปได้กับคนที่ไม่คู่ควร 
และฉันขอร้องไห้กับ  สิ่งที่ฉันพยายามทำมันมา 4 ปี แต่ก็ไม่สำเร็จ 
                            ฉันไม่อาจลืมเขาได้เลย
                        นานแล้วสินะที่ฉันไม่ได้มาเหยียบที่นี่
                        อากาศเย็น ๆ โอบรอบร่างกายของฉันไว้อย่างมิดชิด  ทุก ๆ อนูของร่างกายสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็น ลมหนาวที่โชยมา  หอบเอาผมหยักศกสีดำสนิทปัดเป๋ประใบหน้า  บางคราลมหนาวนี้ก็ทำเอาฉันขนลุกเกรียว
แม้ภายนอกจะเป็นเช่นนั้น  ทว่าความรู้สึกลึก ๆ แล้ว  มันบ่งบอกถึงความสุขและความยินดีที่ได้มาสัมผัสบรรยากาศเดิม ๆ และสถานที่เก่า ๆ
ที่ฉันคุ้นเคยอีกครั้ง  แม้จะเป็นการมาครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปีเต็ม  แต่ฉันก็ยังจำได้ถึงทุก ๆวัน ที่เคยผ่านไป 
ยังจำได้ทุก ๆ เหตุการณ์ที่ล่วงลับไป  เหมือนว่าฉันคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี  ราวกับตลอดเวลา  ฉันมาที่นี่ทุก ๆ วัน  จนคุ้นเคย 
ภาพที่เกิดขึ้นในสมองของฉันมีเหตุการณ์มากมาย  ทั้งทุกข์ทั้งสุข  ภาพเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในหัว 
และทุกภาพของฉันมักจะมีเขาคนนั้นอยู่เสมอ 
                คนที่ฉันไม่เคยลืมตลอด 4 ปีเต็ม 
              และความคิดเหล่านั้น  ต้องหยุดชะงัก  เหมือนมีสิ่งมากระตุกความรู้สึกให้ฉันตื่นจากภวังค์อันหอมหวานนั่น 
              ความรู้สึกปลื้มปิติยินดี  เกิดขึ้นแทนที่ภาพต่าง ๆ  เมื่อคนในภาพความทรงจำทุก ๆ ภาพของฉัน  มายืนอยู่เบื้องหน้าของฉันแล้ว 
คล้ายกับว่าลมหายใจฉันขาดห้วงเมื่อได้เห็นร่างบางสูงขาว  เดินเข้ามาใกล้  รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าสวยคล้ายผู้หญิงทำให้หัวใจฉันเต้น
ไม่เป็นจังหวะ 
    “หวัดดี พี่ฮายด์”  ฉันทักทายเขาพร้อมกับความดีใจที่ต้องเก็บงำเอาไว้ไม่ให้มันออกอาการนอกหน้านอกตาไปมากกว่านี้
              โอ๊ย  อย่าเต้นให้มันดังนักได้ไหม  หัวใจน่ะ เดี๋ยวพี่ฮายด์ก็ได้ยินกันหมดพอดี!
    “หวัดดี  หลี”  เขาพูดพร้อมรอยยิ้มที่ไม่รู้ว่าเก๋หรือเท่ห์สำหรับเขา แต่สำหรับฉัน
                รอยยิ้มของเขาเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดที่ฉันอยากพบ  อยากเจอ และต้องยอมรับว่าฉันเคย ‘อยากได้’  มาก่อน
    “พี่ฮายด์สบายดีหรือป่าวล่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”  คิดถึงจริง ๆ เลย  ประโยคหลังฉันต่อให้เขาในใจ  ถ้าขืนพูดออกไปสิ  ไม่รู้ว่าเขาจะมองหน้าฉันยังไง
    “คิดถึงพี่บ้างหรือเปล่า”  สงสัยเสียงหัวใจของฉันมันจะดังไปถึงโสตประสาทของเขานะ  ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงมีญาณวิเศษที่สามารถหยั่งรู้ความในใจของฉันได้เลยทีเดียว
              ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้  มีเพียงตาเล็กตี่ ที่พยายามเปิดกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้  และยิ่งพยายามทำผลที่ได้ก็เข้าขั้นของคนตาเหลือกเข้าไปทุกที 
              รู้สึกตกใจมากถึงมากที่สุด  ฉันไม่มั่นใจเลยว่านี่คืออะไร  เขามาพูดอย่างนี้กับฉันทำไม  และเพื่ออะไร
              “หลีสบายดีหรือเปล่าล่ะ”  เอ๊ะ  ฉันจำได้ว่าฉันถามเขาก่อนนะ
            “อือ  ก็อย่างที่เห็น” ร่างกายของฉันมันสมบูรณ์ทุกอย่างนั่นแหละ  แต่หัวใจฉันมันอาจจะตรงกันข้ามกระมัง 
ฉันจึงตอบเขาไปอย่างเลี่ยง ๆ  ก็ไม่อยากโกหกนี่นา
            เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ  คิ้วเข้มที่พาดบนดวงตากลมแต่ก็ไม่ถือว่าโตนัก ตอนนี้กระดกขึ้นเล็กน้อย 
เหมือนว่าเขากำลังต้องการคำตอบจากคำถามของเขาที่ว่า  มองดูแล้วรู้ด้วยเหรอว่าสบายหรือไม่สบาย
            “หลีถามพี่ก่อนนะว่าสบายดีหรือเปล่า พี่ยังไม่ได้ตอบหลีเลย”
            เมื่อรอยยิ้มสวยฉีกกว้าง  เผยให้เห็นลักยิ้มที่แก้มข้างซ้าย  ดูมีเลศนัย ส่งผลให้ประโยคที่เอ่ยดูมีจุดประสงค์อย่างเป็นนัย ๆ
            “หลีอยากรู้มั้ยล่ะว่าสบายหรือไม่สบาย”  โอ้ว อย่ายิ้มกระชากใจฉันนักได้ไหม  ฉันจะบ้าตายเพราะยิ้มบาดใจสาวของพี่นั่นแหละ
            เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองออกจากความอันตราย  จึงต้องเอ่ยปากปฏิเสธ ทั้งที่ใจนั้นอยากจะตอบรับแทบแย่??
            “หลีไม่อยากรู้แล้ว” 
            “อ้าว แล้วกัน”  เขาทำหน้าผิดหวัง  และกำลังจะหันกลับไป  เฮ้ย  ไม่นะ....จอร์จ  อย่าไปสิ
            “ถ้าหลีไม่อยากรู้แล้วหลีจะถามพี่ฮายด์ทำไมล่ะ”  ฉันรีบพรั่งพรูประโยคเมื่อกี้ออกไปด้วยความสามารถพิเศษ 
ด้วยว่าถ้าขืนเล่นตัวมากกว่านี้  คงไม่มีโอกาสคุยกับเขานานแน่  สาบานได้เลยว่าการเล่นตัวตอนนี้ไม่มีประโยชน์แน่ ๆ
    ฉันพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ตื่นเต้น  เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาอย่างนี้  พยายามไม่ฉีกยิ้มมากเกินไป
เพราะมันจะบ่งบอกถึงความรู้สึกภายในใจที่ซ่อนอยู่เอาไว้ให้เขารู้  และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ  ฉันพยายามไม่สบตาเขา 
กลัวเหลือเกินกับสายตาคู่นั้น  สายตาที่ดูแข็งแกร่งและมั่นคง  แต่เมื่อใดที่สายตาคู่นั้นเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานและอ่อนโยน 
ครานั้นเองมันจะทำให้ฉันสามารถล้มทั้งที่ยืนอยู่ได้เลยทีเดียว
              “พี่ไม่ได้เป็นอะไรหรอก สบายดีทุกอย่าง  ไม่ป่วยไม่ไข้  เพียงแต่ว่า...  ตอนนี้พี่แค่อยากหาใครสักคน....”  เขาพูดค้างไว้แค่นั้น
แต่ทุกอย่างไม่ได้ค้างไว้เหมือนกับคำพูดเมื่อกี้เลยสักนิด  จบประโยคนั้นไม่ได้นาน  มือเขาก็เลื่อนมาจับมือฉัน  ตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น 
ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน  ฉันมองหน้าเขาอย่างฉงน  ไม่รู้ว่าท่าทางที่เขาทำจะสื่อความหมายอะไรบ้าง 
แน่นอน  ฉันไม่กล้าคิดหรอกว่าความหมายนั่นจะตรงกับใจฉันทุกประการ
            “ดูแล”  ส่วนจะดูแลอะไรนั้นเขาได้บอกความหมายชัดเจนแล้วในการกระทำ  ตอนนี้มือของเขาเลื่อนไปอยู่บนอกผาย  ด้านซ้ายของเขาเรียบร้อย  และแน่นอน เขาไม่ลืมเอามือฉันติดไปด้วย
            วันนี้โลกจะแตก  ฟ้าจะถล่ม  ดินจะทลาย  โอ้ว แม่เจ้า  พี่ฮายด์......กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด (ฉันบ้าไปแล้วแน่ ๆ)
          ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ฉันคิดและหวังมาตลอดจะเป็นจริงขึ้นมา  แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุก ๆ อย่างที่เขาสื่อมาตอนนี้มันมีหมายความอย่างนั้นจริง ๆ
          เวลานี้  โดเรมอน คือสิ่งที่ฉันอยากเป็นที่สุด  ฉันจะได้ใช้เครื่องมือที่มี  หยุดเวลาเพียงแค่นี้  แม้จะหยุดมันไม่ได้
ก็ขอเพียงให้เวลาที่เดินไปแต่ละวินาทีนั้นช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ก็พอ  มีแค่ฉันกับเขา แม้จะไม่พูดอะไรเราก็สื่อถึงกันได้ 
เพียงแค่มองตาซึ่งเป็นหน้าต่างของหัวใจ  ก็สามารถรับรู้สิ่งที่อยู่ในใจของสองเรา 
            ใช่หน้าต่าง  มันคือหน้าต่าง  ใช่แล้ว  จัง ๆ เลย    “ปัง!”  “โอ๊ย!!”  มืออันสวยงามของฉันกระแทกแรง ๆ กับขอบหน้าต่างในห้องนอน  ฉันลุกและร้องอุทานออกมาดัง ๆ  ก็ใช่น่ะสิ  มันโคตรเจ็บเลย
          เมื่อสติฉันกลับมาอยู่กับตัว  มีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอ  รอยยิ้มแต่งแต้มใบหน้าและรูปปาก  ไต่ม่รู้ว่าจะเรียกว่ารอยยิ้มดีหรือเปล่า
  ในเมื่อดวงตาเล็กคู่นี้กลับมาน้ำอุ่น ๆ ไหลลงมา  เกิดอาการหัวเราะและร้องไห้ในคราเดียวกัน 
ฉันขอหัวเราะให้ความคิดที่บ้า ๆ บอ ๆ ความคิดที่ไม่มีวันเป็นไปได้กับคนที่ไม่คู่ควร 
และฉันขอร้องไห้กับ  สิ่งที่ฉันพยายามทำมันมา 4 ปี แต่ก็ไม่สำเร็จ 
                            ฉันไม่อาจลืมเขาได้เลย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น