ทำเกินตัวไป - ทำเกินตัวไป นิยาย ทำเกินตัวไป : Dek-D.com - Writer

    ทำเกินตัวไป

    เขาเป็นคนหนุ่มที่มีความทะเยอทะยานมาก นอกจากจะรับราชการแล้ว เขายังมาทำกิจการร้านค้า มีหอพักถึงสองแห่ง ภายหลังธุรกิจหอพักเขาเสื่อมทรุดเพราะมีคนเข้าพักน้อย จนมีภาวะความเครียด

    ผู้เข้าชมรวม

    70

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    70

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 พ.ค. 67 / 10:09 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                               ทำเกินตัวไป....หรือเปล่า

     ครั้งที่ผมพักในบ้านพักราชการบริเวณริมสระน้ำเยื้องป้อมยาม     หลังจากที่มีบ้านพักข้างๆบ้านผมได้ว่างลงและ   บังเอิญมีอาจารย์ในสาขาคอมพิวเตอร์ ชื่ออาจารย์โทนวัยเพียงยี่สิบเศษๆ ที่เพิ่งมาบรรจุเป็นข้าราชการใหม่ ได้เข้ามาพัก จากนั้นอีกสามเดือน ได้มีอาจารย์อัตราจ้างซึ่งสอนวิชาพลศึกษาได้เข้ามาพักร่วมด้วยอีกคน  ตามระเบียบการเข้าอยู่อาศัยบ้านพักได้กำหนดว่าหากเป็นคนโสด ในบ้านหลังนั้นๆจะต้องมีผู้เข้าพักร่วมกันอย่างน้อยสองคน    สำหรับคนมีครอบครัวแล้วจึงจะสามารถอยู่ได้ทั้งหลัง 

       “ผมชื่อโทน ครับ ยังไง…ขอฝากเนื้อฝากตัวกับอาจารย์ ด้วยครับ” อาจารย์ที่เพิ่งมาบรรจุใหม่พูด  แนะนำตนเองอย่างถ่อมตน

      “ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก อาจารย์มาสอนวิชาอะไร…หรือครับ”

      “คอมพิวเตอร์ ครับ”

     “เพิ่งเรียน จบมาหรือครับ”

     “ใช่ครับ ”

    “ขอโทษครับ  อาจารย์เป็นคนเหนือ หรือเปล่า”ผมพูด

    “ใช่ครับ ผมเป็นคนจังหวัดเชียงราย  ”

       อ.โทนเป็นคนหนุ่มร่างผอม ค่อนข้างเตี้ย ไว้ผมทรงเป๋ ดูการแต่งกายแล้ว เหมือนเป็นคนสมถะ สบายๆ  ช่วงที่เขามาอยู่ในสองสัปดาห์แรก ทุกๆช่วงเย็นหลังเลิกงานแล้วผมมักเห็นเขาอยู่ในชุดออกกำลังกาย

      “ไปออกกำลังกายหรือครับ อาจารย์ ” ผมทักทายเพื่อนบ้าน  

     “ครับอาจารย์  ไปออกกำลังกายด้วยกันครับ” อาจารย์โทนพูด

     “ตามสบาบครับ”ผมพูด

    “ไปวิ่งหรือไปเล่นฟุตบอล…หรือครับ”

    “วิ่งรอบสนามใหญ่ ของสนามฟุตบอล เสร็จแล้วก็มาเล่นตะกร้อครับ”

    “ดีครับ พอดี ผมไม่ว่าง ต้องรอไปรับลูกกลับจากโรงเรียน  ”

                                          ********************************

           เพื่อนบ้านที่มาอยู่ใหม่เป็นคนหนุ่มทั้งคู่ แรกๆบิดา- มารดาของอาจารย์โทนจะนั่งรถเมล์โดยสารประจำทางจากเชียงราย-ลำปาง  เขาจะมาพักค้างกับลูกชายครั้งละสองถึงสามคืนแล้วกลับไปบ้าน อาชีพของบิดามารดาของอาจารย์ โทนคือเกษตรกรรม มีบุตรชายเพียงคนเดียว จากที่ผมสังเกตคนในครอบครัวนี้คือจะรักและห่วงใยกันอย่างมาก พ่อและ   แม่ของอาจารย์โทนมีอายุแก่กว่าผมเพียงสองปี ทุกคนในครอบครัวมีชีวิตเรียบง่าย ทั้งออกจะตระหนี่  การที่บิดามารดาของอาจารย์โทนมาเยี่ยมบ่อยขึ้นทั้งปักหลักพักค้างนานวันขึ้น ทำให้อาจารย์ที่สอนพลศึกษารู้สึกอึดอัดกับครอบครัวของอาจาร์โทน จึงแจ้งแก่แผนกอาคารสถานที่ว่าอยากให้หาที่พักให้ใหม่ และในที่สุดเขาก็ได้ห้องพักจากหอพักนักศึกษาหลังเก่าที่เพิ่งได้รับการปรับปรุง

            สองสัปดาห์..ถัดมา มีรถยนต์รับจ้าง ได้ขนสัมภาระมาลงที่บ้านอาจารย์โทนพร้อมบิดา มารดาของเขา ได้เข้ามาพักอาศัยอย่างถาวร  นับเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะและไม่ควรอย่างยิ่ง  ผมซึ่งพักอยู่ใกล้เคียง รู้สึกไม่ค่อยจะชื่นชอบกับพฤติ -กรรมการเอาเปรียบสังคม จึงนิ่ง จะคุยกันบ้างตามมารยาท 

                                           **************************

           คนในครอบครัวนี้ มีกันเพียงสามคน อาจารย์โทน คงคิดแล้วว่าเขาคงน่าจะปักหลักอยู่ที่จังหวัดนี้ไปชั่วชีวิต เพราะบิดามารดาก็มาอยู่กันครบถ้วนหน้าแล้ว เขาเริ่มปูทางทำธุรกิจขายวัสดุสำนักงาน โดยให้พ่อกับแม่เป็นผู้จำหน่ายที่หน้าร้าน เริ่มแรกเขาเช่าสถานที่ทำเลดีเพียงห้องเดียวโดยเสียค่าเช่าเดือนสองพันบาท การที่เขาสอนสาขาคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะต้องพบปะกับช่างและเซลแมนที่ขายคุรุภัณฑ์ เกี่ยวกับวัสดุสำนักงานอย่าง เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร เขาจึงได้ให้เซลล์แมนนำเครื่องถ่ายเอกสารมาลงที่ร้านเพื่อไว้บริการลูกค้า จุดประสงค์หลักเริ่มแรกที่เขาคิดคือ เพื่อบริการกับนักศึกษาที่เขาสอน

         เนื่องจากในห้องพักครูในสาขาคอมพิวเตอร์ มีเครื่องคอมพิวเตอร์เหลือใช้สองเครื่อง เวลาที่ผมว่างจากการสอนจึงมักจะเข้าไปใช้บริการ เพื่อฝึกการพิมพ์เอกสารงานสอนเอง ทั้งยังติดตามอ่านข่าวสารเพื่อเพิ่มพูนความรู้ เนื่องจากสาขาคอมพิวเตอร์เพิ่งเริ่มเปิดทำการสอนได้เพียงสามปีและผมก็เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้สาขานี้เกิด   การเข้าไปในห้อง พักครูในสาขานี้ จึงค่อนข้างง่ายและอาจารย์รุ่นใหม่เหล่านี้ก็ให้ความนับถือผมด้วย

        “ช่วยสอนวิธีการใช้คอมพิวเตอร์ให้ผมด้วยครับ ผมไม่ค่อยคุ้นเคยเลย”ผมพูดกับอาจารย์ในสาขาคอมพิวเตอร์ 

       เวลานั้นอาจารย์ในสาขาคอมพิวเตอร์ที่เป็นข้าราชการมีเพียง 3 คนที่เหลืออีก 3 คนเป็นอาจารย์อัตราจ้าง  ส่วนใหญ่อาจารย์ในสาขานี้เป็นเด็กรุ่นใหม่ อาจารย์โทนเป็นอาจารย์ที่มาบรรจุก่อนใคร เขาจึงมีความอาวุโสกว่าทุกคนจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าสาขา  ในคณะบริหารธุรกิจที่ผมสอนในเวลานั้น มี 4 สาขาวิชาคือสาขาการจัดการ  การตลาด การบัญชีและคอมพิวเตอร์  เพิ่งจะมาเปิดสาขาการท่องเที่ยวในภายหลัง สาขานี้ผมก็เป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยทำให้เกิดขี้นทุกสาขาวิชาต้องมีหัวหน้าสาขา ผมเคยทำหน้าที่นี้ได้เพียงหกเดือนเท่านั้น จึงทำหนังสือลาออกและจากนั้นต่อมา ก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งกับงานด้านการบริหารอีก เป็นเพราะการเป็นคนตรงไปตรงมา เพื่อนร่วมงานไม่ชื่นชอบกับบุคลิกของผมตรงนี้

      “ผมมาทำหน้าที่บริหารให้สาขาวิชา เพื่อการพัฒนาและเพื่อให้เจริญขึ้น ไม่ใช่มาทำหน้าที่ มาเอาอกเอาใจพวกคุณ” ผมพูด

                                                      *********************** 

        จากนั้นต่อมา ผมจึงไม่เคยสนใจที่จะลงแข่งขันกับหน้าที่งานบริหารอีก.ครั้งที่ครบวาระ และกำลังจะมีการเลือกตั้งหัวหน้าคณะวิชาขึ้นใหม่ 

       “อาจารย์โทน ลงสมัครเถอะ ผมคงไม่เอาอีกแล้ว พวกพ้องผมไม่มี ผมเป็นคนตรง คงไม่มีใคร ??เขาเลือกผมหรอก  คนพวกนี้เขาชอบให้เอาอกเอาใจ ผมทำไม่ได้จริงๆ” ผมพูด

      “ผมว่าอาจารย์ขลุ่ย มีความอาวุโส มีประสบการณ์ มีความสามารถสูง มีผลงานมากมาย ผมยังด้อยอาวุโส” อาจารย์โทน พูด

    “คนที่นี่ เขาไม่ได้มอง อย่างที่อาจารย์โทนมองผม คนที่นี่เขาชอบบุคลิกของอาจารย์โทน คือไม่กดดัน ไม่เข้มงวด ปล่อยตามสบายๆ" ผมพูด

    “ผมสนับสนุนอาจารย์ขลุ่ยนะ  อาจารย์รับข้อเสนอของผมเถอะครับ ยังไงผมจะช่วยหาคะแนนเสียงให้อาจารย์  ”

    “งั้นลองดู...ก็ได้  ”

                                             ***************************** 

       เท่าที่ผมทราบ คนที่จะถูกเสนอให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะวิชาเป็นอาจารย์สุภาพสตรีคือ อาจารย์บังอร อาจารย์คนนี้มาจากเส้นสายของบิดาที่เป็นผู้บริหารในสังกัดกรมเดียวกันแต่อยู่ที่วิทยาเขตเชียงราย แรกเริ่มที่เธอมาเป็นอาจารย์สอนในสาขาบัญชีที่นี่  เธอเป็นเพียงอาจารย์อัตราจ้าง เมื่อทำงานได้ระยะหนึ่ง บิดาของเธอก็วิ่งเต้นให้บุตรสาวได้บรรจุเป็นข้าราชการ ทำงานได้ไม่ถึงสิบปี. ก็สามารถหาสมัครพรรคพวกที่เป็นอาจารย์สุภาพสตรีด้วยกันเพื่อเป็นฐานเสียง ในการจะผลักดัน (เลือกตั้ง)ตนให้มีตำแหน่งบริหาร  จริงๆแล้ว ผมพอจะทราบว่าการที่อาจารย์โทนทำแกล้งมาเสนอชื่อให้ผมเป็นผู้บริหาร มันเป็นแผนการที่แยบยล โดยที่เขาได้คุยกับเพื่อนๆในสาขาเดียวกันว่า  เมื่อถึงวันที่มีการประชุมเลือกหัวหน้าคณะวิชาใ ห้อาจารย์คนนั้นเสนอชื่อของเขาเข้ามาร่วมเป็นคู่แข่งขันด้วยอีกคน นั่นเท่ากับว่าในวันดังกล่าวจะมีคนถูกเสนอชื่อสามคน คือผม อาจารย์โทนและอาจารย์บังอร  เมื่อเมื่อถึงวันประชุมก็เป็นไปตามคาดไว้ ผมจึงขอถอนตัวไม่ร่วมลงแข่งขันด้วย เพราะทราบดีหากผมลงแข่งขัน คะแนนผมกับอาจารย์โทนจะต้องถูกหารสอง 

      “ผมขอถอนตัว .ครับ” ผมพูด

       หลังจากการมีการลงคะแนนเสียงอาจารย์โทน ก็ได้รับความไว้วางใจ ให้เป็นหัวหน้าคณะวิชา เป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกที่ว่า คนรุ่นใหม่ในเวลานั้น เขามิได้คำนึงถึงความรู้ ความสามารถและความอาวุโส เพียงแต่พวกเขามองว่าการเลือกผู้นำที่จะมาบริหารในคณะวิชานั้น ขอเลือกคนเพราะมีความพึงพอใจส่วนตัว อาจารยฺ์โทนได้รับเลือกเป็นผู้บริหารมาุสองสมัย วาระการบริหารคือวาระละ สองปี  ในวาระที่สองในการบริหารงานอาจารย์โทนได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "รุ่งโรจน์" เพื่อความเป็นศิริมงคล ต่อมาเขาได้แต่งงานกับสาวงามซึ่งมีวัยไล่เลี่ยกัน ฐานะของเธอค่อนข้างดี ทั้งคู่พบกันโดยบังเอิญที่ตลาดนัดประจำตำบล  

          พิศมัย เป็นลูกสาวคนเดียวของนายช่างรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่กับแมเลี้ยงปล่อยเงินกู้ งานแต่งงานของคู่บ่าวสาวได้จัดขึ้นที่บ้านเจ้าสาว ในหมู่บ้านวังน้ำไหลนิเวศน์  มีแขกที่เป็นเพื่อนร่วมงานและญาติทางฝ่ายเจ้าสาวและเจ้าบ่าวมาร่วมเป็นสักขีพยานกว่าสองร้อยห้าสิบคน หากพูดตามเนื้อผ้า ที่คนสมัยก่อนพูด คือหากคู่บ่าวสาวเหมาะสมกันดีก็จะกล่าวว่า "คู่นี้เหมาะสมกันดังกับกิ่งทอง- ใบหยก  แต่กรณีคู่บ่าวคู่นี้ แขกที่มาร่วมงาน คงไม่กล้าที่จะกล่่าวเช่นนั้นเพราะทั้งคู่มีความต่างกันคือฝ่ายชายเตี้ย มีความสูงไม่ถึง150 เซนติเมตร ส่วนฝ่ายเจ้าสาวสูงกว่า170 เซนติเมตร ทั้งรูปสวยรวยทรัพย์อีกต่างหาก  

                                                   **************************

      ในทุกสังคมย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงการนินทาได้ อาจารย์รุ่งโรจน์ ก็มิวายที่จะถูกเพื่อนร่วมงานต่างคณะฯ ครหานินทาในเรื่องความไม่ซื่อตรง ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะวิชา เขาจะนำเอาวัสดุจากที่ทำงาน เอาไปจำหน่ายให้กับนักศึกษาทั้งยังบังคับให้นักศึกษาไปใช้บริการถ่ายเอกสารและไปซื้อสินค้าที่ร้านของเขา

       “พวกเธอ ต้องไปช่วยอุดหนุนถ่ายเอกสารและซื้อของที่ร้านของครูขายนะ  ” อาจารย์รุ่งโรจน์ พูดในชั้นเรียนขณะที่เขาสอน      

          การที่ผมเคยพัก บ้านติดกับครอบครัวของอาจารย์รุ่งโรจน์ ในช่วงเวลาหนึ่งจึงมีความคุ้นเคยกัน หากจำเป็นที่จะซื้อสินค้าใช้และบริโภคจึงต้องช่วยไปอุดหนุนที่ร้านของเขา และถือโอกาสนั่งอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ฆ่าเวลา

    “เป็นไงบ้างครับ.แม่ ขายดีมั้ย ” ผมทักทายมารดาของอาจารย์รุ่งโรจน์  

    “เรื่อยๆ. เจ้า” เธอตอบ

    “ได้ข่าวว่าอาจารย์รุ่งโรจน์ จะสร้างหอพักหรือครับ”

    “ใช่ .ตอนนี้ สหกรณ์อนุมัติเงินกู้ให้แล้วหนึ่งล้านบาท  ”แม่ของอาจารย์รุ่งโรจน์พูด

            หลังจากที่อาจารย์รุ่งโรจน์ รับเงินกู้จากสหกรณ์แล้ว เขาได้ซื้อที่ดินเพื่อสร้างหอพักสองชั้นจำนวน 20 ห้องส่วนใหญ่นักศึกษาที่เข้าพักเป็นนักศึกษาที่เรียนในสาขาคอมพิวเตอร์ ที่ถูกขอร้องให้เข้าพักโดยความจำใจ กว่าเขาจะคืนตัวและใช้หนี้ได้หมดต้องใช้เวลาห้าปี หลังการสมรสผ่านไปอาจารย์รุ่งโรจน์ได้บุตรสาวสองคน ภริยาของอาจารย์รุ่ง.โรจน์ได้เปิดร้าน ค้าขายของเบ็ดเตล็ดอีกแห่งเหมือนที่บิดาของอาจารย์รุ่งโรจน์ขาย แต่อยู่กันคนละแห่ง   บริเวณใกล้มหาวิทยาลัยมีหอพักกว่าสิบแห่ง  บังเอิญที่เจ้าของหอพักแห่งหนึ่งต้องย้ายกลับบ้านที่เชียงใหม่เขาจึงได้ประกาศขาย อาจารย์รุ่งโรจน์ผู้กล้าการลงทุนจึงตัดสินใจซื้อหอพักสามชั้น จำนวน 40 ห้อง ในราคาห้าล้านบาท เขามิลงเลใจในการที่จะกู้เงินธนาคารพาณิชย์มาจ่าย 

                                               ******************************

    “ไปเที่ยวเชียงใหม่กับผมมั้ย  วันเสาร์นี้..  ผมจะไปแมคโคร  ”อาจารย์รุ่งโรจน์ชวนผม ขณะที่วันหนึ่งผมแวะเข้าไปที่ห้องพักครูสาขาคอมพิวเตอร์

    “ดีเหมือนกัน ผมอยู่ว่างๆ ”

    เวลานั้นที่จังหวัดลำปาง ยังไม่มีห้างแมคโครดังนั้นอาจารย์รุ่งโรจน์จึงต้องขับรถยนต์มาซื้อสินค้าเพื่อนำมาจำหน่ายที่ร้านของเขา  บ่อยๆครั้งในเวลาราชการ หากสินค้าของร้่านหมดลง เขาก็ใช้เวลานี้ ไปซื้อสินค้าโดยบอกงดการเรียนการสอนนักศึกษา และนักศึกษาส่วนใหญ่ก็จะชื่นชอบกับวิธีการนี้ เพราะไม่ต้องเข้าเรียนและเอาเวลานี้ไปเดินตามห้างเล่น

    “วันนี้…พวกเธอ เข้าห้องสมุดไปค้นคว้าเรื่องที่ครูจะมอบหมายให้ค้น” 

           หอพักที่สร้างยุคก่อนๆ ส่วนใหญ่จะขาดเครื่องอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย หอพักที่สร้างยุคหลังจึงได้เปรียบกว่าเพราะมีเครื่องอำนวยความสะดวกมีแอร์ มีวายฟายและอื่นๆครบถ้วน ดังนั้นจำนวนนักศึกษาที่จะเข้าพักในหอพักของอาจารย์รุ่งโรจน์จึงลดลงฮวบฮาบ หนี้สินที่ค้างชำระธนาคารจึงชักหน้าไม่ถึงหลัง ลูกสาวที่เรียนต้องใช้เงินไม่น้อย ภริยาที่ค้าขายกิจการก็ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ครอบครัวที่เคยอบอุ่นก็เกิดความขัดแย้ง ถึงขั้นภริยาของอาจารย์รุ่งโรจน์ ต้องไปอยู่กับมารดาของเธออย่างถาวร 

    “คุณไม่รู้จัก .พอเพียง หวังแต่จะขยายกิจการๆ แล้วเป็นไง ..ดินพอกหางหมู หนี้สินบานปลาย ดอกเบี้ยแต่ละเดือนเป็นหมื่นๆเงินเดือนคุณถูกหักลบกลบหนี้เหลือไม่ถึงสามร้อยบาทต่อเดือน หอพักที่ซื้อมาใหม่ มีเด็กเข้าพักไม่ถึง 10 ห้อง                                    อาจารย์รุ่งโรจน์ ต้องยอมรับสภาพกับความจริง ที่ตัวของเขาเป็นผู้ก่อขึ้น 

    “ผมยอมรับว่าไม่ประมาณตน ก็เห็นว่ามีนักศึกษามาเรียนในปริมาณเท่าเดิมไม่ได้ลดลง แต่เมื่อมันตัดสินใจไปแล้ว ก็จำต้องยอมรับกับสภาพหนี้  ”

                                                  *********************

        ปีต่อมา..พิศมัยได้ไปทำงานที่กรุงเทพ แม้ทั้งคู่มิได้หย่าขาดจากกัน แต่ก็ต้องแยกกันอยู่บุตรสาวทั้งสองพักอยู่กับเขาและปู่กับย่า เธอได้พบรักใหม่เป็นคนอเมริกันสูงวัย ทั้งคู่ได้สมรสกัน  อาจารย์รุ่งโรจน์จำยอมรับกับสภาพความเป็นจริงที่ภริยาเป็นฝ่ายเลือกที่จะอยู่กับสามีใหม่ที่เป็นคนต่างชาติ  

    “เพื่ออนาคตของลูกนะคุณ ฉันจะคุยกับลูก เพื่ออธิบายให้เขาเข้าใจเหตุผลของแม่ที่ต้องทำอย่างนั้น”

    “ตามใจคุณ ” อาจารย์รุ่งโรจน์พูด

            เวลานั้นลูกสาวของคนทั้งสองกำลังใกล้จะจบชั้น ม.6  พิศมัยไปอยู่กินกับสามีใหม่ที่เป็นคนต่างช่ติ ที่ร่ำรวย หน้าตาดี ทั้งคู่อยู่กินกันเปิดเผย  ครอบครัวของสองฝ่ายต่างเข้าใจกันและกัน หนี้สินที่อาจารย์รุ่งโรจน์ที่มีค่อยๆเบาบางลง  แต่ยังคงเป็นตัวเลขหลายล้านบาท ช่วงก่อนหน้าเขาต้องวิ่งหาเงินมาชำดอกเบี้ยธนาคารจนหน้ามืด จนเครียด  ร่างกายผ่ายผอม ข้าวปลาแทบจะไม่ได้กิน ไหนจะเรื่องลูกที่โตเป็นสาวที่กำลังเรียน ม.ปลาย  ไหนจะถูกภริยาทิ้งให้เป็นทั้งพ่อและแม่ในการดูแลส่งเสียบุตร ในความโชคร้ายในตัวของเขา ก็ยังมีความโชคดีที่สามีใหม่ของภริยา ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลส่งเงินมาช่วยผลัดผ่อนหนี้สินจนหมด วันนี้อาจารย์รุ่งโรจน์ยังคงครองสถานะโสดอย่างมั่นคงและไม่ยินดียินร้ายกับโชคชะตาที่เขาก่อ  ภริยาคนสวยและลูกสาวทั้งสองอยู่กันที่รัฐลอสแอนเจลิสอย่างมีความสุข  ลูกสาวของเขาก็ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย  สามีใหม่ของพิศมัยและลูกๆ จะบินมาเยี่ยมบ้านที่ประเทศไทยปีละครั้ง น่าเห็นใจอาจารย์รุ่งโรจน์อย่างยิ่ง ที่วันนี้เขาเดียวดาย เหงา ขาดคู่คิดมิตรคู่ใจ ดังแต่ก่อน

    “ไม่หาคนรักใหม่ล่ะ อาจารย์” เพื่อนอาจารย์ ส่วนใหญ่จะสอบถาม

    “ไม่หรอก อยู่อย่างนี้ ก็ดีแล้ว ไม่อยากมีภาระ และมีพัันธะ ” อาจารย์ รุ่งโรจน์ตอบ

       หากผมเป็นอาจารย์รุ่งโรจน์ ผมคงทำใจไม่ได้ ที่ภริยาของตนไปมีสามีใหม่ทั้งๆที่ไม่เคยโกรธเคืองกันเลยสักนิด ทั้งยังมาแสดงบทรักกันต่อหน้าต่อตาอย่างนี้

                           อาจารย์รุ่งโรจน์ หมดหนี้จากธนาคารได้  แต่เขาคงปลดหนี้ทางใจกับภริยาไม่ได้แน่ๆ   

                      การที่อาจารย์รุ่งโรจน์มีความละโมบ ..ทำอะไรเกินตัว เกินความสามารถย่อมเกิดทุกข์ ดังนี้แล     

                                                ทุ่มเทแทบตาย สุดท้ายบ้านแตก สาแหรกขาด

                                                             ขลุ่ย  บ้านข่อย   

                                                              (๒๑-๕-๖๗)

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×