อยากอวดตัวดีนัก - อยากอวดตัวดีนัก นิยาย อยากอวดตัวดีนัก : Dek-D.com - Writer

    อยากอวดตัวดีนัก

    จากเด็กเข้าบวชเป็นสามเณร -เป็นพระ จนร่ำเรียนทางศาสนาได้เป็นพระมหา มีปัญหากับเพื่อนด้วยกัน จนยอมสึกมาประกอบวิชาชีพ บุคลิกของเขาท่าทางเย่อหยิ่ง จนวันหนึ่ง เขาก็ได้รับบทเรียน

    ผู้เข้าชมรวม

    58

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    58

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  26 ก.พ. 67 / 11:18 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                  อยากอวดรวย.ดีนัก

        ทิดชัยหรือหนานชัย เป็นลูกลุงชนะกับป้าผ่อง  เขาได้เข้าบวชเรียนเป็นสามเณรตั้งแต่อายุเพียง 12 ขวบ ลุงชนะ เป็นคนเก่าแก่ที่อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ อาชีพของลุงนะกับป้าผ่องคือเป็นเกษตรกร มหาชัยหรือนายชัยเป็นลูกคนรองสุดท้าย  ตั้งแต่ผมเริ่มคุ้นเคยกับผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ทำให้ผมรู้จักกับลุงนะและชาวบ้านคนอื่นๆ   การจะแนบแน่นสนิทสนมกลมกลืนกับชาวบ้านได้เป็นอย่างดีก็คือ การที่ต้องเข้าได้คบค้าคลุกคลีด้วย สุรา จึงเป็นตัวกลางเชื่อมไมตรีระหว่างบุคคลกับบุคคล 

       ลุงชนะ .นับเป็นคอสุราประจำหมู่บ้าน ที่ไม่เคยมีเลยที่วันใด เขาจะหยุดดื่มสังสรรค์กับเพื่อนๆ การที่ในหมู่บ้านแห่งนี้มีผู้จำหน่ายสุราเถื่อนหลายเจ้า จึงทำให้มีการหาซื้อมาดื่มได้ไม่ยาก เพียงแค่มีเงินสิบบาทก็สามารถทำให้ผู้ซื้อมาดื่มเมาได้  บ้านที่เป็นศูนย์รวมการพบปะ มีสี่-ห้าแห่ง ผมจะไปมีส่วนร่วมทุกแห่ง สามแห่งที่ผมไปค่อนข้างบ่อยคือบ้านลุงทองนักการภารโรง  ที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน และที่บ้านสล่าอ้น การได้คลุกคลีกับชาวบ้านไม่ได้มีผลเสียต่อการทำงานเลยสักนิด หนำซ้ำกับยังได้ประโยชน์ในแง่มวลชนเสียอีก แน่นอนว่าการดื่มเหล้าเป็นอบายมุขอย่างหนึ่ง แต่มันก็สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นโบราณกาลจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆ

    ลุงชนะมักจะมาร่วมดื่มสุราที่บ้านสล่าอ้พร้อมด้วยสมาชิกคือลุงดำ ลุงหมอก และลุงแก้ว ซึ่งมีอาชีพตัดไม้ในป่าบนดอยของหมู่บ้านและแปรสภาพเป็นไม้แปรรูป เพราะเขามีอาชีพที่ต้องมีความสัมพันธ์กันกับงานช่างไม้ ที่สล่าอ้นเป็นนายช่างรับเหมาสร้างบ้านทั่วไป จึงต้องมีการแลกเปลี่ยนพูดคุยกันทุกวัน 

       แม้ผมจะไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับอาชีพการตัดไม้ทำลายป่า  แต่เมื่อได้เห็นถึง ความจำเป็นในการยังชีพ ปัญหาครอบครัวที่ยากจนการไร้ที่ดินทำกินจึงต้องจำยอม แต่ขอให้ลุงทั้งสามคนได้ให้คำสัญญาว่าจะต้องเลิกอาชีพนี้

      “ผมจะทำไม้ อีกแค่สามปี แล้วก็จะเลิกอย่างแน่นอน  ”ลุงหมอกพูด เป็นคนแรก

       “ผมจะเข้าไปตัดไม้ แค่พอ(สร้าง)แปลงบ้านเสร็จ ”ลุงดำพูด

      “ผมขออีกปีเดียวครับ สุขภาพ ไม่ค่อยจะดีแล้ว”ลุงแก้วพูด

      สำหรับลุงชนะเอาแน่นอนไม่ได้ เขาประกอบสัมมาชีพหลายอย่าง นับแต่เป็นลูกมือให้สล่าอ้น  เพื่อปลูกสร้างบ้าน รับจ้างขับรถขนส่งน้ำมันไปต่างจังหวัดในโซนภาคเหนือ และบางครั้งเขาก็เข้าไปอยู่ขบวนการลักลอบขนไม้(เถื่อน)ด้วยรถจักรยานในช่วงหลังตะวันตกดินแล้ว   

                                          **************************************

      ที่บ้านสล่าอ้น หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า   เสียงเบรกมือจากรถจักรยานดังเอี๊ยดเสียงยาว   ขณะที่ผมกำลังนั่งดื่มกับสล่าอ้น…..เพียงสองคน  ผมมองรถจักรยานคันแรก ที่จอดไว้ เห็นชายร่างเล็กผมสีดอกเลาทั้งศีรษะ  ตั้งขาตั้งรถจักรยานแล้วค่อยๆ คลายยางรัด จากนั้นจึงโอบไม้แล้วนำไปตีอำพรางไว้ด้านข้างฝาบ้าน  จักรยานคันถัดมาเป็นของลุงดำ ลุงชนะและคันสุดท้ายคือลุงแก้ว  

    ทั้งสี่คน….ไม่ทันได้กลับไปบ้าน เพื่อชำระร่างกาย  แต่ใช้วิธีการแก้ความเหนื่อย แก้ความปวดเมื่อย ที่ทำงานมาทั้งวันในป่าร่วมกัน ด้วยการดื่มสุราเถื่อน  ที่หาซื้อง่ายๆ แค่เพียงเดินย่างก้าวเท้าข้ามลำธารเล็กๆตื้นๆ ไปบ้านผู้ใหญ่บ้านระยะทางไม่ถึง 30 เมตร 

    “อาจารย์มานั่งกินเหล้านานแล้ว หรือยัง ครับ”  ลุงหมอก ถาม

     “ก่อนหน้าลุงหมอกจะมาถึง ประมาณ 20 นาที  ครับ” ผมตอบ

      สมาชิกทั้งหมดนี้ เป็นคนในหมูบ้านบ้านห้วยยางนา  บ้านลุงดำอยู่ไกลกว่าใครๆ ทุกคน ทุกคนอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน ดูเหมือนลุงหมอกจะมีอาวุโสกว่าใครๆ และเป็นที่เกรงใจของทุกคน หนำซ้ำฐานะยังดีกว่าทุกๆคน  แต่ที่ลุงหมอกต้องมาทำงานทำลายทรัพยากรป่าไม้ เพราะเขาถือว่าเป็นอาชีพเสริม ที่ดีกว่าอยู่เปล่าๆ 

                                              ************************* 

        ทิดชัย เป็นลูกชายคนที่สี่ ของลุงชัยชนะกับป้าผ่อง ซึ่งได้บวชเรียนมาตั้งแต่ อายุเพียง 6 ขวบ  ส่วนใหญ่คนในชนบทที่มีฐานะยากจน มักจะส่งบุตรหลานของตนให้บวชเรียน เพื่ออย่างน้อยลูกๆจะได้ร่ำเรียนโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย ใดๆ   ผมเคยไปเที่ยวที่บ้านลุงชนะ สองครั้ง เป็นเพราะระหว่างที่นั่งดื่มสุราที่บ้านสล่าอ้น  ลุงชนะมีอาการเมาจนประคองกายไม่ไหว  ผมกับลุงหมอก จึงต้องเดิน มาส่งเขากลับเข้าบ้าน  

      “ผมมาส่งลุงนะ ให้ครับป้า”  ผมบอกกับ ภริยาลุงชนะ

     “เมาอีกแล้ว เมาได้ทุกวัน ” ป้าผ่องบ่นพึมพำ(ภาษาเหนือ) 

        อำนวย .ลูกชายของป้าผ่อง -ลุงชนะ มีรูปร่างใหญ่ ซึ่งเป็นพี่ชายของสามเณรชัยค่อยๆ มาประคองพ่อของเขาให้เข้าไปในบ้าน ผมกับลุงหมอกขอตัวกลับไปบ้านสล่าอ้น เพื่อนั่งดื่มสุราต่อ  สล่าอ้น มีอายุแก่กว่าผมไปเพียงสามปี เขาเป็นคนอยู่ต่างหมู่บ้านถัดไปทางทิศเหนืออีกสองหมู่บ้าน  ฝีมือในการก่อสร้างบ้านของเขาไม่ถึงกับอยู่ในขั้นดีเลิศ  แต่ก็สามารถเป็นหัวหน้าในการรับเหมาสร้างบ้านให้กับชาวบ้าน ที่อยากจะสร้างที่อยู่อาศัย  ผมยังเคยคิดและตั้งใจอยากจะให้เขาสร้างบ้านให้เหมือนกัน 

      “ลุงนะ เวลาไม่เมานี่ ดีจริงๆเลยนะ ลุงหมอก ”ผมพูดในวงสนทนา ซึ่งในเวลานั้น เราเหลือสมาชิกกันเพียงสามคน  

      “แก ..ก็เป็นคนอย่างนั้น ไม่มีพิษมีภัยอะไรกับใคร เพียงแต่เสียงแกดังเวลากินเหล้า ”พี่อ้นพูด

      “นี่ผมห่วงแกนะ ว่่ากันตรงๆหลายๆครั้ง ที่ผมเห็น แกเดินข้ามถนนกลับจากไปกินเหล้าบ้านลุงแก้วฟากถนนฝั่งกระโน้น มืดก็มืด ถนนที่สร้างใหม่ มันขยายเลนใหญ่ขึ้น รถยนต์มันก็วิ่งเร็วมาก ” ผมพูด

      “ลุงก็เคยเตือนเสมอๆ น่ะ ว่าเวลาไปกินเหล้าบ้านลุงแก้ว อย่ากินเหล้าจนเมาจนไม่ได้สติ "  ลุงหมอกพูด

     “แล้วแกเชื่อไหม. ล่ะ”  ผมพูด

     “ดันทุรัง  เหมือนเดิม ซักวัน รถจะชนตาย” ลุงหมอกพูด

                                                 *******************************

         นานๆ สักครั้ง ผมจะเห็นสามเณรชัย จะมาเยี่ยมบ้าน  เวลานั้นสามเณรจำพรรษาที่วัดประจำตำบล  บุคลิกของสามเณรเป็นคนเรียบเฉย หน้าตาดี  ลูกๆของครอบครัวนี้ อย่างเก่งก็เรียนอย่างสูงแค่ชั้นประถมปลาย  บ่อยๆครั้งที่ผมเข้าไปช่วยหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดประจำตำบล จะเห็นสามเณรชัยกวาดใบไม้ ในช่วงเวลาเช้าๆพร้อมพระและเณร  วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับจังหวัด ทั้งยังเป็นแหล่งที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยบรรจุตารางเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวแวะมาชมโบราณสถานที่สวยงามอีกด้วย ครั้งที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสยังมีชีวิต  ผมได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการปรับปรุงภูมิทัศน์และเสนอให้หลวงพ่อจัดห้องพิพิธภัณฑ์เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกด้วย

      “ไง ครับ ..น้องเณร เรียนหนังสืออ ยู่ชั้นไหนแล้ว  ” ผมทักทายลูกลุงชนะชาวบ้านที่ผมคุ้นเคยดี

     “มอ.สาม ครับ อาจารย์ ”สามเณรชัย ตอบ  

     “จะบวชนาน แค่ไหน หรือ  ” ผมถาม

      “ตอบไม่ได้ครับ แล้วแต่..พ่อกับแม่จะให้สึก” สามเณรชัย ตอบ

          จากการพูดคุยกับสามเณรคนนี้ ดูเขาเป็นคนเหนียมๆ ถามคำตอบคำเสียมากกว่า  ในวัดแห่งนี้ยังมีสามเณรชื่อพล ลูกลุงเหล็กกรรมการของหมู่บ้านบวชอยู่ด้วยกัน  เวลามีกิจกรรมงานไหว้ครู  กีฬาสี หรืองานอื่นๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับทางวัด  ผมจะได้รับมอบหมายจากสถาบันให้เข้าไปประสานกับทางวัด  เพื่อนิมนต์พระมาประกอบพิธีกรรมทำบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้ง เทศนาให้โอวาทรดน้ำมนต์เพื่อเป็นศิริมงคลแก่บุคลากร นักศึกษาในสถาบัน หรือหากบางครั้ง ผมต้องมาหยิบยืมอุปกรณ์ต่างๆของวัดตั้งแต่เสื่อ โต๊ะหมู่บูชา อาสนะ คูลเลอร์ใส่น้ำ แก้ว ชาม จาน ช้อนฯลฯ 

      “เณรชัย .พาโยมอาจารย์ ไปที่ห้องเก็บวัสดุ และบันทึกการหยิบยืมให้หลวงพี่ด้วย”ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพูด

      “ครับ. ท่าน”สามเณรชัย  พูด 

      จากนั้นสามเณร ..ได้เดินนำหน้าพาผมมายังห้องเก็บวัสดุต่างๆของวัด ที่อยู่ติดกับถนนเลียบริมแม่น้ำวัง   

      “โยมอาจารย์ ต้องการยืมอะไรบ้าง ”สามเณร ชัยสอบถาม

       “เอาโพยกระดาษที่ผมจดไว้  อยู่นี่ครับ ”ผมพูด  พลางยื่นกระดาษเพื่อให้สามเณรชัยได้จัดสัมภาระสิ่งของให้ 

      ประมาณครึ่งชั่วโมง สิ่งของที่ผมหยิบยืมก็ได้ถูกลำเลียงชึ้นรถกระบะของสถาบัน เพื่อนำไปใช้งานในกิจกรรมของสโมสรนักศึกษา จากที่ผมได้มาประสานงานกับวัดประจำตำบลบ่อยๆ จึงเริ่มคุ้นเคยกับพระทุกรูป รวมถึงพระที่มีตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาสที่มีด้วยกันถึงสองรูป ที่สำคัญคือผมยังได้มีโอกาสเข้าถึงตัวเจ้าอาวาสและเป็นเจ้าคณะตำบลอีกด้วยน้อยคนนักที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านเจ้าอาวาส

                                                *******************************  

           สามเณรชัย  มีโอกาสเรียนและสอบได้ถึงเปรียญธรรม3 จากนั้นได้บวชเรียนเรื่อยๆมา จนเป็นพระภิกษุตามวัยและอายุ จากที่ผมได้สัมผัสกับพระภิกษุในวัดหลายแห่ง ตั้งแต่เคยมีประสบการณ์บวชเรียนมาก่อน ได้เห็นถึงการแบ่งพรรคแบ่งพวกที่ไม่ต่างจากฆราวาสเลยสักนิด จริงๆหลวงพ่อเจ้าคณะตำบลทราบดี ถึงเรื่องการแบ่งแยกของพระในวัด   แต่เป็นเรื่องยากยิ่งที่ เมื่อเวลาต่อหน้าพระภิกษุจะทำเป็นปรองดอง รักสามัคคีแต่พอลับหลังที่หลวงพ่อไม่อยู่ก็จะเกิดเรื่องทะเลาะ เบาะแว้ง แย่งชิงทรัพย์สินการจัดสรรแบ่งปันประโยชน์ การจัดให้ไปรับกิจนิมนต์ตามที่ชาวบ้านนิมนต์ให้ไปร่วมพิธีกรรม งานต่างๆตั้งแต่งงานทำบุญบ้าน งานบวช งานแต่งงาน งานศพฯลฯ  

       “ท่านพระครูไก่ จัดให้พระพล ไปงานสวดศพ ภายนอกบ่อยกว่าผมเสียอีก นานๆผมจึงจะได้ไป”พระชัย พูด

       พระครูไก่เป็นรองเจ้าอาวาสคนที่สอง ของวัดตำแหน่งหรือสมณศักดิ์อย่างเป็นทางการของท่านคือพระครูใบฎีกา  หลวงพ่อพระครูรัตมานิคม เจ้าอาวาส ได้มอบหมายให้พระครูไก่ เป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารการเงินของวัด และจัดแบ่งเวรให้พระและเณรออกไปรับกิจนิมนต์  โดยหลักการที่ถูกต้องเพื่อลดปัญหา การถูกมองว่าเลือกปฎิบััติและเล่นพรรคเล่นพวก พระ-เณรจะต้องเฉลี่ยกันออกแบบเท่าๆกัน กรณีที่พระชัย ต้องแสดงออกด้วยการไปฟ้องหลวงพ่อ จึงเป็นสาเหตุให้พระครูฎีกาไม่พอใจพระชัยพระลูกวัดอย่างมาก  แน่นอนว่าอำนาจในการปกครองนอกจากเจ้าอาวาสจะเป็นผู้ปกครองสูงสุดในวัด รองลงมาก็คือรองเจ้าอาวาสคนที่1 คือพระครูโสภณ ถัดมาคือพระครูใบฎีกา(ไก่) ท่านรองเจ้าอาวาสคนที่ 1 มีความสนิทแนบแน่นกับรองเจ้าอาวาสคนที่ 2 มาก การที่พระชัย สร้างปมความขัดแย้งไว้จึงถือว่าเป็นการสร้างศัตรูเป็นทวีคูณ 

      “ชอบฟ้องนักนะ ตุ๊(พระ)พล  ชอบเอาดีใส่ตัว”พระชัย พูดกับพระที่มาบวชด้วยกัน และมีบ้านอยู่ใกล้กันอีกด้วย 

      “ไม่รู้สิ..  คิดเอง… เออเองหรือเปล่า” พระพลพูด

     “หลวงพี่..วิทยาบอกกับผมว่า พระพลเนี่ยะชอบไปกะลิ้มกะเหลี่ยเอาอกเอาใจทั้งสองรองเจ้าอาวาส” พระชัยพูด

    “ก็ใช่สิ ก็หลวงพี่วิทยา สนิทกับพระชัย เขาก็ย่อมพูดเอาใจเป็นธรรมดา”พระพล พูด

        นานวันๆพระสองรูปที่เป็นพระลูกวัด ก็เกิดทะเลาะกันจนถึงขั้นวิวาทชกตีกัน จนถูกหลวงพ่อพระครูรัตมาฯ เรียกมาเตือนให้เลิกพฤติกรรมดังกล่าว เพราะอยู่ในเพศพรรพชิตหากชาวบ้านรู้เข้าจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อวงการศาสนาได้

                                               **********************************

            หลังเกิดเรื่องราวขึ้นแล้ว พระชัยจึงได้มาปรึกษาโยมแม่ว่า อยากจะขอลาสิกขามาเป็นชาวบ้านธรรมดา  เนื่องจากลุงนะเสียชีวิตด้วย เพราะข้ามถนนขณะกลับจากกินเหล้าบ้านลุงแก้ว ฟากถนนฝั่งตรงกันข้าม แม่ของพระชัยจึงให้ลูกชาย ตัดสินใจเอง    และต่อมา พระชัย จึงลาสิกขาเป็นชาวบ้าน แรกสึกจากพระมาใหม่ๆ  ท่าทีของเขาค่อนข้างจะขัดๆเขินๆ ในการวางตัว เนื่องจากบวรเรียนมาตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบ จนถึงวันลาสึกจากพระที่มีอายุปาเข้าไปสามสิบกว่าปี

         มหาชัยกลับมาอยู่บ้านแม่ เนื่องจากลุงนะลาลับจากโลกก่อนที่เขาจะสึก10ปี ภายในบ้านหลังเก่าที่เคยอาศัยก่อนบวช เณร มีเพียงป้าผ่องอยู่เพียงคนเดียว ลูกๆของป้าผ่อง- ลุงนะทุกคนมีคนครอบครัวไปกันหมดแล้ว  ยกเว้นพระชัยเพียงคนเดียว  มรดกที่พระชัยได้รับจากพ่อแม่คือที่ดินหนึ่งแปลงประมาณ 1ไร่ ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านห้วยยางนาไปประมาณ สองกิโลเมตร แม้มหาชัยจะห่างจากการจับจอบ จับเสียมในการทำไร่ทำสวน แต่ด้วยเขาเป็นลูกเกษตรกรโดยสายเลือด จึงไม่ยากเกินที่จะมาประกอบอาชีพเกษตรกรรมอีกครั้ง เขาเริ่มต้นใช้พื้นที่ผืนนี้ ปลูกพืชผัก ข้าวโพด และเลี้ยงวัว การมีสถานะโสดจึงม่ีรายจ่ายไม่มากนัก กอรปกับสมัยบวชเณร- กระทั่งเป็นพระได้สะสมเงินทองได้หลายแสนบาท จึงซื้อรถกระบะมือสอง ..ตั้งใจจะไว้เป็นอาชีพเสริมวิ่งระหว่างในเมือง-กับหมู่บ้านห้วยยางนา ทั้งยังรับส่งเด็กนักเรียนในละแวกใกล้ๆหมู่บ้าน อีกด้วย

       “มหา.  ไม่หาเมีย สักคน ไว้ช่วยดูแลหุงข้าวให้กิน  ” ชาวบ้านพูด

       “ไม่หรอก อยู่อย่างนี้ ก็ดีแล้ว  ไม่อยากหาเหาใส่หัว” มหาชัยพูด

        จากที่ผมเคยสัมผัสกับพระที่เคยบวชมาก่อน เมื่อสึกออกมาแรกๆดูจะเหมือนผู่้เคร่งในธรรมมะ เหล้ายาไม่แตะต้องเลยแต่ครั้นนานๆไปเมื่ออยู่ในสังคมท้องถิ่นกว่าร้อยละ90 ต้องหันมาอยู่กับอบายมุข คือดื่มสุราเล่นการพนัน แต่กับมหาชัย คนนี้.. ตั้งแต่สึกมาจนวันนี้ เขายังมีความเสมอต้นเสมอปลาย คือไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่  ตระหนี่ เป็นโสด เก็บตัวไม่สังคมกับใครๆ กระทั่งงานศพในหมู่บ้าน ก็ไม่เคยเห็นเขามาร่วมงานเลยสักงานเดียว 

        “แปลกนะ มหาชัยเนี่ยะ.ไม่เคยมาช่วยงานของชาวบ้าน ในหมู่บ้านของเราเลย ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร ”ชาวบ้านพูด

     “แปลกมาก บวชจนเป็นพระมหา น่าจะนำความรู้มาช่วยเหลือสังคมบ้าง นี่ไม่มีเลย”  ชาวบ้านอีกคนพูด

                                                       ***************************

            ระหว่างเกิดโรคโควิด ระบาดไปทั่วประเทศ การขับรถรับจ้างร้างผู้โดยสาร ภาวะเศรษฐกิจถดถอย  แต่มหาชัยมิได้เดือดร้อน เขายังมีเงินเก็บตั้งแต่สมัยยังบวชหลายแสนบาท เขาได้เห็นชาวบ้านบางคนเลี้ยงวัวขุนเพียงไม่ถึงปี ก็สามารถเพิ่มรายได้ต่อตัว เป็นหมื่นๆบาท การลงทุนมีเพียงซื้อลูกวัวเท่านั้นอาหารก็มีเพียงลงทุนไปเกี่ยวหญ้าข้างคลองชลประทาน มาให้กิน  เขาได้ถามชาวบ้านที่มีประสบการณ์ถึงวิธีการเลี้ยง  แรกๆที่เขาลองเลี้ยงมีเพียงวัวตัวเดียวและเมื่อมีน้ำหนักพอประมาณก็จะมีพ่อค้าในท้องถิ่นมาขอซื้อวัวไปชำแหละ เขาได้กำไรสมน้ำสมเนื้อ จึงมีกำลังใจที่จะเลี้ยงวัวขุนอีก เขาเลี้ยง ไปหลายรุ่นกว่า 7 ปี  การครองตนเป็นคนโสดไม่อาจพ้นไปได้ เมื่อได้พบสาวใหญ่ที่อยู่บ้านใกล้เคียง ที่เอาอกเอาใจเก่ง จึงตกลงอยู่ร่วมชีวิต เพียงหม้อข้าวไม่ทันดำ มหาชัยก็ต้องโบกมือลาเพราะฝ่ายหญิงที่เข้ามาเป็นหุ้นส่วนชีวิตใช้เงินเก่ง จนเขารับไม่ได้ จึงขอแยกตัวเลิกร้างกันไป

      “มหาชัย . นี่มันเห็นแก่ตัว เลี้ยงวัวก็ไม่ลงทุน เล่นมาผูกให้กินข้างสวน- ข้างนาเรา วัวมันหลุดเข้ามาเหยียบย่ำพืชผักเสียหาย หนำซ้ำยังไม่ยอมรับผิดชอบ” ชาวบ้านครหา

        จริงๆแล้วก็เป็นดังที่ชาวบ้านว่า เพราะขนาดที่หน้าบ้านของผมวัวของมหาชัยที่ผูกไว้ริมคลองชลประทาน ยังเคยหลุดเข้ามาภายในบ้านของผมด้วย แต่เมื่อผมทราบนิสัยของเขาก็นิ่งเงียบไม่อยากจะมีปากมีเสียง แม้จะนึกเคืองในใจ

     “เพี้ยง  ขอให้ธรรมชาติลงโทษสักวัน สำหรับคนเห็นแก่ตัว”ผมคิด และภาวนา อยากให้เขาได้รับบทเรียนบ้าง

                               ********************************************** 

      เวลาผ่านมา มหาชัย ได้ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านให้ทราบว่า วัวของเขาถูกลักไปสามตัว ข่าวนี้ถูกลือสะพัด ชาวบ้านส่วนใหญ่รู้สึกสมน้ำหน้า ส่วนน้อยที่รู้สึกสงสารและเห็นใจเขา

      “เรื่องมันเป็นไงหรือ  เล่าให้ฟังหน่อย ” ลุงมี ถามเพื่อนบ้าน

      “มีพ่อค้ารับซื้อวัว จากอำเภอเกาะคา มาขอซื้อวัวของมหาชัย ตอนคุยตกลงราคาพ่อค้าให้ราคาวัวถูกไป มหาชัยได้อวดร่ำรวยพลางตบกระเป๋ากางเกง พร้อมพูดว่า ไม่ขายหรอก เงินผมมีเยอะแยะ”ลุงพุธ พูด

      “นี่มั๊ง ที่พ่อค้าคงหมั่นไส้ พอถึงช่วงกลางคืนจึงมาแอบลักวัวไป”ลุงมีพูด

       ปกติ มหาชัยมักจะผูกวัวที่เลี้ยง ไม่เป็นที่เป็นทาง เนื่องจากวัวเชื่องมาก มันจึงไม่หนีไปไหนวัวสามตัวที่หายไป หากตีราคาทั้งต้นทุนและกำไร ราคารวมทั้งสิ้นเกือบแสนบาท หลังจากมีบทเรียนเกิดขึ้นแล้ว มหาชัยได้ซึมเศร้า ไปพักใหญ่  เขาแทบหมดกำลังใจที่จะเลี้ยงวัวอีก 

      “เลี้ยงต่อไป อย่าท้อ..ทีนี้ เวลาเลี้ยง อย่าผูกวัวทิ้งไปทั่วเหมือนแต่ก่อน สวนของเราก็มี เลี้ยงในสวนและก็เฝ้าไปด้วย  ” ป้าผ่อง บอกลูกชาย

     “ครับ แม่” มหาชัยพูด 

     “เลิกทำตัว ยะโส อวดร่ำอวดรวย และชอบดูถูกดูแคลนคนอื่นนะ  แม่ขอเตือน เราบวชเรียนนจนเป็นถึงพระมหา นี่เป็นบทเรียน ครั้งสำคัญเลย  ”ป้าผ่องพูดสอน

    “ครับ แม่” มหาชัยพูด

    นับแต่เขาสึกจากพระออกมา เป็นฆราวาส  แม้ผมจะเจอกับเขาซึ่งๆหน้าก็ไม่เคยทักทายกันเลยซักแอะ 

                                        จากการที่วัวเขาถูกลักไป.เงินแสนที่อยู่ในมือ ก็หายวั๊บไป   

                                              “ อวดรวยดีนัก แล้วจะเศร้าไปใย หรือท่านมหา  ” เสียงคล้อยหลังจากชาวบ้าน

                                                                 ขลุ่ย  บ้านข่อย   

                                                             (๒๖  กุมภาพันธ์  ๒๕๖๗)

     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×