สาม ใบเถา
สามสาวจีนรที่เคยรู้จัก เป็นครอบครัวที่ขยันทำมาหากิน แม้จะสวย แต่เธอก็ไม่ใส่ใจใน้เเรื่องความรัก เตี่ยเธอหวังจะได้้ทายาท แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะ ............
ผู้เข้าชมรวม
84
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
สาม..ใบเถา
คนเก่าแก่ในห้องแถว ฟากฝั่งบ้านเลขที่เลขคู่ที่ผมพักอาศัยนอกจากบ้านปลัดเจริญ ลุงโม้ แป๊ะโค้ว แป๊ะก๋วยแล้วยังมีแป๊ะเซียมฮ้อ ซึ่งเป็นบ้านที่รับซื้อของเก่าเจ้าแรก ของตำบลอรัญประเทศ อาแปะเซียมฮ้อ จะมีเอกลักษณ์ประจำตัวคือร่างท้วมสูงประมาณ160 เซนติเมตร ไว้หนวดเครายาวเฟิ้ม มีไฝริมที่ฝีปาก ชอบนุ่งกางเกงขาสั้นและใส่เสื้อเชิร์ตสีขาว เมียแกชื่ออะไรผมไม่ทราบ แต่พวกเราจะเรียกแกสั้นๆว่าอาซิ้ม ตอนที่ผมอายุ 3—5 ขวบ มีอาแปะพ่อของเฮียเว้งพักอยู่ และทำปาท่องโก๋ขาย หลังจากอาไช้ลูกชายแกถูกน้ำมันหมูลวกตัว จึงทำให้ครอบครัวของแกย้ายไปอยู่ที่อำเภอวัฒนา นคร ครอบครัวนี้ถือเป็นครอบครัวที่แม่ผมค่อนข้างจะสนิทสนม หลังจากเตี่ยเฮียเว้งย้ายไปอยู่อำเภอวัฒนานครแล้ว เขาได้เปลี่ยนอาชีพจากการทำปาท่องโก๋มาเปิดร้านขายข้าวแกง -ก๋วยเตี๋ยว และกาแฟ วันเสาร์-อาทิตย์ ผมต้องนั่งรถประจำทางไปส่งขนมให้ตลอด
คนจีน.ที่อยู่ในห้องแถวเดียวกับผม ผมมิอาจแยกแยะได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นชาติจีน ชาติพันธุ์ใด แบบไหน ที่ทราบก็เพียงชาติพันธุ์ไหหลำ(ไหหนำ) ที่มีแป๊ะจุ๊ก อาแป๊ะดุยและอาแป๊ะลักที่เป็นเครือญาติ และเช่าบ้านอยู่ติดๆกัน สำหรับแป๊ะจุ๊ก ถือเป็นเอเย่นต์จำหน่ายน้ำแข็ง ที่มีน้ำเสียงการพูดที่ผมคุ้นเคย ผมมักได้ยินคำพูดของคนในบ้านนี้ ที่พูดบ่อยๆ คือคำว่า”กุเดเด๊”
ทุกวันนี้ ผมยังเคลือบแคลงประโยคดังกล่าว แต่คาดเดาว่าวลีคำว่า กุเดเด๊ คงเป็นประโยคคำถาม ที่ถามว่า ”ไปไหนมา” จะผิดหรือถูกผมไม่แน่ใจ สำหรับคนเก่าแก่ ที่อยู่ห้องแถวฝั่งตรงกันข้ามกับบ้านผม เริ่มจากหลังแรกคือบ้านยายไล้ ป้ากาญ แปะบักซวง และตาเหรียญ คนไหหลำร่างใหญ่ ผิวคล้ำ เสียงดังซึ่งเป็นสามีของยายรินที่ทำฟูกที่นอนขาย นอกเหนือจากนั้นคือผู้มาเช่าบ้านอยู่ภายหลัง .แต่ก็มาอยู่นานเกินกว่าสามสิบปีขึ้นไปแล้ว
**********************
วันหยุดผมกับเพื่อนๆที่ต้องการหาตังค์ไว้ซื้อขนม หรือเอาไว้ซื้อของเล่น จะนัดรวมตัวกันมุดใต้ถุนเรือนตรงหัวมุมบ้านปลัดเจริญ บางครั้งเรามุดลึกเข้ามามากจนถึงบ้านของผมเอง แน่นอนว่าก่อนที่เราจะมุดใต้ถุนเรือน เกิดจากเหตุที่ว่า บางครั้งผมทำเงินที่ถือในมือหล่นในร่องพื้นทางเดินได้พยายามหาวิธีที่จะหาลวด หาไม้เขี่ยแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงรู้สึกเสียดาย จึงจำต้องหากุศโลบายชวนเพื่อน ให้มุดเข้าไปเป็นเพื่อนด้วย หรือบางครั้งอาจชวนน้องชายของผมเอง และการมุดใต้ถุนไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยสักครั้ง
“โอ้โห เจอตังค์เยอะเลย ว่ะ “
หลังจากมุดเข้าไปจนพอใจกับผลงานของตนแล้ว คือสามารถเก็บเหรียญสลึง เหรียญห้าสิบสตางค์ เหรียญบาทได้เกือบสิบบาท ก็คลานออกมา บนหัวเต็มไปด้วยหยักไย่ เสื้อผ้าเลอะเทอะเปรื้อนด้วยดิน เมื่อกลับเข้าไปถึงบ้าน ก็ต้องฟังแม่บ่นและดุด่าว่ากล่าว ก่อนที่เทศบาลจะฝังท่อระบายน้ำและเทคอนกรีตเป็นพื้นฟุตบาท เมื่อก่อนบริเวณทางเดินนี้ เป็นพื้นไม้เป็นทางยาวตลอดห้องแถว นอกจากรายได้จากการลงทุนเสี่ยงต่อการถูกตะปูตำ กระเบื้องบาดมือ เท้า ประสบเหตุกับแมงป่อง ตะขาบ งูกัด อาจเสี่ยงเจอจระเข้ก็อาจเป็นไปได้ เนื่องจากห้องแถวจากบ้านผมพอถึงหัวมุมร้านขายก๋วยเตี๋ยวของแปะซงก็จะเข้าสู่อีกห้องแถวบนถนนราษฎ์อุทิศ ซึ่งท้ายบ้านบริเวณนี้ มีร้านแป๊ะจุ๊ก ขายน้ำแข็ง ลุงแท๊ปที่เลี้ยงงูเหลือม เลี้ยงจระเข้ ที่ช่วงหนึ่งมีข่าวเรื่องสุนัขเลี้ยงของชาวบ้านหายไปแบบไร้ร่องรอยวันละตัวสองตัว ในบางครั้งจะเห็นคาบรอยเลือด ที่สันนิษฐานว่าจระเข้ ได้ลากลูกสุนัขไปกินที่ใต้ถุนห้องแถว ที่มันกลบดานในแอ่งน้ำที่มีบริเวณกว้างและยาวพอประมาณ
บ้านแป๊ะเซียมฮ้อ เป็นห้องเช่าห้องเดียวมีความลึกเข้าไปสิบกว่าเมตร ห้องด้่านหน้าผั่งขวามีผนังกั้นเป็นสัดส่วน ด้านหน้าของผนังห้องมีการตั้งแท่นบูชาฮู้ เพื่อเป็นศิริมงคลในการประกอบอาชีพ ส่วนทางด้านซ้ายมีประตูเข้าห้องกลางซึ่งเป็นห้องนอนที่กั้นไว้มิดชิด ขยับไปอีกนิดจะเป็นที่เก็บของเก่า ที่รับซื้อจากชาวบ้านทั้งคนในเขตเทศบาลและต่างอำเภอ การรับซื้อของเก่าเป็นหน้าที่ของอาแปะ บางครั้งที่อาแปะไม่อยู่ลูกสาวคนกลางคือเจ๊หมวยเค็ง จะรับหน้าที่แทน การรับซื้ิอของเก่าของที่นี่ จะรับซื้อประเภทกระดาษชนิดต่างๆ ขวดแก้วชนิดต่าง เหล็ก อลูมิเนียม ทองแดง ทองเหลือง รวมกระทั่งเขาสัตว์ หนังสัตว์ชนิดต่างๆ และหนังงูเหลือม
**************************
ครอบครัวของอาแปะเซียมฮ้อและอาซิ้ม มีบุตรสาวทั้งสามคน(สามใบเถา )คนโตชื่อหมวยโจว คนกลางชื่อหมวยเค็งและคนเล็กสุกคือหมวยนี้ ทุกๆเช้าของทุกวัน เวลาประมาณ 6โมงเช้า สองสาวคนโตและคนเล็ก จะช่วยกันขนเสื้อผ้าสำเร็จรูปทุกไซต์ ทุกวัย ทุกเพศ ใส่รถเข็น เพื่อไปที่แผงของตนในตลาดสดของเทศบาลตำบล แล้วจัดการแขวนโชว์ให้ลูกค้าได้ชม เพื่อเลือกซื้อตามความต้องการ ในตลาดขายเสื้อผ้าจากที่ผมประเมินคร่าวๆอาจมีถึง 10 เจ้า ข้างแผงขายเสื้อผ้า ของเจ๊หมวยโอว หมวยนี้ มีแม่ของเพื่อนของผมสองคนมารับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี รวมทั้ง ปะ -ซ่อม ในราคาเยา น้อยครั้งเหลือเกินที่ผมจะเป็นลูกค้าของร้านขายเสื้อผ้าเหล่านี้ เป็นเพราะผมต้องรอรับมรดกตกทอดเสื้อผ้าจากพี่ชายและเพื่อน คือเสื้อผ้าของไอ้เล็กและไอ้เฮี้ยง ที่แม่ของไอ้เล็กและเจ๊หมวยพี่สาวไอ้เฮี้ยงนำมามอบให้แม่ของผม
“นี่เสื้อกับกางเกงของไอ้เล็ก กับไอ้เฮี้ยง ที่ใส่ไม่ได้แล้ว เขาเอามาให้เรา นี่. ยังใหม่เอี่ยมเลยแหละ ” แม่บอก
“ดีจัง..ครับแม่ ”ผมตอบ ทั้งรู้สึกดีไจ ที่ได้มีเสื้อผ้าดีๆ ได้ใส่กับเขาบ้าง
การค้าขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปของพี่น้องคู่นี้ จะค้าขายดีในช่วงหลังฤดูกาลที่ชาวไร่ ชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วคือประมาณต้นเดือนธันวาคม จนต้นปีใหม่ การที่ผมต้องไปตลาดทุกวัน ตั้งแต่สี่ครึ่ง เพื่อไปซื้อกาแฟร้อนร้านน้าอำนวยร้านขาประจำทุกวัน พอช่วงสายๆประมาณหกโมงเช้า ที่แม่ให้ไปซื้อผัก ไปเอาหมูที่ร้านแป๊ะกัง และต้องไปซื้อวัตถุดิบที่ยังขาดเหลือเพื่อทำขนมอย่างเช่น น้ำตาลทราย น้ำปลา ซีอิ๊ว ถั่วซีกฯลฯ ผมต้องไปยังร้านเฮียเปี่๋ยง ร้านขายของชำที่ได้ภริยาสาวสวยอีกทั้งยังสูงกว่าเฮียอีกด้วย พูดได้ว่าร้านค้าเกือบทุกร้าน ผมกับเขาต่างคุ้นเคยและรู้จักกันดี
“หมาก พลู ปูน ยาตั้ง หมดแล้ว เดี๋ยวเอ็งต้องออกไปซื้อมาให้ยายแล้วล่ะ ” แม่สั่ง
หลายครั้งที่แม่ติงผม เรื่องการไปซื้อหมากและใบพลู เนื่องจากได้ใบพลูและลูกหมากที่แก่เกินไป ซึ่งมันทำให้รสชาติการกินไม่ถูกปากสมาชิกที่เป็นเพื่อนของยายและเพื่อนๆของแม่ อย่างป้าเช็งมักจะแวะมากินหมาก(ฟรี) และนั่งคุยกับแม่ของผมตามประสาคนคุ้นเคย นี่ก็เป็นความสุขของคนที่อยู่บ้านใกล้กัน พี่น้องของผมทุกคนในบ้าน รู้ดีว่าถ้าแม่กำลังกินหมากเธอจะมีอารมณ์ดีเสมอ ทุกคนเวลาจะขอเงินหรือขอไปเล่นนอกบ้านจึงดูเวลาช่วงที่แม่กินหมากกับเพื่อนๆ
“ไปหยิบเงินเอาเอง เลย ” “ไปเที่ยวเล่น แล้วอย่ากลับบ้านค่ำล่ะ ”ประโยคที่แม่มักพูดตลอด
*********************************
สังคมของคนจีน เขามักจะสนิทชิดเชื้อเฉพาะกลุ่ม การพูดคุยระหว่างอาแปะ 5-6 คน ที่อยู่ในห้องแถว มักจะอยู่ในวงน้ำชาของช่วงเช้า โดยเฉพาะที่บ้านแป๊ะโค้ว มีพื้นที่ว่างกว่าทุกๆหลังคาเรือนจึงเป็นแหล่งพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยน กัน แม้ผมจะยังอยู่ในวัยเด็ก แต่เห็นลูกๆอาแปะทั้งหลายส่วนใหญ่มีลูกสาวกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะบ้านแปะบักซวง (คนเรียกกันอย่างนั้น)ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านของผมขนาดที่ว่าผมสามารถมองเห็นว่า พวกเขากำลังทำอะไรได้อย่างชัดเจนบ้านนี้เป็นครอบครัวใหญ่มาก เพราะมีลูกถึง 8 คน ในบ้านนี้มีลูกคนโตเป็นชาย นอกจากนั้นเป็นหญิงล้วน ตั้งแต่คนที่ 2 จนคนสุดท้อง หนำซ้ำลูกชายคนโตยังอ้อนแอ้นอรชรดังนางในวรรณคดี ครอบครัวของแปะบักซวงค่อนข้างเคร่งครัด เจ้าระเบียบกับบุตรทุกคน ลูกๆของเขาไม่เคยมีใครสักคน ที่ได้ออกมาเล่นบนท้องถนน เหมือนลูกชาวบ้านในห้องแถวนี้เลย เช้าไปเรียน พอเย็นกลับเข้าบ้าน ต่างทำงานบ้านตามที่แม่สั่งการ เมื่อเสร็จงานมอบหมายแล้ว ทุกคนจะนั่งประจำที่ ทำการบ้าน ปรึกษาหารือทางวิชาการเด็กๆ คนอื่นๆ มาดูหนังการ์ตูนที่บ้านลุงไสว แต่ที่เด็กๆที่บ้านหลังนี้ เก็บตัวเงียบไม่ยุ่งไม่มีปฎิสัมพันธ์ กับใครๆ เลยจึงนับว่าเป็นเรื่องแปลกของพวกเรา
คนที่สองของลูกอาแปะบักซวงชื่อ อั้งล้วงจัดเป็นคนสวยมาก รูปร่างสมส่วน ผิวขาวดังหยวกกล้วย อายุอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม แต่เธอจะดูโตเกินวัย ทุกคนในบ้านนี้เรียนกันเก่งทุกคน ต้องยอมรับว่า บ้านนี้เลี้ยงลูกให้อยู่ในกรอบวินัยเยี่ยมแต่อีกมุมหนึ่งที่ผมมองคือเด็กๆในบ้านนี้ขาดความอิสระและขาดด้านการมีส่วนร่วมกับเพื่อนๆตามประสาเด็กหากเปรียบเทียบระหว่างบ้านผมกับบ้านของอั้งล้วง มันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว บ้านเธอฐานะค่อนข้างดีคนในบ้านนี้เรียนโรงเรียนเอกชนมีชื่อ แปะบักซวงเป็นสมุหบัญชีของห้างหุ้นส่วนด้านการขนส่งในกรุงเทพ เขาจะไปๆมาๆ ระหว่างกรุงเทพกับบ้านที่พัก ลูกๆทุกๆ คนอยู่ในความดูแลของแม่เพียงผู้เดียว ไม่มีลูกคนใดเลยที่ออกนอกลู่นอกทาง พวกเธอเรียบร้อยดังผ้าพับไว้อย่างดี
******************************
ที่บ้านอาแป๊ะเซียมฮ้อ มีบุตรีสามสาวใบเถา ซึ่งมีช่วงอายุห่างกันคนละสองปีเจ๊หมวยโจวกับเจ๊หมวยนี้ ยึดอาชีพการค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นอาชีพถาวร สำหรับเจ๊หมวยเค็งซึ่งเป็นเถาใบกลางไม่เคยได้ออกนอกบ้านเลย แม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะมีขบวนแห่ของโรงเจ ช่วงงานกินเจ ที่มีขบวนกลองระทึกที่เร้าใจ มีขบวนสาวแห่ป้ายผ่านหน้าบ้าน อย่างเก่งเธอก็เพียงแต่ได้ยืนแอบมองภายในบ้าน น้อยคนนักจะได้ยลโฉมเจ๊หมวยเค็ง ผมมีโอกาสเจอกับเจ๊หมวยเค็งหลายครั้ง เพราะนำเอาฝาหม้อข้าวของแม่ไปชั่งขายรวมทั้ง สายทองแดงที่ไปเก็บที่กองขยะที่รถเทศบาลนำขยะไปทิ้ง
“เอาอะไร มาขายน่ะเด็กๆ ”เจ๊หมวยเค็ง ทักทายด้วยใบหน้าเรียบเฉย หากคนไม่คุ้นเคยกับเจ๊ คงจะคิดว่าเจอกับผีช่วงกลางวันแสกๆ เป็นเพราะเจ๊หมวยเค็ง ไม่เคยออกจากบ้านไปรับแสงแดดเลยตั้งแต่ยังเด็กยันสาว
“มีฝาหม้อ อลูมิเนียม กล่องกระดาษ และขดทองแดง ครับเจ๊” ผมพูด
เจ๊หยิบสิ่งของที่ผมต้องการขายให้นำไปชั่งในตาชั่งชนิดแขวน ซึ่งผมดูว่าเข็มของตาชั่ง มันแทบจะไม่ขยับเลย เพราะน้ำหนักเบา เจ๊ชั่งแล้ว ..ก็ให้เงินมาหนึ่งบาทกับยี่สิบตังค์ พร้อมลูกอมอีกสามเม็ด
“ของลื้อ ได้แค่นี่นะ นี่ลูกอมอั๊วแถมให้ ว่าแต่ไปขโมยของใครมาหรือเปล่า" เจ๊หมวยเค็ง พูด
“ไม่ครับ ทองแดง กับกล่องกระดาษ ผมไปเก็บที่กองขยะ วังปลาตอง ครับ” ผมพูด
เมื่อผมได้รับเงินแล้ว ก็ใส่กระเป๋ากางเกงผมได้ใช้ยางผูกมัดเหรียญกับกระเป๋ากางเกงเป็นปมกันกระเด็นกระดอน เวลาวิ่ง หลายครั้งที่ได้เงินไปกินขนมที่โรงเรียน แม่จะให้ครั้งละหนึ่งสลึงบ้างสองสลึงบ้าง สมัยนั้นเรายังใช้เหรียญห้าสตางค์ สิบสตางค์ ตอนเรียนชั้นประถม ราคาข้าว ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว ไอสครีมตักใส่แก้ว ราคาเพียงสลึงเดียวเท่านั้น ผมยังจำได้ดีว่าช่วงป.3 -ป 4 ครูประจำชั้นได้ปลูกฝังให้นักเรียนรู้จักการออมทรัพย์ เมื่อใกล้ช่วงปิดเทอม ครูจะคืนเงินให้เป็น ซึ่งจะได้เงินเป็นจำนวนหนึ่ง
******************************
ก่อนหน้า..อาแป๊ะเซียมฮ้อได้เช่าบ้านไว้เพียงห้องเดียว แต่ครั้นเมื่อกิจการรับซื้อของเก่ารุ่งเรืองมากขึ้น เขาจึงเช่าห้องเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งห้องเพื่อเก็บขวด เก็บกล่องกระดาษ กระดาษ เหล็ก และโลหะอื่นๆเพื่อเก็บไว้รอการส่งเข้ากรุงเทพ ซึ่งอาแปะจะจัดส่งเข้ากรุงเทพสองสัปดาห์ต่อเที่ยว นับว่าในรอบเดือนหนึ่งอาแปะจะมีรายได้ไม่น้อย แม้ครอบครัวของผมจะไม่สนิทกับครอบครัวอาแปะ แต่เราในฐานะเพื่อนบ้านที่ดี เวลามีเทศกาลที่เกี่ยวประเพณีและวัฒนธรรมของชาวจีนเช่นตรุษจีน สารทจีน ไหว้พระจันทร์ อาซิ้มมักจะเอาอาหารคาว หวาน ที่ไหว้เจ้าแล้ว มาแบ่งและแจกจ่ายเพื่อนบ้านกิน นับเป็นวิถีแห่งการเอื้ออาทรต่อกัน
ความเป็นบ้านห้องแถวที่มีบ้านติดๆกัน บางทีเด็กๆ ก็เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้ผู้ใหญ่อาจต้องขัดแย้ง มีปากเสียง เพราะไปทำให้สิ่งของที่อาแปะตาก หนังงูเหลือม หนังเสือดาว ที่ตากไว้ให้แห้งเพื่อรวบรวมส่งกรุงเทพต้องเปรอะเปื้อนลูกฟุตบอล ที่พวกเด็กๆเล่นและอีกอย่างคือพวกเรา ไปเล่นใกล้ลังที่อาแปะเลี้ยงงูเหลือมที่หน้าบ้าน ไว้
“เหล็กๆ(เด็กๆ)ลื้อไปเล่งทีอื่ง เลยไป “อาแปะพูดไทย สำเนียงคนจีน ด้วยความโกรธ เพราะเกรงว่าหากงูเหลือมหลุดออกจากกรงอาจเป็นอันตรายได้
********************************************
ช่วงที่ผมมาเรียนกรุงเทพแรกๆ ผมจะกลับมาบ้านเทอมละครั้ง แต่.ต่อมาจะกลับมาบ้านเป็นปีละครั้ง ซึ่งช่วงกลับมาบ้านก็ยังพบเจ๊สามใบเถาดังเช่นเคย โดยเฉพาะเจ๊ หมวยเค็งซึ่งผอมมากจากคนผิวขาว ที่ไม่เคยได้รับแสงแดดเลยตัวเหลืองดังคนอมโรค ทั้งๆที่อาแปะและอาซิ้ม อยากให้เจ๊ ออกมาเปิดหูเปิดตากับโลกภายนอกบ้าง แต่เจ๊ก็ไม่สนองตอบตามความหวังดีของเตี่ยและอาม้า
ตั้งแต่เด็ก จนผมเรียนจบปริญญาตรี เมื่อกลับมาบ้านทีไร ก็ยังเห็นสามใบเถายังรักษาสถานะสมาชิกบ้านคานทองนิเวศน์ดังเดิมว่าไปทั้งสามสาวเป็นคนหน้าตาสะสวย เคยมีหนุ่มมาจีบคนแล้วคนเล่า ซึ่งผมคนวงนอกยังเคยแอบเชียร์ ให้เจ๊มีคู่ครอง- คู่ชีวิต . ยกเว้นเจ๊หมวยเค็ง ที่เธอคงอยู่ในโลกส่วนตัว ยากที่จะปรับตัวได้แล้ว
วันเวลาผ่านไป....
เมื่อสิบปีก่อน .ห้องแถวที่ผมเกิดและอยู่จนอายุบรรลุนิติภาวะ ต้องถูกเจ้าของห้องเช่าบอกเลิกสัญญาให้เช่า ครอบครัวของอาแปะจึงย้ายไปอยู่กรุงเทพมหานคร นับแต่บัดนั้น.
. .เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่เคยรู้จักก็ต้องย้ายแยกไปคนละทิศละทาง จากการที่ผมสอบถามกับเพื่อนบ้าน ถึงสามใบเถา ว่ามีสถานะอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่าทั้งสามยังครองสถานะโสดดังเดิม
. อาแป ะ ผู้รอความหวังที่จะมีทายาทสืบสกุล…จึงต้องสะดุด กับความฝัน ที่คิด…ไว้
“โถ..อาหมวย ของเตี่ย ”
ขลุ่ย บ้านข่อย
(๒๔ -๑๐-๖๖ )
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น