เด็กในฟาร์มผู้ประสบความสำเร็จ - เด็กในฟาร์มผู้ประสบความสำเร็จ นิยาย เด็กในฟาร์มผู้ประสบความสำเร็จ : Dek-D.com - Writer

    เด็กในฟาร์มผู้ประสบความสำเร็จ

    การเข้าอยู่ประจำฟาร์มได้ นอกจากจะมีที่พักอยู่ฟรีแล้ว ยังมีอาหารที่ตัวเองอยู่ประจำในแผนกนั้นๆอีกด้วย ผมมักแวะไปหาเพื่อนและรุ่นน้องเสมอเพื่อไปดื่มสังสรรค์ เวลาผ่านมา พวกเขาต่างประสบความสำเร็จทุกคน

    ผู้เข้าชมรวม

    65

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    65

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 ต.ค. 66 / 19:29 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                             เด็กในฟาร์มที่ประสบความสำเร็จ

           สองปีเต็มที่ผมต้องฝืนทนเรียนอย่างทุกทรมานเพื่อจะเรียนให้จบหลักสูตร สาขาสัตว์ศาสตร์ ผมเรียนจบวุฒิปวส. ด้วยเกรดที่ไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ถึงกับแย่ การที่ผมเป็นรุ่นพี่จึงสามารถทำให้ตัวเองรอดติด F  เพราะต้องพึ่งพารุ่นน้องๆที่เรียนเก่ง   ทุกช่วงการสอบทั้งกลางเทอมและปลายเทอม เพื่อนๆที่พักในบ้านโก้ทเฮ้าท์ ต่างเรียนสาขพืชศาสตร์กันทุกคน ยกเว้นผมเพียงคนเดียว ที่ผ่าเหล่าผ่ากอ แตกต่างไปจากเพื่อนๆ ดังนั้นเวลาที่เพื่อนติววิชาเรียนกัน พวกเขาก็จะได้ประโยชน์ร่วมกัน ผมจึงโดดเดี่ยวเดียวดาย

      “ไม่เป็นไร อ่านหนังสือผ่านตามันสักรอบ เผื่อจะเข้าสมองได้บ้างไม่มากก็น้อย ” ผมคิด

       สมาชิกที่พักในบ้านคนที่เรียนได้เกรดสูงสุด คืือสมชาย รองลงมาคือสราวุธ สองคนนี้ผลัดกันแพ้-ชนะ   .ก่อนที่สมชายจะมาเช่าบ้านโก้ทเฮ้าท์ เขาเคยพักประจำอยู่ที่ฟาร์มคอกวัว ในรุ่นของผมที่อยู่ในฟาร์มสัตว์มี 6 คน  ที่อยู่ในฟาร์มคอกวัวนมมี 5 คนคือสมชาย  สมโภชน์  วิศว์  ชวลิต และพลชัย หลังเรียนจบแล้วเพื่อนในกลุ่มนี้ 4 คนเข้ารับราชการ  สมชายสอบบรรจุเป็นข้าราชการสอนที่วิทยาลัยเกษตรกรรมลพบุรีแต่ต้องเสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุ สมโภชน์  เป็นข้าราชการ สังกัดกรมส่งเสริมการเกษตร  วฺิศว์ เป็นอาจารย์สอนในจังหวัดภาคใต้ ตำแหน่งสูงสุดของเขาคือผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรกรรมพังงา  พลชัย ทำงานที่การเคหะแห่งชาติและชวลิตทำงานในบริษัทใหญ่ในจังหวัดนครราชสีมา  จริงๆแล้วช่วงที่ผมมาเรียนสาขาสัตว์ศาสตร์ ไม่ได้รักไม่ได้ชอบเลยสักนิด แต่เมื่อตกกระไดพลอยโจนก็เลยคิดว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วก็เรียนไป สักแต่ขอให้มันจบก็พอ

     “เราน่า จะเข้าไปอยู่ประจำในฟาร์มเหมือนเพื่อนๆบ้าง จะได้ประหยัดเงินค่าเช่าหอพัก  ”  ผมคิด 

      ที่ฟาร์มวัวนมเพื่อนๆในรุ่นของผมได้เข้าอยู่ประจำฟาร์มกันเต็มโควต้าแล้ว การที่ใครจะเข้าไปอยู่ใฟาร์มวัวนมได้อาจารย์ที่สอนและดูแลฟาร์มจะต้องพิจารณาทดสอบเรื่องความรู้ ความสามารถของคนที่จะเข้าไปอยู่ประจำฟาร์ม ผมรู้ตัวดีว่า ความสามารถในการรีดนมวัวของผม ยังมือไม่ถึง หลายครั้งที่ผมลองไปฝึกโดยสมชายกับสมโภชน์ช่วยสอนขั้นพื้นฐาน ผมต้องโดนแม่วัวนม ดีด(เตะ)ด้วยเท้าหลัง จนหลบไม่ทัน  นี่คงเป็นเพราะแม่วัวมันไม่คุ้นกับมือใหม่ที่สัมผัสเต้านม ที่ฝึกการรีดนั่นเอง

      “โอโห มันเล่นดีดลูกหลังใส่่ กูเลยวะ ไอ้ชาย” ผมพูด พลางหลบแข้งวัว ที่ดีดลูกหลังกับคนที่เข้าไปรีดนม

          หลายคนที่เข้าไปฝึกการรีดนมวัวแล้ว ต้องถูกแม่วัวเตะด้วยเท้าหลัง เนื่องจากอาจไปบีบนวดคลึงแรงกว่าปกติที่คนเคยรีดประจำ  ผมเคยลองฝึกรีดครั้ง-สองครั้งก็เริ่มถอดใจ คิดว่าคงจะเอาดีทางนี้ไม่ได้แล้ว  การเรียนวิชาทางสัตวศาสตร์ อาจารย์ผู้สอนจะสอนทั้งภาคทฤษฎีและปฎิบัติอย่าง วิชาการเลี้ยงสัตว์ปีก  พื้นฐานที่พวกเราต้องถูกฝึกเป็นพื้นฐานคือการทำความสะอาดคอกไก่ การให้อาหารไก่  ผสมอาหารให้ไก่ ซึ่งมีตั้งแต่ไก่เล็ก ไก่กระทง ไก่เนื้อ ไก่ไข่ การเก็บไข่ การตอน   ไก่ การให้วัคซีน วิชาการเลี้ยงสุกร อาจารย์ผู้สอนเน้นย้ำ คือการสุขาภิบาล เริ่มตั้งแต่การฝึกทำคลอดสุกร การตัดสายสะดือ ตัดเขี้ยว ตัดเล็บ  การตอน การฉีดวัคซีน สำหรับวิชาการเลี้ยงสัตว์ใหญ่(โค- กระบือ) พื้นฐานก็ไม่ต่างจากวิชาการเลี้ยงไก่ สุกร ที่จะต่างคือมีการรีดนมและการผสมเทียมซึ่งจะต้องฝึกทำให้เป็น  

           การได้เข้าอยู่ประจำในฟาร์มแต่ละแผนก นอกจากจะมีที่พักประจำให้อยู่ โดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟเพียงเดือนๆผู้เข้าพักในฟาร์ม แค่ซื้อข้าวสารเพียงอย่างเดียวก็สามารถอยู่ได้สบายๆ จากที่ผมได้คลุกคลีกับเพื่อนและรุ่นน้องที่อยู่ประจำคอกสุกร คอกไก่ คอกวัว  ดูแล้วทุกคนจะมีความสุขทุกคน ทุกๆช่วงที่กินข้าวมื้อเย็น คนที่อยู่ประจำฟาร์มจะหมุนเวียนเปลี่ยนที่ไปกินข้าวร่วมกัน  คนที่อยู่คอกไก่ค่อนข้างจะสบายกว่าคนที่อยู่ในคอกสุกร คอกวัวและบ่อปลา เพราะมีไข่ไก่ให้บริโภคได้ทุกวัน โดยเฉพาะฟาร์มไก่จะมีไข่ไก่ร้าว บุบ เบี้ยว ซึ่งทางฟาร์มมิอาจนำไปฝากขายที่สหกรณ์ได้ นักศึกษาที่อยู่ในฟาร์มไก่จึงสามารถนำมาใช้ประกอบเป็นอาหารได้ทุกวัน  ข้อดีของการอยู่ประจำฟาร์มแต่ละแผนก คือ  คนที่อยู่ประจำฟาร์มวัวจะได้กินนมสด(ทุกวัน)  และหากบังเอิญว่ามีวัวเสียชีวิตลง ก็สามารถที่จะเอาเนื้อวัวมาทำตากแห้งไว้กินได้เป็นเดือนๆ  คนที่อยู่ประจำบ่อปลาจะมีปลาทุกขนาดให้กินได้ทุกวัน เพราะเมื่อใดที่ลงบ่อปลาเพื่อตีอวนก็สามารถที่จะแอบซ่อนปลาไว้กิน ครั้งละหลายๆตัว แล้วนำมาแบ่งปันเพื่อนๆที่อยู่ในคอกสัตว์ด้วยกัน

       " พี่ขลุ่ย เย็นนี้แวะที่คอกวัวนะ พวกผมนัดกินข้าวกัน โชคดีที่วันนี้ ไอ้แว่นมันทำคลอดหมู แล้วมีลูกหมูตายตัวนึง เห็นไอ้แว่นมันว่าจะทำหมูหันกิน “ ไอ้โย่งพูด

        “ได้เลย งั้นพี่จะหิ้วเชี่ยงชุนไปขวดนึงนะ” ผมพูด

       “ดีครับของพวกผมก็มีตุนยาดองไว้แล้วขวดนึง ” ไอ้โย่งพูด

      “กินข้าวที่คอกหมู หรือคอกวัว ล่ะ ”

      “ที่คอกวัว ครับพี่”  ไอ้โย่งพูด 

      ผู้อยู่ประจำฟาร์มคอกวัวนมมีสามคน คือไอ้โย่ง ไอ้ป่องและไอ้ริน เมื่อถึงเวลานัดหมายผมเดินออกจากบ้านโก้ทเฮ้าท์ และได้แวะร้านเจ้าประจำ ที่เป็นคนจากอำเภอเบตง  ร้านขายของของร้านนี้ เพิ่งมาเซ้งอาคารพาณิชย์ได้ไม่นาน ลูกค้าของเขาส่วนใหญ่ เป็นนักศึกษาร้อยละ  95   นอกนั้นเป็นขาจรที่ผ่านมาโดยบังเอิญ  แรกๆ ที่ผมเป็นลูกค้าต้องจ่ายเงินสด แต่เมื่อคุ้นเคยกันดีและผมพยายามสร้างเครดิต ให้เขาไว้วางใจ ระยะหลังเขาจึงยินยอมเปิดสมุดบัญชีให้ผมซื้อของกินของใช้ก่อน พอสิ้นเดือนจึงค่อยจ่ายให้

      “เฮีย เชี่ยงชุนขวดนึง  ”ผมสั่งเหล้าจีน จากเจ้าของร้าน 

       เขาเดินไปหยิบสุราและห่อกระดาษ พร้อมใส่ถุงพลาสติกหิ้วยื่นให้ผม  เมื่อผมรับสุราแล้ว จึงเดินมุ่งหน้าไปยังคอกวัวทันทีไม่ถึง10 นาทีก็มาถึงปลายทางน้องๆที่เสร็จภาระกิจงานฟาร์มของตน บางคนอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว  ส่วนใหญ่น้องๆที่อยู่ประจำคอกหมูกับคอกวัวจะพบปะกันอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2- 3 ครั้ง 

       “เชิญครับพี่ ผมหันลูกหมูเสร็จแล้ว ยังร้อนๆอยู่เลย” ไอ้แว่นเรียกให้ผมเข้าไปนั่งร่วมวง

       “ไอ้โย่ง ไอ้ริน ล่ะ” ผมถาม

       “ไอ้โย่ง กำลังเตรียมจาน ชาม  ข้อน แก้ว อยู่ครับส่วนไอ้รินไปตลาดไปซื้อน้ำปลา พอดีมันหมดครับพี่”แว่นพูด

       “รอพร้อมกันก่อน ค่อยลงมืกิน  ”ผมพูด

      “เราวอร์มๆ เบาๆกันไปก่อน ”  แว่นพูด  

      “เอ้าโย่ง พร้อมแล้วมานั่งด้วยกันเลยสิ  ไอ้ป่องล่ะ ”ผมพูด

      “ติดสาว น่ะพี่ .สักครู่คงมา มันกำลังติดตามผลงานอยู่ครับ "โย่งพูด

       ทุกคนพร้อมแล้ว .จึงเปิดเหล้าเชี่ยงชุนกินก่อนกับแกล้มมื้อนี้มีลูกหมูหันแรกเกิดตัวเล็กๆ น้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัมและไข่น้ำผสมบะหมี่สำเร็จรูป แว่นทำหมูหันกินบ่อย ฝีมือของเขาไม่แพ้เชฟมือดีในห้องอาหารดัง  วันนี้เด็กอยู่ฟาร์มหมู ฟาร์มวัวอยู่กันครบถ้วน มีผมเพียงคนเดียวที่เป็นรุ่นพี่ที่มาเยือนน้องๆ ผมมีความผูกพันกับรุ่นน้องที่อยู่คอกวัวมากกว่าไอ้แว่น ที่ซึ่งเพิ่งสอบเข่้ามาเรียนที่นี่เป็นปีแรก ผมเคยนั่งดื่มกับไอ้แว่นมาแล้วสองสามครั้ง ดูเหมือนศรศิลป์ไม่ค่อยกินกัน แว่นเป็นคนร่างใหญ่ชอบคุยโวและดูแคลนสถาบันที่เขาเข้ามาเรียนใหม่

      “ สมัยที่ผมเรียนที่เรียนที่สถาบันเก่า  มีคอกสัตว์มากกว่านี่สองเท่าเลย  น่ะ ”  ไอ้แว่นคุยโวกับผมและน้องๆ ที่เป็นลูกหม้อของที่นี่  

       สิ่งเหล่านี้หากเขา พูดเพียงครั้งสองครั้ง พวกเราก็ยังจะพออดกลั้น อดทนที่จะรับฟังเขาคุยบลั้ฟกับสถาบันของเราได้ ทั้งๆ ที่เขาก็เป็นศิษย์ในสถานศึกษาแห่งนี้กลับดูแคลนสถานศึกษาแห่งให ม่ ที่เข้ามาศึกษา เมื่อการดื่มผ่านไปครึ่งชั่วโมง รุ่นน้องทั้งสามคน เริ่มรู้สึกอึดอัดและเริ่มทนไม่ไหว เขาจึงสะกิดผมให้ออกไปข้างนอก

     “พี่ขลุ่ย ผมอยากปรึกษากับพี่ว่า ผมอยากจะจัดการกับไอ้แว่นมันหน่อย ผมทนไม่ไหวแล้วที่มันดูถูกสถาบันของเรามาก ทุกครั้งเวลามันมากินเหล้าที่คอกวัว มันมักพูดเสมอว่าที่นี่แม่วัวแค่ 8 ตัวที่เรียนที่เก่าของมันมี วัว 20 กว่าตัว”ไอ้ป่อง พูด 

       หลังจากป่องได้ปรึกษากับผมแล้ ก็ได้เข้าไปนั่งดื่มกันตามปกติ แทนที่ไอ้แว่นจะหยุดพูดเรื่องการดูแคลนทับถมสถาบันของเรา 

     “ไอ้แว่น มึงหยุด .พูดเรื่องนี้ได้แล้ว ไอ้เหี้ย ..ถ้ามึงว่าสถาบันนี้ไม่ดีแล้วมึงเสือกสอบ เข้ามาเรียนที่นี่ทำไม กูขอร้องว่าให้หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ” ป่องพูด

     “กูไม่หยุด มีอะไร.มั้ย  ” แว่นพูด

    “มีสิ.. งั้น มึงออกไปต่อยกับกูตัวต่อตัวเลย ”

    “ได้เลย”  แว่นรับคำท้าจากไอ้ป่อง ทั้งคู่เดินออกไปลานสนามหญ้าหน้าคอกวัว  ผม ไอ้โย่งและไอ้ริน เดินตามออกไป 

      ในฐานะที่ผมเป็นรุ่นพี่ จึงบอกกติกาให้สองคนทราบว่าเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มแล้ว ห้ามซ้ำผมยืนตรงกลาง ทั้งคู่ตั้งท่าการ์ดมวย ผมสับมือให้ชกได้ไอ้แว่นรูปร่างสูงใหญ่ น้ำหนักมากกว่าไอ้ป่องเกือบ10 กิโลกรัมว่าไปแล้วไอ้ป่องต้องแบกน้ำหนักและเสียเปรียบไอ้แว่นอย่างมาก ด้วยความโกรธของเขา ที่ถูกเพื่อนรุ่นเดียวกันที่มาจากสถาบันอื่นดูแคลน บวกด้วยฤทธิ์สุราจึงทำให้เขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม 

       ไอ้ป่องสืบเท้าเหวี่ยงหมัดใส่ไอ้แว่น โดนที่หน้าอกดังปึก ไอ้แว่นเหวี่ยงเท้าเข้าชายโครงไอ้ป่องดังพลั่ก ทั้งคู่เข้ากอดนัว เนียคลุกวงใน ด้วยกำลังไอ้แว่นเหนือกว่ามาก เมื่อเข้าวงใน ไอ้แว่นได้รัวหมัดเป็นชุดใส่ไอ้ป่องจนเลือดกำเดาไหล  ผมเห็นท่าไม่ดีที่รุ่นน้องที่เป็นลูกหม้อถูกอีกฝ่ายที่เพิ่งมาเรียนลูบคม จึงบอกไอ้โย่งให้จับไอ้แว่นไว้ แล้วให้ไอ้ป่องเอาคืนบ้าง 

     “พลั่ว ๆๆ ”  ไอ้ป่องได้โอกาส รัวหมัดใส่ใบหน้าจนแว่นของไอ้แว่นหลุดลง  ไอ้แว่นมองไม่เห็น อะไรชัดเจน

     “พวกมึงรุมกู  ไอ้หมาหมู่  ”  ไอ้แว่น สบถ 

      “เฮ้ย พูดหมาๆ  กูไม่ได้ทำอะไรมึง ซักหน่อย กูเพียงแยกมึงออกจากกัน เท่านั้น”  ไอ้โย่งพูด

      ผมต้องเข้ามาหยุดการวิวาทและห้ามไอ้แว่น รวมทั้งอบรมเขาเรื่องการดูแคลนสถาบันของตนเอง แว่นปากเจ่อและที่เหนือคิ้วบวม ทั้งคู่ได้รับบาดแผล เป็นความทรงจำที่ไม่ลืม ผมเดินไปส่งไอ้แว่นที่คอกหมู ให้เขาพักผ่อนและบอกให้เลิกราต่อกันขอให้เรื่องมันจบลงเสีย ผมยอมรับว่าในคืนนี้ ผมวางตัวเป็นกลางไม่ได้ เพราะไอ้แว่นมันถากถางสถาบันที่ผมมีส่วนร่วมสร้างมากับมือไม่ได้

                                           ******************************************* 

             ผมมักจะแวะมาหารุ่นน้องในฟาร์มหมู ฟาร์มวัวบ่อยๆที่นี่..หากใครไม่อดทนจริงๆ  รับรองว่านั่งได้ไม่เกินห้านาที ต้องขอหนีไปให้ไกล   เนื่องจากมียุงนับหมื่น นับแสนตัว  เป็นเพราะที่คอกวัวมีแหล่งน้ำครำ ที่มีท่อระบายน้ำขังล้อมรอบคอกวัว  ขนาดว่าพวกเราจุดยากันยุง ทายากันยุง ก็ยังเอาไม่อยู่  ทุกครั้งที่ผมนอนในฟาร์มหลังสังสรรค์  เช้ามานี่จะมีรอยยุงกัดเป็นจ้ำๆทั่วร่างกาย

             ความซ่าของไอ้แว่น หลังจากคืนก่อน ที่โดนกำปั้นของไอ้ป่อง คงน่าจะเข็ดขยาด จริงๆแล้วผมก็รู้ดีว่ายังไง. ไอ้ป่องก็สู้พละกำลังของไอ้แว่นไม่ได้ เพราะมันเป็นมวยคนละรุ่น  แต่ก็ลองให้เขาได้ประลองเชิงกันสักพักก่อน หากไอ้ป่องเพลี่ยงพล้ำ แน่นอนว่า ยังไง ผมก็ต้องช่วยป้องกันไอ้ป่องจากหนักให้เป็นเบา   วลีที่ว่า เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ  มันยังใช้ได้จริงๆ   ระยะหลัง ไอ้แว่นจึงไม่ค่อยมานั่งสังสรรค์ที่คอกวัว ดังแต่ก่อนที่เคยมา เพราะกลัวจะมีประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก 

    “พี่ขลุ่ย กับพวกเล่นรุมกินโต๊ะ ผมคนเดียว  ” ไอ่้แว่นพูด ก่อนที่เขาจะสำเร็จการศึกษา

     “อย่าคิดมาก เรื่องมันผ่านมาแล้ว พี่ก็ฝากเอ็งไว้เป็นบทเรียนว่ าสถาบันใครๆ ก็รัก สมมติว่าพี่ว่าสถาบันเก่าที่เอ็งเรียนบ้าง เอ็งจะไม่โกรธ หรือ ”ผมพูด

      “ผมพูดเรื่องจริง นี่ครับ ” ไอ้แว่นพูด

      “ใช่ เรื่องจริง พี่เข้าใจ แต่การดูถูกอย่างนี้ เป็นใครใครก็โกรธ ” 

                                               ****************************

        ผมนึกย้อนกลับมา..ดู   ได้เห็นภาพว่า ส่วนใหญ่เด็กที่เคยอยู่ในฟาร์ม หรือเด็กที่ทำกิจกรรมให้สถาบัน ส่วนใหญ่แล้วจะประสบความสำเร็จอย่างรุ่นไอ้แว่น ไอ้แว่นเองมีตำแหน่งป็นผู้อำนวยโรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่จังหวัดชลบุรี บ้านเกิด  ไอ้ป่องมีตำแหน่งระดับสูง คือเกษตรจังหวัดของภาคตะวันออก  ไอ้โย่ง เป็นนักธุรกิจระดับประเทศในประเทศอาฟริกาใต้ เขาได้ภริยาเป็นคนต่างชาติ มีฐานะร่ำรวย (อ่านผีเด็กขี้เล่นประกอบ)  ไอ้รินทำธุรกิจส่วนตัวที่จังหวัดนครปฐม มีความสุขตามอัตภาพ สำหรับรุ่นพี่ของรุ่นนี้สองรุ่น ที่เคยอยู่ประจำคอกวัว ซึ่งเป็นคู่แฝดแท้ๆคือไอ้เสือ กับไอ้สิงห์  ที่เป็นแฝดคู่แรกในประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จในชีวิตราชการในตำแหน่งเกษตรจังหวัดทางภาคตะวันออก  นับว่าเขาทั้งสองคน เจริญก้าวหน้าในอาชีพด้วยความรู้ความสามารถ นับว่าได้สร้างชื่อเสียงให้กับสถาบันไม่น้อย

       ทั้งสามคนคือเสือ - สิงห์ และป่อง บังเอิญเป็นคนจังหวัดเดียวกัน  แต่..ความต่างที่ผม มิอาจยอมรับได้คือนิสัยของรุ่นน้องคือเสือกับสิงห์แม้ผมไม่สนิทสนมเท่ากับไอ้ป่อง  แต่เขาทั้งสองคนกลับมีความเสมอต้นเสมอปลายไม่ลืมตัว  หลายครั้งที่พบกันคู่แฝดคู่นี้ เขาให้ความเคารพ  ทักทาย โดยไม่ถือยศถืออย่าง ผิดกับไอ้ป่องที่ลิืมตัว เมามัวในหัวโขนของเชา ช่วงพบกันในงานวันสถาปนา หรือครั้งใดๆ ที่พบ เขาทำเป็นไม่รู้จักรุ่นพี่ที่เคยช่วยเหลือเขามาเมื่อครั้งอดีต

                                นี่จึงทำให้ผมนึกไปถึงคืน ที่เขาต่อย กับไอ้แว่น

                                      “รู้งี้  ปล่อยให้ไอ้แว่น อัดให้น่วมเสียก็ดี    ”  ผมคิด

                                                           ขลุ่ย   บ้านข่อย   

                                                            ( ๑๙ -๑๐  ๖๖  )

    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×