ได้ดิบได้ดีแล้ว นี่ - ได้ดิบได้ดีแล้ว นี่ นิยาย ได้ดิบได้ดีแล้ว นี่ : Dek-D.com - Writer

    ได้ดิบได้ดีแล้ว นี่

    ครอบครัวที่ผมเคยสับสนุน ดูแล .จนสามารถยืนด้วยขาของตนเองได้ แต่ในวันนี้ ...เขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แน่นอน วลี..ต้องทำใจ ก็คงต้องยึดปฎิบัติ ดังเช่นที่เคยเจอมา

    ผู้เข้าชมรวม

    88

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    88

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  24 ก.ย. 66 / 08:28 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                  ได้ดิบได้ดีแล้ว นี่

        ที่ตลาดสดบ้านห้วยยางนา  ในวันหนึ่งที่ผมนั่งสังสรรค์กับชาวบ้านที่ร้านขายยาดองของที่ปรึกษาอาวุโส ของ หมู่บ้านแห่งนี้  

        “กับแกล้ม.ซ้ำซากดังเช่นทุกวันเลย . เดี๋ยวผมจะเดินออกไปดูซิว่า ที่ตลาดมีกับแกล้มอะไรน่ากินบ้าง “ผมพูด

       “มีแม่ค้าไก่ย่าง เพิ่งมาเปิดร้านขายได้สักสองวันแล้ว อาจารย์เดินออกไปก็จะเห็น  “หนานเดช พูด 

        ผมเดินออกจากร้านขายเหล้ายาดองได้ ไม่ถึงนาที่ก็ได้พบแม่ค้าสาวแต่งตัวมอมแมม ผิวคล้ำ  ร่างผอมมาก หน้าตาค่อนข้างขี้เหร่ ผมยาวกระเซอะกระเซิง  เธอกำลังปิ้งไก่ โครงไก่  เครื่องในไก่โดยใช้ไม้ไผ่ เสียบผ่านสิ่งที่ต้องการปิ้งตรงช่วงกลางได้ใช้ลวดเล็กๆผูกติดแกนกลางไม้ไผ่ไว้ ในเตาปิ้งมีตะแกงเหล็กขนาดใหญ่พอประมาณวางอยู่  ผมเดินมุ่งหน้ามาที่ร้านของเธอเป็นลำดับแรก  เหงื่อบนใบหน้าของเธอผุดออกด้านบนหน้าผากและค่อยๆ ไหล ลงผ่านจมูกลงแก้มทั้งสองด้าน   

      “แม่ค้า ..มาขายไก้ปี้งนานแล้วเหรอครับ “  ผมทักทายก่อน

      “เพิ่งมาขายได้ 2 วันเอง  คุณ..รับกี่ไม้  ดีคะ”แม่ค้าไก่ย่าง ถาม

       ไม้ละเท่าไหร่  ครับ  “

      “ 5 บาทค่ะ” 

       “เอา 4 ไม้ครับ  “

      “หนูแถมให้ไม้นึง นะคะ  “

        เธอหยิบโครงไก่ปิ้งขึ้นมาอุ่นให้ร้อน เพราะได้ปิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายสองโมงที่ผ่านมา    ครั้นเมื่อไก่ร้อนดีแล้ว เธอได้นำไก่ใส่ลงถุงก๊อปแก๊ป  แล้วยื่นส่งมาให้ผม ผมรับไว้แล้ว จึงยื่นส่งธนบัตรใบละ 20 บาทให้

      “ขอบคุณค่ะ นี่มาประเดิมกับหนู เป็นคนแรกเลย  “แม่ค้าพูด

       อากัปกิริยาของเธอดูจะดีใจมาก เมื่อผมเดินผ่านหัวมุมตลาดก็พอจะทราบว่า เธอคงมาเช่าห้องเช่าอาศัยอยู่กับสามี เพราะเมื่อครู่ที่เดินผ่านห้องมา เห็นมีผู้ชายร่างผอมสูง ผมยาว คล้ายกับนักดนตรีบนศีรษะของเขา มียางยืดรัดรอบ           “เอานี่พวกเรา  กับแกล้ม วิญญาญไก่ปิ้ง รสชาติเป็นไงไม่รู้  ยังไงลองชิมดู  “ผมพูด

      สมาชิกในวงเหล้าเป็นชาวบ้านที่มีวัยทั้งมีอายุใกล้เคียงและแก่กว่าผม เรื่องนั้นมิได้เป็นสาระที่เราจะคบหากัน  การมีเพื่อนมาก มิได้เสียหายอะไร ดีเสียอีก.หากเวลาเราไปไหนมาไหนคงได้พึ่งพากันบ้างตามโอกาส

        “ลำ …น่ะ อาจารย์ ฝีมือแม่ค้าเจ้านี้  ไว้ผมจะซื้อไปกินกับข้าวนึ่งบ้าง “ ลุงด้วงพูด

        “งั้นเดี๋ยวผมลองชิมบ้าง  “ผมพูด

        หลังจากลุงด้วงเทสุราลงในแก้วขนาดเล็กพอดีคำ  ส่งให้มาให้ผมดื่ม ผมจึงได้ลองชิมโครงไก่ปิ้งดูบ้าง  

        “อืม.. อร่อยดี ไม่แพงด้วย  เดี๋ยวขากลับไปบ้าน จะซื้อติดไม้ติดมือไปกินกับข้าวที่บ้าน  “ ผมพูด

         ในการพูดคุยในวงสุราของพวกเรา มักจะเป็นการพูดคุยเรื่องสนุกๆ ที่ขาดไม่ได้  คือจะต้องมีการร้องเพลง เพื่อคลายเครียดและป้องกัน การคุยไม่ถูกคอกันจนถึงขั้นความขัดแย้งทะเลาะวิวาท ช่วงหกโมงเศษ ผมได้ขอตัวจากเพื่อนๆ ร่วมวงสุรา เพื่อกลับบ้านเมื่อได้ผ่านร้านขายไก่ย่างจึงแวะอุดหนุนอีกครั้ง

      “แม่ค้า ขอโครงไก่ปิ้ง 2 ไม้ เครื่องในไก่ปิ้ง  2 ไม้  “

      “ค่ะ”

      “ว่าแต่แม่ค้า ชื่ออะไร เหรอ วันนี้ขายเป็นไงบ้าง  “

      “หนูชื่อย้อย  วันนี้..ก็พอขายได้บ้าง  ดีกว่าเมื่อวาน ที่ขายได้ ไม่กี่ไม้เอง “

      “จากนี้...ผมจะมาอุดหนุนทุกวันเลย  “ ผมพูด

      “ขอบคุณ “เธอตอบ พร้อมมีรอยยิ้มที่ดูจะมีความสุขกับความหวังที่จะได้ลูกค้าประจำ 

        ผมเห็นใจแม่ค้าสาวคนนี้ ..ด้วยเพราะเธอต้องมีรายจ่ายค่าเช่าห้อง ค่าวัตถุดิบ ค่าเช่าที่วางของขายจากเจ้าของตลาดทั้งๆที่ที่ตั้งเตาปิ้งไก่อยู่หน้าบ้านของเธอแท้ๆ เพียงแต่อยู่ใกล้ตลาด   เมื่อเจ้าของตลาดที่เป็นญาติกันกับที่ปรึกษาอาวุโสของหมู่บ้าน เธอจึงตัดความรำคาญให้รู้แล้วรู้รอดไป   

          ความขี้เหร่ของเธอ..มีส่วนอย่างยิ่งต่อการค้าขาย หากขาจรที่เพิ่งเข้ามาซื้อของได้เห็น  เขาคงไม่อยากจะแวะอุดหนุนซื้อของกินในร้านของเธออย่างแน่นอน  เพราะสภาพการแต่งเนื้อแต่งตัวมอมแมม ดูไม่สะอาดตานัก     เพียงสองสัปดาห์ ที่ผมเป็นลูกค้าประจำ ทำให้ผมทราบข้อมูลของเธอเพิ่มขึ้น

           ย้อย เป็นคนภาคเหนือตอนล่างคือจังหวัดอุตรดิตถ์  เธอเพิ่งจะลาออกจากงานแม่บ้านจากกรุงเทพ พร้อมสามี สามีของย้อยคืออนุวัตร  คนแถวนี้เรียกเขาว่าไอ้หนุ่มผมยาว อดีตของคู่รักคู่นี้เคยทำงานในโรงพิมพ์มาก่อน อนุวัตร เรียนจบเพียงชั้น ม.ต้น เขามีความสามารถและมีพรสวรรค์ในทางศิลปะอย่างมาก  ก่อนที่สองสามี -ภริยานี้จะตัดสินใจมาเช่าบ้านกับกรรมการที่ปรึกษาหมู่บ้าน เขาและเธอได้ออกมาสำรวจทำเลกับการจะทำไก่ปิ้งขาย ทั้งสองคนคิดว่าตลาดแห่งนี้ มีลูกค้าที่ผ่านไป-มาเป็นจำนวนมาก มีทั้งลูกค้าที่เป็นข้าราชการครู  คนขับรถบรรทุกระหว่างทางถนนเส้นนี้จำนวนไม่น้อย    หนึ่งเดือนแรกแม้ย้อยจะพอขายไก่ปิ้งได้ แต่ก็ยังไม่คุ้มทุนกับเงินซื้อวัตถุดิบต่างๆ   

                                          ***************************************

        หลังจาก อนุวัตรเสร็จจากช่วยภริยาเสียบโครงไก่ เครื่องในไก่ เนื้อหมูแล้ว หากพอมีเวลาว่างบ้างเขาก็จะแวะมาทำความรู้จักกับคนในท้องที่ ที่มานั่งดื่มสุราอยู่ก่อน และเกือบทุกครั้งที่เขามาร่วมแจม  จะนำเอากับแกล้มที่ภริยาเขาขายมาฝากคอสุราพร้อมนั่งดื่มด้วย

        “นี่อาจารย์ สอนที่สถาบัน  “พี่ด้วง แนะนำผมให้สมาชิกใหม่รู้จัก

        “สวัสดีครับ อาจารย์   “ อนุวัตร ทักทาย 

       แค่ได้พบครั้งแรก ผมก็เกิดความรู้สึกว่าชายคนนี้ ช่างเป็นคนมีมารยาท  สุภาพ  มีสัมมาคารวะ    

    .. เขาจะรู้เวลาว่า จะไปช่วยเก็บข้าวของช่วยภริยาในเวลาใด ปกติที่ตลาดบ้านห้วยยางนา  ผู้คนจะวายประมาณหนึ่งทุ่มในช่วงฤดูร้อนและฝน  ส่วนฤดูหนาว คนจะวายเร็วคือประมาณ หกโมงเศษๆ ระยะหลัง ย้อยขายของดีมากขึ้นตามลำดับ จากที่เธอเคยนำเอาไก่มาปิ้งขายช่วง 4 โมงเย็น ก็เลื่อนเวลามาปิ้งขายให้เร็วขี้นเป็นบ่ายสองโมง 

                                        *****************************************

      สามเดือนผ่านไป..จากที่ผมเคยเป็นลูกค้าก็มีสถานะเพิ่มขึ้นใหม่คือ กลายเป็นเพื่อนร่วมอาศัยในท้องถิ่นเดียวกัน  

      “ดีใจด้วยนะ ที่ทุกวันนี้...ไก่ย่างขายจนแทบไม่ทันเลย  “ ผมพูด กับสองสามีภริยา 

     “ขอบคุณค่ะ “ย้อยตอบ

     “วัตร ไม่หางานในเมืองทำล่ะ  เราก็มีฝีมือ ในทางศิลปะนี่” ผมพูด

     “เคยไปมาแล้ว คนงานเต็มหมดแล้ว “

      “แล้วนี่  เขามาจ้างให้วาดรูปเหมือนเหรอ  “

      “ครับ”

     “แล้วคิดราคา ยังไง “

      “เหมาจ่าย ครับ "

     “รูปนี้ 8 คูณ 10 นิ้ว ผมคิด สามร้อยบาทเอง “

     “ใช้เวลานานมั้ย  ในการวาดรูป  “

    “ไม่เกินสามวัน ครับ  บางทีสองวันก็เสร็จ ผมจะวาดช่วงค่ำๆ ยันจนยามดึก เพราะมีสมาธิในการทำงาน”อนุวัตร พูด

    “ใช้แท่งชาโคล วาดเหรอ  “ ผมถาม

     “ครับ มันให้แสง เงางามและ สวยด้วย”

      “ไม่ติดป้ายบอก แล้วใครจะรู้ล่ะว่า เราเป็นช่างศิลป์  “

      “ส่วนใหญ่ลูกค้าเก่า จะบอกกันปากต่อปาก ครับ “

                             *******************************************

         ผมสนิทกับสามี- ภริยาคู่นี้ เสมือนญาติทั้งสองคน มีความขยัน อดทน รู้จักกาลเทศะ และให้เกียรติผมอย่างมาก ผมจึงอยากสนับสนุนให้อนุวัตรและภริยาได้ขยับขยายกิจการ แต่ทั้งคู่ประสบปัญหาการเงิน

       “ผมขอยืมอาจารย์ สักสามพันบาทก่อนอาจารย์จะคิด ดอกเบี้ยอย่างไร “ อนุวัตร พูด 

       “ไว้ปลายเดือน ผมจะไปกู้สหกรณ์มาให้เป็นทุนให้ ไม่คิดดอกหรอก มีข้อแม้ว่า ..สัญญาคือสัญญา กำหนดวันส่งคือต้องส่งเพราะเผื่อผมจำเป็นต้องใช้เงิน  “

      “ได้ครับ  ผมสัญญา  “

      เมือ่ถึงปลายเดือน ผมได้ไปรับเงินกู้ฉุกเฉินจากสหกรณ์มาห้าพัน  แล้วเจียดให้อนุวัตรกับย้อยไปเป็นทุนขยายกิจการ อนุวัตรได้ไปตลาดในเมือง ซื้ออุปกรณ์เตาปิ้งและถาดอลูเนียมมาเพิ่ม เขารับ ไส้กรอกอิสานมาปิ้งขายเพิ่มอีกอย่าง  จากที่ครอบครัวนี้อยู่อย่างฝืดเคือง ก็ได้อยู่ดีกินดีมากขึ้นตามลำดับ อนุวัตรชวนผมเข้าไปในห้องเช่าของเข และซื้อยาดองมานั่งดื่ม  ย้อย.เห็นผมกับอนุวัตรสนิทกันเธอรู้สึกยินดี  หลายครั้งๆ ที่อนุวัตรดื่มเหล้าจนเกินลิมิต  จนไม่สามารถจะช่วยขนข้าวของเข้าบ้านได้

      “ไอ้เนี่ย่ะ สันดานไม่ดี  กินเหล้าแล้วชอบติดลม  งานการไม่ค่อยจะช่วย   “ย้อยด่าสามี

        เธอโมโหจนหลุด.ปาก    ครั้นเมื่อได้สติแล้ว. จึงนิ่งเงียบลง

     “ วัตร หยุดกินได้แล้ว  มาช่วยชั้น.. เก็บข้าวของหน่อย “ย้อยพูด สีหน้าของเธอยังกับข้าวบูด 

     “วัตร  ไปช่วยเมียเก็บข้าวของก่อน ไป.. วันนี้ผมขอตัวกลับก่อนละ เดี๋ยวโดนลูกหลง “  ผมพูด พร้อมขอตัวกลับ

      จริงๆแล้วย้อย ไม่ได้รังเกียจ ที่จะให้ผมนั่งในบ้านของเธอ  ดีเสียอีกที่มีคนในเครื่องแบบ ได้สนิทสนมใกล้ชิดกับครอบครัวของเธอ

      “หนูไม่ได้ไล่ อาจารย์นะคะ   ผัวหนู มันอย่างนี้ทุกที  ตอนอยู่กรุงเทพ หนูต้องนั่งรอมันตั้งแต่ทุ่มนึงยันตีหนึ่ง  “ ย้อยพูด

     สามีภริยา..คู่นี้ มันช่างแตกต่างกันมากราวฟ้ากับเหวผู้ชายก็ดูหน้าตาดี แต่ฝ่ายหญิงดูออกขี้เหร่ หากตอนที่อนุวัตร ไม่ดื่ม ดูเป็นคนที่ ช่างเอาอกเอาใจภริยาอย่างมาก ทั้งคู่จะหวานต่อกัน เสมือนคนเพิ่งจีบกันใหม่ๆ 

                                       *******************************

        ผมไม่ได้ซีเรียสกับการให้เงินครอบครัวนี้ยืมเลยสักนิด  แม่ค้าแถวนี้หลายราย ผมเคยออกทุนให้เขาทำมาหากิน  เพราะเห็นว่าเป็นการส่งเสริมอาชีพและให้เขามีมั่นคงในครอบครัว  กิจการของย้อยดีวันดีคืน   เวลาผ่านไป 5 ปี วัตร..ได้รับงานศิลป์มากขึ้นนอกจากการวาดรูปเหมือนแล้ว ผมยังออกทุนให้เขาเปิดบริการรับทำป้ายโฆษณา รับออกแบบงานต่างๆ  จัดแต่งดอกไม้ แกะน้ำแข็งในงานมงคลสมรสและงานขึ้นบ้านใหม่ 

      “เรามาเข้าหุ้นกันดีมั้ย..ผมออกเงิน วัตรออกแรง เมื่อรับงานแล้วหลังเสร็จงาน เรามาแบ่งคนละครึ่ง“ ผมพูด

      “ครับ.. งั้นก็ได้  “

      งานรับทำป้ายโฆษณา และงานทำป้ายแผ่นโฟม งานตกแต่ง ในงานมงคลสมรสมีมาเรื่อยๆ   ผมเคยดึงอนุวัตรไปช่วยแบบฟรีๆเป็นเพราะผมมองการณ์ใกล ที่อยากจะให้แขกผู้มาในงานได้เห็นฝีมือการทำงานของพวกเราก่อน  การที่ผมทำงานมวลชนจึงทำให้ผมกว้างขวาง งานบางอย่าง เราจึงไม่ได้แสวงหาผลกำไร 

      “ผมรับงานมา งานบางงาน เราจะไม่หวังเอากำไรนะ  เราต้องคุยกันให้เข้าใจก่อน ถือเป็นการช่วยเหลือสังคมและช่วยเหลือราชการ “ ผมพูด  ขณะนั่งดื่มกับอนุวัตร ที่บ้านเช่าของเขา

      “ครับ  ยังไงก็ได้ แล้วแต่อาจารย์  ผมมีหน้าที่ปฎิบัติตาม  “

      “ไม่หรอก ช่วยๆกัน  “ ผมพูด

      จริงๆ แล้ว ผมมีพื้นฐานงานศิลปะ ไม่ได้ด้อยกว่าอนุวัตรเพราะพี่ชายผมเรียนจบจากศิลปากร   ผู้คนเริ่มรู้จักเรามากขึ้นผมรับงานมาและบางครั้งอนุวัตรรับงานที่หน้าร้านขายไก่ย่างของเขา เราก็จะมาหารือและกำหนดราคา 

      “ ไม่ต้องเอากำไรมากหรอก แค่พออยู่ได้” ผมพูด

      งานเสร็จแล้วเมื่อได้รับเงินมาจากลูกค้า อนุวัตรจะเอามาให้ผม ในฐานะผู้ออกทุน  ผมจะให้เขาในอัตราอย่างน้อย50 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย บ่อยๆครั้ง ผมให้เขารับเงินเต็มอัตราเพื่อเป็นสร้างกำลังใจให้เขา  

                                          *********************** 

      ผมพาอนุวัตรไปจัดสวน ไปตกแต่งสถานที่ ตามที่ต่างๆทั้งในส่วนราชการและตามหมู่บ้านต่างๆ จนตัวเขา. ได้รู้จักกับคนทั่วไป กิจการร้านไก่ปิ้งของย้อยดีวันดีคืนจากแรกๆที่ขาดทุน มาวันนี้เฉลี่ยกำไรได้ วันละ3- 400 บาท  ย้อยเริ่มแต่งตัวดูสะอาดขึ้น ซึ่งก็เป็นเสน่ห์ให้ลูกค้ามาอุดหนุนมากขึ้น  จริงๆ แล้วฝีมือของย้อยในการหมักไก่ทำได้อร่อยมาก และราคาไม่แพง หากเทียบเคียงกับเจ้าอื่นๆ  

     หลายครั้งที่ผมเข้าไปในเมืองและไม่อยากจะเรียกให้แม่บ้านลุกมาเปิดประตูให้  ผมก็ขออาศัยห้องของอนุวัตร นอนพักค้าง     หลังๆที่อนุวัตรรับงานมาทำ มักจะผิดนัดและงานขาดความประณีตกว่าแต่ก่อน เขาเริ่มคุ้นเคยกับคอสุราในหมู่บ้านมากขึ้น งานการที่เคยรับผิดชอบก็ปล่อยปละละเลย ไม่เหมือนดังแต่ก่อน

     “จบงานนี้ เลิกเถอะวัตร เสียชื่อผมหมด   ” ผมพูด

     “ก็ได้ครับ แล้วแต่อาจารย์ ”อนุวัตร พูดออกแนวหยิ่งยโส

      ฐานะของครอบครัวของอนุวัตร กับย้อยดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อน เป็นจังหวะที่เจ้าของสถานที่คือผู้ให้เช่า ได้โอกาส น้ำขึ้นให้รีบตัก

     “ลุงจะขอขึ้นค่าเช่าอีก100 บาทนะ ”เจ้าของห้องเช่าบอกกับครอบครับของอนุวัตร

    “โอ้โห ลุง หนูเพิ่งจะลืมตาอ้าปากได้ ลุงก็ฉวยโอกาสเลย  ”

     “จะอยู่มั้ย  มีคนเขามาจองห้องแล้วด้วย "เจ้าของห้องเช่าพูด

      “ก็ได้อยู่ก็อยู่  ”  ย้อย พูด

                               ครอบครัวนี้…ทนอยู่ไปอีกสักระยะ

     อนุวัตรรับไม่ได้กับการเอารัดเอาเปรียบ เขาจึงไปในเมืองเพื่อหาทำเลที่ใหม่   เป็นจังหวะที่แม่ค้าคนเดิมที่เคยขายของบริเวณนี้ ย้ายไปขายของที่กรุงเทพ  อนุวัตรจึงได้เซ้งต่อ  สามเดือนต่อมา ..เขาจึงบอกเลิกสัญญากับเจ้าของบ้านและย้ายไปอยู่ในเมือง  ผมกับครอบครัวไม่พบกันอีกเลย

                              *******************************************

    8 ปีต่อมา ผมพบกับอนุวัตร อีกครั้ง ในงานขึ้นบ้านใหม่ของหมู่บ้าน เรามีโอกาสได้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน 

     “ทราบว่า มีลูกชายสองคน  ”

     “ครับ   ”

     “อาจารย์ สบายดี นะ ”

     “สบายดี  ครับ  ”

     ช่วงแรกๆของการสนทนาผมยังมองดูว่า  อนุวัตรยังเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายแต่พอผ่านไปได้สักพัก  ผมเริ่มเห็นกิริยาอาการ  คำพูดคำจา ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยให้เกียรติกันกลับพูดจายกตนเองและอวดตัว   

     “ เดี๋ยวนี้ ไอ้วัตร มีรถเก๋งส่วนตัวแล้วนะครับ ไม่ใช่ไอ้วัตรคนเก่า ลูกชายของผมตอนนี้เขาสอบติดคณะแพทย์ด้วย  ”อนุวัตร พูด    ชาวบ้านที่รู้จักกับเขาต่างร่วมแสดงความยินดี รวมทั้งผมด้วย 

      เวลาผ่านไป .ซึ่งผมไม่เคยเจอครอบครัวนี้มาเลย จึงคาดเดาไม่ถูกว่าจะมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปได้อย่างไรบ้าง หลังจากงานขึ้นบ้านใหม่ไปแล้ว   วัตร.. มักจะขับรถเก๋งมาดื่มสุราที่อู่ซ่อมรถซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขา   

       “อาจารย์ เชิญแวะสักหน่อยครับ ” เจ้าของอู่รถ เรียกขานผม

      “ตามสบายครับ  ผมติดธุระครับ”   ผมพูด

      “ไอ้วัตร  ก็อยู่ครับอาจารย์ ”

      เจ้าของอู่ คงเคยเห็นว่าในอดีตผมกับอนุวัตร เคยร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ในการทำธุรกิจงานศิลป์ร่วมกัน  เคยคลุกคลีตีโมงด้วยกัน  แต่เขาไม่ทราบถึงพฤติกรรมที่อนุวัตรแข็งข้อและยโสกับผมหลายครั้งในระยะหลัง

      “โอกาสหน้าครับ  ” ผมพูดกลับไปอีกครั้ง แล้วเดินจากไป

                                     ****************************

     ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของตลาด ถิ่นที่ย้อยเคยลำบากลำบนมาก่อน  ผมได้ยินเสียงแว๊ดแหวๆ ที่คุ้นๆกำลังคุยกับแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวอย่างสนุกสนาน จึงเงยหน้าขึ้นมามอง  

     “ใช่เลย..ย้อย  โอโห  วันนี้ย้อย..เป็นคนละคนกับที่ผมเคยรู้จักมาก่อน” ผมคิดในใจ

      ผมนิ่ง.เพื่อจะลองทดสอบ คนที่ผมเคยมีอุปการะและเคยช่วยเหลือออกทุนทำมาหากินในอดีตจนตั้งตัวได้ จะทักทายบ้าง

    เงียบสนิท   ไม่มีคำทักทายสักแอะ เธอยืนคุยกว่าชั่วโมง ขณะที่ผมยังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์

      “ย้อย นั่นอาจารย์..ขลุ่ย จำอาจารย์ไม่ได้เหรอ  ” แม่ค้าก่๋วยเตี๋ยวพูด เตือนสติ 

      เธอนิ่งเงียบ…ทำเสมือนคนไม่รู้จักกันมาก่อน นี่ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว ที่ผมเจอย้อยกับอนุวัตร…หลายๆครั้งที่ผมพบคู่ผัวตัวเมียคู่นี้ ที่ตลาดคลองถมในเมือง  สายตาปะทะกันอย่างจะแจ้งอยู่หลายครั้ง เขากลับนิ่งเฉย…จนผมต้องเดินหลบไปเองเสีย.

    คิดๆไปก็รู้สึกเสียใจ ที่ในอดีตเราไม่น่าจะชุบเลี้ยงงูพิษ คู่นี้เลย

             ไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์  ได้ดิบได้ดีแล้ว..นี่   ขอจงจำเริญๆ เถิดพ่อคุณ แม่คุณ

                                               ขลุ่ย    บ้านข่อย 

                                                (๒๔-๙-๖๖)

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×