หมีหรือผี - หมีหรือผี นิยาย หมีหรือผี : Dek-D.com - Writer

    หมีหรือผี

    ในอดีตที่เมืองอรัญฯ มีป่าอุดมสมบูรณ์ คนยากจนต้องมาประกอบอาชีพลักลอบขนส่งสินค้าหนีภาษีส่งนายทุนประเทเำื่อนบ้าน พวกเขาต้องเจอตำรวจ ผี และหมี อะไรที่พวกเขากลัวที่สุด

    ผู้เข้าชมรวม

    52

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    52

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ก.ย. 66 / 12:38 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

     

                                                       หมี หรือ ผี      

        ช่วงหน้าฝนต่อเนื่องสู่หน้าหนาว ย้อนรอยไปในอดีตที่สองประเทศคือราชอาณาจักรไทย กัมพูชา  เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกัน แต่ เพิ่งมาเกิดปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรงก็ต่อเมื่อประเทศกัมพูชา ได้ฟ้องว่าประเทศไทยได้ละเมิดชายแดนด้านเขาพระวิหาร จนศาลระหว่างประเทศตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีประเทศไทย ทำให้รัฐบาลสองประเทศ มึนตึงและลดระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงต้องปิดเขตแดนกันอย่างถาวรเรื่อยมา    

       รูปแบบการดำรงชีวิตของประชาชนที่คล้ายคลึงกัน ตามแนวชายแดนอรัญประเทศและอำเภอปอยเปต  จังหวัดบันเตยเมียนจัยจึงมีความสัมพันธ์กันในระดับประชาชนกับประชาชน โดยมีการทำมาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าตลอดเวลา   โกดังหรือคลังสินค้าหลักของประเทศไทย เพื่อรอคอยการรับซื้อและส่งไปยังกัมพูชามีสองจุด คือโรงเกลือ  และบ้านป่าไผ่ในอดีตขึ้นกับตำบลอรัญประเทศแต่ปัจจุบันคือตำบลคลองลึก 

      ในอดีต..สมัยที่ผมยังเป็นเด็ก เกลือ.. ถือเป็นสินค้าของไทยที่ประเทศกัมพูชามีความต้องการมากที่สุด รองลงมาได้แก่สินค้าประเภท เสื้อผ้า บุหรี่  ถ่านไฟฉาย กระเทียม หอม  น้ำตาลทราย  เป็นที่รู้ๆ กันว่าในประเทศกัมพูชา มีโตนเลสาบหรือทะเลสาบ อันเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่บริเวณตรงกลางของประเทศกัมพูชา มีพื้นที่ประมาณ 7,500  ตารางกม. หรือใหญ่กว่ากรุงเทพฯ ประมาณ 7 เท่า     จึงมีชาวกัมพูชาเป็นจำนวนมากที่ประกอบอาชีพประมงในบริเวณทะเลสาบแห่งนี้  เกลือจึงเป็นสินค้าที่สำคัญและจำเป็น เพื่อการมาหมักเป็นปลาร้า  ปลาเค็มและอื่นๆ     

     หลังจากที่ นายพลลอนนอลได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลเดิมแล้วได้ทำการเปลี่ยนชื่อประเทศจากราชอาณาจักรกัมพูชาเป็น "สาธารณรัฐเขมร” ประเทศไทยกับกัมพูชาจึงได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์กันใหม่อีกครั้ง  ช่วงนี้  ผมจึงมีโอกาสเข้าออกเมืองปอยเปตกับไอ้เล็กลูกป้าเช็ง  เฉลี่ยเดือนละอย่างน้อยสองครั้ง  การเข้าออกระหว่างประเทศทำได้ง่ายๆ คือไปที่ ต.ม (ตรวจคนเข้าเมือง) ให้ออกใบอนุญาตไปกลับในวันเดียวกัน ย้อนกลับไปในช่วง เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนที่ไทย-กัมพูชาปิดชายแดน  คนไทยกับคนกัมพูชาก็ยังสามารถเข้าไปมาหาสู่กันได้ตรงแนวชายแดนโรงเกลือ และฝั่งตรงกันข้ามด้านป่าไผ่  ภายในประเทศกัมพูชาและฝั่งไทยจะมีการสร้างเพิงพักไว้นั่งหรือนอนพักผ่อน โดยมุงหญ้าคาไว้กันแดดกันฝน คนไทยข้ามไป คนกัมพูชาก็ข้ามมา ตำรวจ-ทหารทั้งสองฝั่ง พูดคุยกันเสมือนญาติพี่น้อง หรือเสมือนเพื่อน  แม้จะต่างภาษา ต่างวัฒนธรรมแต่คนชายแดนของทั้งสองประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่พูดได้สองภาษา หากมองเข้าไปตามแนวชายแดนฝั่งกัมพูชา จะเห็นต้นไม้ฝั่งโน้น ออกจะทึบและหนาแน่นกว่าฝั่งประเทศไทย  ดังที่บอกไว้ว่าประเทศกัมพูชามีความต้องการสินค้าจากประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เมื่อรัฐบาลสมัยจอมพลสฤษดิ์และรัฐบาล จอมพลถนอม  ตัดสัมพันธ์ ทางการทูตกับเพื่อนบ้าน การค้าขายระหว่างประเทศจึงต้องสะดุดลง  ประชาชนตามแนวชายแดนจึงมีนายทุนมาเป็นผู้ค้าแทนรัฐเสียเอง แน่นอนว่านายทุนที่มีฐานะการเงิน คงไม่สามารถจะลำเลียง สินค้า หนีภาษีได้ด้วยตนเอง เขาจึงต้องจ้างกองทัพมดที่เป็นคนยากจนมาทำงาน  กองทัพมด .. ที่เป็นลูกจ้างจึงมีหน้าที่ลำเลียงสินค้าจากชายแดนไทย ข้ามเข้าฝั่งกัมพูชา เส้นทางในอดีตที่กองทัพมด ใช้ลำเลียงสินค้าคือถนนเส้นวังปลาตอง ไปทะลุป่าช้า .จากตัวเมืองอรัญประเทศ ถึงกิโลห้า ระยะทางประมาณห้ากิโลเมตร แม้ปัจจุบัน จะมีการสร้างถนนที่ใหญ่ แต่บางช่วง บางตอน ก็ยังมีความเปลี่ยวและน่ากลัวอยู่บ้าง 

      ในอดีตบริเวณป่าช้ากิโลห้ คือแหล่งที่ฝังศพของคนจีนในเมืองอรัญ และยังเป็นที่ฝังศพของคนตายที่ไร้ญาติ  ณ. จุดนี้หลายๆ แห่งคือที่พักสินค้า ก่อนที่จะลำเลียงเข้าสู่มือนายทุนใหญ่จากกัมพูชา คนไทยที่อยู่ในเมืองอรัญกว่า 10% ที่ไม่มีอาชีพ ส่วนหนึ่งก็จะมารับจ้างขนถ่ายสินค้าหนีภาษี  ผู้ชายจะใช้จักรยานขนสินค้าใส่กระบะท้าย ผู้หญิงจะนำสินค้าสะพายไว้ข้างหลังค่อยๆเดินไปตามเส้นทางวังปลาตอง  อีกเส้นทางหนึ่งคือออกตรงบริเวณนิคมญวนเข้าสะพานตรงบ้านโคกค่อยๆเลาะออกตามป่าตามเส้นทางรถไฟเข้าสู่โรงเกลือ การหนีภาษีสินค้าถือเป็นสิ่งกฎหมายหากตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ศุลกากร จับได้ก็จะต้องถูกยึดสินค้าและยังถูกปรับอีกต่างหากกองทัพมดจึงต้องมีการวางแผน มียุทธวิธีที่จะหลบเลี่ยงการจับกุมของตำรวจ 

                                 *********************************************

    ชื่ออำเภออรัญประเทศ มีความหมายว่า ประเทศที่มีอุดมสมบูรณ์ของป่า อรัญแปลว่าป่า   บริเวณใกล้ชายแดน ในอดีตเมื่อเจ็ดสิบกว่าปีก่อนเป็นป่าชุกชุมมีสัตว์ป่าตั้งแต่งูมีพิษ หมูป่า เก้ง กวาง หมี ชะมด และเสือ ตรงป่าช้ากิโลห้านับเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การหลบตำรวจที่สุด จุดนี้หากตำรวจมาคนเดียวหรือมากันไม่มาก โอกาสถูกผีหลอก หรืออาจถูกกองทัพมดตะลุมบอนถึงหัวร้างข้างแตกก็เคยเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็รู้ๆกันอยู่ว่ารายได้กองทัพมด ต้องหดหาย เพราะส่วนหนึ่งถูก แบ่งออกไปเป็นค่าชากาแฟ บุหรี่ให้กับตำรวจ  ตรงนี้คือความแค้นที่พวกเขาฝังใจ  หากมีจังหวะก็ได้แก้แค้นเอาคืนบ้าง              หน้าฝนของคืนวันหนึ่งเมื่อกองทัพมด ได้ลำเลียงของหนีภาษีจากในตัวเมืองอรัญเข้ามาทางสะพานขาวและป่าช้ากิโลห้า ขณะที่กองทัพมดกำลังรอเวลาที่จะขนถ่ายสินค้าในเวลายามดึกคือตั้งแต่สองยามจนถึงเวลาสี่นาฬิกา เพื่อข้ามไปฝั่งกัมพูชา ช่วงหน้าฝนน้ำจะเอ่อสูงจนล้นริมคลอง  ฝนคืนนี้ตกค่อนข้างรุนแรงกว่าทุกคืน บางคนที่มีที่กำบังก็เข้าไปหลบ นอนพักผ่อนเอาแรง  บางคนบางกลุ่มอยู่เวรพัก ก็นั่งกินเหล้าล้อมวง ในเต็นท์ที่คลุมจากพลาสติค  ตะเกียงเจ้าพายุที่จุดเพื่อให้แสงสว่างยังพอให้ความสว่างได้  ป้าเช็งซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม ซึ่งไม่ได้กินเหล้าแต่เป็นคนสูบบุหรี่ค่อนข้างจัด  ได้มองไปตรงป่าไผ่ระยะประมาณไม่เกิน 10 เมตร เห็นเงาตะคุ่มๆเดินเป็นแถวอย่างมีระเบียบ ลักษณะคล้ายคนถือร่ม  

       “ สงสัยคงเป็นพวกเดียวกัน  คงน่าจะไปหาที่หลับนอนพักผ่อนแถวๆ นั้น  ”  ป้าเช็งนึก

         สำหรับกลุ่มผู้ชาย กินเหล้าไปก็คุยเรื่องสนุกสนานฮาเฮ ไปตามประสา  ป้าเช็งเห็นภาพตะคุ่มๆ  ชั่วประเดี๋ยวเดียวมิได้สงสัยหรือชะล่าใจกับสิ่งที่เห็น  ที่ป่าช้ากิโลห้า ตำรวจที่ได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่จับกุมกองทัพมด บริเวณ นี้มักเข็ดขยาดเพราะเจอทั้งผีจริงและผีปลอมหลอกเสมอขนาดผมเข้าไปขุดกระดูก ช่วงงานล้างป่าช้า กลางวันแสกๆ  ที่มีคนเป็นร้อยๆ ผมก็ยังวังเวง หวิวๆ ยังไงชอบกล แล้วนี่.. ตำรวจทั้งโรงพักมีแค่สิบกว่าคนเองการออกไปปฎิบัติหน้าที่จับกุมของหนีภาษี ส่วนใหญ่จะมีก็เพียง 2 –3 คน  จะไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็ให้มันรู้ไป ใครๆ ที่เข้ามาป่าช้ากิโลห้า ไม่เคยผิดหวังที่จะต้องถูกผีหลอก ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือใครๆลองเข้ามาป่าช้ากิโลห้าเป็นต้องเจอดี เสียทุกราย    

       ป้าเช็ง ..ได้มองเห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายคนเดินตะคุ่มๆ แว็บไปแว็บมาในป่าไผ่ ก็ให้นึกไปว่า ถ้าจะเป็นผีมาหลอกตน แน่ๆ กองทัพมด มักจะเจอผีมาเย้า มาหลอกในลักษณะต่างๆมากมาย  บางครั้ง…ขณะที่พวกเขานั่งกินข้าว ก็จะมีเหมือนมีคนมาเอากับข้าวและกับข้าวไปซ่อน จนคนในวงข้าว ต้องโทษว่าเพื่อนบางคนกลั่นแกล้ง ถึงกับบางครั้งก็นึกเคืองกันเองเลยก็มี  บางครั้งมีเสียงเดินดัง แกรกๆ  พอถามไถ่ชื่อเสียงเรียงนามก็นิ่งเงียบเฉยๆเสียอย่างนั้น  บางทีก็ได้ยินเสียง ผู้หญิงกำลังอาบน้ำให้เด็กตัวเล็กๆ  ภาพที่เห็นมักเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงสองยามขึ้นไป ใครเห็นอะไร/?? อย่างไร ก็มักจะบอกเล่าให้กันฟัง แต่ด้วยความจำเป็นต้องเลี้ยงชีพ  แม้จะกลัว..ก็ต้องทำ

            ป้าเช็ง .เป็นคนไม่กลัวผี เพราะแกคุ้นเคยกับการอยู่ป่าช้า มาตั้งแต่ยังสาวๆ การที่เห็นเงาตะคุ่มๆ คล้ายคนกางร่ม ก็ให้นึกว่าผีเด็กๆ คงนึกสนุกอยากจะเล่นน้ำฝนที่กำลังตก จึงไปเด็ดเอากิ่งไม้ที่ใบหนาแน่น มากางเป็นร่ม  แกเห็นภาพอย่างนั้นก็ให้นึกเป็นสุขไปกับผีเด็ก  สักชั่วโมง. ต่อมา เมื่อฝนหยุดกองทัพมดที่เป็นผู้ชายที่ก่อนหน้า นั่งในเต็นท์ก็ออกมาก่อกองไฟที่ด้านนอกใต้ต้นไม้ใหญ่   พวกเขานั่งปิ้งย่างของกินร้อนๆ อาทิ ขนมปังของฝรั่งเศส นก หนู ไก่ป่า งู ก็มาปิ้งแบ่งกินกัน กำลังเพลินๆกับการปิ้งย่างของกินก็มีลูกหมีหมาตัวหนึ่ง คงท่าจะนึกสนุกอย่างไรก็ไม่ทราบเดินอาดๆ มาสะกิดหนึ่งในสมาชิกที่นั่งล้อมรอบกองไฟ ที่ด้านหลังของเขา  

     “แคว่กๆๆ "ปลายเล็บของมันสะกิดมายังบริเวณหลัง ของหนึ่งในกลุ่มที่นั่ง       

     “เฮ้ย มึง.. สะ กิด ทำไมวะไอ้ห่า จะต่อบุหรี่เหรอ เดี๋ยวกูส่ง ก้อนถ่านให้” คนหนึ่งในกลุ่มพูด

     มืออันนุ่มของลูกหมีหมา ที่กำลังอยู่ในวัยซุกซนที่ไม่สามารถรับรู้การสื่อสารภาษาคน ก็ยังสนุกกับมนุษย์  ครั้นเมื่อหนึ่งในคนที่ถูกสะกิดได้หันหน้ามา เพื่อจะเอาไฟที่เป็นเศษกิ่งไม้ให้คนขอต่อบุหรี่ ก็ต้องผงะ   

     “ เฮ้ย… ผีหลอก ”  เขารีบลุกขึ้น พร้อมกระโจนวิ่งออกจากที่นั่งทันที  

       จากความมืด.ที่มองเห็นไม่ค่อยจะชัดนักเนื่องจากหมี มีตัวสีดำ เห็นเพียงช่วงหน้าอกขาวๆ บ้างเล็กน้อย  ทุกคนหันไปตามเสียงและมองไปยังร่างตะคุ่มๆและ ทำท่าจะเตรียมเผ่นบ้างแต่พอมองดูอย่างรอบคอบจึงบอกเพื่อน ว่า

      “ เฮ้ย.ไม่ใช่ผี. แต่มันเป็นลูกหมี โว้ย .   “  

       คนที่ถูกสะกิดหลังเมื่อครู่  จึงหันมามอง อย่างพิจารณาอีกครั้ง 

      “เออ .ใช่ด้วยสิ  ลูกหมีหมาหลายตัวเสียด้วยสงสัยมันคง อาศัยอยู่แถวๆ นี้  “

       เมื่อป้าเช็งได้ยิน คนที่นั่งล้อมวงเฉลยว่า ไอ้เงาดำๆที่เดินตะคุ่มๆสักครู่ คือหมีหมาแกจึงร้อง อ๋อ   ..

       หลายครั้งที่ผ่านมา ป้าเช็งแกก็เคยถูกสะกิดแบบนี้ ก็ยังเข้าใจว่ามีคนมาขอต่อบุหรี่ ทั้งแกก็ยังเอาบุหรี่ที่ถือในมือส่งไปให้คนที่มาสะกิด แต่ไม่มีใครยื่นมือมารับจนแกต้องหันมามองว่าทำไม ไม่มีใครยื่นมือมารับบุหรี่ไปต่อสักที  พอมองอีกครั้ง  ก็เพียงเห็นหลังไวๆเข้าไปที่พุ่มป่าไผ่เสียแล้ว     

                                       ***********************************

                 พ่อของผมจะใช้จักรยานบรรทุกสินค้า และจะมากันเป็นกลุ่ม ตั้งแต่สิบคันจักรยานขึ้นไป  บางครั้งโชคไม่ดีถูกตำรวจซุ่มดักเจอแจ็คพอต มาตัดตอนช่วงที่พ่อขี่จักรยานมาตรงนั้นพอดี  คันที่ถูกดักตรงนั้นก็จะถูกตัดขาดออกจากขบวน เมื่อถูกแยกออกจากแถว พ่อของผมเลยต้องจำใจขี่จักรยานหนีตำรวจมาแถวหลังฮวงซุ้ยผีไร้ญาติ  ฮวงซุ้ย ผีไม่มีญาติส่วนใหญ่ การฝังศพไม่มีพิธีรีตองมาก เพียงแต่ขุดดินลงไปใต้พื้นลึกสักหนึ่งเมตรก็ใช้ดินฝังกลบ  บางที- บางครั้งทั้งหมาบ้าน ทั้งหมาป่า ก็อาจจะขุดเอาศพออกมาแทะเนื้อกินบ่อยๆ      ส่วนใหญ่ความน่ากลัวระหว่าง ศพใหม่ กับศพเก่า จะแตกต่างกันมาก  ศพเก่าที่ฝังมักจะไม่ค่อยมีปัญหา  ดูเหมือนว่าตอนที่พ่อของผมไปหลบที่ฮวงซุ้ยนั้นเป็นศพ ที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิ เพิ่งนำเอาศพสาวใหญ่ซึ่งถูกฆ่าตายไปฝังก่อนหน้าไม่ถึงอาทิตย์        

             ระหว่างกลัวผีกับกลัวตำรวจ ณ. เวลานั้นใครๆก็กลัวถูกตำรวจจับ ผี..เผลอตอนนั้น เลิกคิดไปได้ ว่าไปแล้วตอนนั้น หากตำรวจอยู่ใกล้ๆ พ่อคงจะอุ่นใจกว่า ใจจริงแล้วพ่อของผมอยากจะให้ตำรวจเห็นและถูกจับไปเสียค่าปรับ น่าจะดีกว่า  เพราะจะได้มีเพื่อนอยู่ด้วยกัน หลายคน เมื่อตำรวจไปแล้ว  นี่สิ ..  น่าคิด   ความเงียบสงบและอยู่กับหลุมศพนานๆ กว่าครึ่งชั่วโมง  นี่หากใครไม่มีประสบการณ์ มีโอกาสช็อกหมดสติได้  พ่อของผมเริ่มได้กลิ่นคาวจากศพที่โชยมาจน ต้องเอามืออุดจมูก  มิทันไรพ่อก็เห็นเงาดำร่างท้วม คล้ายผู้หญิงนั่งพิงกับพนักเสาปูนบริเวณนั้น   

     “ใช่แน่ๆ”   พ่อผมคิด

     ดึกสงัดเช่นนี้  คงไม่มีสาวที่ไหนจะใจกล้ามานั่งคนเดียวกลางป่าช้า  รถจักรยานที่จอดพิงต้นไม้ เพื่อหลบตำรวจ จำต้องปล่อยทิ้งไว้แล้ว คิดได้แล้ว.. พ่อผมก็วิ่งออกมาตรงที่ตำรวจดักซุ่มอยู่ 

    “ผีหลอก  "

    ตำรวจที่ได้ยิน พ่อของผมร้องบอก ก็มิอาจอยู่นิ่ง หันไปมองยังจุดที่พ่อวิ่งออกมา พ่อสะดุดกับตอไม้และล้มลง 

    " ไหนๆๆๆ อยู่ตรงไหน “  หมู่เกียรติ สอบถาม 

     “โน่น  หลังฮวงซุ้ย ผีไม่มีญาติ "   ทั้งพ่อผม และตำรวจ  ต้องกลายมาเป็นพวกเดียวกันในบัดดล เขาช่วยประคองพ่อและช่วยปฐมพยาบาลให้ 

       ผีม่ายสาวที่ถูกฆาตกรรมรายนี้เมื่อในอดีตนี้ เป็นข่าวที่ดังมาก หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเคยลงข่าวว่าเธอถูกฆ่าตายในโรงแรมแห่งหนึ่ง กว่าจะรู้ว่าเป็นศพก็กินเวลาหลายวัน จนเมื่อมีกลิ่นเหม็นเล็ดลอดออกมานอกห้อง  แม่บ้านจึงไขประตูเข้าไปดู  โรงแรมแห่งนี้ จึงไม่ค่อยมีคนเข้าพักในชั้นที่ม่ายสาวเสียชีวิต เพราะแขกที่เข้ามาพักจะถูกรบกวนโดยที่ ผีม่ายสาวจะไปเคาะประตูเรียกแขกที่เข้าพัก จนเขาไม่สามารถหลับนอนได้เลย จากนั้นทางโรงแรมจึงนิมนต์พระทำพิธี อัญเชิญดวงวิญ ญาญ และนำศพเธอไปฝังที่ป่าช้ากิโลห้า พูดถึงความเฮี้ยนของวิญญาณของเธอ เป็นที่กล่าวขานกันในหมู่กองทัพมดว่า ใครๆที่เข้าไปหลบตำรวจตรงนี้เป็นต้องเจอสภาพเดียวกันกับที่พ่อผมเจอ คือเธอจะนั่งก้มหน้าเหมือนกับร้องไห้ หรือบางทีก็จะเดินไปมา ระหว่างฮวงซุ้ยแถวๆนั้น

        สำหรับป้าเช็งที่ผมบอกไว้ว่าเป็นคนไม่กลัวผี แต่พอได้ข่าวเรื่องผีแม่ม่ายรายนี้  ถึงกับบอกว่าไม่อยากเจอผี แต่อยากจะเจอหมีหมาแทนเสียดีกว่าเพราะหมีหมามันไม่ทำร้ายคน  

        และนี่คือเหตุการณ์ในอดีต ที่เกิดขึ้นมากว่าห้าสิบกว่าปีก่อน ในยุคที่เมืองอรัญ ยังเป็นป่า  จริงๆ ณ .วันนี้ หมีหมา คงเป็นตำนานบอกเล่าว่า มันเคยมีชุกชุมบริเวณป่าช้ากิโลห้า และป่าช้าแห่งนี้น่ากลัวมาก วันเวลาผ่านไป ป่าช้ากิโลห้าได้เปลี่ยนสภาพไปตามกาลเวลา ป่าไม้ที่เคยอุดมสมบูรณ์ถูกตัดเสียจนไม่มีสภาพป่าให้เห็น  

              วันนี้…ป้าเช็ง  ได้ไปนอนที่ฮวงซุ้ย ที่แกเคยเจอหมีตั้งแต่วัยสาว  ตำนานเรื่องหมีหมา..ที่ใครๆ ไม่รู้ก็ได้ถูกเปิดเผยขึ้น … 

                                                            ขลุ่ย   บ้านข่อย

                                                              12-9-66

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×