ไม่ได้แปลก..อะไร - ไม่ได้แปลก..อะไร นิยาย ไม่ได้แปลก..อะไร : Dek-D.com - Writer

    ไม่ได้แปลก..อะไร

    วันเวลาเปลี่ยนไป สามเณรคนนั้น มีตำแหน่งหน้าที่ .จนลืมนึกถึง อดีตเก่าๆ

    ผู้เข้าชมรวม

    122

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    122

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 มี.ค. 66 / 09:33 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                   ไม่ได้ ..แปลกอะไร

          ผมเห็น สามเณร ปณิธานตั้งแต่สมัยที่เขายังบวชเรียนที่วัดใกล้ๆ วิทยาลัยที่ผมสอน   สามเณรคนนี้ เป็นหลานชายแท้ๆของเจ้าอาวาส  แรกๆ ที่ผมมาทำงาน เวลาที่หมู่บ้านแห่งนี้จัดงานผ้าป่า งานกฐิน หรืองานบุญต่างๆ ผมมักจะไปร่วมงานเกือบทุกครั้งที่รับทราบและถูกเชิญให้ไปร่วมกิจกรรม ผมได้เคยประสานงานกับหน่วยราชการแห่งหนึ่งของจังหวัด ให้นำภาพยนตร์มาฉายให้ประชาชมฟรี ตั้งแต่หัวค่ำยันสว่างในงานนี้ด้วย 

       ขณะบวช ปณิธานได้เรียนหนังสือ (สายสามัญ ในวัดที่มีหลักสูตร เช่นเดียวกับทางฆราวาส ทุกประการ เมื่อเขาจบมัธยมตอนต้นแล้ว ก็ได้เข้าเรียนต่อสายวิชาชีพ เกษตรกรรม ที่จังหวัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือจนจบชั้นปวช.  จากนั้นเขาจึงได้มาสมัครสอบเรียนต่อระดับ ปวส.ในสถาน ศึกษาที่ผมสอน 

       เพียงปีแรกของนักศึกษารุ่นนี้ ที่ได้มาเรียนกับอาจารย์ ปวีณา ผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ และสถิติ นักศึกษาเกือบสามสิบคนก็ต้องตกอยู่ในภาวะความเครียดเพราะต้องติด F  ทั้งผลการเรียนไม่ถึง 2.00  ทุกคนเกรงจะไม่จบในเวลาสองปีตามที่หลักสูตรกำหนดไว้

      “เป็นไปดังคาดไว้  ทุกอย่างเลยว่ะ  นี่ขนาดกูทุ่มเท  อ่าน ติวกับคนเก่งๆ แล้ว  “ ปณิธานบ่นกับเพื่อนๆ 

     “ช่างมัน เดี๋ยวลงทะเบียนเรียนใหม่ก็ได้ “  วินัย พูด เขามองโลกในเชิงบวก

       สามปีที่ผมเริ่มรับราชการ ได้รับทราบข้อมูลจากนักศึกษาว่ามีอาจารย์ ที่โหดๆ  ในการตัดเกรด มีจำนวนห้าคน  คืออาจารย์ปวีณา  อ.มงคล  อ.โยธา    อ.ธงชัย   และ อ.จารุณี แม้การตัดเกรดเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล ผมมองว่าหากอาจารย์ผู้สอนไม่มีอคติกับนักศึกษา ผลการประเมินการเรียนออกมาในลักษณะใดๆนั้น ผมย่อมพอจะรับได้

       แต่นี่.รายชื่ออาจารย์ ที่นักศึกษาบอกให้ผมทราบ ทุกคนล้วนมีอคติกับนักศึกษาที่ไม่ชอบเป็นการส่วนตัว    ไม่มีเทอมใดเลย ที่นักศึกษาจะรอดจากการติด F 

         เทอมแรก ปณิธาน ต้องติด F ถึงสามวิชา ผลการเรียนของเขาได้เกรดเฉลี่ยเพียง1.5 จนถึงขั้นอยากจะลาออกไปเรียนที่แห่งใหม่ เมื่อเพื่อนๆ ขอร้องให้ลองเรียนต่ออีกหนึ่งเทอม เขาจึงได้มาเรียนกับวิชาที่ผมสอน  เมื่อเข้าชั้นสอนในวันแรก ผมได้สอบถามถึงผลการเรียน และเรื่องปัญหาการเรียนของนักศึกษา   ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเขามีปัญหาเรื่องการสอนที่สอนเร็วของอาจารย์เกือบทุกคน  “ 

        “ไม่ทราบว่าอาจารย์ จะรีบสอนไปไหน  พวกผมฟังตามไม่ทันเลย  พอมันไม่เข้าใจ ช่วงแรกๆแล้ว  พอหน่วยเรียนหลังที่ๆสอนสมทบมาอีก เลยไม่เข้าใจเป็นการใหญ่เลย  “  นักศึกษาส่วนใหญ่พูด เป็นไปในแนวทางเดียวกัน 

      ในห้องเรียนนี้ มี 30 กว่าคน ที่ได้เกรดต่ำมาก จนน่าจะทำให้ผู้เรียนเกิดความท้อแท้ ผมจึงอาสาเข้ามาช่วยแนะนำ เรื่องการเรียนให้กับอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเขาอีกแรงหนึ่ง 

      ”ยังไง พวกคุณต้องเรียนจบได้ อย่างแน่นอน   ขอให้ขยัน อดทนอีกนิด ขอพวกเราหลีกเลี่ยงที่จะมีปากมีเสียงกับอาจารย์ผู้สอน “  ผมบอกกับนักศึกษาที่สอนในชั้นเรียน

         เป็นเรื่องลำบากใจอย่างยิ่ง ในทุกๆครั้ง ที่ผมจะต้องส่งเกรดให้แผนกทะเบียน  เพราะมีอาจารย์ ที่ไม่ชอบผมเป็นการส่วนตัวคอยจ้องจับผิดการตัดเกรดของผม  ผมจึงต้องทำงานอย่างรัดกุมเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด   นศ.สามสิบกว่าคนที่ผมรับปากช่วยเหลือ  อย่างน้อยผมต้องให้เกรดเขาได้ B พวกเขาจึงจะมีสิทธิได้เรียนต่ออีกในเทอมต่อไป เมื่อผมได้รับปากแล้ว ผมก็ต้องทำแม้อาจต้องเสี่ยงกับการถูกตรวจสอบ 

        หลายๆครั้ง ที่ผมเป็นกรรมการคุมสอบของนักศึกษากลุ่มนี้   เมื่อแจกกระดาษคำถามไปแล้ว ผมได้ลองอ่านคำถาม ที่อาจารย์ผู้สอนออกข้อสอบ 

       “โอ้โห.. นี่มันออกข้อสอบ ระดับไหนวะเนี่ยะ   ขนาดเราเป็นอาจารย์ ยังทำข้อสอบแทบจะไม่ค่อยได้ แล้วนักศึกษาระดับ ปว.ส จะทำได้ไง " ผมหยิบขึ้นมาลองอ่าน  พร้อมรำพันกับตัวเอง

                         ************************************************************** 

     “สวัสดีครับอาจารย์  “ ปณิธาน ทักทาย 

      ปณิธานพร้อมกับเพื่อนอีกสามคน แวะมาหาผมที่บ้านพักในวิทยาลัย หลังจากผมรับไหว้แล้ว จึงเชิญพวกเขาเข้าไปนั่งคุยภายในบ้าน

     “เป็นไง..สงสัยคะแนนสอบ ถ้าจะไม่ดี มั๊ง.. เนี่ยะ”  ผมพูด

     “ครับ  “ ทั้งสี่คน ตอบเป็นเสียงเดียวกัน

      “อาจารย์ ก็เพิ่งตรวจข้อสอบพวกเราเสร็จ วันนี้นี่เอง คะแนนของพวกเราทำได้ไม่ค่อยดีเลย นี่ขนาดบอกแนวข้อสอบให้ตรงๆแล้ว  “  ผมพูด

     “คะแนนของพวกผมทั้งสี่คน ได้เท่าไหร่ครับ “  ปณิธานพูด

     “ไม่สู้จะดีนะ ถ้าตัดเกรดตามเนื้อผ้า คงได้แค่ C น่ะ ทางที่จะช่วยเหลือพวกเราทั้งสี่คนได้คือ ต้องไปทำรายงานเพิ่มเติม  “ ผมพูด

     “หากผมได้เกรด B  คงต้องถูกรีไทร์ แน่ๆ ครับอาจารย์ ..ผมขอเกรด  A  ไม่ได้ หรือครับ   “ ปณิธานพูด  สายตาวิงวอน

     “ขอพิจารณา ดูอีกครั้ง อาจารย์เห็นใจ เข้าใจความรู้สึกของปณิธาน เพราะเคยมีประสบการณ์ผ่านมาก่อน  “ ผมพูดในใจลึกๆคงไม่นิ่งดูดายที่จะต้องหาแนวทางช่วยเหลือเขาให้ได้ และผมก็ให้เขาได้ A เพื่อต่อลมหายใจของเขาอีกเหือก 

                                             **********************************************

      การเรียนต่อในปีสุดท้าย เทอมสุดท้าย ผ่านพ้นไป แต่ทั้งสี่คน คือ ปณิธาน  ปรีชา เมตตา และปราโมทย์ ไม่จบในเวลากำหนดเพราะยังติด F วิชาสถิติของอาจารย์ปวีณา อีกหนึ่งตัว จังหวะเดียวกันกับที่ วิทยาเขตในภาคอิสาน  แห่งหนึ่ง ได้เปิดสอนวิชาสถิติในช่วงภาคฤดูร้อนขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ทั้งสี่คนจะได้ไปเรียนและจะจบในปีการศึกษานั้นๆ ได้ทันเวลา  เกือบสองเดือน ที่ทั้งสี่คนได้ไปเรียนที่จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังสอบเสร็จและสอบผ่านแล้วทั้งสี่คนได้แวะมาหาผมที่บ้านพัก

     “เป็นไงบ้าง ไปเรียนที่วิทยาเขตแห่งนี้ “ ผมสอบถาม 

      “บรรยากาศ และสถานที่ของเขาดีมากเลยครับ  อาจารย์ผู้สอนก็เป็นกันเองกับลูกศิษย์  ต่างกับสถาบันของเราอย่างมากเลย ผมอยากให้อาจารย์ของเรา เป็นอย่างของวิทยาเขตกาฬสินธุ์ จังครับ ”ปราโมทย์ พูด

     “ผมคิดว่า มันคงไม่น่าเป็นไปได้หรอก  พวกเราเรียนจบกันได้ อาจารย์ก็ดีใจแล้วล่ะ    ยังไงก็ขอให้พวกเราประสบความสำเร็จในชีวิต และรุ่งเรืองก้าวหน้านะ   “  ผมพูด

      “ขอบคุณครับอาจารย์  “ ทั้งสี่คนพูด จากนั้นพวกเขาจึงได้ขอตัวกลับ

     หลังจากปณิธานเรียนจบแล้ว ช่วงเวลานั้น คนไทยส่วนใหญ่ นิยมไปทำงานในประเทศตะวันออกกลาง และ เขาได้ตัดสินใจไปทำงานที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย   ปณิธานได้ทำงานที่นี่สามปี  แม้รายได้ไม่มากนัก แต่เขาก็สามารถเก็บหอมรอมริบ ส่งมาให้ทางบ้านเดือนละเกือบสองหมื่นบาท เมื่อครบสัญญาการทำงาน  ปณิธานจึงบอกเลิกสัญญากับบริษัท และกลับประเทศไทย

                                            ***************************************

     “อาจารย์ครับๆ  อาจารย์อยู่มั้ยครับ   “ เสียงเรียกจากบุคคลที่ผมไม่ทราบว่าเป็นใคร ดังขึ้น 

     “ใครเหรอ “

     “ผมปณิธานครับ  “

      “เอ่. หายหน้าหายตาไปไหนมาเกือบสามปี  “

     “ผมไปทำงานฟาร์ม ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย มาครับ เพิ่งกลับมาได้สองวัน เองครับ   “

     “ที่นั่นเป็นไง “  ผมสอบถาม 

      “ ก็งั้นๆ แหละครับ อยู่ที่นั่น ก็ใช่จะมีความสุข เหมือนบ้านเรา  ผมซื้ออินทผาลัม มาฝากครับ  สักครู่เพื่อนผมจะมารับเข้าไปในเมือง อยากเชิญอาจารย์ เข้าไปในเมือง นั่งทานข้าวกันสักมื้อครับ “ปณิธานพูด

     “ขอบคุณมาก  ไว้โอกาสหน้าดีกว่านะ  “ ผมตอบ และปฎิเสธที่จะไปกับเขา

                   ********************************************************** 

      หลังจากปณิธานกลับมาเยือนบ้าน ได้สองเดือน...จากนั้น เขาจึงบินไปทำงานที่ไต้หวัน ซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับงานฟาร์ม ดังเช่นที่เคยทำที่ประเทศซาอุฯ รายได้ที่ไต้หวันค่อนข้างดี  ปณิธานทำงานอยู่ที่ประเทศนี้ถึง 10 ปี  และได้พบรักกับสาวชาวสิงค์โปร์ จนได้แต่งงานอยู่กินกันเป็นคู่ชีวิต ต่อมาทั้งคู่ได้บินกลับมาอยู่ที่ลำปางอย่างถาวร

      “อาจารย์ครับๆ  ทำอะไรอยู่หรือครับ “ปณิธาน เรียก พร้อมตั้งคำถาม  ขณะที่ผมนั่งชมข่าวทางโทรทัศน์  ครั้งนี้เขาชวนเพื่อนสนิทที่เคยบวชเรียนด้วยกันมาก่อนมาด้วย 

      “ไม่ได้ทำอะไรหรอกแค่นั่งดูข่าว “ผมตอบ

      “ผมเพิ่งบินกลับ จากไต้หวัน   วันนี้ผมซื้อเหล้า จากไต้หวันมาฝากครับ “ปณิธานเอ่ยปาก

       “ผมไม่สามารถรับได้นะ มิได้รังเกียจหรอก แต่รู้สึกละอายแก่ใจนะ  ผมไม่เคยรับสิ่งของใดๆกับใครๆ  แม้จะรู้ว่ามันคือความตั้งใจที่ปณิธานตั้งใจซื้อมาฝาก " 

      รับไว้เถอะครับ ของไม่ได้มีมูลค่า อะไรมากมาย  อาจารย์มีบุญคุณกับผมมากมาย หากไม่ได้อาจารย์ ผมคงไม่มีโอกาสเรียนจบและไม่สามารถได้งาน ได้การทำ แน่นอน “

      “ขอบคุณมาก อาจารย์รับไม่ได้จริงๆ  “

      “รับไว้เถอะครับอาจารย์  ไอ้ธานมันบอกกับผมว่า มันตั้งใจซื้อมาฝากจริงๆ   หากไม่รับไว้มันคงเสียใจอย่างแน่นอน ครับ “  เพื่อนของปณิธานที่มาด้วย พูด

      “งั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมขอเสนอว่า เหล้าที่ปณิธานซื้อมาฝาก  ให้เอากลับคืนไปก่อน  หากมีวาระโอกาสสำคัญๆก็นำเหล้านี้มานั่งดื่มด้วยกันจะดีกว่า ดีมั๊ย “ ผมเสนอความเห็นไป

     “ก็ได้ครับอาจารย์  “ ปณิธานพูด 

      จากนั้นคนทั้งสอง ได้นำสุรากลับ  และช่วงวันส่งท้ายปีเก่า เขาก็ได้มาเชิญ ผมไปร่วมสังสรรค์ที่บ้าน

      ปณิธานกับภริยาชาวสิงค์โปร์ ได้มาปลูกบ้าน และได้สร้างหอพักสองชั้นไว้รองรับนักศึกษาที่มาเช่าอาศัย ในพื้นที่ส่วนตัว 3 ไร่เศษ  เขาเริ่มจับงานด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็นนายหน้าค้าที่ดิน รับเหมาก่อสร้างบ้าน รับถามที่ดิน  จากเด็กชาวบ้านธรรมดาซื่อๆ  ไร้เดียงสา ที่ผ่านการบวชเณร   มาวันนี้เขาได้รับการยกย่องเป็นพ่อเลี้ยง ( ผู้มีฐานะดี)  ภริยาชาวสิงค์โปร์ ที่เคยทำงานที่ไต้หวัน มีรายได้เดือนละ 5 หมื่นบาทต้องสูญเสียรายได้

      ระยะแรกๆที่ปณิธาน ปลูกบ้านเสร็จใหม่ๆ เขามักจะมารับผมไปเยี่ยมบ้านของเขา  กรอปด้วยเวลานั้น ผมทำงานฝ่ายปกครองที่จะต้องดูแล นักศึกษาของสถาบันด้วย จึงถือโอกาสแวะเยี่ยมดูแลนักศึกษา ที่พักในหอพักของเขาและหอพักอื่นๆ 

       สองสามปีแรก....ท่าทีของปณิธาน ยังมีความใสซื่อ  ไร้เล่ห์ เพทุบาย  เพราะเขาผ่านการบวชเรียนมายาวนาน ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ

      และเมื่อวันหนึ่ง ที่ผมได้ไปเยี่ยมปณิธานที่บ้าน ....

      “อาจารย์ครับ  ผมคิดว่าเวลานี้ ผมพร้อมที่จะอาสาชาวบ้าน มาทำงานในการพัฒนาท้องถิ่นแล้ว 

      “เอาเลย เห็นด้วย ตอนนี้ปณิธานมีฐานะทางเศรษฐกิจดี และมีประสบการณ์การทำงานมาพอสมควร การเป็นสมาชิก อบต. คงไม่เหนือบ่ากว่าแรง หรอก มีหลวงพ่อสนับสนุน ต้องได้รับเลือกอย่างแน่นอน  “

      เมื่อทางองค์การบริหารส่วนตำบล มีการประกาศรับสมัครให้ชาวบ้านเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง หลังจากที่เขาสมัครแล้ว จึงได้เดินหาเสียง  ทั้งเขายังได้เข้ามาขอคะแนนเสียงจากคณาจารย์ และคนงานในวิทยาลัย  และเมื่อถึงวันเลือกตั้ง ผลจากการนับคะแนน เขาก็ได้รับความไว้วางใจได้เป็นสมาชิก อบต . สมัยแรกเขาได้ทำหน้าที่ เป็นตัวแทนที่ดี โดยทุ่มเทความรู้ ความสามารถ ใช้ทุนทรัพย์ช่วยเหลือชาวบ้านในหมู่บ้านอย่างดียิ่ง จนชาวบ้านรักใคร่ เมื่อครบวาระสมัยแรก เขาได้ลงสมัครเป็นสมาชิกในสมัยที่ 2 อีก และก็ได้รับความไว้วางใจเช่นเคย

      เมื่อมีประสบการณ์ในการทำงานการเมืองท้องถิ่นมากขึ้น กอรปกับฐานะของเขามั่น คงเหนือกว่าสมาชิก อบต .คนอื่นๆ  เมื่อมีการโหวตเลือกประธานสภาขึ้น เขาจึงได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งนี้

      นับแต่ ปณิธาน ได้ดำรงตำแหน่งประธานสภา  เวลามีงานภายนอกองค์กร เขาจะได้รับเกียรติเชิญไปร่วมงานในที่ต่างๆ ภายในตำบล ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ  โครงการอบรมวิชาชีพ  งานกีฬา  การที่ผมทำงานมวลชนและเป็นที่ปรึกษาให้กับทางอำเภอ  จึงมักจะถูกรับเชิญให้ไปร่วมงานด้วย  ผมมักจะพบปณิธาน มาร่วมงานด้วยทุกครั้ง  เรามักจะนั่งใกล้ชิด และพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง ท่าทีเขายังอ่อนน้อมถ่อมตนไม่เปลี่ยนแปลง 

      ช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานสภา เขาสามารถดึงงบประมาณเข้ามาพัฒนาหมู่บ้านได้มากกว่า สมาชิก อบต .คนอื่นๆ    โครงการก่อสร้างถนน การติดตั้งเสาไฟเพื่อให้แสงสว่าง ตามตรอกซอกซอย ในหมู่บ้าน มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน นับเป็นสิ่งที่ดีและช่วยเพิ่มความปลอดภัย เนื่องจากในหมู่บ้าน ส่วนใหญ่จะมีนักศึกษาพักตามหอพักต่างๆ 

                                     *****************************************

      ระยะหลัง ผมกับปณิธาน ไม่ค่อยได้พบกัน เพราะต่างคนต่างมีภาระหน้าที่การงาน  งานศพของชาวบ้านหลายงานที่เราพบกันในระยะหลัง ดูท่านประธานสภา มีท่าทีเปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อน  แม้เราจะพบกันซึ่งๆ หน้า  เขากลับทำมองไม่เห็น เพราะหลงมัวเมาไปหัวโขนของเขา ด้วยศักดิ์ศรีของตนเมื่อลุูกศิษย์เปลี่ยนไป ผมจึงนิ่งเฉย คิดว่าทางใครก็ทางเขา 

       “ อาจารย์ไม่ไปนั่งกับท่านประธานสภาหรือ ครับ “ชาวบ้านเอ่ยปาก

       “ไม่ไป หรอก ผมไม่ชอบเป็นจุดเด่น ปกติผมก็เป็นคนเรียบง่ายอยู่แล้ว นั่งกับชาวบ้านๆ ธรรมดา สบายใจดีออก ผมเป็นคนอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  “

       การที่ผมนั่งคุยกับชาวบ้านจึงได้รับรู้ข้อมูลหลายๆอย่าง ซึ่งชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าท่านประธานเปลี่ยนไปแล้ว

      “เดี๋ยวนี้ เขาเปลี่ยนไปมากเลยครับอาจารย์   แต่ก่อนเขาเป็นกันเองกับพวกผมและชาวบ้าน แต่พอมารับตำแหน่งประธานสภา หัวโขนที่สวมบนหัวเขา ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนเลย”ชาวบ้านพูด 

      “ใช่เลย  ผมเห็นด้วย นี่ขนาดผมเป็นอาจารย์ของเขา เขายังแกล้งเมิน ทำมองไม่เห็น นี่ไม่ใช่แค่งานแรก นะ ก่อนหน้า อีกหลายงานเขาก็เป็นแบบนี้ “ ผมพูดเสริม

     “ ผมมีเรื่องจะเล่าให้อาจารย์ฟัง คือเรื่องโครงการติดเสาไฟฟ้าในหมู่บ้าน  หลายจุดเป็นที่มืดมากๆ  เขากลับไม่ติดตั้ง แต่กลับมาติดตั้งแถวๆ บ้านพักและหอพักของเขาเอง มันแปลกดีนะครับ  " ชาวบ้านพูด

      “อ๋อ เห็นแล้ว ทราบแล้วล่ะ มีคนพูดจนหนาหู” ผมพูด

      ผมรู้สึกผิดหวังในตัวปณิธานอย่างมาก ความเหินห่าง ระหว่างผมกับเขาเริ่มมีมากขึ้นๆและล่าสุดการเลือกตั้ง สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลสมัยที่สาม ที่เขายอมลดบทบาทตัวเอง จากการทำงานในตำแหน่งประธานสภา  มาทำหน้าที่เป็นเพียงแค่รองนายก อบต.ฯ เขายอมที่จะจับมือกับอดีตประธานสภาคนก่อน  เพื่อฟอร์มทีมลงสมัครแข่งขันเลือกตั้ง แข่งกับอดีตนายกฯที่เคยสนิทแนบแน่น    และทีมของเขา ก็สามารถเอาชนะทีมอดีตนายก อบต .คนเก่าได้  ปณิธาน จึงได้เป็นรองนายก อบต. สมใจอยาก 

      วันนี้(ปัจจุบัน) .. ปณิธานไปไหน มาไหนมีลูกน้องห้อมล้อมอารักขามากมาย 

     ระยะหลังที่ผมพบกับเขาในสถาบัน ฯ เพราะเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการสมาคมศิษย์เก่า  ดูเหมือนท่านรองนายกฯ จะไม่รู้จักกับอาจารย์ที่เคยช่วยเหลือเขา ครั้งสมัยเรียนแล้ว   ท่าทีเขาดูเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง ไม่เหมือนกับคนที่เคยเป็นสามเณร ที่เคยใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งกลับจากซาอุและไต้หวัน ที่เคยแวะมาหาผมที่บ้าน  ที่ผมเคยชื่นชมในการมีน้ำใจ และการแสดงออกซึ่งความกตัญญูรู้คุณครูบาอาจารย์ เลย

      แน่นอน คนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ ตามยุคสมัยและหัวโขนที่สวม ..  

                                     สิทธิ พฤติกรรมส่วนบุคคล .ใครฤา  จะห้ามได้ 

                                                 ขลุ่ย   บ้านข่อย 

                                                   (๓- ๓  -๖๖ )

     

     

     

     

       

     

       

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×