เกือบเป็นศพในกองเพลิง - เกือบเป็นศพในกองเพลิง นิยาย เกือบเป็นศพในกองเพลิง : Dek-D.com - Writer

    เกือบเป็นศพในกองเพลิง

    ผมมักประสบเหตุกับอัคคีภัย แต่ครั้งนี้ เกือบเอาชีวิตไม่รอด

    ผู้เข้าชมรวม

    65

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    65

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 ม.ค. 66 / 09:22 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                             เกือบเป็นศพในกองเพลิง

      โดยปกติ ในทุกกระทรวง ทบวง กรม ของส่วนราชการ จะมีคำสั่ง ให้ข้าราชการทุกคน ต้องมีหน้าที่อยู่เวรยาม เพื่อดูแล ทรัพย์สิน ของหน่วนงานนั้นๆ ให้พ้นจากการถูกลักทรัพย์  การโจรกรรม การก่อวินาศกรรม และการลักลอบถูกวางเพลิงจากคนร้าย  นับแต่ที่ผมเข้ารับราชการ  ตั้งแต่วันแรก จนถึงวันสุดท้ายของการปฎิบัติงาน กล้ายืนยันว่าไม่เคยขาดการอยู่เวรยามเลยสักครั้งเดียว การที่ผมมิได้มี สมัครพรรคพวกและเป็นตัวของตัวเอง จึงถูกฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ชอบหน้า เข้มงวด  เอาเป็นเอาตายที่จะจับผิดเพื่อการลงโทษทางวินัย แต่กลับตรงกันข้าม หากเป็นคนของกลุ่มพวกเขา ก็จะปล่อยปละละเลย ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันให้รอดพ้นการลงโทษ

      ค่ำคืนหนึ่ง..ขณะที่ผมนั่งกินข้าวมื้อเย็น  กับ อ.พันธกิจ ที่เป็นเพื่อนร่วมงานที่เพิ่งกลับจากการลาศึกษาต่อ  

      “ตายล่ะ อาจารย์ขลุ่ย ..ค่ำนี้ ผมอยู่เวรเสียด้วยสิ  เดี๋ยวเราจ่ายเงินแล้ว จะต้องรีบกลับไปบันทึก การอยู่หน้าที่เวรยาม ” อ.พันธกิจ พูด

     “ครับ  ดีเหมือนกัน “ผมพูด

     อ.พันธกิจ เป็นอาจารย์ ที่อยู่ในวัยเดียวกันกับผม เขามีความคิดและจุดยืนที่คล้ายกันกับผมค่อนข้างมาก คือเป็นตัวของตัวเอง รักความถูกต้องยุติธรรม แต่ไม่บ้าดีเดือด และมุทะลุเช่นผม

     “ลืมไปเลยว่าวันนี้ ผมจะต้องมานอนเวร  “ อ. พันธกิจพูด

     “ไม่ต้องซีเรียดหรอก  เพียงแค่เราลืมบันทึกเบื้องต้น เท่านั้นเอง  นี่เพิ่งสองทุ่มเศษๆ กลุ่มพวกเขาเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ทั้งไม่มาบันทึกการมาอยู่เวร หนำซ้ำไม่มานอนเวรด้วย  แต่พวกเขา ก็ช่วยกันปกป้อง ปกปิด ข้อมูลไม่ให้ใครรู้   แต่หากเป็นฝ่ายที่ไม่เข้าเป็นพรรคพวกของเขา  เขาจะกลั่นแกล้ง อย่างค่ำคืนนี้ไง    ผมเคยเก็บข้อมูล และเคยออกมาตรวจสอบพวกเขาเสมอ ทั้งยังแอบถ่ายสำเนาใบบันทึกเวรพวกเขาไว้  “ ผมพูด

      “ผมไม่ค่อยจะสบายใจเลย”อ. พันธกิจ พูด

                          .**************************************************

     หลังจากจ่ายเงินค่าอาหารกับร้านจำหน่าย อาหารแล้ว ผมกับ อาจารย์พันธกิจ ได้เดินทางกลับเข้ามาในที่ทำงาน อาจารย์พันธกิจแวะห้องอาจารย์ที่มานอนเวร เมื่อมาถึงห้องแล้ว เขา ได้หยิบสมุดบันทึกการอยู่เวรเพื่อจะเขียนบันทึก  ยังไม่ทันจะจรดปากกาลงไป 

      “อ .ขลุ่ย  อาจารย์ผู้ตรวจเวร เขาเขียนบันทึกว่า อาจารย์เวรไม่มาปฎิบัติหน้าที่แล้วล่ะ “  อ .พันธกิจ พูด

     “แย่น่ะ  ทำไมเขาจึงไม่ยืดหยุ่นกันบ้างเลย  แค่เรามาสาย  ควรจะรออีกสักหน่อยก็ไม่ได้   ทีพวกเขา เที่ยงคืน ไปแล้ว หลายคนก็ไม่ได้มาบันทึก ไม่นอนเวร ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น “ผมพูด 

     “นั่น....อาจารย์ผู้ตรวจเวรผม   นั่งทำงานในห้องเขา พอดี  “  อ.พันธกิจ

     “เดี๋ยวผมจะเข้าไปต่อว่าเขา ซักหน่อย ล่ะ  “ ผมพูด

              ********************************************************************* 

            ภายในห้องทำงานส่วนตัวของ อาจารย์ ผู้ตรวจเวร ซึ่งถือว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลผู้หนึ่งในสถาบันแห่งนี้ 

     “ขอโทษครับพี่...ผมอยากถามพี่หน่อยว่า  ทำไม พี่บันทึกข้อความไปว่า อาจารย์ เวรไม่มาปฎิบัติหน้าที่ อย่างนี้มันเสียหายนะครับ”ผมพูด

     “อ.ขลุ่ยไม่เกี่ยว มันเป็นเรื่องของผู้ตรวจเวรกับอาจารย์ ที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่เวรคืนนี้เท่านั้น” ผู้ตรวจเวรพูด

     “เกี่ยวสิครับ  มันรังแกคนไม่มีทางสู้ และมีเจตนาจะกลั่นแก้งกันชัดๆ “

     “อย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่น”

     “ผมต้องยุ่ง สิ มันไม่ยุติธรรมที่พี่เลือกปฎิบัติ กับคนที่ไม่ใช่พรรคพวกตน  ผมขอร้องให้พี่ฉีกใบที่ลงข้อความใบนี้ แล้วบันทึกข้อความใหม่  ผมขอร้องครับ ”ผมพูด

      “ไม่  “อาจารย์ ผู้ตรวจเวรพูด

     “แน่ใจนะ  “ผมพูด

      เขานิ่ง..หลบตา และกำลังจะผละออกจากห้องทำงาน 

      “แคว่ก “     ผมนำใบบันทึกเวรฉีกต่อหน้าเขา .

     “พี่อย่าเก่ง กับคนที่ไม่มีทางสู้  ผมขอร้อง  วันหน้าที่ผมอย่เวร ขอเชิญ ให้พี่กระทำกับผมได้เลยหากผมมาสาย หรือไม่มาปฎิบัติหน้าที่ ” ผมพูด

     เรื่องจบลง ..เมื่อเขายินยอมที่จะบันทึกข้อความใหม่   หากคืนนั้น ผมไม่อยู่ในเหตุการณ์นี้ อาจารย์พันธกิจ อาจจะต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยก็ได้ เนื่องจากมาปฎิบัติหน้าที่สาย  ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายกับส่วนราชการ อาจารย์ พันธกิจ พยายามดึงตัวผม เพื่อไม่ให้ไปปะทะคารมกับอาจารย์ผู้ตรวจเวร

     “กลับเถอะ อาจารย์ขลุ่ย เรื่องมันก็ได้มีการรอมชอมกันแล้ว “  อ .พันธกิจพูด

     “ก็ได้ “ ผมพูด   จากนั้น ผมจึงเดินกลับเข้าที่พัก

     *********************************************************************

     ตลอดชีวิตการทำงานของผม ได้พบได้เห็นกับความอยุติธรรม การเลือกปฎิบัติ  สุดที่จะพรรณาใดๆ  หากใครเป็นพวกเขา หากมีการโจรกรรม ทรัพย์สินของทางราชการหาย พวกเขาจะปกปิด ปิดบังอำพราง ช่วยเหลือกัน แต่หากใครมิได้เป็นสมัครพรรคพวก เขาดก็ชงเรื่องให้ตั้งกรรมการสอบสวน ให้ชดใช้ทรัพย์สิน  ร้อยละ 90 ของอาจารย์ ในสถาบันแห่งนี้ เพียงแค่มาเซ็นบันทึกว่า มานอนเวรแล้ว  แต่ในทางปฎิบัติหายตัวหมด  ตลอดเวลาที่ผมได้รับคำสั่งให้นอนเวร บางเดือนถึงกับ จะต้องนอนเวร 2 ครั้ง แต่ก็มิเคยขาด

     “มันคือหน้าที่ ที่เราต้องทำ ใครจะว่าเราเขลา เราซื่อ ไม่ต้องไปแคร์  อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกา เสียงหมาเห่า” ผมพูด  กับอาจารย์พันธกิจ การที่ผมไม่ยอมก้มหัวให้พวกเขา ย่อมสร้างศัตรูอย่างหลีกเลี่ยงมิได้  ไม่ว่าอาจารย์เวรผู้หญิง ที่อยู่ในช่วงเช้า (0600-18.00 )ก็มิได้แตกต่าง น้อยคนนัก ที่จะอยู่ปฎิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง ครั้งหนึ่งผมเคยถูกอาจารย์สตรี บันทึกส่งมอบเวรยามว่า ผมมิได้มาปฎิบัติหน้าที่

     “อาจารย์เวรช่วงกลางคืน ไม่มาปฎิบัติหน้าที่”   ข้อความใบบันทึก ระบุจากอาจารย์สุภาพสตรี คนหนึ่ง

       แน่นอนว่า..มันย่อมทำให้ผมเสียหาย และเสียเครดิต เพราะผมมิได้เป็นคนเช่นนั้น จึงต้องหาพยานไปยืนยันว่าคนผิดคือผู้บันทึก ที่ไม่ตรงต่อเวลาเสียเอง

     “คุณน่ะ เป็นคนผิดเวลา   ช่วง18.00น.  ผมนี่แหละเป็นคนเชิญธงชาติลงกับมือผมเอง และนำธงชาติมาเก็บในห้องเวร  ผมรอคุณเกือบ10 นาที คุณก็ยังไม่มามอบกุญแจเวรให้ผม  ”ผมพูดกับเธอ ทั้งมีพยานยืนยัน

     “ใช่ครับ อาจารย์ขลุ่ยมารอ อาจารย์ที่หน้าตึก และเป็นคนเชิญธงชาติลงจากเสาด้วย ”เจ้าหน้าที่ร.ป.ภ พูด

     

                        *********************************************

    ขณะที่ผมนอนเวร มีเรื่องที่เกิดกับอัคคีภัย 3 -4 ครั้ง ครั้งแรกคือ ไฟฟ้าลัดวงจร ที่โคมเสาไฟประดับหน้าอาคารอำนวยการ

    “อาจารย์ ขลุ่ย ไฟไหม้  “นักการภารโรง มาปลุกผม ขณะหลับในห้องนอนเวร ผมต้องตาลี ตาเหลือก ลุกจากที่นอน มาแก้ไขสถานการณ์ โดยการหาถังดับเพลิงไปฉีดพ่น  ครั้งที่สอง ไฟไหม้ที่บ้านพักของเจ้าหน้าที่ ผมต้องหาน้ำไปดับไฟให้ 

    “อาจารย์คะไฟไหม่ที่บ้านหนู   ” เจ้าหน้าที่มาตะโกนร้องให้ผมช่วย ผมได้รีบดำเนินการและใช้น้ำฉีดพ่นไฟ จนดับลง   ครั้งนี้หากผมไม่ไปช่วย ไฟคงเผาบ้านวอดแน่นอน 

    ครั้งที่สาม  ในช่วงฤดูหนาว  ขณะโพล้เพล้ นักศึกษา ได้ขี่จักรยานยนต์มาแจ้งผมว่า  ข้างๆ รั้วมหาวิทยาลัย เพลิงกำลังลุกไหม้อย่างรุนแรง ผมจึงโทรแจ้งรถดับเพลิงของเทศบาลให้มาระงับเพลิงได้ทันท่วงที 

            และครั้งสำคัญ...ที่สุดในชีวิต ขณะกำลังดูข่าว ภายในห้องนอนเวรอย่างมีความสุข 

      “อาจารย์ครับๆ  ไฟไหม้”  นักศึกษาตะโกน พร้อมทั้งเคาะประตูเรียก

      “ไหม้ที่ไหน เหรอ  “ผมพูด

      “คอกกวาง  ครับ “ 

      “เดี๋ยวเธอ..ช่วยขี่รถไปแจ้ง รักษาความปลอดภัยให้ด้วยนะ  “ ผมพูดบอกให้นักศึกษา ช่วยไปแจ้งยาม เพื่อจะได้เข้ามาช่วยเหลืออีกทาง

        “ทำไม ช่วงที่เราอยุู่เวร ไฟต้องไหม้ ด้วยไม่รู้ ..“ ผมคิดในใจ 

      เมื่อตั้งสติได้แล้ว  ผมจึงขี่รถจักรยานยนต์ส่วนตัว มุ่งหน้า ไปที่สนามกีฬาซึ่งอาจารย์และนักกีฬากำลังฝึกซ้อม กันอยู่ 

       “ตอนนี้ไฟไหม้ ที่คอกกวาง  และกำลังจะลามมายังคอกสุกรครับ   ขอแรงพวกเรา ช่วยกันไปช่วยกันดับไฟ หน่อย”  ผมพูดบอกอาจารย์และนักกีฬา ที่เป็นศิษย์

      พวกเขากว่า 50 คน ได้รีบหาอุปกรณ์ ที่คิดว่า พอจะช่วยระงับยับยั้งเพลิงให้สงบได้ มายังเป้าหมาย  ทุกคนเป็นห่วงและสงสารกวางอย่างมาก  โดยเฉพาะพันธ์ูกวางที่ซื้อมา ราคาตัวละ หมื่นกว่าบาท ในฝูงนี้มี 8 ตัว  หากมันถูกเพลิงเผา ก็ต้องสูญเสียเงินไปไม่น้อย 

        ในท่ามกลางความมืด ด้วยความห่วงใย ในทรัพย์สินของทางราชการ   ผมจึงเอากระสอบป่านชุบน้ำจนชุ่ม เพื่อเตรียมไว้ใช้ดับไฟ ในฤดูหนาวลมที่ค่อนข้างแรง สะเก็ดไฟค่อนข้างมาก   โดยเฉพาะกิ่งไม้แห้งที่ลุก เมื่อเจอลมแรงๆลูกไฟ มันจึงปลิวไปไกล  จึงทำให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว   ขณะไฟกำลังไหม้ ผมจึงพอเห็นว่า กวางกำลังวิ่งหนีไฟจ้าละหวั่น แสงเพลิงที่ส่องสว่างแลเห็นว่ามันหนีไฟไปอยู่ที่มุมหนึ่งที่ไกลจากความร้อนนักศึกษาพยายามฉีดน้ำสกัด    ไม่ให้ไปถึงตัวกวาง  บริเวณที่ผมยืนอยู่ขณะนั้นเป็นช่วงรอยต่อระหว่าง คอกกวางและสุกร  ไฟเริ่มโหมใกล้มาถึงตัวผมมากขึ้นๆ  ขณะเดียวกันผมพยายามสกัดเพลิง อย่างเต็มที่   บริเวณนั้น มีผมเพียงคนเดียวที่ต้องสกัดเพลิง  ทั้งควันไฟ ทั้งความร้อน  ปะทะร่างกายของผมจนผมทนไม่ไหว จึงต้องรีบถอยล่น หนีเปลวร้อน  ขณะถอยร่นที่เป็นที่มืด ผมได้พลัดตกหลุมมูลสุกร จนเกือบถอนตัวไม่ขึ้น 

      “ อ.ขลุ่ย อยู่ไหนๆ “  อาจารย์ที่ควบคุมกีฬา ตะโกนถามหาผม ด้วยความห่วงใย 

       “ตกบ่อ ขี้หมูครับ  พี่ให้เด็กเข้ามาช่วยผมด้วย    “ ผมพูด บอกเขา  ไฟเริ่มเข้าใกล้ตัวผมมากขึ้นๆ  หากช้ากว่านี้ไปอีก 5 นาที รับรองว่า ไฟต้องถึงตัวผมแน่ (ผมคิด)

      “ช่วยตะโกนดังๆ  บอกจุดที่อยู่ด้วย”   อาจารย์ผู้ควบคุมกีฬาบอกให้ผม ส่งสัญญาญเสียง  เขาให้นักศึกษานำไฟฉายและไม่ไผ่ยาว เพื่อเตรียมให้ผมยึดตัวขึ้นจากบ่อ

      “ตรงนี้ๆ  ครับ”  ผมตะโกน

      เมื่อนักศึกษาพบตัวผมแล้ว จึงส่งไม้ไผ่ ให้ผมจับและดึงผมขึ้นมาบนบก 

     “ขอบใจมาก “ ผมพูดบอกนักศึกษา

      ในที่สุดพวกเรากว่า 50 คน ก็สามารถควบคุมเพลิงได้   กวาง สุกร รอดชีวิต  ผมแสบตา  ร้อนกาย หลังเสร็จกิจดับเพลิงแล้ว ผมก็กลับไปบ้านอาบน้ำเปลี่ยนชุดมานอนเวรต่อ

        “หากคืนนั้น...ผมเสียชีวิตในกองเพลิง  ผมอาจได้เป็นวีรุบุรุษ แล้ว   นี่คือเรื่องที่คนในมหาวิทยาลัย ยังไม่เคยมีใครทราบมาก่อน  ยกเว้นนักกีฬา  อาจารย์ผู้ควบคุมนักกีฬา และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เท่านั้น

                                                ขลุ่ย       บ้านข่อย  

                                              (  ๒   มกราคม ๒๕๖๖)

       

     

    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×