ต้องการปลาบู่ แต่ได้ปลาปักเป้า
งานอดิเรกที่พวกเราทำคือการตกปลา และทอดแห เพื่อนำปลามาทำกับข้าวกิน สิ่งที่เจอคือปลาปักเป้า
ผู้เข้าชมรวม
106
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
ต้องการปลาบู่ ..ได้แต่.. ปลาปักเป้า
ในความเห็นส่วนตัวของผม มองว่าชีวิตคนเรา หากไม่งอมือ งอเท้า..รับรองว่า ไม่มีทางอดตายอย่างแน่นอน ผมได้หวนทวนกลับมาคิดดู ในช่วงชีวิตสมัยพักหอพักวิทยาลัย ต้องบอกว่า..โคตร.. บรมสุขเสียจริง..ๆ หลัง(ลง) ฝึกงานเช้ามีข้าวกิน หลังจากเข้าเรียนเมื่อถึงช่วงเที่ยงมีข้าวกิน หลังเลิกเรียนช่วงเย็นประมาณช่วงห้าโมง ก็มีคนหุงหาอาหารให้กิน ทั้งสามมื้อ ในวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีของหวานอร่อยๆเพิ่มเป็นพิเศษให้อีก ..อย่างนี้จะบอก ไม่มีความสุขได้อย่างไร.
สองปีเต็มๆ กับการอยู่หอพักภายในวิทยาลัย. มันได้ประสบการณ์ชีวิตมากมาย ได้เรียนรู้กับการอยู่ร่วมกัน กับพี่ๆ เพื่อนๆ ทั้งๆที่พวกเรามีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ เราก็ยังมีการหากับแกล้มรอบๆหอ ที่เต็มไปด้วยปลานิลตัวใหญ่ๆบ่ะล่ะกั่ก .ด้วยวิธีการที่ไม่ได้ยากเย็นอะไร คือแอบลักลอบตกปลา ช็อตปลา.ตอนที่อาจารย์ไม่อยู่ แม้จะมีอาจารย์พักอยู่กับพวกเราในหอพัก หรืออาจมีอาจารย์อยู่เวร มาสุ่มตรวจ- แอบมาเยี่ยมพวกเราบ้าง. .แต่ยากที่จะเจอและพบเห็นกับสิ่งที่พวกเราแอบกระทำ ปลาที่ได้ครั้งละมากๆ ก็จัดการทำปลานิลตากแห้งบนหลังคาหอพัก เมื่ออยากจะกินก็ไปขอให้โรงครัวทอดให้
“น้าเรียม ทอดปลาให้หน่อยนะครับ ” รุ่นพี่บอกกับแม่ครัวในโรงครัว
“จร้า .. ไปซื้อ จากไหนมาเหรอ ตัวใหญ๋ ใหญ่”แม่ครัวถาม
ไม่มีคำตอบ เป็นที่รู้กันเอง..ปลาพวกนี้มันอยู่ใกล้ๆ ตัวพวกเรานั่นเอง
**********************************************
สมัยเรียปวช. เพื่อนๆทุกคน อยากลงงานหมวดประมงมากที่สุด.. เพราะงานหมวดนี้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยหนักแถมเผลอๆ ยังได้แอบหักคอปลานิล.มาเป็นกับแกล้มได้ ช่วงที่อาจารย์ให้ตีอวนจับปลามาขาย หรือให้จับปลาย้าย ไปอยู่บ่อใหม่ เป็นที่รู้กันสำหรับพวกเรา คือต้องเตี๊ยมกันไว้ว่า หากลากอวนเข้าถึงฝั่งเมื่อไหร่ ใครที่จับปลานิลได้ ต้องหักคอให้มันตายแล้วหมกปลาไว้ใกล้ๆกับขอบบ่อ บ่อยครั้งที่เราหักคอมันเพียงแค่สลบ พอกลับมาเอาปรากฎมันว่ายหายไปไหนไม่รู้
"ไอ้แดงมึงจัดการ 2 ตัว ไอ้จี๊ด 2 ตัว " ไอ้ลิตพูด
"โอเค โว้ย " แดงพูด
ปลานิลที่เลี้ยงในบ่อของวิทยาลัยมี5 บ่อใหญ่ๆเฉลี่ยสองสัปดาห์ต่อครั้ง พวกเราจึงตีอวนเพื่อจับปลาขึ้นมา ตามความ ต้องการของพ่อค้าแม่ค้าจากพระโขนง ผลพลอยได้จากการตีอวนของพวกเราคือปลาที่เราแอบหักคอมันให้ตาย แล้วแอบซ่อนไว้ที่ขอบบ่อ โดยบางทีเราใช้หญ้ากกผูกห้อยระหว่างปากกับครีบ ใช้ไม้ปักแล้วห้อยปลาไว้ใต้น้ำ หลังจากอาจารย์กลับจากบ่อเลี้ยงปลาแล้ว พวกเราจะหวนกลับมาเอาปลาไปทำเป็นอาหารและกับแกล้มกิน แต่ละครั้งที่ลงอวน จะได้ปลานิลมากินที่หอพัก 4- 5 ตัว น้ำหนักปลาแต่ละตัวประมาณ 8 ขีด- 1 กก. หมวดงาน หมวดนี้นักศึกษาจึงอยากมาอยู่ประจำ ช่วงที่อาจารย์วิชาประมง ต้องการนักศึกษาอยู่ประจำหมวด ผมได้อาสามาอยู่ประจำเพราะมองว่างานไม่หนัก งานที่ต้องทำหลักๆคือทำความสะอาดริมขอบบ่อปลา ช้อนแหน เพื่อมาให้ให้ปลากิน ให้อาหารเม็ด ตีอวน ผสมเทียมปลา ช่วงหน้าหนาวดูจะแย่ๆหน่อย เพราะน้ำในบ่อเย็นจัดมาก ถึงขนาดว่าปากสั่นงั่กๆ แต่ทุกครั้งที่ตีอวนลากปลา พวกเราต่างยินดีที่จะยอมทนหนาว เพื่อแลกกับปลานิลตัวใหญ่ๆ ติดไม้ติดมือไปเป็นกับแกล้มทุกครั้ง...
"เอาแค่พอกิน อยาโลภมากนะ พวกเธอ " อ. สมศักดิ์ พูด
"ครับ" ผมตอบ
"ครูผ่านประสบการณ์มาก่อน รู้นะว่าพวกนายทำอะไร อย่าคิดว่าครูไม่รู้ " อ.สมศักดิ์ พูด
***************************************************************
การลงงานหมวดสัตว์ปีก จะได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดคอกไก่ ให้อาหารไก่ เก็บไข่ ถากหญ้าบริเวณคอกไก่ การลงงานหมวดสุกร ทำงานคล้ายๆกันกับคอกไก่ เพิ่มการเกี่ยวหญ้าขนแต่ไม่หนักเหมือนคอกวัวเน้นทำความสะอาดคอก เข็นขี้หมูไปทิ้ง ถากหญ้ารอบๆคอกหมู หมวดงานที่โหดกว่าหมวดใดๆ คือหมวดสัตว์ใหญ่เจอ อ.อุดม เล็กดีรสโต (ตัวเล็กเสียงดัง เฮี๊ยบ.ค่อนข้างดุ) ใครลงงานหมวดนี้ เจอของแข็ง..หากเกี่ยวหญ้าไม่มีคุณภาพและปริมาณน้อยเกิน ซ้ำทำให้วัวไม่พอกิน ทำงานลวกๆ ชุ่ยๆ คงยากที่จะผ่านด่าน เพื่อมากินข้าวเช้า..เหมือนหมวดงานกลุ่มอื่นๆได้
เมื่อวิทยาลัยยุบหอพัก อย่างเป็นทางการ. ผมกับเพื่อนและรุ่นน้องรวม 6 คน มาเช่าบ้านอยู่ใกล้ริมคลองหัวตะเข้ อาหารการกินบางช่วง ก็ฝืดเคือง..หนทางหนึ่งที่จะแก้ปัญหาได้..คือการหาปลามาไว้กินเอง. วันเสาร์ -อาทิตย์ที่มาทำแปลงผัก รดน้ำพรวนดินในวิทยาลัยก็ถือโอกาสทอดแหในร่องผัก..ได้บ้าง ก็มาทำอาหารกับแกล้ม . ผักบุ้งก็เก็บตามร่องสวน ยึดคติตั้งแต่กลางเดือน เราต้องกินเพื่ออยู่. ส่วน ต้นเดือนต้องกินอย่างราชา.มีเงินอยู่ในมือกับข้าวประเภท ไก่ หมู เนื้อ อาหารทะเล อยากกินก็หาซื้อมากิน เหล้าแดง.บุหรี่ มีไม่อั้น. หลังจากนี้ไปอีก 20 วันมีอะไรก็ต้องกิน(ไม่ต้องเรื่องมาก)
.บ้านที่ผมเช่าพักกับเพื่อน เป็นทำเลทองอย่างมาก สามารถที่จะหากุ้ง ปู ปลา หอย กินได้ทุกวัน ด้านทิศใต้ติดคลองประเวศบุรีรมย์ ด้านเหนือเป็นแขนงลำคลองเป็นแนวยาวจากอู่ต่อเรือหางยาว จรดรร.พรตพิทยพยัต ช่วงที่น้ำกร่อยจากแม่น้ำบางปะกงทะลักเข้ามาในคลองประเวศ ปลาจะสำลักน้ำกร่อย จนสลบและตายอย่างมาก ผมและเพื่อนๆ จะลงไปในลำคลองจับปลามาทำปลาเค็มตากแห้ง. ปลาที่ลอยขึ้นมาส่วนมากเป็นปลาขาว ปลาตะเพียน ปลาฉลาด ปลาสร้อย สภาพความเป็นอยู่ของพวกเราไม่ถึงกับแร้นแค้นอดอยากปากแห้ง การหาปลาจึงถือว่าเป็นงานอดิเรก..ยามว่าง ตอนเย็นหลังเลิกเรียน พวกเราก็จะถือคันเบ็ดคนละคันไปนั่งตกปลา นั่งมองสาวๆ รร. พรตพิทยพยัตที่เดินกลับบ้านกัน
วันหยุดเสาร์- อาทิตย์ ส่วนใหญ่ไอ้แดง ไอ้จี๊ด ไอ้เบี้ยวจะกลับบ้าน แต่หากใครไม่กลับบ้าน ช่วงประมาณ 6 โมงเช้า เราจะชวนกันมาทอดแห .ตั้งแต่แขนงลำคลองหน้ าร.ร เชิดเจิมศิลป์ยาวไปถึงสี่แยกคลองประเวศ ซึ่งติดกับสะพานข้ามไปสถานีตำรวจจระเข้น้อย มือทอดแห..ที่จัดว่าชำนาญระดับมืออาชีพคือ ไอ้ลิต รองลงมาคือไอ้เบี้ยว ไอ้จี๊ด ไอ้แดง ผมกับไอ้ยุทธทอดแห ไม่ค่อยกาง เพื่อนจึงบอกว่า
” มึงไม่ต้องทอดแห..หรอก เหนื่อยแรงเปล่าๆ” ไอ้ลิตพูด
ผมก็เลยอาสา เป็นคนคอยปลดปลาและลงไปงมแห เมื่อเวลาแหทอดลงไปในน้ำ ไปติดกิ่งไม้ใบหญ้า
ปลาที่พวกเราทอดแหได้ ส่วนใหญ่เป็นปลาฉลาด ปลาขาว ปลาช่อน ปลาหมอเทศ ปลากระดี่ นานๆจะฟลุ๊คๆได้ปลาบู่ตัวใหญ่ๆ สักครั้ง เป้าหมายการทอดแหของพวกเราคืออยากได้ปลาบู่เพราะเนื้อมันหวาน รสชาติอร่อย บางวันโชคดีได้ 3 -5 ตัว อย่างไม่ได้ๆก็ครั้งละ1 ตัว พฤติกรรมของปลาบู่ชอบอยู่นิ่งๆ กับพื้นน้ำ บางครั้งผมเคยใช้สุ่มครอบใช้มือควานจับตัวมันแล้วใส่ตะข้องที่เตรียมไป บริเวณริมน้ำหน้าร.ร พรตพิทยพยัต จะมีปลาบู่ชุกชุมมาก อุปสรรคของผม คือต้องลงไปในน้ำซึ่งต้องเจอทั้งปลิงตัวอวบๆใหญ่ๆ ปลาปักเป้า.ที่มันชุกชุมอย่างมาก.. ลงไปในน้ำแต่ละครั้งโดนมันตอด ตุบๆๆ จนน่ารำคาญ
“เฮ้ยปักเป้า เพียบเลย แม่งมาเป็นร้อยเลย ” ผมบอกเพื่อนที่อยู่บนบก เพื่อนอยู่ข้างบนหัวเราะชอบใจ ที่ปลามันตอด
ในกลุ่มเพื่อนๆที่ไปทอดแห.ด้วยกัน ถึงแม้นว่า เขาจะไม่กลัวปลิง..แต่หลายคนก็รังเกลียดมัน เพราะเวลามันเกาะที่ขาต้องเสียเวลามาดึงชักคะเย่อ แต่ละตัวกินเลือดจนอุ้ยอ้าย. ผมจึงต้องเป็นคนต้องเสียสละ ลงไปงมแหเสียทุกครั้ง ตรงจุดที่ปลาบู่ชุกชุมมากจะอยู่ในที่ร่มใต้ต้นจามจุรีข้างๆบ้านพัก ผอ.ร.ร พรตพิทยพยัต กิ่งไม้ที่มันหักบางกิ่งจะแช่อยู่ใต้น้ำ..นี่คืออุปสรรคสำคัญในการทอดแห .พอไอ้ลิต เหวี่ยงแห..ในจุดที่เห็นว่ามีปลารวมตัวกันมาก.จนน้ำกระจาย.. แต่ สักพักเมื่อจะดึงแห ก็รู้ว่าติดขอนไม้บ้าง กิ่งไม้บ้าง ผมจึงจำเป็นต้องไปงมแห..และปลดกิ่งไม้ออก นอกจากปลิงจะมากแล้วปลาปักเป้าบริเวณนั้นก็มากจนขนลุก. เพื่อนๆ คนอื่นๆ ไม่ค่อยได้ลงไปในน้ำ เขาจึงไม่เคยได้สัมผัสกับฝูงปลาปักเป้า ที่มันได้กลิ่นคาวของคน พอก้าวเท้าเดินเสียงดังจ๋อมๆ ซึ่งมันเป็นดินเลน ฝูงปักเป้าก็เฮโลว่ายเข้ามาหาผม..เพื่อตอดเล็ก ตอดน้อย ทำเอาผมจั๊กจี้ไป.. ถามว่า ตอนมันตอดที่ขา และบริเวณก้นและด้านหน้า รู้สึกอย่างไร ก็ทั้งเจ็บทั้งจั้กจี้ทั้งเสียว ระคนกันไป.. ผมจะเอามือปัดๆพุ้ยน้ำไล่มัน..มันก็ไม่หนี.. จึงจำเป็นต้องรีบขึ้นจากน้ำ.ตัดความรำคาญ ต้องบอกว่าการทอดแห มีวันที่ทั้งดวงดีและดวงซวย มีอยู่วันหนึ่งผมกับไอ้ลิตออกมาทอดแห ตรงจุดที่มีปลาบู่ชุกชุม .เพียงสองคน. ไอ้ลิตตั้งท่าทอดแห .งามงด.. โครม .. ควั่บ แห ลอยละลิ่วออกจากมือ บานดังกับร่มที่กระโดดลงจากเฮลิคอปเตอร์..
“ชัวร์ กูว่า ได้ปลาบู่แน่ๆ งานนี้ “ไอ้ลิตพูดอย่างมั่นใจ
ผมก็แอบลุ้นในใจ ยังไงขออย่าให้แห ติดกิ่งไม้ก็แล้วกัน ไอ้ลิตค่อยๆสาวแห อย่างใจเย็นและระมัดระวัง. เสียงปลาในแหต่างพยายามดิ้นหนี.เป็นพัลวัน จนเกิดสะเก็ดน้ำสีขาวฟุ้งกระจาย
“เฮ้ย ถ้าจะได้ปลาอยู่นะ” ผมพูด ไอ้ลิตค่อยๆ สาวแห มาเรื่อยๆจนถึงฝั่งแล้วใช้มือรวบแหขึ้นมาตรงฟุตบาททางเท้า เขาค่อยๆกางแห เพื่อให้ปลาที่ติดแหล่วงลงกับพื้นและค่อยๆ ปลดปลาบางส่วนที่ติดแห.. รอบแรกที่เหวี่ยงแหลงไป ได้ปลากระดี่ ปลาฉลาด ปลาหมอ. 5-6 ตัว ปลาบู่ที่เราคาดหวังว่าคงต้องติดบ้าง กลับไม่ได้เลยสักตัว นอกนั้นติดปลาปักเป้าเกือบ 20 ตัว.เมื่อไอ้ลิตปลดปลาปักเป้าได้ก็จับมันโยนลงน้ำดังเดิม.
.เนื่องจากปลาชนิดนี้ พวกเราไม่กิน เพราะมันมีพิษ และเราก็ไม่ชำนาญพอ ที่จะลอกเอาเส้นพิษออกได้. ก่อนหน้าที่ผมเคยเดินผ่านบริเวณนี้. .เคยได้ยินเสียงร้องของสัตว์ชนิดหนึ่งร้อง..แต่ผมไม่รู้ว่ามันคือปลาปักเป้าไอ้ลิตเอามือไปแตะบริเวณหลังและท้องมันมันก็ร้องออกมา
”ต๊อด..ๆ ๆ ๆ ต๊อดๆๆๆๆๆๆๆ”
เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นกับตาตนเองจากนั้นตัวมันก็ค่อยๆ พองๆๆๆๆ พร้อมเสียงร้อง
การได้ใช้ชีวิตแบบการพึ่งพาตนเอง ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรๆเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง สิ่งที่ไม่รู้ ก็ได้รู้.. อย่างเช่นธรรมชาติของชีวิตสัตว์น้ำ อย่างปลิง ปลาปักเป้า ปลาบู่ มันชอบอยู่ในที่น้ำนิ่ง เมื่อไอ้ลิตทอดแหลงในที่น้ำนิ่ง มุมสงบตรงบ้าน ผอ. รร.พรตพิทยพยัต ย่อมต้องเจอทั้งปลาบู่-ปลาปักเป้าและปลิงไปพร้อมๆ กัน ผมนี่สิ .คนงมแห.. ทั้งโดนปักเป้าตอด ทั้งโดนปลิงเกาะแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยสักครั้ง ทุกครั้งที่ลง น้ำ.อย่างน้อย น้องปลิงควายตัว- สองตัวต้องเกาะที่น่อง บ้างสะโพกบ้าง แต่ก็ได้เตรีมยาฉุน..มาไว้หยอดน้ำ ให้มันคลายปากดูดเลือด ผมทำบ่อยๆจนชิน จึงไม่ได้หวั่นวิตก...อยากกินของดีของอร่อยก็ต้องแลกด้วยเลือดเนื้อ..บ่อยๆครั้งที่ทอดแหได้แต่ปลาปักเป้า ปลาอื่นๆไม่ได้เลยสักตัว. ก็ต้องหน้าแห้ง เดินกลับบ้านเก็บผักบุ้งไปกินแทน
ในอดีตที่เคยทอดแหแล้ว ติดปลาปักเป้า ส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นปลาปักเป้าลายสีดำเหลือง ตาสีแดง เมื่อไอ้ลิตปลดปลาปักเป้าจากแห เขาจะไม่ฆ่าเลยสักตัว ผมไม่ได้สอบถามว่า มันเป็นเคล็ดในการหาปลาหรือเปล่า...ก็เมื่อทอดแหติดปักเป้า แล้วโยนลงในน้ำปลามันก็ไม่ลดลง เมื่อทอดแหอีก ยังไงๆปลาปักเป้าเจ้ากรรมพวกนี้มันอาจติดแหขึ้นมาอีกก็ได้ มีเพื่อนๆบางคนเคยเสนอว่าลองเอาปลาปักเป้าที่ทอดแหได้มาลองทำอาหารกินบ้าง ผมคนหนึ่งที่ปฎิเสธจะไม่ขอร่วมวง อย่างเด็ดขาด เพราะผมเคยได้ยินว่า มีคนเอาปลาปักเป้า มาผัดกะเพรากินแล้วเสียชีวิต เพราะในตัวปลาปักเป้ามีการสะสมพิษในอวัยวะทุกส่วน และพิษมันจะมีมากเป็นพิเศษในช่วงฤดูวางไข่โดยช่วงหน้าฝน เดือนพฤษภา -มิถุนายน พิษมันจะพบมากในหนัง ไข่ เครื่องในและในเนื้อ แม้จะผัดหรือต้มก็ตาม พิษของมันก็ยังไม่สลาย พิษปลาจะมีผลต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อไม่ทำงานเป็นอัมพาต และเมื่อพิษเข้าสู่หัวใจ จะทำให้หัวใจล้มเหลวและตายไปในที่สุด.. พูดถึงเรื่องการหาปลาของพวกผมนอกจากจะใช้แห.. แล้วยังเคยใช้ไฟฟ้าช็อตปลาอีก.
ไอ้แดง.เคยแกล้งผมจนผมโกรธมากถึงขั้น ไม่คุยกันเป็นอาทิตย์ .วิธีการช็อตปลาของพวกผม คือจะใช้สายไฟ ไปเกี่ยวกับตะแกรงลวดทองเหลืองแล้วใช้สายไฟอีกด้านไปเกี่ยวที่ปลั๊กที่ต่อสายยาวจากบ้าน.เมื่อเห็นปลาลอยคอในแขนงลำคลองมันก็เอาไม้ที่ผูกกับตะแกรง จุ่มลงในน้ำแล้วยกขึ้น ผมก็จะลงไปงมปลา ไฟฟ้าที่เราช็อตปลาแค่ 110 โวล์ท แต่ขอบอกว่าเล่นกับไฟฟ้ามันอันตราย หากอยู่ในรัศมี ช็อตสุ่มสี่สุ่มห้าโอกาสตายได้เหมือนกัน..
.วันนี้ เพื่อนของผมทั้งสอง คือไอ้แดงและไอ้ลิตได้จากไปแล้ว ตลอดระยะที่อยู่ด้วยกันมานาน ทำให้เราเข้าอกเข้าใจกัน..เป็นธรรมดาการอยู่ด้วยกันเสมือนลิ้นกับฟัน . ย่อมมีการกระทบกระทั่งกัน ผมกับไอ้ลิต แทบจะไม่เคยมีปากมีเสียงกัน เพราะปกติเขาเป็นคนเงียบๆทุกคนที่อยู่ในบ้าน รักใคร่กลมเกลียว .เหมือนคนในครอบครัว เดียวกัน. ครั้งที่หนักหนา คือไอ้แดงท่ี่เล่นกันแรงเกินไป .คือเขาใช้.ตะแกรงช็อตปลาจุ่มลงในน้ำขณะผมลงไปงมปลา ซึ่งมันเสี่ยงต่อชีวิต.มาก
"ไอ้แดง ล่นกันแรงเลยนะ แม่งพลาดมากูตายแน่ เล่นอย่างนี้ ได้ไงวะ" ผมพูดอย่างหัวเสีย
"ขอโทษโว้ยเพื่อนกูคิดว่าแค่ 110 โวล์ท คงไม่เป็นไร "ไอ้แดงพูด
"มึงลงมามั้ย แล้วให้กูทำอย่างมึงบ้าง" ผมพูด
ไอ้แดงขอโทษขอโพยและบอกว่า จะไม่ทำอย่างนี้อีก และจากนั้นมาผมจึงได้มาอยู่ที่บ้านไอ้แดงที่โรงสีเกือบปีและไปๆมาๆ เสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน..
ทุกครั้งที่เห็นปลาบู่ ผมต้องนึกถึงปลิงและปักเป้าเสมอ ทั้งยังคิดถึงเพื่อนทั้งสอง ที่จากพวกเราไปอย่างไม่มีวันกลับ ภาพต่างๆที่เราเคยร่วมทุกข์ ร่วมสุข ร่วมหาปลา ร่วมข็อดปลา ขอดเกล็ดปลา ตากปลาแห้ง ทอดปลา จับปลาที่น็อคน้ำกร่อย ยังจำได้ดีเสมอ.. และคงไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน
ขลุ่ย บ้านข่อย
(๑๗ ตค ๖๕)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น