ผู้ทำลายอนาคตเยาวชน - ผู้ทำลายอนาคตเยาวชน นิยาย ผู้ทำลายอนาคตเยาวชน : Dek-D.com - Writer

    ผู้ทำลายอนาคตเยาวชน

    ตลอดเวลา ผมกับเขาต้องปีนเกลียวกัน เขาคือคนที่ทำลายอนาคตลูกศิษย์ เป็นร้อยๆ คน

    ผู้เข้าชมรวม

    152

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    152

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  15 ต.ค. 65 / 10:30 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

           ผู้สร้างหรือผู้ทำลาย    15

           นับตั้งแต่วันแรก ที่ผมมารายงานตัวเข้าทำงาน หลังจากพบผู้อำนวยการ และได้พูดคุยมอบหมายงานให้ผมทำแล้ว  ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิชาการ ในขณะนั้น จึงพาผมไปพบกับหัวหน้าสาขาชื่อ อ.มงคล  ณ ห้องพักครูที่เป็นห้องทำงาน 

        "นี่ไง ครับอาจารย์ มงคล "ผช.ผอฝ่ายวิชาการ  ผายมือและพูดแนะนำตัวเขาให้ผมรู้จัก

        "สวัสดีครับ"ผมยกมือไหว้เขา จากที่ผมเห็นบุคลิกของอาจารย์คนนี้ ที่จะมาเป็นผู้บังคับบัญชาผมดูท่าทางกวน ๆ  ไหล่เอียงๆ เต๊ะท่า หยิ่งยะโส เขานั่งที่โต๊ะทำงาน ในขณะที่บนโต๊ะมีกองสมุดหลายกองสุม จนเกือบท่วมหัว..ตั้งแต่นาที แรกที่ผมเจอ  มองดูเขาแล้วน่าหมั่นไส้ กับการแอ็คอาร์ตอย่างมาก  ก่อนหน้าที่ผมไปพบกับผู้อำนวยการ  ผู้อำนวยการยังดูมีกิริยาสุภาพ เรียบง่าย เป็นกันเอง ไม่ถือตัวผิดกับเขาที่จะมาเป็นผู้บังคับบัญชาเบื้องต้นของผม  เพียงแค่เขามาทำงานก่อนผมเพียงสามปีเศษจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้า แต่วางท่าใหญ่คับฟ้า เสมือนตนเป็นอึ่งอ่างพองตัวตอนเจอวัว     เหตุผลที่เขาได้เป็นหัวหน้าสาขา เพราะความอาวุโสทั้งยังจบจากสถาบันเดียวกันกับ ผอ.    

       "เดี๋ยวคุยกับพี่เขานะ หากมีอะไรจะให้พี่ช่วยได้ ก็ขอให้ไปพบที่ห้องฝ่ายวิชาการได้ทุกเวลา "  ผช ผอ, ฝ่ายวิชาการ พูด  ก่อนขอตัวไปทำงานต่อ 

     เมื่อผมนั่งเก้าอี้แล้ว เราก็เริ่มสนทนา เรื่องหน้าที่ การงานกันโดยทันที ขณะนั่งคุยสายตาผมก็มองรอบๆ บริเวณห้องคะแนว่าห้องนี้น่าจะมีคนนั่งสามคน เพราะมีโต๊ะทำงานสามมุม  แต่ละห้องจะมีที่กั้นบังตา  เพื่อให้ทุกคนมีสมาธิในการทำงาน   

         "ในวันจันทร์หน้า จนถึงวันพฤหัส  ไปช่วยคุมสอบนศ.กับผมนะ  "  เขาพูดด้วยเสียงดังและห้วน 

        "ครับ "  ผมตอบ

        "กว่าอาจารย์จะได้สอนนักศึกษา คงประมาณเดือนตุลา โน่นแหละคุณสอนชั้นปีสุดท้ายที่จะจบแล้ว"

     หลังจากที่เราได้คุยกันและเขาได้มอบวิชาสอนให้ผมแล้ว  ผมจึงขอตัวกลับไปที่ห้องทำงาน  ดูท่าทางเขาเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง  วันแรกผมได้รู้จักผู้ช่วยผู้อำนวยการ ทั้งสี่ฝ่ายทุกคนทำตัวสบายๆ ไม่ได้ ทำตัวให้มีช่องว่าง ว่าเป็นการแบ่งชนชั้น   .

        นับแต่วันแรกที่ทำหน้าที่ ผมได้พยายามทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด โดยช่วยแจกข้อสอบ เดินนำใบรายชื่อให้นศ.ลงลายมือชื่อเข้าสอบ เก็บข้อสอบ แต่สิ่งที่ตะขิตตะขวง ใจ และงงๆ คือ อาจารย์มงคล ใช้วาจากับนักศึกษาไม่สู้จะสุภาพ 

        "เฮ้ย.ไอ้คนนั้น จะเข้าสอบมั้ย ไม่ต้องดูแล้วล่ะ หนังสือ ทำไมก่อนสอบจึงไม่ดู วะ" 

      บอกตรงๆว่า ผมรู้สึกไม่ค่อยประทับใจคำพูดของเขา ที่มีต่อนักศึกษาเลยสักนิดเดียวในขณะคุมสอบ นักศึกษาแทบไม่กล้าจะขยับตัวเลย

      “ไอ้คนนั้น  นั่งตัวตรงๆ  ดุกดิกๆ เดี๋ยวไล่ออก ไม่ต้องสอบหรอก  ”

      การที่ผมสัมผัสกับนศ.ทุกๆรุ่น จึงพอที่จะได้รับรู้ข้อมูลว่าอาจารย์คนนี้เป็นอย่างไรและยิ่งได้มาเห็นกับตาตนเอง บ่อยๆครั้ง  ครั้งแรกที่ผมพบคือเมื่อผมต้องเข้ามาในห้องทำงานแผนกสวัสดิการ ที่เขาต้องทำหน้าที่ดูเบิกจ่าย จดหมาย โทรเลข- พัสดุภัณฑ์ ให้กับนักศึกษา

      "เฮ้ย. ไอ้ห่านายคนเนี่ยะ  (มึง)จะมารับอะไรวะ "เขาพูดเสียงดัง ด้วยคำพูดแบบเป็นกันเอง แต่ผมอาจจะไม่คุ้นมากนัก

       "มารับจดหมายลงทะเบียนครับ "           

        "เอาบัตรนักศึกษามาหรือเปล่า             

      "ไม่ได้เอามา ครับ"

       "งั้นกลับไปเอามาก่อน ถึงจะจ่ายให้ "

      จริงๆแล้วคำพูดคำจาของเขาค่อนข้างจะไม่สุภาพ กระโชกโฮกฮาก ดุดัน ก้าวร้าว ใช้อำนาจข่มขู่นศ.สารพัดแต่ไม่มีใครสักคนที่จะกล้าพูดบอกกล่าวเขาเลย หลังจากที่ผมได้สอนต้องเจองานที่ทำให้ผมต้องเครียด เพราะบังเอิญ นศ ได้กระทำการทุจริตในการสอบกรรมการคุมสอบ บันทึกข้อความว่า 

      "นศ.ได้กระทำการทุจริต  ดังนั้นขอให้อาจารย์ผู้สอนได้ใช้ดุลพินิจ ในการพิจารณาตัดเกรดด้วย   "

      เรื่องนักศึกษาทุจริตในการสอบนี้ เป็นที่รู้กันในกลุ่มของอาจารย์โดยทั่วไป การที่ผมมาเป็นอาจารย์ใหม่ จะทำอะไรก็จำต้องดูทิศทางให้ดีเสียก่อน ผมรอวันสุดท้ายที่จะส่งเกรดได้พยายามปรึกษากับอาจารย์อาวุโส  ก่อนหน้านี้สองวัน อาจารย์มงคล ได้เชิญผมไปพบพร้อมบอกว่ากรณี ที่นศ.ทุจริตในการสอบครั้งนี้ จะต้องให้ให้ ติด F สถานเดียวเท่านั้น   

     นศ. คนนั้นมาหาผมที่บ้าน   เขาไหว้ขอโทษและสำนึกผิด ผมได้บอกเขาไปว่า การกระทำการเช่นนี้ มันเป็นเรื่องสปิริตการกระทำเช่นนี้เท่ากับว่าเราไม่มีน้ำใจนักกีฬา เป็นการเอาเปรียบเพื่อน  แต่เมื่อมันเป็นความผิดครั้งแรก ผมก็ให้อภัย และจากนี้ขออย่าได้กระทำอีก เพราะหากวันหน้าเรากระทำการทุจริต ในการสอบเข้ารับราชการ มันมีความผิดทางอาญาอีกด้วยในขณะที่เขาพูดคุยกับผม นัยตาเขาแดง  พร้อมมีน้ำตาไหลลงข้างแก้มเป็นระยะๆ

        "ถ้าวิชานี้ ได้เกรด D แล้วเราจะจบมั้ย "

        "จบครับ  "

        "งั้น เกรดของคุณ จะให้ได้เพียง D เท่านั้นนะ ทำใจให้สบาย ผมสัญญา ครับ ""

         "ครับ ไม่เป็นไร  " เขาตอบ   

         ผมให้เกรดนศ.ตามสัญญา แต่ดูเหมือนอาจารย์มงคล ไม่สู้จะพอใจผม เพราะผมไม่ปฎิบัติตาม คำบอกที่เขาเคยคุยกับผมไว้ นศ.คนนั้นได้จบการศึกษาและสามารถไปสอบเรียนต่อจนจบปริญญาตรี และมีหน้าที่การงานในจังหวัดเชียงใหม่ จากคำบอกเล่าของนักศึกษาส่วนใหญ่ที่ผมได้ยินได้ฟังมา ส่วนใหญ่ เขาไม่ค่อยจะชอบบุคลิกภาพของอาจารย์ มงคลมากนัก เพราะอาจารย์คนนี้ ขี้โอ่ วางมาด หยิ่งยโส มักใช้อำนาจบาตรใหญ่กับคนที่ตนไม่ชอบ มีอคติ ผูกใจและอาฆาตพยาบาท ตลอดเวลาที่ผมทำงานและร่วมงานกับเขาสรุปว่าทัศนคติระหว่าผมกับเขาไม่ค่อยจะลงรอยกันเลย สิ่งที่ผมไม่ชอบอย่างมากคือการที่เขาชอบข่มขู่กลั่นแกล้งกับนักศึกษา บ่อยๆครั้งที่เขาเรียกนักศึกษาไปคุยในห้องพักครู  เขามักจะแกล้งนัดหมายให้นักศึกษาไปคอยแต่ตัวเขาจะไม่อยู่รอพบ  พอนักศึกษารอไม่ไหวแล้วกลับหอพัก เขาก็จะบันดาลโทสะแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว

         เขามักนัดนศ.หญิงที่หน้าตาดี เพื่อเข้าไปคุยเรื่องการเรียนงานสอน ปัญหาพิเศษ คำพูดคำจาของเขา จะอ่อนหวานอารมณ์ดี หัวเราะต่อกระซิกสนุกสนานดังกับหนังคนละม้วน ยิ่งนานวัน ผมกับเขาเเสมือน ขมิ้นกับปูน มักจะกระทบ กระทั่งกันเสมอ ด้วยที่เขาถือไพ่ที่เหนือกว่าคือเป็นผู้บังคับบัญชา ผมจึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยตลอด นับแต่เขาประเมินความดีความชอบให้ผมอยู่ในลำดับสุดท้าย  ตลอดเวลาที่ทำงานเขาไม่เคยเสนอความดีความชอบให้ผมได้ขึ้นเงินเดือนสองขั้นเลยสักครั้ง เขาเคยบีบบังคับให้ผมและอาจารย์ในสังกัด ต้องไปนั่งประดับบารมี สร้างหน้าตาในความเป็นหัวหน้าคณะให้ ผมปฎิเสธที่จะไปนั่ง ผมไม่ยอมซูฮกกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ทั้งชีวิตราชการผมไม่เคยไปนั่งในห้องกับเขาเลย 

      สมัยที่ยังมีการเชคชื่อหน้าเสาธง ช่วงก่อนเข้าชั้นเรียน ในแต่ละวัน    ผมจะเห็นนักศึกษาต้องรีบวิ่ง กระหืดกระหอบมาเข้าแถว ให้ทันเวลาช่วงที่เขาเช็คชื่อ  หากนศ. คนใด มาไม่ทัน ขณะที่เขาขานชื่อไปแล้ว เท่ากับ     ว่าวันนั้น นศ. คนนั้น หมดสิทธิ์ ที่จะได้คะแนนเข้าแถว 5 คะแนน  การที่ผมต้องเช็คชื่อใกล้เขาทุกๆวัน จึงเห็นพฤติกรรม ที่แย่ๆจนรับไม่ค่อยจะได้ คำพูดคำจาของเขากับนศ. ดูเหมือนไม่ใช่คนเป็นครูเลยสักนิด     

       " ไอ้.คนนั้นน่ะ กลับไปเปลี่ยนกางเกงมาเสียก่อน เอ็งไม่ต้องมาเข้าแถวหรอก ถึงเข้าแถวก็ให้ไม่ให้คะแนน"เขาดุ และตะเพิดให้นศ. ให้กลับไปเปลี่ยนกางเกง ภาพที่ผมเห็นเขากระทำกับนศ. ทุกๆวัน ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึก  ไม่ชอบกับพฤติกรรมเช่นนี้ จริงๆคนเป็นครูน่าจะ พูดกับนักศึกษาด้วยเหตุด้วยผล  ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อารมณ์และอำนาจจนเกินขอบเขต 

       เมื่อผมมาทำงานในฝ่ายกิจการนักศึกษา ได้มีโอกาสแวะเยี่ยมนักศึกษาตามหอพักจึงได้รับรู้เรื่องราวพฤติกรรมของอาจารย์คนนี้ ในทางมิสู้จะดีนัก ประการแรกคือเรื่องการมีอคติกับนักศึกษา หากเขาไม่ชอบใครคนใดคนหนึ่ง ต่อให้เรียนเก่งขนาดไหน เขาก็สามารถทำให้คนๆนั้นสอบตกได้จากปลายปากกาอันไร้คุณธรรม และเช่นกันหาก นศ.คนนั้น เขาพอใจ แม้จะเรียนไม่เก่งเขาก็สามารถให้เกรด Bหรือ A ก็ได้เช่นกัน

           ไม่ว่าผมจะทำโครงการอะไร กิจกรรมอะไร   เวลาที่ผ่านขั้นตอนในการเซ็นต์หนังสือโดยต้องผ่านเขา  เขามักจะเตะถ่วงกั่นแกล้ง     ไม่ยินยอมเซ็นต์หนังสือให้   บ่อยครั้งเขาจะให้ นศ.มาตามให้ผมไปที่ห้องพักครูเพื่อชี้แจงแล้ววางอำนาจ จนผมต้องล้มเลิกโครงการ    เพราะรำคาญกับคนบ้าอำนาจ  และหยุมหยิมกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง     ทุกๆ ปีผมจะจัดให้นศ.ไปดูงานภายนอกเสมอ แต่ปัญหาที่เกิดคือ เขาจะไม่ให้ความร่วมมือและจะพยายามกีดกันที่จะไม่ให้ผมจัดดำเนินการให้สำเร็จ ลงได้   ผมต้องพยายามอดทน เพื่อให้งานบรรลุวัตถุประสงค์เป้าหมาย จึงยอมที่จะไม่กระทบกระทั่งกับเขา การที่นศ.ได้ไปดูงาน ย่อมเกิดประโยชน์   ทำให้หน่วยงานต่างๆได้ รู้จักสถาบันของเรามากขึ้น นี่จึงทำให้เขาเกิดความริษยา ที่เห็นว่าผมทำงานเด่นกว่า   ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่า เขาคิดไปได้อย่างไร..  ปํญหา การจัดทัศนศึกษา เกิดทุกๆปี แต่ผมก็ต้องยอมเจ็บปวด ยอดอดทน ก็เพื่อให้นศ. ได้ไปเปิดหูเปิดตากับโลกภายนอก

       . ผมจึงกล้าพูดได้ว่าผมคือคนแรกๆในวิทยาลัยแห่งนี้  ที่ได้บุกเบิก ให้นศ.  ไปทัศนศึกษา แรกๆที่จัด ก็จัดในจังหวัดเพื่อชิมลาง อาทิ บริษัทไทยน้ำทิพย์  โรงงานยู เอฟ ซี   บริษัทไอริซ วูด   โรงงานเซรามิค  การไฟฟ้าแม่เมาะ  ส่วนต่างจังหวัดที่พานศ.ไป มีจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ตาก เชียงราย   พิจิตร

      ปัญหาที่ผมเจอการกลั่นแกล้งที่หนักหน่วงในการจัดทัศนศึกษาที่สุด คือ หลังจากที่ผมดำเนินการประสานขอเข้าชมกับเจ้าของสถานที่ และได้รับการตอบรับแล้ว ผมจึงได้ไปประสานขอใช้รถบัสกับวิทยาลัยพยาบาล ลำปาง  และวิทยาลัยพละศึกษาลำปาง  หน่วยงานนั้นก็ให้ความอนุเคราะห์อย่างดี   

     ในปีนี้...กำหนดการช่วงเช้า ผมให้นศ ไปชมกิจการงานที่โรงปูนตราเสือ ที่อ. แจ้ห่ม ภาคบ่ายไปที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแม่เมาะ  ณ เวลานั้น โรงงานปูนซีเมนต์ เพิ่งเริ่มเปิดดำเนินการผลิตได้เป็นปีแรกๆ 

           ผมนัดเวลากับนศ. เพื่อเดินทางไปดูงานเวลา 8 .00น  คิดว่าหลังจากเข้าแถวหน้าเสาธงเสร็จ  เราก็เดินทางไปดูงาน ในทันที  รถจากวิทยาลัยทั้งสองแห่ง มารอที่หน้าตึกอำนวยการตั้งแต่7.00น ผมเข้าไปดูแลเขาสักพัก จากนั้นก็ขอตัวมาทำหน้าที่เช็คชื่อ และประกาศให้นศ. รับทราบข้อมูลต่างๆ พร้อมบอกนศ.สาขาที่ผมสอนให้มาขึ้นรถบริเวณ     ด้านข้างคณะเกษตรกลวิธาน  "อาจารย์ครับ  วันนี้เพื่อนๆ ของผมอีกกลุ่มไปดูงานไม่ได้แล้ว "

       "ทำไม ไปไม่ได้ล่ะ  ก็อาจารย์ ขออนุญาตวิทยาลัย และขออนุญาตผู้สอนทุกคนแล้วนี้     "แต่อาจารย์ อัปมงคล  เขานัดนศ. สอบเก็บคะแนนครับ พวกเราจึงไปดูงานกันไม่ได้ "

      ผมถึงบางอ้อโดยทันที".อ้อ อย่างนี้..นี่เอง นศ. จึงโหรงเหรง" ผมพูดกับตนเองเบาๆ  เวลานี้ผมมีแนวคิดอยู่ 2ทาง คือล้มเลิกโครงการเลย พร้อมโทรไปแจ้งหน่วยงานว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ .. และเพื่อเป็นการตบหน้า หน่วยงานของผมที่ทำงานชุ่ยๆ และให้ไปไล่เบี้ยกับคนที่ทำให้เกิดปัญหาทำงามหน้า  เราจำต้องสั่งสอนไอ้คนเลวๆบ้าง เสียบ้าง

       แนวทางที่ 2 คือนำนศ .ไปดูงานตามปกติ แต่ต้องไปขอโทษหน่วยงานที่เขารอต้อนรับ  ผมเลือกแนวทางอย่าหลัง เพื่อไม่ให้เสียหน้าองค์กรของเรา ผมเรียกนศ.ให้ขึ้นรถตามปกติ ทุกคนขึ้นไปนั่งบนรถแบบสบายๆ ที่นั่งมีเหลือเฟือ ก่อนรถจะออกจากวิทยาลัย    ผมแวะเข้าไปหาเขาที่ห้องพักครู

                      " เลวมากนะพี่.. นี่มันเจตนาแกล้งผมชัดๆ   ไว้ผมกลับมาก่อน "

        เขานั่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แถมยักไหล่ยียวน กวนบาทา เพื่อจะทำให้โมโห  หลังจากผมพูดเสร็จ จึงรีบเดินไปขึ้นรถ ในใจผมในตอนนั้น อยากจะเอากำปั้นอัดปากไอ้เจ้านี่ ให้หายแค้นสักที ที่มันทำกับพวกเราได้  ผมต้องระงับความโกรธกับเขาจนนับครั้งไม่ถ้วน. ด้วยมีวินัยข้าราชการเป็นกรอบให้ผมต้องพึงระวัง...กับอารมณ์ของตน

     . เมื่อไปถึงโรงงานปูนซีเมนต์ ฝ่ายต้อนรับได้ออกมาต้อนรับขับสู้อย่างดียิ่ง ทั้งยังเตรียมอาหารกลางวัน  ไว้เลี้ยงจำนวนเกือบ 100 ที่ แต่เมื่อเขาเห็นนักศึกษามาเพียง 40 คนเท่านั้น  เขาถึงกับผิดหวัง  ผมต้องกล่าวขอโทษ กับหัวหน้าประชาสัมพันธ์ของโรงงานปูนซีเมนต์ หลังจากดูงานเสร็จแล้ว คงต้องบอกว่าผมค่อนข้างอับอายกับสิ่งที่วิทยาลัยกระทำ มันบ่งบอกถึงความแย่ของคนในองค์กรนี้

                                           ผมรู้สึกขยาด.กับสิ่งที่จะทำเพื่อนักศึกษาให้ได้รับความรู้อีกแล้ว  ตราบที่ผมยังได้หัวหน้าที่เฮงซวย และผมก็มิเคยยอมรับในความสามารถเขาเลย ยิ่งความเคารพศรัทธาที่มี  ก็ยิ่งไกลจากความจริง เขาเจริญก้าวหน้า จนขึ้นมาเป็นผช.ผอ. เพียงเพราะอาวุโสและมีพวกพ้องสนับสนุน เมื่อตำแหน่งหัวหน้าคณะว่างลง หากเรียงตามอาวุโสก็ถึงคิวที่ผมมีโอกาสจะได้ทำงานบ้าง แต่เขากับไปดึงคนจากต่างสาขาให้มาเป็นผู้บังคับบัญชา ผมอีกที  นี่..,มันเกิดอะไรขึ้น

       ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้ง ผมก็ขาดโอกาส ที่จะได้ทำงานด้านบริหาร  ก็ได้แต่ทำใจ ..      เมื่อเขาไม่ให้โอกาสในการทำงานภายในวิทยาลัย  ผมจึงมุ่งไปช่วยงานภายนอก และก็ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานทุกหน่วยงาน   จากที่ผมสังเกตตลอดมา หากนศ. คนใดที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา หรือเป็นที่ปรึกษางานด้านปัญหาพิเศษ เขามักจะมีอคติกับคนเหล่านี้ และต้องกลั่นแกล้งดึงเกมให้โครงการไม่ผ่าน หรือให้จบช้าลงกว่าคนอื่นๆ

         วันหนึ่ง ขณะที่ผมสอนนศ. ด้วยความเป็นห่วง จึงสอบถามถึงปัญหา ของแต่ละคน  สมบูรณ์ ซึ่งเป็นคนเงียบๆอยู่แล้ว กับยิ่งกับซึมเศร้ายิ่งขึ้น  จนผมอดซักถามเขาไม่ได้

     "เป็นไงเหรอ สมบูรณ์  เครียดอะไรหรือเปล่า "     

     "กลัว ไม่จบทันเพื่อนครับ""

    " สงสัยวิชาปัญหาพิเศษ ละสิ  "                         

      " ใช่ครับ  " เขาตอบ

     กรณี ของนายสมบูรณ์ ขนาดเป็นถึงหลานของ ผอ.สถาบันวิจัยฯ ที่เป็นเพื่อนร่วมงานในกรมเดียวกันแท้ๆ ก็ยังถูกเขากลั่นแกล้งได้สารพัด  จนเกิดความเครียดอย่างหนัก ถึงกับบอกกับป้าของเขาว่า อยากจะขอลาออกจากการเรียน  เพราะยังติดขัดกับการทำแบบสอบถาม ในวิชาปัญหาพิเศษ  ไม่ว่าจะทำการแก้ไขแล้วกี่ครั้งๆ  แล้ว แบบสอบถามก็ยังไม่เป็นที่ถูกใจเขาเสียที 

      "สมบูรณ์ เอาแบบสอบถม ไปให้ลุงช่วยดูและแก้ไขสิ" ป้าของสมบูรณ์ แนะนำหลาน ชายให้ไปหาลุง ที่จบดุษฎีบัณฑิตจากเมืองนอก  และยังพักในบ้านพักหลังเดียวกัน  สมบูรณ์ได้ปรึกษาและให้ลุงช่วยแก้ไขจนเสร็จ   จากนั้นจึงนำเอาแบบสอบถามไปให้อ.มงคลตรวจ    "ยังไม่ถูกกับไปแก้ไขใหม่"  เขาพูดกับสมบูรณ์ อย่างไม่ใยดี  ทั้งไม่บอกแนวทางแก้ไขให้ถูกต้องอีก  สมบูรณ์รับเอางานกับไป ด้วยสีหน้าละห้อย  เหมือนคนตายซาก  นัยตาเขาแดง ดังกับนกกะปูดที่โหยหาน้ำกิน ยามหน้าแล้ง

    ดร.เลิศบุญ ซึ่งเป็นลุงของสมบูรณ์ รับไม่ได้กับพฤติกรรมของเขาถึงกับต้องมาเฉ่งเขาถึงห้องทำงาน

    "คุณเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเด็ก แทนที่อะไรๆที่ยังไม่ถูกต้อง คุณควรต้องชี้แนะให้เด็กเขาได้รู้ แต่นี้คุณกับโบ้ยใบ้  กดดัน ข่มขู่ กลั่นแกล้งเขาทุกวิธี  นี่ขนาดผมลงมือแก้ไขแบบ-สอบ ถาม ให้เด็กแล้วคุณก็ยังไม่ถูกใจอีก ไหนผมอยากถามคุณหน่อยว่าทำแบบไหนมันจึงจะถูกใจคุณ"เมื่อเจอนักวิจัยตัวจริงและเป็นผู้บริหารระดับหน่วยงาน    มาซักถามเขาด้วยตนเอง ทำให้อาจารย์มงคล ถึงกับนิ่ง และอึ้งไม่ตอบหรือชี้แจงอะไร  ในที่สุดสมบูรณ์สามารถทำปัญหาพิเศษ และจบการศึกษาได้ 

     แต่..สันดานคนมันฝังรากลึกจนแก้ไขไม่ได้แล้ว  เขายังมีพฤติกรรมก้าวร้าวกับนศ ตลอด ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียน ..  ผมก็ไม่เข้าใจว่าเขามีปมด้อยอะไร ในสมัยเรียนหรือเปล่า    ในวิชาสัมมนาและปัญหาพิเศษ ทุกครั้งเมื่อมีการสอบปากเปล่า โดยให้นศ .นำเสนอผลงาน นศ ทุกรุ่นต้องตัวเก็ง วิตกกังวลและกลัวคำถามที่เขาจะตั้งคำถามเสมอ ส่วนใหญ่ถ้าหากผมเลี่ยงที่จะไม่มาเป็นกรรมการสอบได้  ผมก็อยากจะเลี่ยง  เพราะบางทีมันอดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ กับคำถามที่เขาถามนศ. แบบเอาเป็นเอาตายและกดดัน  กับ นศ.อย่างมาก    นศ. เรียนเพียงแค่ระดับปวส.  แต่นี่เขาทำเสมือนว่าเขากำลังสอบปากเปล่าวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท  อาจารย์ทุกคนไม่กล้าหือรือกับเขา  ว่าไงก็ว่าตามเขาทุกประการ  แต่ผมรับไม่ได้.  ผมจะแสดงอาการ และกิริยาที่ผมไม่พอใจกับการตั้งคำถามของเขาที่เป็นคำถามเชิงลองภูมิและยากเกินกว่าที่นศ จะตอบได้   หลายๆครั้ง ผมจะออกมาช่วยพูดแก้ต่างให้นศ.  ต้องบอกว่า เมื่อถึงกำหนดสอบปากเปล่าทุกครั้ง ผมจำต้องแบกรับความเครียดมา  ไว้กับตัวเองไม่แพ้ นศ.เลยสักนิด

       ในปี2529 -30 ซึ่งผมเป็นอาจารย์ ที่ปรึกษาของ นศ.สาขาเศรษฐศาสตร์ ปีสุดท้าย….. ส่วนใหญ่ผู้ลงทะเบียนเรียนทุกคนเครียด  ทุกๆขั้นตอนของการทำงาน.จำต้องให้เขาตรวจรอบสุดท้ายเพื่อพิจารณาทำปัญหาพิเศษได้   ความรวบรัด ผูกขาดอำนาจ จะอยู่ที่เขาเพียงผู้เดียว นศ กว่าครึ่งที่เรียนในสาขานี้ พอเริ่มลงทะเบียนในวิชาปัญหาพิเศษ ทุกคนต่างเครียดไม่เป็นอันกินอันนอน เวลาผมเข้าสอนนักศึกษา ได้สังเกตเห็นว่า หลายๆคนรู้สึกจะมีความทุกข์  ผมก็ได้แต่เห็นใจ และสงสาร ทุกกลุ่ม ทุกคนที่มีปัญหา ผมจะมาช่วยให้คำแนะนำ แต่จะช่วยเหลืออย่างไร ก็ไม่ถูกใจเขาเลย    ที่งงไปกว่านั้น.บ่อยๆครั้ง ที่เขาแนะนำให้นศ.ทำอย่างนั้นอย่างนี้ พอนศ. ทำตามคำแนะนำ 

                      "ใครบอกให้ทำอย่างนี้วะ "

                     " ผมทำตามคำแนะนำของอาจารย์ทุกอย่างเลย.. นี่ไงครับ.. อาจารย์เขียนตัวอย่างให้ผมดู  นี่เป็นลายมือของอาจารย์เองนะครับ  "  น.ศตอบและนำเอาตัวอย่างให้เขาดู เขาจึงอ่อนข้อ ยินยอมให้ผ่านได้ แต่ในใจเขายังคงแค้นเคือง  ที่นศ ฉีกหน้าเขาจนหมอไม่รับเย็บแผล 

              นศ  ในความดูแลของผม ไม่ว่าจะเป็น   วันรบ กฤษดา     สุริยา  ไกรศร  ฯลฯ  ต้องเสียเวลาต้องเครียด ต้องถูกกลั่นแกล้งสารพัด ทุกคนที่เอ่ยมาเป็นคนเรียนดี มีความประพฤติดีแต่มาเจอคนอัปรีย์ ที่ไม่มีจิตวิญญาญของความป็นครู ไร้จรรยาบรรณ มีปมด้อย และอาจเป็นโรคจิตชนิดชอบแกล้งให้คนอื่นและตัวเองมีความสุข  โ ดยหลักที่ดีของครูที่ควรกระทำคือ ต้องรักและเมตตาศิษย์ โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือส่งเสริมให้กำลังใจในการศึกษาเล่าเรียนแก่ศิษย์โดยเสมอหน้า อบรมสั่งสอน ฝึกฝน สร้างเสริม  ความรู้ ทักษะและนิสัย ที่ถูกต้องดีงาม ให้เกิดแก่ศิษย์ .ต้องประพฤติ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ และ ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ ทางกาย จิตใจ อารมณ์และสังคมของศิษย์  ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ผู้บริหารเคยใส่ใจและเคยหันมาสดับตับฟังปัญหาของนศ ที่เขามีต่ออาจารย์ในวิทยาลัยหรือไม่ ในแต่ละปี นศ ต้องลาออก ต้องหมดอนาคตไป ครอบครัวของเขาต้องสูญเสียเวลา ...เศรษฐกิจไปไม่รู้เท่าไหร่....

     ผมพอจะรู้ว่า กฤษฎา  ไกรศร  สุริยา และวันรบ  ซึ่งเป็นนศในการดูแลของเขา ในวิชา ปัญหาพิเศษ เกิดการปีนเกลียว กับเขาตั้งแต่เริ่มแรกของการทำโครงการ   นศ .ทั้งสองกลุ่ม เข้าไปเสนอโครงการภายในห้องทำงานของเขา ทั้งสี่คนได้รู้ถึงนิสัยใจคอของเขาเป็นอย่างดี ผมเคยบอกกับลูกศิษย์ทั้งสี่คนว่า หากเข้าไปพบเขา ควรมือไม้อ่อน  ยอมอ่อนข้อให้เขา เพราะสันดานไอ้นี่ หากเขาไม่ชอบใคร มักจะชอบข่มขู่ กดดัน อคติ  ทุกคนก็ยินยอมที่จะปฎิบัติตาม 

                       " เฮ้ย ได้หัวข้อที่จะทำวิจัยหรือยัง (ปัญหาพิเศษ )  " คำถามที่เขาถามมาที่กฤษฎากับไกรสร ด้วยคำพูดคำจาที่น่าจะให้ไปอยู่ชายแดนเบตง จังหวัดยะลา

                       "ได้แล้วครับ"

                       "เรื่องอะไร "

                     "การศึกษาต้นทุน เกี่ยวกับการผลิตลำใย ในเขตท้องที่ อ. เมือง จังหวัดลำพูน ครับ"

          ผมเฝ้าสังเกต และห่วงใยลูกศิษย์ทั้งสี่คน ทุกครั้งที่เขาเข้าไปในห้องพักครู เพื่อพูดคุยการทำปัญหาพิเศษ   เขาต้องหน้าซีดหน้าเซียว ตัวลีบ หน้าบูดออกจากห้องดับจิตเสียทุกครั้ง      "ไอ้ บ่ะห่าเนี่ยะ ฮาใคร่ตีปากแม่ง  แต้นา "  สุริยา สบถ ภายในหอพักลุงคำมูล  ซึ่งผมได้ยินกับหูตนเอง ขณะไปเยี่ยมจึงคาดเดาไปว่า สุริยาคงน่าจะอดกลั้นที่ อ.ที่ปรึกษาเขาคงดุด่า ดึงเกม กลั่นแกล้ง ที่จะทำให้เขาไม่จบภายในเวลา  วันลบ ซึ่งทำงานร่วมกับสุริยา หน้าตาคร่ำเครียดตลอด  ไม่มีกะจิตกะใจที่จะไปซ้อมบาส ทั้งๆที่เขาเป็นคนสนุกสนาน     ผมในฐานะโค้ชบาส เคยถามวันรบว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ค่อยมาซ้อมวันรบตอบว่า ยุ่งๆ กับการทำงานวิชาปัญหาพิเศษ  ผมจึงยอมผ่อนปรน และให้กำลังใจ พร้อมบอกกับเขาว่า หากมีอะไรจะให้ช่วยได้ ก็ไปหาที่ห้องหรือที่บ้านได้ทุกเวลา..

    สองเดือนผ่านไป...หลังจากเปิดเรียน ในเทอมสุดท้าย นศ สองกลุ่มที่ทำปัญหาพิเศษ ในความดูแลของ อ.อัปมงคล แทบจะไม่มีสมาธิในการร่ำเรียน โดยเฉพาะกฤษดา ที่วาดความฝันว่าจะทำงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์   ผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับต้นๆ ของห้อง แต่ต้องมาพะวักพะวน กับวิชา "ทำลายอนาคตพิเศษ"   กลุ่มอื่นๆ เขาทำเดินหน้าไปแต่ทั้งสองกลุ่มยังย่ำเท้า และถอยหลัง

       " ผมบอกให้ทำแบบสอบถามย้อนหลัง 15 ปี แล้วทำไมไม่เชื่อ  ถ้าไม่ทำตามที่ผมบอก..ผม ก็จะไม่ให้ผ่าน " 

         " มันเป็นไปไม่ได้เลยครับอาจารย์ ตั้ง15 ปี เกษตรกรที่ไหนเขา จะบันทึกราย ละเอียดค่าใช้จ่ายจนถึงขนาดนั้น  ผมขอถามอาจารย์หน่อยว่า 2 -3ปี ที่ผ่านมาครอบครัวของ อาจารย์มีการบันทึกรายรับ รายจ่าย ละเอียดถึงขนาดนั้นเชียวหรือ "กฤษดาตอบ  โดยเฉพาะการทำแบบสอบถาม กว่าอาจารย์ที่ปรึกษาจะยอมให้ผ่านได้ ทั้งสองกลุ่ม ต้องกุมขมับ แก้แล้วแก้อีก  หมดเงินค่าจ้างพิมพ์ ไปไม่รู้เท่าไหร่  ไอ้คนดีใจ ภูมิใจ  และชอบใจกับพฤติกรรมตนเองคือ อาจารย์ที่ปรึกษา   

     ต้องบอกว่านศ.  สองกลุ่มนี้ไม่เป็นอันกินอันนอน เดี๋ยวก็ต้องเข้าไปพบๆ อ.ที่ปรึกษา ผมรู้สึกจะไม่ค่อยมีความสุขมากนัก มันทำเกินไปจริงๆ  บอกตรงๆ ว่าผมอยากจะเข้าไปต่อยปากมัน บ่อยๆ ครั้งที่ผมอดใจไม่ไหว ..แต่ก็ต้องระงับอารมณ์

                "นายกฤษดา นายไกรสร เธอทำข้อมูลสัมภาษณ์ เพื่อจะมาประเมินผลกี่ชุด"

                " 500  ชุด ครับ"                         " ไหน เอาดู ซิ "    กฤษดา นำเอาตัวอย่างแบบสอบถาม ยื่นไปให้เขา

               "มั่ว นี่หว่า อ้าว แล้วนี่มันลายมือ คนเขียนคนเดียวกัน ถ้าจะยกเมฆ เวียนเทียนแน่ๆ เลยไอ้พวกนี้ "  เขาพูด       

      "แล้วนี่ .ข้อมูลมันไม่ครบ  มันจะหาค่าเฉลื่ย  ได้ไง    " 

                      "ได้สิครับ ผมคิดว่าผมจะใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น ได้ไง  "

                    " ใครสอนคุณ   "                          "  ก็อาจารย์ นั่นแหละ   "

                     " กับไปทำมาใหม่ทั้งหมดเลย" นี่คือคำตอบชุ่ยๆ ของคนบางคน ที่อ้างตนว่าเป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษา  ณ เวลานั้น  นศ ที่ทำปัญหาพิเศษ กลุ่มอื่นๆได้ นำเสนอผลงานและผ่านอาจารย์ที่ปรึกษาของตน จนได้ลงลายมือไว้ในรูปเล่มจนเรียบ ร้อยแล้ว  แต่ทั้งสองกลุ่มของกฤษดา และสุริยา  ยังเสมือนเรือเกลือ คืองานยังไม่รุดหน้า  กฤษดา ยังคงติดตามงานปัญหาพิเศษ  เขาคิดว่าหากยังมีที่ปรึกษาคนเดิมชาติหน้า เขาก็คงไม่จบ จึงเข้าไปพบผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการแนะนำว่าต้องเริ่มต้นใหม่ กฤษดารับกับข้อแนะนำจากผอ .ไม่ได้ เขาจึงขอลาออก  นี่คือ...การแก้ปัญหาแบบขอไปที ของตัวบุคคลที่ปัดสวะไปให้พ้นทาง... 

       จากคำตอบ  "ที่กฤษดา ย้อนไปที่ปรึกษาปัญหาพิเศษ   " ก็อาจารย์นั่นแหละครับ ที่สอนพวกผม" คงน่าจะทำให้เขา เกิดอารมณ์โกรธ และแค้นฝังใจนับแต่นั้นเป็นต้นมา  ในที่สุดไกรสร จึงลาออกไปประกอบอาชีพส่วนตัว ผมมาทราบข่าวว่าเขาไม่จบเมื่อสองปีที่แล้ว ในงานพบปะสังสรรค์ เลี้ยงรุ่น จึงไม่อยากรื้อฟื้นอะไร

           สำหรับกฤษดา ที่ถูกดับอนาคตและความฝันไปในชั่วพริบตา เนื่องจากเขากำลังจะสอบบรรจุเป็นพนักงานธกส.ในสาขาแห่งหนึ่งของภาคเหนือ   และด้วยผลการเรียนดี กิจกรรมดี แนวโน้มการสอบบรรจุจึงไม่เกินใฝ่คว้า ได้  จึงน่าเสียดายแทนเขาเป็นอย่างยิ่ง เขาต้องกลับไปใช้วุฒิ ม.6 เหมือนเดิม . จังหวะเดียวกันนั้นที่  มสธ. เปิดรับสมัครให้เรียนทางไปรษณีย์เขาจึงลง เรียนคณะวิทยาการจัดการนี่คือฝันร้ายของนศ. จำนวนหนึ่งโดยเฉพาะ กฤษดา  เกรียงไกร  และวินัย สายคำมาตย์  ( ผมจะเขียนอีกตอน ) 

          ผมไม่อยากเชื่อว่าในสังคมการศึกษาบ้านเรา ยังมีคนในร่างสัตว์  ที่กินเงิน เดือนภาษีของประชาชน  แล้วยังกร่างซ้ำบ้าอำนาจ  โดยเฉพาะบุคคลคนนี้  ทั้งชีวิตในราชการของเขา หาได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจนไม่   ยิ่ง ตอนหลังยิ่งมีอำนาจมากขึ้น เขากับผมยิ่งกระทบกระทั่งกันมากขึ้นๆ (รออ่าน ตอน ดับอนาคตนายวินัย ชายผู้น่าสงสาร) งานเลี้ยงเมื่อสองปีก่อน  ความจริงและความลับก็ได้ถูกเปิดเผย เมื่อผมถาม กฤษดาด้วยตัวผมเอง

          "เป็นไงบ้าง ..ดา ตอนเรียนเทอมสุดท้าย  กับวิชาปัญหาพิเศษ  " "ผมไม่จบครับ "  กฤษดา ตอบกับผม สีหน้าแววตาเขาเริ่มแสดงว่า มีอารมณ์ค้างคาใจ ในขณะที่เรากำลังเตรียมกับแกล้มมางานเลี้ยง ที่ร้นอาหารปลาสด ที่สันทราย

           "เฮ้ยอย่าล้อเล่น น่าโว้ย"  ผมพูด เพราะไม่เชื่อคำพูดของเขา

        .จากที่ผมเคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน ย่อมรู้ถึงจิตใจของน้องชาย(ลูกศิษย์) คนนี้ ผู้ที่ต้องปวดร้าวมากว่า 30 ปี

        " อดีตที่มันน่าขมขื่นใจที่ผมไม่อยากจำ แต่มันก็ฝังใจจำ เพราะมันทำให้พวกผม ต้องอนาคตดับวูบไอ้โตยิ่งไปใหญ่. "  ผมมองย้อนไปเกี่ยวกับระบบการศึกษาเดิมๆ  ที่จริงแล้ว เราไม่ต้องไปลงทุนลงแรงเรียนขนาดนั้นเลย เทียบกับสมัยนี้ แค่มีความรู้ไว้ต่อสู้กับชีวิต มันสอนให้เรามองมุมของชีวิตแต่ละคนเข้าใจง่ายขึ้น ผม.เลิกซีเรียด กับเรื่องนี้ไปนานแล้วครับ .ทุกวันนี้ผมคิดเพียง ว่ามันคงเป็นกรรมเก่าที่ผมได้ทำ แต่ชาติปางก่อน  ทุกวันนี้ผมยังสงสารเพื่อนผมคนนั้นครับ "กฤษดา พูดถึงเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขในอดีตด้วยกัน" ผมอึ้ง นิ่งและต้องสะดุด นึกโกรธตนเองที่ไปสะกิดแผลเก่า ของลูกศิษย์โดยไม่ตั้งใจ   นี่คือเรื่องราว ในช่วงหนึ่ง เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ที่มีอาจารย์คนหนึ่งอยู่ในร่างอมนุษย์... ที่เขาสามารถ ฆ่าลูกศิษย์ของเขาให้ตายทั้งเป็นไป ต่อหน้าต่อตา....

                                             ขลุ่ย บ้านข่อย   15 - 3 -  2561

     

      
     

     

                                                      ผู้สร้างหรือผู้ทำลาย

               นับตั้งแต่วันแรก ทีผมมารายงานตัวเข้าทำงาน หลังจากพบผู้อำนวยการ และได้พูดคุยมอบหมายงานให้ผมทำแล้ว  ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิชาการ ในขณะนั้น จึงพาผมไปพบกับหัวหน้า สาขา ชื่อ อ.มงคล  ณ ห้องพักครูที่เป็นห้องทำงานของฝ่ายกิจการนักศึกษา   

         "นี่ไงครับ อาจารย์ อัปมงคล " ผช.ผอฝ่ายวิชาการ  ผายมือและพูดแนะนำตัวเขาให้ผมรู้จัก

         "สวัสดีครับ "  ผมยกมือไหว้เขา  จากที่ผมเห็นบุคลิกของอาจารย์คนนี้ ที่จะมาเป็นผู้บังคับบัญชาผม ดูแล้วท่าทางกวนๆ ไหล่เอียงๆ  เต๊ะท่า หยิ่งยะโสเอาการ เขานั่งที่โต๊ะทำงาน ในขณะที่บนโต๊ะมีกองสมุดหลายกองสุมจนเกือบท่วมหัว..ตั้งแต่นาที แรกที่ผมเจอ  มองดูเขาแล้วน่าหมั่นไส้ กับการแอ๊คอาร์ตอย่างมาก    ก่อนหน้าผมไปพบกับผู้อำนวยการ  ผู้อำนวยการยังดูมีกิริยาสุภาพ เรียบง่าย  เป็นกันเอง ไม่ถือตัว ผิดกับเขาคนนี้ที่จะมาเป็นผู้บังคับบัญชาเบื้องต้นของผม   เพียงแค่มาทำงานก่อนผมเพียงสามปีเศษ  จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าสาขา    แต่วางท่าวางทางใหญ่คับฟ้า เสมือนตนเป็นอึ่งอ่างพองตัว ตอนเจอวัว ในนิทานอิสป  เมื่อ ปี2525 ที่ผมมาทำงานใหม่ๆ อาจารย์ในสาขานี้ มีเขามี . อ.ขวด  อ. วิทวัส  อ.จิตไสว    จึงวิเคราะห์ได้ว่า เหตุผลที่เขาได้เป็นหัวหน้าสาขาเพราะความอาวุโสทั้งยังจบจากสถาบันเดียวกันกับ ผอ. แม้ในใจ  จะรู้สึกว่า ไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าเขา แต่ด้วยที่เราต้องมาทำงานร่วมกัน  จึงต้องยอมอดทน

         "เดี๋ยวคุยกับพี่เขานะ  หากมีอะไร จะให้พี่ช่วยได้ ก็ขอให้ไปพบที่ห้องฝ่ายวิชาการได้ทุกเวลา "  ผช ผอ, ฝ่ายวิชาการ พูด  ก่อนขอตัวไปทำงานต่อ 

     เมื่อผมนั่งเก้าอี้แล้ว   เราก็เริ่มสนทนา เรื่องหน้าที่ การงานกันโดยทันที ขณะนั่งคุยสายตาผมก็มองรอบๆ บริเวณห้อง คะแนว่า ห้องนี้น่าจะมีคนนั่งสามคน เพราะมีโต๊ะทำงาน สามมุม   แต่ละห้อง จะมีที่กั้นบังตา  เพื่อให้ทุกคนมีสมาธิในการทำงาน  ในห้องของเขา มีตู้เก็บเอกสารสีเทาๆ  ด้านหลังที่ติดผนังมีรูปวิวขนาดใหญ่ มีนาฬิกาอยู่ในกรอบภาพ    บนโต๊ะมีที่ใส่ดอกเล็กประดับ

         "ในวันจันทร์หน้า จนถึงวันพฤหัส  ไปช่วยคุมสอบน ศ. กับผม ที่ห้องพ.1 ติดกับห้องสมุดนะ  "  เขาพูดด้วยเสียงดังและห้วน 

        "ครับ "  ผมตอบ

        "กว่าอาจารย์จะได้สอนนักศึกษา ก็คงประมาณปลายๆ เดือนตุลา โน่นแหละ ผมให้คุณสอนวิชาธุรกิจเกษตร ชั้นปีสุดท้ายที่จะจบแล้ว"

    หลังจากที่เราได้คุยกัน   และเขาได้มอบวิชาสอนให้ผมแล้ว  ผมจึงขอตัวกลับไปที่ห้องทำงาน    ดูท่าทางเขาเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง  วันแรกผมได้รู้จักผู้ช่วยผู้อำนวยการ ทั้งสี่ฝ่าย ทุกคนทำตัวสบายๆ ไม่ได้ ทำตัวให้มีช่องว่าง ว่าเป็นการแบ่งชนชั้น ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลงานแผนกพัสดุ และงานบัญชีฟาร์ม   .

          เมื่อถึงวันสอบของนักศึกษา ผมจำได้ว่าผมมาคุมสอบที่ห้อง พ1   นักศึกษาที่เข้าสอบ วันนั้น มีประสงค์  (ปลัดติ๊ก) คนหนึ่งที่เขาถูก อ. อัปมงคล เอ็ดตะโร   นับแต่วันแรกที่ทำหน้าที่ ผมได้พยายามทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด โดยช่วยแจกข้อสอบ เดินนำใบรายชื่อให้นศ.ลงลายมือชื่อเข้าสอบ เก็บข้อสอบ แต่สิ่งที่ตะขิตตะขวง ใจ  และงงๆ คือ อาจารย์อัปมงคล ใช้วาจากับนักศึกษาไม่สู้จะสุภาพ "เฮ้ย.ไอ้คนนั้น จะเข้าสอบไม๊ ไม่ต้องดูแล้วล่ะหนังสือ ทำไมก่อนสอบจึงไม่ดู วะ"   บอกตรงๆว่า ผมรู้สึกไม่ค่อยประทับใจคำพูดของเขาที่มีต่อนักศึกษาเลยสักนิดเดียว

       ในวันหนึ่ง ผอ. ได้เชิญบุคลากร ในคณะที่ผมสังกัดมาพูดคุยหารือ กัน

           "ผมมีความเห็นว่า ในวิทยาเขตของเรา ในขณะนี้ มีผลผลิต และผลิตภัณฑ์ ออกมา    มากมาย อย่างเช่นไข่ไก่  นมวัว ไก่เนื้อ  ดอกไม้ของแผนกพืชสวน  เห็ด เต้าเจี้ยว  ซีอิ๊ว ผลไม้กระป๋อง  ไวน์  หากเราขายแต่เพียงภายในวิทยาเขต สินค้าจะคงเหลือและเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นผมจึงของฝากให้คณะเศรษฐศาสตร์ และสาขาการถนอมอาหารได้ไปช่วยกันคิด ช่วยกันวางแผนที่จะระบาย ขายสินค้าสู่ภายนอก เพื่อเผยแพร่ให้คนรู้จัก  มากขึ้น "

        ทุกคนในที่ประชุมจึงมีมติ มอบหมายให้ผม เป็นเลขานุการด้านการจำหน่ายสินค้า โดยให้ผมจะต้องประสานกับสาขาต่างๆในวิทยาเขต เพื่อนำสินค้าดังกล่าวไปขายในชนบท  ในเมือง -ชุมชนต่างๆ  และพื้นที่ต่างอำเภอ โดยใช้รถยนต์พร้อมเครื่องขยายเสียง เพื่อบอกกล่าวประชาสัมพันธ์ สินค้า โดยผมจะนำสินค้าออกจำหน่ายทุกๆช่วงเย็นและวันเสาร์ อาทิตย์

    ณ เวลานั้นผมสนุกกับการทำงานที่ท้าทาย ทุกๆบ่ายโมงทางแผนกต่างๆ จะนำเอาผลผลิตมาส่งให้ผมที่หน้าตึกอำนวยการ  ผู้อำนวยการมอบรถยนต์นิสสัน สีน้ำเงินไว้ใช้กิจการนี้ สินค้าที่มีทุกวันคือไข่ไก่   นมวัวพลาสเจอไรท์ บรรจุถุง   ข้าวเกรียบ เห็ด  ดอกกุหลาบ เบญจมาศ และเยอร์บีรา  ผักคะน้า กระหล่ำปลี  มะเขือเทศ ข้าวโพด  เต้าเจี้ยว ซอสมะเขือเทศ   ซีอิ๊ว 

     

      ทุกๆสถานที่ที่ผมไม่เคยไป โชเฟอร์จะพาไป ไม่ว่าจะเป็นที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแม่เมาะ ที่ทำการอำเภอ แม่ทะ ฯลฯ ปัญหาช่วงแรกๆไม่มี แต่หลังจากผู้อำนวยการ ขอย้ายตัวเองไปจังหวัดนครศรีธรรมราช  อันเกิดจากปัญหาการรับน้อง   ผมจึงถูกอาจารย์ด้วยกันลอยแพ  ไม่มีคนให้ความสนใจ ช่วยเหลือ ความร่วมมือที่เคยมี ก็เมินเฉย 

      ก่อนที่ผอ.จะย้ายไปจากลำปาง ได้มอบหมายให้ผมไปประสานงานที่เทศบาลนคร  ขอเช่าแผงเพื่อนำสินค้าไปขายแทนการใช้รถยนต์เคลื่อนที่ดังแต่ก่อน 

     สิ่งที่เคยตื่นตัวกันทำงาน พอเปลี่ยนหัวหน้า  งานต่างๆ ก็สะดุด สินค้าที่เคยนำมาให้ขายก็ขาดๆ หยุดๆ  ค่าเช่าแผง และค่าจ้างคนขายต้องจ่ายทุกๆ เดือน คนที่รับผิดชอบหลักคือ อ.อัปมงคล กับไม่เคยออกมาช่วยเหลือใดๆ คอยแต่รับความชอบ แต่ไม่เคยออกมารับผิดชอบ   จากปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น คือร้านค้าประสบปัญหาขาดทุน  ในที่สุดโครงการนี้ต้องเลิกทำ เสียงครหาค่อนขอดจากพวกมือไม่พาย เข้าหูผมเป็นระยะๆ นี่มันไม่ใช่ผู้นำที่ดีเลย.เขาเอาเรื่องปัญหา การขาดทุน ไปเม๊าท์ ในวงเหล้าว่าผมเอาเงินไปใช้จ่าย ทั้งๆที่บัญชี รายรับ-รายจ่าย  เป็นหน้าที่ของ ลูกจ้างที่เราจ้างมาโดยตรง ผมรู้สึกไม่ค่อยจะชอบกับความเห็นแก่ตัวของเขามากขึ้น    ปีแรกของการทำงานซึ่งผมยังไม่มีสิทธิ ในการพิจารณาความดีความชอบ ในที่ทำงาน มองว่าหากผมได้สิทธิในการประเมินความดี  ผมอาจมีสิทธิได้รับการประเมินสองขั้นแน่นอน เพราะมีผลงานเด่นชัดมีการทุ่มเท และจริงจังกับหน้าที่การงาน    ... 

        การที่ผมสัมผัสกับ นศ. ทุกๆรุ่นจึงพอที่จะได้รับรู้ข้อมูลว่า อาจารย์คนนี้เป็นอย่างไร  และยิ่งได้มาเห็นกับตาตนเองบ่อยๆ ครั้งจนนับไม่ถ้วน  ครั้งแรกที่ผมพบคือ เมื่อผมต้องเข้ามาในห้องทำงานแผนกสวัสดิการ ที่เขาต้องทำหน้าที่ดูเบิกจ่าย จดหมาย โทรเลข พัสดุภัณฑ์ และธนาณัติ   ให้กับนักศึกษา

        "เฮ้ย ไอ้ห่า นายคนเนี่ยะ เอ็ง(มึง) จะมารับอะไรวะ " เขาพูดเสียงดัง ด้วยคำพูดแบบเป็นกันเอง แต่ผมอาจจะไม่คุ้นมากนัก

       "มารับจดหมายลงทะเบียนครับ "           

        "เอาบัตรนักศึกษามาหรือเปล่า             

      "ไม่ได้เอามา ครับ"

       "งั้นกลับไปเอามาก่อน ถึงจะจ่ายให้ "

      จริงๆ แล้วคำพูดคำจา ของเขาค่อนข้างจะไม่สุภาพ  กระโชกโฮกฮาก ดุดัน ก้าวร้าว ใช้อำนาจข่มขู่นศ.สารพัดแต่ไม่มีใครสักคน  ที่จะกล้าพูดบอกกล่าวเขาเลย   

     

    หลังจากที่ผมได้สอนวิชาธุรกิจเกษตร กับ นศ รุ่น 9 เป็นครั้งแรก  ก็ต้องเจองานที่ทำให้ผมต้องเครียด เพราะบังเอิญ นศ ได้กระทำการทุจริตในการสอบ กรรมการคุมสอบ บันทึกข้อความว่า 

          "นศ ได้กระทำการทุจริต แต่เขากำลังจะจบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ดังนั้นขอให้อาจารย์ผู้สอนได้ใช้ดุลพินิจ ในการพิจารณาตัดเกรดด้วย   "

            เรื่องนักศึกษาทุจริตในการสอบนี้ เป็นที่รู้กันในกลุ่มของอาจารย์โดยทั่วไป การที่ผมมาเป็นอาจารย์ใหม่ จะทำอะไรก็จำต้องดูทิศทางให้ดี เสียก่อน ผมรอวันสุดท้ายที่จะส่งเกรดได้พยายามปรึกษากับอาจารย์อาวุโส  ก่อนหน้านี้สองวัน อาจารย์อัปมงคล ได้เชิญผมไปพบพร้อมบอกว่ากรณี ที่นศ.ทุจริตในการสอบครั้งนี้ จะต้องให้ให้ ติด Fสถานเดียวเท่านั้น  ผมรับฟัง แต่.ผมจะปฎิบัติหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจผมเท่านั้น   

     นศ คนนั้นมาหาผมที่บ้าน   เขาไหว้ขอโทษ และสำนึกผิด  ผมได้บอกเขาไปว่าการกระทำการเช่นนี้ มันเป็นเรื่องสปิริต การกระทำเช่นนี้ เท่ากับว่า เราไม่มีน้ำใจนักกีฬา  เราเอาเปรียบเพื่อน  แต่เมื่อมันเป็นความผิดครั้งแรก ผมก็ให้อภัย และจากนี้ ขออย่าได้กระทำอีก เพราะหากวันหน้าเรากระทำการทุจริต ในการสอบเข้ารับราชการ มันมีความผิดทางอาญาอีกด้วย  ในขณะที่เขาพูดคุยกับผม นัยตาเขาแดง  พร้อมมีน้ำตาไหลลงข้างแก้มเป็นระยะๆ

                               "ถ้าวิชานี้ ได้เกรด D แล้วเราจะจบมั้ย "

                               "จบครับ  "

                              "งั้น เกรดของคุณ ผมจะให้ได้เพียง  D เท่านั้นนะ "

                             "ครับ ไม่เป็นไร  " เขาตอบ   

                            "ทำใจให้สบาย อาจารย์สัญญา ครับ "

     

     

     

     

      ผมให้เกรดนศ.ตามสัญญา แต่ดูเหมือนอาจารย์ มงคล ไม่สู้จะพอใจผม เพราะผมไม่ปฎิบัติตามคำบอกที่เขาเคยคุยกับผมไว้   นศ. คนนั้นได้จบการศึกษาได้ตามกำหนดเวลา และสามารถไปสอบเรียนต่อจนจบปริญญาตรี และมีหน้าที่การงานในจังหวัดเชียงใหม่ 

        ช่วงแรกๆ ที่ผมมาทำงานใหม่ๆ จากที่ได้รับรู้ข้อมูล  เวลาหลังการสอบแล้ว มีห้าหกวิชา ที่นศ. จะเครียดมากเพราะกลัวติด F   วิชาแรกคือภาษาอังกฤษ  จัดการฟาร์ม สถิติ  ปฐพี และวิชาการผลิตข้าว และสวนผัก     จริงๆ แล้วการเกิดปัญหาการปิดเรียนในวิทยาลัยในอดีตในปี 2526 -27   อีกสาเหตุหนึ่ง ก็เกิดจากอาจารย์ผู้สอน ที่ตึงกับระเบียบมากเกินไป  เพียงแค่นศ.ไม่ได้ถอดรองเท้าเข้าชั้นเรียน ก็พาลไม่สอนนักศึกษา จนเกิดความวุ่นวาย และเป็นต้นเหตุให้นศ เกิดการรวมตัวเพื่อประท้วงอาจารย์ และเป็นชนวนผนวกกับเรื่องการรับน้อง จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่.-

     จากคำบอกเล่าของนักศึกษาส่วนใหญ่ ที่ผมได้ยินได้ฟังมา  ส่วนใหญ่ เขาไม่ค่อยจะชอบบุคลิกภาพของอาจารย์อัปมงคลมากนัก เพราะอาจารย์คนนี้ ขี้โอ่ วางมาด หยิ่งยโส มักใช้อำนาจบาตรใหญ่กับคนที่ตนไม่ชอบ  มีอคติ ผูกใจและอาฆาตพยาบาท   ช่วงปี 2524 หลังสอบเสร็จ กรรมการนักศึกษาแม่วัง 8-9  ได้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ ได้เชิญอาจารย์ ทุกคน มาร่วมงาน  ด้วยที่นักศึกษาหมั่นไส้และไม่ชอบกับมาดแอ๊กของเขา   จึงได้วางแผนปิดประตูตีแมว 

       "เฮ้ยได้เวลาจัดการกับอาจารย์ ขี้เก๊กแล้ว " นศ. ต่าง ค่อยๆสะกิดและส่งสัญญาณบอกต่อให้คนที่คุมเครื่องไฟปิดแผงไฟลง...  เมื่อไฟมืดลงแล้ว นศ ที่ไม่ชอบขี้หน้าอาจารย์คนนี้ ก็จัดการสั่งสอนกันคน ละตุ่บ สองตุ่บ พอหอมปากหอมคอเพื่อเป็นบทเรียน นั่นคือเหตุการณ์ที่เขาฝังใจและเคียดแค้นนักศึกษา  และส่งผล มาชำระแค้น กับนศ.ในรุ่นหลังๆ ที่ไม่รู้ อิหน่ง อิเหน่

     

      ตลอดเวลาที่ผมทำงานและร่วมงานกับเขา สรุปว่าทัศนคติระหว่าผมกับเขาไม่ค่อยจะลงรอยกันเลย   สิ่งที่ผมไม่ชอบเขาอย่างมากคือ การที่เขาชอบข่มขู่กลั่นแกล้ง กับนักศึกษาบ่อยๆครั้งที่เขาเรียกนักศึกษาไปพูดคุยในห้องพักครู  เขามักจะแกล้งนัดหมาย   ให้นักศึกษาไปคอย  แต่ตัวเขาจะไม่อยู่รอแต่พอนักศึกษารอไม่ไหวแล้วกลับหอ     เมื่อเขามาถึงห้องแล้วไม่เจอนักศึกษา เขาก็จะบันดาลโทสะแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว

           หากเขานัด นศ หญิงที่หน้าตาดี  เมื่อเข้าไปคุยเรื่องงาน การเรียนงานสอน  ซึ่งในคณะของผม ต่อมามีวิชาปัญหาพิเศษ และสัมมนา คำพูดคำจาของเขาก็จะอ่อนหวาน อารมณ์ดี หัวเราะต่อกระซิก   อย่างสนุกสนาน  ดังกับหนังคนละม้วน  ยิ่งนานวันผมกับเขาเเสมือน  ขมิ้นกับปูน คือมักจะกระทบกระทั่งกันเสมอ และด้วยที่เขาถือไพ่ที่เหนือกว่า คือเสมือนผู้บังคับบัญชา ผมจึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบเขาโดยตลอด นับแต่เขาประเมินความดีความชอบให้ผมอยู่ในลำดับสุดท้าย และตลอดเวลาที่ทำงาน เขาไม่เคยเสนอความดีความชอบให้ผมได้ขึ้นเงินเดือนสองขั้นเลย

     เขาเคยบีบบังคับให้ผมและอาจารย์ในสังกัด ต้องไปนั่งประดับบารมีสร้างหน้าตาในความเป็นหัวหน้าคณะให้  ผมปฎิเสธที่จะไปนั่ง เขาได้ให้นักการฯมายกโต๊ะและเก้าอี้ของผมไปรวมไว้ที่คณะ ผมจึงบอกกับนักการว่า

                 "ฝากบอกเขาไปด้วยว่า คุณได้แต่โต๊ะไปตั้งประดับบารมีคุณ แต่กายและใจผม จะไม่ยอมไปอย่างแน่นอน"  

         นั่นย่อมสร้างโกรธให้เขา  ที่ผมไม่ยอมซูฮก กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องทั้งชีวิตราชการ ผมไม่เคยไปนั่งในห้องกับเขาเลย  อาจารย์ที่ไปนั่งร่วมห้องกับเขา จะได้การพิจารณาความดีความชอบ  จะมีบางครั้งที่ผมต้องมาเบิกเอาอุปกณ์สำนักงานไปใช้  ผมก็จะมาหยิบไปใช้พร้อมบันทึกการขอนำไปใช้  เมื่อเจอกันผมก็เฉยๆ มิได้ทักทายกัน เขาก็ได้แต่มองๆ

         ผมคิดว่านักศึกษาจำนวนมาก คงจำได้ สมัยที่ยังมีการเช๊คชื่อหน้าเสาธง ช่วงก่อนเข้าชั้นเรียน ในแต่ละวัน   ผมจะเห็นนักศึกษาต้องรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาเข้าแถว ให้ทันเวลาช่วงที่เขาเช็คชื่อ  หากนศ. มาไม่ทันขณะที่เขาขานชื่อไปแล้ว    เท่ากับว่าวันนั้นนศ. คนนั้น หมดสิทธิ์ ที่จะได้คะแนนเข้าแถว 5 คะแนนการจะได้ 5 คะแนนเต็ม นั้นหมายถึงว่านศ. จะต้องแต่งตัวเรียบร้อยและมาทันเวลา   การที่ผมต้องเช็คชื่อใกล้เขาทุกๆวัน จึงเห็นพฤติกรรมที่แย่ๆ  จนรับไม่ค่อยจะได้ คำพูดคำจาของเขากับนศ. ดูเหมือนไม่ใช่คนเป็นครูเลยสักนิด     

       " ไอ้...คนนั้น น่ะ กลับไปเปลี่ยนกางเกงมาเสียก่อน  ไม่ต้องมาเข้าแถวหรอก ถึงเข้าแถว ก็ให้ไม่ให้คะแนน"   เขาดุ และตะเพิดให้นศ. ที่เขาเป็นที่ปรึกษา ให้กลับไปเปลี่ยนกางเกงที่หอพักภาพที่ผมเห็นเขากระทำกับนศ. ทุกๆวัน  ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึก  ไม่ชอบกับพฤติกรรมเช่นนี้ จริงๆ คนเป็นครูน่าจะพูดกับนักศึกษาด้วยเหตุด้วยผล  ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อารมณ์ และอำนาจจนเกินขอบเขต 

          จากที่ผมมาทำงานในฝ่ายกิจการนักศึกษา ได้มีโอกาสแวะเยี่ยมนักศึกษา ตามหอพักจึงได้รับรู้เรื่องราวกับพฤติกรรม ของอาจารย์คนนี้ ในทางมิสู้จะดีนัก  ประการแรกคือ  เรื่องการมีอคติกับนักศึกษา หากเขาไม่ชอบใครคนใดคนหนึ่ง ต่อให้เรียนเก่งขนาดไหน เขาก็สามารถทำให้คนๆนั้นสอบตกได้ จากปลายปากกาอันไร้คุณธรรม ที่เขาทำได้อย่างไม่อายตนเองและเช่นกันหากนศ.คนนั้นเขาพอใจ แม้จะเรียนไม่เก่งเขาก็สามารถให้เกรด B หรือ A ก็ได้ 

           ไม่ว่าผมจะทำโครงการอะไร กิจกรรมอะไร เวลาที่ผ่านขั้นตอนในการเซ็นหนังสือโดยต้องผ่านเขา เขามักจะเตะถ่วงกลั่นแกล้ง  ไม่ยินยอมเซ็นหนังสือให้   บ่อยครั้งเขาจะให้ นศ.มาตามให้ผมไปที่ห้องพักครู เพื่อชี้แจงแล้ววางอำนาจ จนผมต้องล้มเลิกโครงการ เพราะรำคาญกับคนบ้าอำนาจ และหยุมหยิมกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง   ทุกๆ ปีผมจะจัดให้นศ.ไปทัศน ศึกษาภายนอกเสมอ แต่ปัญหาที่เกิดคือ เขาจะไม่ให้ความร่วมมือและพยายามกีดกันที่จะไม่ให้ผมจัดดำเนินการให้สำเร็จ ผมต้องพยายามอดทน เพื่อให้งานบรรลุวัตถุประสงค์เป้าหมายจึงยอมที่จะไม่กระทบกระทั่ง  ปํญหาของการจัดทัศนศึกษา เกิดทุกๆปี แต่ผมก็ต้องยอมเจ็บปวด ยอดอดทน ก็เพื่อให้นศ.ได้ไปเปิดหูเปิดตากับโลกภายนอก  ผมจึงกล้าพูดได้ว่าผมคือคนแรกๆในวิทยาลัยแห่งนี้ที่ได้บุกเบิกให้นศ. ไปทัศนศึกษา  

         ปัญหาที่ผมเจอการกลั่นแกล้งที่หนักหน่วงในการจัดทัศนศึกษาที่สุด คือ ผมนัดเวลากับนศ. เพื่อเดินทางไปดูงานเวลา 8 .00 น  คิดว่าหลังจากเข้าแถวหน้าเสาธงเสร็จ  พวกเราก็เดินทางไปดูงานในทันที        

         "อาจารย์ครับ วันนี้เพื่อนๆ ของผมอีกกลุ่มไปดูงานไม่ได้แล้ว "นศ. พูด

          "ทำไม ไปไม่ได้ล่ะ ก็อาจารย์ ขออนุญาตวิทยาลัย และขออนุญาตผู้สอนทุกคนแล้วนี้     

          "แต่อาจารย์ มงคล เขานัดนศ. สอบเก็บคะแนนครับ พวกเราจึงไปดูงานกันไม่ได้ "นศ. พูด

           ผมถึงบางอ้อโดยทันที". อ้อ อย่างนี้..นี่เอง นศ.จึงโหรงเหรง" ผมพูดกับตนเองเบาๆ  

          เวลานี้ผมมีแนวคิดอยู่ 2 ทางคือล้มเลิกโครงการเลย พร้อมโทรไปแจ้งหน่วยงานว่า เกิดอะไรขึ้นที่นี่ .. และเพื่อเป็น การตบหน้าหน่วยงานของผม ที่ทำงานชุ่ยๆ และให้ไปไล่เบี้ยกับคนที่ทำให้เกิดปัญหาทำงามหน้า  เราจำต้องสั่งสอนไอ้คนเลวๆบ้างเสียบ้าง แนวทางที่ 2 คือนำนศ ไปดูงานตามปกติ แต่ต้องไปขอโทษหน่วยงานที่เขารอต้อนรับ  ผมเลือกแนวทาง อย่างหลังเพื่อไม่ให้เสียหน้าองค์กรของเราผมเรียกนศ.ให้ขึ้นรถตามปกติทุกคนขึ้นไปนั่งบนรถแบบสบายๆ ที่นั่งมีเหลือเฟือ ก่อนรถจะออกจากวิทยาลัย ผมแวะเข้าไปหาเขาที่ห้องพักครู

          "เลวมากนะพี่.. นี่มันเจตนาแกล้งผมชัดๆ ไว้ผมกลับมาก่อน "

         เขานั่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แถมยักไหล่ ยียวน กวนบาทา เพื่อจะทำให้โมโห หลังจากผมพูดเสร็จ จึงรีบเดินไปขึ้นรถ ในใจผมในตอนนั้น อยากจะเอากำปั้นอัดปากไอ้เจ้านี่ ให้หายแค้นสักที ที่มันทำกับพวกเราได้  ผมต้องระงับความโกรธกับเขาจนนับครั้งไม่ถ้วน. ด้วยมีวินัยข้าราชการเป็นกรอบให้ผมต้องพึงระวัง..กับอารมณ์ของตน

     .   เมื่อไปถึงโรงงาน ฝ่ายต้อนรับได้ออกมาต้อนรับขับสู้อย่างดียิ่ง ทั้งยังเตรียมอาหารกลางวัน  ไว้เลี้ยงจำนวนเกือบ 100 ที่ แต่เมื่อเขาเห็นนักศึกษามาเพียง 40 คนเท่านั้น  เขาถึงกับผิดหวัง ผมต้องกล่าวขอโทษ กับหัวหน้าประชาสัมพันธ์ของโรงงานหลังจากดูงานเสร็จแล้ว คงต้องบอกว่าผมค่อนข้างอับอายกับสิ่งที่วิทยาลัยกระทำ มันบ่งบอกถึงความแย่ของคนในองค์กรนี้ ผมรู้สึกขยาด.กับสิ่งที่จะทำเพื่อน.ศ ให้ได้รับความรู้อีกแล้ว   ตราบที่ผมยังได้หัวหน้าที่เฮงซวยและผมก็มิเคยยอมรับในความสามารถเขาเลย ยิ่งความเคารพศรัทธาที่มี ก็ยิ่งไกลจากความจริง เขาเจริญก้าวหน้า จนขึ้นมาเป็นผช.ผอ. เพียงเพราะอาวุโสและมีพวกพ้องสนับสนุน  

         จากที่ผมสังเกตตลอดมาหากนศ. คนใดที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา หรือเป็นที่ปรึกษางานด้านปัญหาพิเศษ เขามักจะมีอคติกับคนเหล่านี้ และต้องกลั่นแกล้งดึงเกมให้โครงการไม่ผ่านหรือให้จบช้าลงกว่าคนอื่นๆ  ขณะที่ผมสอนนศ. ด้วยความเป็นห่วง จึงสอบถามถึงปัญหาของแต่ละคน สมบูรณ์ ซึ่งเป็นคนเงียบๆอยู่แล้ว กับยิ่งกับซึมเศร้ายิ่งขึ้น จนผมอดซักถามเขาไม่ได้

       "เป็นไงเหรอ สมบูรณ์  เครียดอะไรหรือเปล่า "     

       "กลัว ไม่จบทันเพื่อนครับ""

      " สงสัยวิชาปัญหาพิเศษ ล่ะสิ  "                         

        " ใช่ครับ  " เขาตอบ

        กรณี ของนายสมบูรณ์ ขนาดเป็นถึงหลานของ ผอ.สถาบันวิจัยฯ ที่เป็นเพื่อนร่วมงานในกรมเดียวกันแท้ๆ ก็ยังถูกเขากลั่นแกล้งได้สารพัด  จนเกิดความเครียดอย่างหนัก ถึงกับบอกกับป้าของเขาว่า อยากจะขอลาออกจากการเรียน  เพราะยังติดขัดกับการทำแบบสอบ ไม่ว่าจะแก้ไขแล้วกี่ครั้งๆ แบบสอบถามก็ยังไม่เป็นที่ถูกใจเขาเสียที 

        "สมบูรณ์ เอาแบบสอบถม ไปให้ลุงช่วยดูและแก้ไขสิ" ป้าของสมบูรณ์ แนะนำหลานชายให้ไปหาลุง ที่จบดุษฎีบัณฑิตจากเมืองนอกและยังพักในบ้านพักหลังเดียวกัน สมบูรณ์ได้ปรึกษาและให้ลุงช่วยแก้ไขจนเสร็จ จากนั้นจึงนำเอาแบบสอบ ถามไปให้ อ.มงคลตรวจ    

       "ยังไม่ถูก กลับไปแก้ไขใหม่"เขาพูดกับสมบูรณ์ อย่างไม่ใยดี ทั้งยังไม่บอกแนวทางแก้ไขให้ถูกต้องอีก สมบูรณ์รับเอางานกลับไปด้วยสีหน้าละห้อย เหมือนคนตายซาก   ดร.เลิศ ซึ่งเป็นลุงของสมบูรณ์ รับไม่ได้กับพฤติกรรมของเขาถึงกับต้องมาเฉ่งเขาถึงห้องทำงาน

        "คุณเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเด็ก แทนที่อะไรๆที่ยังไม่ถูกต้อง คุณควรต้องชี้แนะให้เด็กเขาได้รู้ แต่นี้คุณกับโบ้ยใบ้  กดดัน ข่มขู่ กลั่นแกล้งเขาทุกวิธี  นี่ขนาดผมลงมือแก้ไขแบบ-สอบ ถาม ให้เด็กแล้ว คุณก็ยังไม่ถูกใจอีก ไหนผมอยากถามคุณหน่อยว่าทำแบบไหนมันจึงจะถูกใจคุณ" เมื่อเจอนักวิจัยตัวจริงและเป็นผู้บริหารระดับองค์กร มาซักถามเขาด้วยตนเอง ทำให้อาจารย์มงคล ถึงกับนิ่ง และอึ้งไม่ตอบหรือชี้แจงอะไร  ในที่สุดสมบูรณ์สามารถทำปัญหาพิเศษ และจบการศึกษาได้ 

        แต่..สันดานคน มันฝังรากลึกจนแก้ไขไม่ได้แล้ว  เขายังมีพฤติกรรมก้าวร้าวกับนศ ตลอด ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียน ..  ผมก็ไม่เข้าใจว่าเขามีปมด้อยอะไร ในสมัยเรียนหรือเปล่า   ในวิชาสัมมนาและปัญหาพิเศษ ทุกครั้งเมื่อมีการสอบปากเปล่า โดยให้นศนำเสนอผลงาน นศ.ทุกรุ่นต้องตัวเกร็ง วิตกกังวลและกลัวคำถาม   ที่เขาจะตั้งคำถามเสมอส่วนใหญ่ถ้าหากผมเลี่ยงที่จะไม่มาเป็นกรรมการสอบได้  ผมก็อยากจะเลี่ยง  เพราะบางทีมันอดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ กับคำถามที่เขาถามนศ. แบบเอาเป็นเอาตายและกดดัน กับ นศ.อย่างมาก  นศ. เรียนเพียงแค่ระดับปวส.แต่นี่เขาทำเสมือนว่าเขากำลังสอบปากเปล่าวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท  อาจารย์ทุกคนไม่กล้าหือรือกับเขา ว่าไงก็ว่าตามเขาทุกประการ  แต่ผมรับไม่ได้.  ผมจะแสดงอาการ และกิริยาที่ผมไม่พอใจกับการตั้งคำถามของเขา ที่เป็นคำถามเชิงลองภูมิและยากเกินกว่าที่นศ .จะตอบได้  หลายๆครั้ง ผมจะออกมาช่วยพูดแก้ต่างให้นศ. ต้องบอกว่า เมื่อถึงกำหนดสอบปากเปล่าทุกครั้ง ผมจำต้องแบกรับความเครียดมา  ไว้กับตัวเองไม่แพ้ นศ.เลยสักนิด

           นศ.ที่เรียนในสาขานี้ พอเริ่มลงทะเบียนในวิชาปัญหาพิเศษ ทุกคนต่างเครียดไม่เป็นอันกินอันนอน เวลาผมเข้าสอน ได้สังเกตเห็นว่า หลายๆคนรู้สึกจะมีความทุกข์ ผมก็ได้แต่เห็นใจและสงสาร ทุกคนที่มีปัญห ผมจะมาช่วยให้คำแนะนำ แต่จะช่วยเหลืออย่างไร ก็ไม่ถูกใจเขาเลย ที่งงมากคือ .บ่อยๆครั้ง ที่เขาแนะนำให้นศ.ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้ว พอนศ. ทำตามคำแนะนำ 

           "ใครบอกให้ทำอย่างนี้วะ "

           " ผมทำตามคำแนะนำของอาจารย์ทุกอย่างเลย.. นี่ไงครับ.. อาจารย์เขียนตัวอย่างให้ผมดู  นี่เป็นลายมือของอาจารย์เองนะครับ  " น.ศตอบและนำเอาตัวอย่างให้เขาดู เขาจึงอ่อนข้อ ยินยอมให้ผ่านได้ แต่ในใจเขายังคงแค้นเคืองที่นศ ฉีกหน้าเขาจนหมอไม่รับเย็บแผล 

              นศ. ในความดูแลของผมไม่ว่าจะเป็นวันรบ กฤษดา, สุริยา,  ไกรศรฯลฯ ต้องเสียเวลาต้องเครียด ต้องถูกกลั่นแกล้งสารพัด ทุกคนที่เอ่ยมาเป็นคนเรียนดี มีความประพฤติดีแต่มาเจอคนอัปรีย์ ที่ไม่มีจิตวิญญาญของความป็นครู ไร้จรรยาบรรณ มีปมด้อย และอาจเป็นโรคจิตชนิดชอบแกล้งให้คนอื่นและตัวเองมีความสุข  ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ผู้บริหารเคยใส่ใจและเคยหันมาสดับตับฟังปัญหาของนศ. ที่เขามีต่ออาจารย์ในวิทยาลัยหรือไม่ ในแต่ละปี นศ ต้องลาออก ต้องหมดอนาคตไป ครอบครัวของเขาต้องสูญเสียเวลา เศรษฐกิจไปไม่รู้เท่าไหร่. ผมพอจะรู้ว่า กฤษฎา, ไกรศร, สุริยา และวันรบ ซึ่งเป็นนศในการดูแลของเขาในวิชาปัญหาพิเศษ เกิดการปีนเกลียวกับเขาตั้งแต่เริ่มแรกของการทำโครงการ  นศ..ทั้งสองกลุ่มเข้าไปเสนอโครงการภายในห้องทำงานของเขา ทั้งสี่คนได้รู้ถึงนิสัยใจคอของเขาเป็นอย่างดี ผมเคยบอกกับลูกศิษย์ทั้งสี่คนว่า หากเข้าไปพบเขา ควรมือไม้อ่อน ยอมอ่อนข้อให้เขา เพราะสันดานไอ้นี่ หากเขาไม่ชอบใคร มักจะชอบข่มขู่ กดดัน อคติ  ทุกคนก็ยินยอมที่จะปฎิบัติตาม 

             " เฮ้ย ได้หัวข้อที่จะทำวิจัยหรือยัง  " คำถามที่เขาถามมาด้วยคำพูดคำจาที่น่าจะให้ไปอยู่ชายแดนเบตง จังหวัดยะลา

              "ได้แล้วครับ"

            ผมเฝ้าสังเกตและห่วงใยลูกศิษย์ทั้งสี่คน ทุกครั้งที่เขาเข้าไปในห้องพักครู เพื่อพูดคุยการทำปัญหาพิเศษ  ต้องหน้าซีดหน้าเซียว ตัวลีบ หน้าบูดออกจากห้องดับจิตเสียทุกครั้ง    

          "ไอ้ บ่ะห่าเนี่ยะ ฮาใคร่ตีปากแม่ง แต้นา " สุริยา สบถภายในหอพัก   ซึ่งผมได้ยินกับหูตนเองขณะไปเยี่ยมจึงคาดเดาไปว่า สุริยาคงน่าจะอดกลั้นที่อ.มงคล คงดุด่า ดึงเกม กลั่นแกล้ง ที่จะทำให้เขาไม่จบภายในเวลา         

           สองเดือนผ่านไป. หลังจากเปิดเรียนในเทอมสุดท้าย นศ สองกลุ่มที่ทำปัญหาพิเศษในความดูแลของอ.มงคล แทบจะไม่มีสมาธิในการร่ำเรียนโดยเฉพาะกฤษดาที่วาดความฝันว่าจะทำงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์  ผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับต้นๆของห้อง แต่ต้องมาพะวักพะวน กับวิชา "ทำลายอนาคตพิเศษ" กลุ่มอื่นๆที่เขาทำเดินหน้าไปแต่ทั้งสองกลุ่มยังย่ำเท้า และถอยหลัง

       " ผมบอกให้ทำย้อนหลัง 15 ปี แล้วทำไมไม่เชื่อ  ถ้าไม่ทำตามที่ผมบอก..ผม ก็จะไม่ให้ผ่าน " 

         " มันเป็นไปไม่ได้เลยครับอาจารย์ ตั้ง15 ปี เกษตรกรที่ไหนเขา จะบันทึกราย ละเอียดค่าใช้จ่ายจนถึงขนาดนั้น  ผมขอถามอาจารย์หน่อยว่า 2 -3 ปี ที่ผ่านมาครอบครัวของ อาจารย์มีการบันทึกรายรับ รายจ่าย ละเอียดถึงขนาดนั้นเชียวหรือ "กฤษดาตอบ และย้อนคำถามกลับ 

           โดยเฉพาะการทำแบบสอบถาม กว่าอาจารย์ที่ปรึกษา จะยอมให้ผ่านได้ ทั้งสองกลุ่มต้องกุมขมับ แก้แล้วแก้อีก  หมดเงินค่าจ้างพิมพ์ ไปไม่รู้เท่าไหร่  ไอ้คนดีใจ ภูมิใจ และชอบใจกับพฤติกรรมตนเองคือตัว อ.มงคล  นศ.ทั้งสองกลุ่มนี้ไม่เป็นอันกินอันนอน เดี๋ยวก็ต้องเข้าไปพบๆอ.ที่ปรึกษา ผมรู้สึกจะไม่ค่อยมีความสุขมากนัก มันทำเกินไปจริงๆ  บอกตรงๆ ว่าผมอยากจะเข้าไปต่อยปากมัน บ่อยๆ ครั้งที่ผมอดใจไม่ไหว แต่ก็ต้องระงับอารมณ์

          "นายกฤษดา นายไกรสร เธอทำข้อมูลสัมภาษณ์ เพื่อจะมาประเมินผลกี่ชุด"

          " 500 ชุด ครับ"                     

          " ไหน เอาดู ซิ " กฤษดา นำเอาตัวอย่างแบบสอบถาม ยื่นไปให้เขา

          “มั่วนี่หว่า อ้าวแล้วนี่มันลายมือ คนเขียนคนเดียวกัน ถ้าจะยกเมฆ เวียนเทียนแน่ๆ เลยไอ้พวกนี้ แล้วนี่ .ข้อมูลมันไม่ครบ  มันจะหาค่าเฉลื่ย  ได้ไง " อ.มงคลพูด

           "ได้สิครับ ผมคิดว่าผมจะใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น ได้ไง  "

           " ใครสอนคุณ   "                        

          "  ก็อาจารย์ นั่นแหละ   "

           " กลับไปทำมาใหม่ ทั้งหมดเลย" 

           นี่คือคำตอบชุ่ยๆของอ.มงคล  ณ เวลานั้น นศ ที่ทำปัญหาพิเศษ กลุ่มอื่นๆได้ นำเสนอผลงานและผ่านอาจารย์ที่ปรึกษาของตนจนได้ลงลายมือไว้ในรูปเล่มจนเรียบร้อยแล้วแต่ทั้งสองกลุ่ม ยังเสมือนเรือเกลือ คืองานยังไม่รุดหน้ากฤษดา ยังคงติดตามงานปัญหาพิเศษ  เขาคิดว่าหากยังมีที่ปรึกษาคนเดิมชาติหน้าเขาก็คงไม่จบ จึงเข้าไปพบผู้อำนวยการ…… ผู้อำนวยการแนะนำว่าต้องเริ่มต้นทำใหม่ กฤษดารับกับข้อแนะนำจากผอ .ไม่ได้ เขาจึงขอลาออก  นี่คือ..การแก้ปัญหาแบบขอไปที ของตัวบุคคลที่ปัดสวะไปให้พ้นทาง.   สำหรับกฤษดาที่ถูกดับอนาคตและความฝันไปในชั่วพริบตา เนื่องจากเขากำลังจะสอบบรรจุเป็นพนักงานธกส.ในสาขาแห่งหนึ่งของภาคเหนือ   และด้วยผลการเรียนดี กิจกรรมดี แนวโน้มการสอบบรรจุจึงไม่เกินใฝ่คว้าได้  จึงน่าเสียดายแทนเขาเป็นอย่างยิ่ง เขาต้องกลับไปใช้วุฒิ ม.6 เหมือนเดิม . จังหวะเดียวกันนั้นที่ มสธ. เปิดรับสมัครให้เรียนทางไปรษณีย์เขาจึงลงเรียนคณะวิทยาการจัดการ จนสำเร็จการศึกษา 

                                              …………………………………………

          จากที่ผมเคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน ย่อมรู้ถึงจิตใจของ (ลูกศิษย์)คนนี้ ผู้ที่ต้องปวดร้าวมากว่า 30 ปี

        " อดีตที่มันน่าขมขื่นใจ ที่ผมไม่อยากจำ แต่มันก็ฝังใจจำ เพราะมันทำให้พวกผม ต้องอนาคตดับวูบ ไอ้โต ยิ่งไปใหญ่. "  ผมมองย้อนไปเกี่ยวกับระบบการศึกษาเดิมๆ  ที่จริงแล้ว เราไม่ต้องไปลงทุนลงแรงเรียน ขนาดนั้นเลย เทียบกับสมัยนี้ แค่มีความรู้ไว้ต่อสู้กับชีวิต มันสอนให้เรามอง มุมของชีวิตแต่ละคนเข้าใจง่ายขึ้น ผม.เลิกซีเรียด กับเรื่องนี้ไปนานแล้วครับ  ทุกวันนี้ผมคิดเพียงว่ามันคงเป็นกรรมเก่าที่ผมได้ทำแต่ชาติปางก่อน  ทุกวันนี้ผมยังสงสารเพื่อนผมคนนั้นครับ “กฤษดา พูดถึงเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขในอดีตด้วยกัน” กฤษดาพูด ในงานเลี้ยงพบปะงานรุ่น ที่ผมพบเขา

         ผมอึ้ง นิ่งและต้องสะดุด นึกโกรธตนเองที่ไปสะกิดแผลเก่า  ของลูกศิษย์โดยไม่ตั้งใจ  

         นี่คือเรื่องราว ในช่วงหนึ่ง เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ที่มีอาจารย์ คนหนึ่ง อยู่ในร่างอมนุษย์.

        .ที่เขาสามารถ ฆ่าลูกศิษย์ของเขา ให้ตายทั้งเป็นไปต่อหน้า ต่อตา....

                                        ขลุ่ย บ้านข่อย    

     

     

      
     

     

     

      

     

      

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×