ความซวยของไอ้ดิษฐ์ - ความซวยของไอ้ดิษฐ์ นิยาย ความซวยของไอ้ดิษฐ์ : Dek-D.com - Writer

    ความซวยของไอ้ดิษฐ์

    เป็นความบังเอิญที่คนสองคนเจอกัน อักฝ่ายหนึ่งรู้เขา แต่อีกฝ่ายไม่รู้เรา ความซวยจึงเกิดขึ้น

    ผู้เข้าชมรวม

    78

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    78

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 ก.ย. 65 / 17:17 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                           ความซวยของไอ้ดิษฐ์

      ต้นเดือนธันวาคม ผมเพิ่งเข้ามาทำงานที่วิทยาลัย แห่งนี้ได้เพียงเดือนเศษๆเท่านั้น   ขณะที่ผมต้องพักที่บ้านพักอาจารย์กลุ่ม 2   ที่หมู่บ้านกลุ่มนี้  ใครๆ มักเรียกว่า  “ หมู่บ้านสุข - สวัสดิ์ “  เพราะบังเอิญ  ชื่อของเจ้าของบ้านกับแม่บ้านบังเอิญมาพร้องกัน   อ. สวัสดิ์ ถือเป็นอาจารย์ที่น่าจะมีอาวุโสสูงสุดในวิทยาลัย   ขณะนั้น..อาจารย์ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าสาขาเกษตรกลวิธาน ก่อนหน้าที่จะโอนมาเป็นอาจารย์เคยเป็นคณะทำงานโครงการเขื่อนภูมิพลที่จังหวัดตาก เมื่อสร้างเขื่อนภูมิพลเสร็จ อาจารย์ได้ตัดสินใจที่จะมาเป็นอาจารย์ จึงดำเนินเรื่องขอโอนตำแหน่งจากกรมชลประทาน มากระทรวงศึกษาธิการ ภริยาของอาจารย์ชื่อ สุข  เมื่อชื่อของทั้งสองคนมาพร้องกัน  อาจารย์ที่พักในกลุ่มนี้จึงมีมติ ที่จะขอใช้ชื่อดังกล่าว  

    หมู่บ้านที่ผมพัก ส่วนใหญ่จะเป็นคนหนุ่ม คนสาว ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษามาใหม่ๆ อายุโดยเฉลี่ยคือ 24 ปีและเพิ่ง มาบรรจุเป็นข้าราชการได้ไม่นาน ในบ้านหลังหนึ่งๆ หากเป็นคนโสดทางวิทยาลัยจะให้พักสองคน /ต่อหลัง  แต่ด้วยบ้านในวิทยาลัยมีไม่เพียงพอ เขาจึงขอให้ผมพักกับเพื่อนอาจารย์อีกสองคน รวมเป็นสามคน  สำหรับห้องพักของผมจะต้องพักด้วยกันสองคน  เป็นเรื่องยากที่คนสองคนที่ไม่ทราบหัวนอนปลายตีนกันและกัน จะมาอยู่ให้ราบรื่นได้ตลอด โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบสงบ รักความสุนทรีย์ แต่เพื่อนที่พักด้วยเป็นคนชอบเอะอะโวยวาย ยิ่งดื่มสุราแล้วยิ่งขาดความเกรงใจกันและกัน แต่นั่นมิใช่ปัญหา..เพราะผมเคยผ่านอะไรที่หนักหนามาก่อนแล้ว

     หนึ่งเดือนแรกของการทำงานในตัวผม..แทบจะไม่มีทรัพย์สินใดๆเลย  นอกจากมีเสื้อผ้าสามสี่ชุดที่พี่ชายให้มาใช้ มีเตารีดไฟฟ้าหนึ่งอัน ต่อมาได้ซื้อกระทะไฟฟ้าระบบผ่อนส่งกับอาจารย์คนหนึ่ง กระทะไฟฟ้าที่ผมซื้อมาคิดไว้ว่าจะไว้ต้มไข่ ทอดไข่ ต้มบะหมี่สำเร็จรูป  ไว้กินยามฉุกเฉิน  ร้านขายข้าวแกงที่อยู่ใกล้วิทยาลัยมีเพียงเจ้าเดียว คือร้านพี่อนงค์ กับข้าวที่ทำในแต่ละวันมี 4-5 อย่าง ราคาข้าวแกงที่จำหน่าย จานละ 5 บาท (จานเดียวอิ่ม ) แม่ค้าจะเน้นขายให้กับนักศึกษาในราคาเยาปริมาณมาก รสชาติอร่อย นอกจากร้านนี้แล้ว ร้านที่ผมจะไปช่วงค่ำๆ และช่วงเช้าคือร้านนายน้อย ซึ่งอยู่ข้างวัด 

     ********************************************************************************

    บริเวณหมู่บ้านดอนมูลเป็นหมู่บ้านเล็กๆ นับหลังคาเรือนได้คงน่าจะมีไม่เกิน30 หลัง ช่วงที่ผมมาทำงานใหม่ๆ ที่วัดดอนมูลมีเพียงกุฎิ ศาลาการเปรียญ พระอุโบสถกำลังดำเนินการก่อสร้าง ใกล้กับพระอุโบสถมีโรงเรียนที่เปิดสอนระดับชั้นประถม1-4  มีครูสามคน นักเรียนทุกชั้นมีประมาณ 70 คน  ระยะทางที่ผมเดินออกจากบ้านพักเพื่อมากินอาหารตามสั่ง ร้านนายน้อยมีระยะทางประมาณครึ่งกิโลเมตร บริเวณทางเข้าวิทยาลัยนับว่ายังเปลี่ยวมาก  หากเป็นช่วงเวลากลางคืน ค่อนข้างน่ากลัวบนถนนลำปาง – เชียงรายยังเป็นถนนเลนเดียว ทางเข้าวิทยาลัยทำด้วยไม้แกะสลักรองพื้นสีเขียว อักษรสีขาว บริเวณนี้มีศาลาสำหรับเป็นที่รอรถโดยสารของกรมทางหลวง ให้ประชาชนและนักศึกษา รอเพื่อเข้าเมืองหรือเดินทางไปพะเยา และเชียงราย  ร้านนายน้อย ในขณะนั้นเป็นร้านอาหารตามสั่งมุงหญ้าคาเพียงร้านเดียว บริเวณร้านเป็นลานกว้างมีม้านั่งยาวและพนักพิงขนานกับทางเข้าร้าน บนโต๊ะอาหารมีชุดใส่เครื่องปรุงรสวางไว้ด้านบน   มีตู้เพลงอยู่ฝั่งด้านซ้ายบริเวณทางเดิน หน้าร้านจะมีต้นฉำฉาอยู่เป็นกลุ่มประมาณเกือบ10 ต้นบริเวณนี้ มีเนินดินสูงต่ำต่อเนื่องไปจนถึงวัด 

      หมู่บ้านดอนมูลแห่งนี้เงียบมาก จะอึกกระทึกคึกโครม..เฉพาะแต่เพียงร้านขายอาหารนายน้อย  ซึ่งมีตู้เพลงหยอดเหรียญที่ช่วยสร้างสีสัน บรรยากาศ เรียกลูกค้าให้มาอุดหนุน ส่วนมากนักศึกษาชาย จะเป็นลูกค้าคนสำคัญ ช่วงค่ำที่ร้านนายน้อยเปิดแสงไฟมีสีเขียว ม่วง ฟ้า ประดับวับๆแวมๆ บนเพดานร้านค้ามีสายรุ้งห้อยระโยงประดับสวยงาม ผมมักจะไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์และสั่งข้าวผัดไข่ดาวมากิน  บางที.บางครั้ง หากขี้เกียจเดินก็ไปกินข้าวแกงร้านพี่นงค์ ผมก็จะแวะมาร้านนายน้อยแทน ยามค่ำในละแวกวัดจะมีเสียงเฮๆฮาๆ ของนักศึกษาที่ออกมาแวะหาเพื่อนเพื่อกินข้าวบ้าง กินเหล้าบ้างอันเป็นวิถีสังคมของคนในชนบท เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินกว่าที่ผมจะปรับตัว  เพียงสัปดาห์เดียวที่ผมมาทำงานที่นี่  ผมก็สามารถปรับตัวเข้ากับทุกคนได้  นักศึกษาหลายๆคน หลายๆ กลุ่มที่ไม่เคยเห็นหน้าผมต่างพากันซุบซิบ และมองผมด้วยสายตาประหลาด บ้างก็สงสัยว่าเป็นใคร หรืออาจเป็นอาจารย์ฝึกสอน (พวกเขาคิด มาฝึกสอนพวกเขาก็เป็นได้

    “เฮ้ย.มึงดู ไอ้หนุ่มคนนั้น กูเห็นมันมานั่งกินกาแฟ ทุกๆ เช้าเลย สงสัยท่าจะเป็นอาจารย์ที่จะมาฝึกสอนพวกเรา” นักศึกษาพูด

    “คงงั้นแหละ ดูๆไปก่อน”นักศึกษาอีกคนพูด

     ผมส่งสายตาและยิ้มให้ทุกคนที่มองมาด้วยความเป็นมิตร  มิตรภาพของอีกฝ่ายก็ทอดมาให้ด้วยดี  แม้ผมและพวกเขาจะไม่ได้คุยกันแต่ผมก็สบายใจ ถามถึงความรู้สึกตนเองว่า  หวั่นเกรงหรือกลัวอะไรหรือไม่.. ที่ต้องมาเดินลำพังคนเดียว ผมมั่นใจเกินร้อยว่าไม่มีปัญหาใดๆ  แม้จะมีอาจารย์รุ่นพี่ๆที่ทำงานมาก่อน  ที่หวังดีคอยเตือนให้ระมัดระวังกับนักศึกษา  ผมคิดอย่างเดียวว่า  ผมก็คือลูกพระพิรุณผมมีเลือด เขียว-ขาว- เหลือง เหมือนกับพวกเขาทุกคน  เรามีภาษากายและใจเดียวกัน  ใยจึงต้องหวั่นวิตกเรื่องกระจิริดแค่นี้  

    ปลายเดือนธันวาคมอากาศเย็นมาก ผมยังไม่คุ้นกับฤดูกาลของดินแดนเขลางค์นครมากนัก  จึงโทรเลขฝากให้น้องชายส่งเสื้อกันหนาวมาให้  เวลาเดียวกันนี้วิทยาลัยได้กำหนดการสอบกลางภาค คณะวิชาเศรษฐศาสตร์เกษตร ได้กำหนดวิชาให้ผมสอนหนึ่งวิชาคือวิชาธุรกิจเกษตร ด้วยวัยของผมกับนศ.ไม่ห่างกันมาก จึงแทบจะดูไม่ออกว่าผมมาเป็นอาจารย์สอนพวกเขา  ผมยังจำได้ว่าวันแรกที่เข้าชั้นสอนนักศึกษากลุ่มหนึ่งก็ยังคงเล่นไล่เตะไล่ต่อยกันแบบเด็กและบางกลุ่มก็รอผู้สอนว่าเมื่อไหร่จะมาสอนเสียทีทั้งๆ ที่ผมก็มารอสอนเขาตั้งนานแล้ว

    “ขอเชิญทุกคนเข้าชั้นเรียน  ครับ ”  ผมบอกนักศึกษาที่กำลังหยอกล้อกัน   ทุกคนเข้าเรียน ผมได้แนะนำตัวเอง และเริ่มสอน แรกๆอาจประหม่าอยู่บ้างแต่พอผ่าน5 นาทีไปแล้ว ก็เป็นปกติ  เพียงสองสามครั้ ที่เข้าชั้นสอน ก็ปรับตัวได้อย่างไม่ยากนัก เราเหมือนพี่เหมือนน้องมากกว่าเป็นครูกับศิษย์ วันสอบกลางภาคได้กำหนดวันเวลาแล้ว ผมได้มีโอกาสได้คุมสอบกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน  เช้าของวันคุมสอบ..ผมได้เดินลัดคลองชลประทานมาทะลุร้านนายน้อย    

    “ลุงขอกาแฟหนึ่งที่ “ ผมตะโกนสั่งกับผู้เฒ่าวัย 60 

    “ไอ้หนุ่ม เอาปาท่องโก๋มั้ย"ลุงย้อนถาม

    “สองตัวครับ“ ผมตอบ   

    ลุง(พ่อของนายน้อย)หยิบแก้วกาแฟสีใส ทรงเรียว วางที่โต๊ะชงกาแฟ จากนั้นแกหยิบกระบวยอลูมิเนียม   ตักน้ำเดือดๆครึ่งกระบวยในหม้อกาแฟรดลงที่ก้นแก้ว เพื่อล้างทำความสะอาดอีกครั้ง จากนั้นจึงเทนมข้นลงก้นแก้ว แล้วนำกาแฟจากถุงกาแฟ ที่สลับไปสลับมาจนเข้ากันดีแล้วเทลงในแก้ว จึงใส่นมพร่องไขมันที่ให้มีรสชาติมันๆ จากนั้นแกจึงยกมาเสริฟพร้อมชงน้ำชาใส่แก้วมาให้ผมพร้อมๆกัน  ผมหยิบหนังสือเก่าๆมานั่งอ่านฆ่าเวลารอเวลาสายอีกนิด ก็สั่งข้าวผัด  มากิน ก่อนจะไปคุมสอบที่อาคารเรียนใกล้ห้องสมุดหลังเก่า    

       ****************************************************************************

     เสียงรถจักรยานยนต์ ที่นักศึกษาคนไทยเชื้อสายจีนที่ขี่มาคนเดียวก็ถูกดับลง เขาจอดรถไว้ที่ด้านนอก แล้วเดินเข้ามาในร้านอย่างรีบเร่ง ปากร้องตะโกนถามเพื่อนคนหนึ่งที่นั่งในร้านไปว่า 

    “ เฮ้ย.เช้าวันนี้ พวกเราสอบวิชาอะไร” ชายขี่จักรยานยนต์ ถาม

    “ ปฐพี “เพื่อนอีกคนตอบ 

     “ฉิบหายกูดูวิชาสอบผิด ว่ะ“ชายที่ขี่จักรยานยนต์พูด

     “อ้าว. เฮ้ย มีทางเดียวฝิ่น(ทุจริต) แม่งเลย”เพื่อน

     “ใช่..แม่งต้องเสี่ยงแล้วล่ะ “ชายขี่จักรยานยนต์พูด

     เมื่อเขาพูดจบ ได้ขอยืมสมุดจดจากเพื่อนที่มานั่งก่อนเขา  พร้อมฉีกกระดาษขนาดเล็กสุด เพื่อมาคัดลอก สิ่งที่เขาได้เก็งข้อสอบเอาไว้ เขาเดินเข้ามานั่งใกล้ๆกับผม โดยไม่รู้เลยว่าผมเป็นอาจารย์ในวิทยาลัย ที่เพิ่งมาบรรจุใหม่ๆ

     “กูคิดว่าตรงนี้อาจารย์แม่ง..คงจะออกแน่ๆ เห็นแม่งย้ำแล้ว ย้ำอีก เน้นให้ดูๆ"ชายขี่จักรยานยนต์พูด  เขาพยายามเร่งสปีด การลอก(ฝิ่น)โพยเอาเข้าไปในห้องสอบ เพื่อลอกคำตอบ.. หากข้อสอบออกมาตามที่เก็งไว้ เขาไม่ได้ใส่ใจกับคนแปลกหน้าที่ เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ลุงผัดข้าวเสร็จแล้วก็ อาข้าวมาเสริฟ ให้ผม

    ผมค่อยๆเติมน้ำปลาพริก แล้วค่อยๆกินข้าวทีละคำ ข้าวยังร้อนมากจนผมต้องค่อยๆเป่าให้มันเย็นลง   

     ***************************************************************************

    “ลุง เอาเปปซี่ควร..นึง”  เขาตะโกนสั่งเครื่องดื่ม จากนั้น..ได้ไปยืนที่หน้าตู้เพลง ดูรายชื่อเพลงแล้ว หยอดเหรียญ เปิดเพลงฟัง เหมือนคนไม่ทุกข์ร้อน

     ผมนั่งกินข้าวแบบไม่เร่งรีบและก็ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เขาทำ  เพราะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการสอบ  ผมก็เคยผ่านประสบการณ์นี้มาก่อนเขา และไม่ได้ไปใส่ใจจ้องจับผิดอะไรกับเขา คิดในใจว่า” ถ้าเอ็งมีฝีมือ เอ็งก็รอด แต่ถ้าเอ็งยังขาดความกล้าหรือพลาดเอ็งก็ซวย วัดดวงเอาเถอะวะ ขอให้โชคดีว่ะ ”  ผมคิด 

    หลังจากที่เขาดูดเครื่องดื่ม จนหมดขวดแล้ว ได้เอาเงินให้ลุง จากนั้นเขาก็เรียกเพื่อนซ้อนท้าย จักรยานยนต์ไปด้วยทั้งๆที่ผมอยากจะเอ่ยปากติดรถไป ก็ต้องจำใจสงบปากและต้องเดินไปคุมสอบ

    ที่ห้องสอบ..  หลังจากที่นักศึกษาเข้าห้องสอบแล้ว นศ.คนที่พกฝิ่น ได้เข้านั่งประจำที่ ด้วยผมเป็นอาจารย์ใหม่ ทางอาจารย์ ผู้เป็นหัวหน้าคุมสอบ ได้สั่งให้ผมเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น ผมจึงไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรมาก   ต่อมาผมมาทราบ ชื่อนศ. ที่นำโพยเข้ามา คือนายประดิษฐ์ เมื่อเขาเห็นผมอยู่ในห้องสอบด้วย  เขาถึงกับแสดงอาการตระหนก จนสีหน้าเผือดสี เหงื่อออก ที่หน้าผากทั้งๆที่ผมพยายามเลี่ยง และไม่เดินเข้าไปในรัศมีที่เขานั่ง  เพราะเกรงว่าเขาจะทำข้อสอบไม่ได้และไม่กล้านำฝิ่นออกมาลอก  จริงๆหากใจเขาถึงสักนิดและเพียงลอกแค่พอไม่ติด F แล้วเดินออก ผมคงไม่ใจไม้ ไส้ระกำ แก่เขาแน่นอน เพราะในชีวิตผมเคยผ่านอะไรมามากต่อมาก ทำนองขอกันกินมากกว่านี้  เขานั่งในห้องสอบสักครึ่งชั่วโมงตามระเบียบการเข้าสอบ จากนั้น..เขาลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินออกจากห้องสอบไป  โดยปล่อยกระดาษให้ว่างเปล่า 

     ผมก็ได้แต่นึกเห็นใจและสงสารเขาอย่างมาก ว่าทำไมนะ ทำไม..ไอ้ดิษฐ์ จึงซวยบรรลัย  ต้องมาเจอผมในห้องสอบด้วย.. ขอโทษด้วยว่ะ.. ดิษฐ์   วันเวลาให้เรานั้น มาพบกันและ วันเวลานั่้นแหละ ที่ทำให้เราจากกัน   หลังจากสอบวันนั้นแล้ว ประดิษฐ์ก็ไม่เคยเข้ามาในห้องสอบอีกเลย   

       บทสรุปสุดท้ายคือ ประดิษฐ์ ก็ต้องถูกรีไทร์ และจากนั้นมา ผมก็ไม่เคยพบกับประดิษฐ์อีกเลย 

                                                    ขลุ่ย   บ้านข่อย

                                                   ๒๙  กันยายน   ๖๕

     

                                                       

     

     

       

                     

     

                                                                                                        

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×