เด็กขายหนังสือพิมพ์ - เนเธ”เนเธเธเธฒเธขเธซเธเธฑเธเธชเธทเธญเธเธดเธกเธเน นิยาย เด็กขายหนังสือพิมพ์ : Dek-D.com - Writer

    เด็กขายหนังสือพิมพ์

    บอกเรื่องราวของหนังสือพิมพ์ ที่ได้สัมผัส ได้มาเป็นเด็กขายหนังสือพิมพ์ จนต่อยอด มาเป็น บก หนังสือพิมพ์

    ผู้เข้าชมรวม

    105

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    105

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  30 ส.ค. 65 / 09:44 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                      เด็กขายหนังสือพิมพ์                       

        หนังสือพิมพ์ จัดเป็นสื่อที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับสื่อมวลชนประเภทอื่น หนังสือพิมพ์ในไทยเกิดขึ้น ภายหลังจากที่มีการนำตัวพิมพ์และแท่นพิมพ์เข้ามาในเมืองไทย  ตั้งแต่สมัยพระนารายณ์ฯและพัฒนาเรื่อยมาเป็นสื่อหนังสือพิมพ์  จากประสบการณ์ชีวิตของผมที่ได้สัมผัสกับหนังสือพิมพ์ครั้งอายุวัยเยาว์ ที่จำได้  มีหนังสือพิม์ชื่อ สยามนิกร  พิมพ์ไทย ข่าวสยาม  ไทยรัฐ  เดลิเมล์ เดลินิวส์ และ  สยามรัฐ ในปัจจุบันยังมีหนังสือพิมพ์ อีกเกือบสิบฉบับ เช่น มติชน แนวหน้า บ้านเมือง ไทยโพสต์  โพสต์ทูเดย์ ฯลฯนับว่าสื่อสิ่งพิมพ์ ประเภทหนังสือพิมพ์ ยังมีความสำคัญอยู่บ้าง แม้ยุคสมัยจะเป็นยุคดิจิทัลแล้วก็ตาม

       เป็นเพราะผมเป็นคนที่รักการอ่านหนังสือ ทุกประเภท เมื่อมีเวลาว่าง ไม่ว่าจะอยู่ในโรงเรียนหรือกลับมาบ้าน จำต้องหาโอกาสแวะหาหนังสือต่างๆอ่านทุกๆวัน ร้านกาแฟ ร้านขายก๋วยเตี๋ยว ร้านตัดผม  ในการอ่านหนังสือพิมพ์ ของผมอย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงเสมอ บางครั้งกลับเข้ามาถึงบ้านช้า ต้องพูดพ่อและแม่ดุ

        “มัวแต่ไปทำอะไรมา หรือ  ” แม่ซัก 

        “อ่านหนังสือพิมพ์ ครับ  ”ผมตอบ

        “ไปอ่านช่วงเวลาว่างๆสิ บ่ายๆไม่ค่อยมีลูกค้า”แม่บอก

         ส่วนใหญ่ เจ้าของร้าน จะซื้อหนังสือพิมพ์ ไว้บริการลูกค้า การที่ผมเป็นลูกค้าประจำ เพื่อมาซื้อกาแฟให้แม่และป้าเช็ง กิน อย่างน้อยวันละครั้งที่ร้านเจ๊ม่วย ..ก็จะใช้เวลาว่างในช่วงขณะที่รอคนชงกาแฟ ชงเสร็จ  ผมหยิบหนังสืิอพิมพ์   ไม่ว่า จะเป็นฉบับใหม่หรือเก่า มาอ่านฆ่าเวลา โดยไม่เลือกว่าจะเป็นวันที่เท่าไหร่  ขอเพียงเป็นฉบับที่ผมไม่เคยอ่านมาก่อน เป็นใช้ได้

           อรัญประเทศกับกรุงเทพมีระยะทางห่างกันประมาณ300 กิโลเมตร  หนังสือพิมพ์ที่ถูกส่งมา จากโรงพิมพฺ์โดยรถ บขส. กว่าจะมาถึงร้านนิตยา ก็เกือบ 8 ชั่วโมง หากชาวบ้านจะได้ซื้ออ่านข่าวของวันนั้นๆ ก็เกือบบ่ายสามโมงเย็นแล้ว ดังนั้นการรับรู้ข่าวจากหนังสือพิมพ์ จะล่าช้ากว่าการรับฟังข่าวจากทางวิทยุมาก เหตุที่ชาวบ้านต้องซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านเป็นเพราะพวกเขาต้องการอ่านรายละเอียดของเนื้อหา   จุดขายของหนังสือพิมพ์ส่วนกลางคือ ข่าวอาชญากรรม บันเทิงและกีฬา ส่วนข่าวสังคม เศรษฐกิจและการเมือง เป็นข่าวที่คอการเมืองบางกลุ่มอ่าน และจะใช้สภากาแฟพูดคุย ถกเถียง วิเคราะห๋ข่าวกันอย่างถึงพริกถึงขิง  ซึ่งผมจะมีโอกาสได้รับฟังลุงๆน้าๆขาประจำ ที่นั่งดื่มกาแฟ ซึ่งคุยกันตั้งช่วงเช้าๆ ถึงสายๆของแต่ละวัน

     “ขอกาแฟร้อน สองกระป๋องไม่หวาน ครับ ” ผมสั่งกับทางร้าน

     “รอเดี๋ยว.น้ำยังไม่ร้อน ”เจ๊ม่วยบอก

          เวลาขณะนั้น เพิ่งจะตีห้า บรรยากาศโดยรอบของตลาดยังมืดมิด  แม้ทางร้านจะเปิดไฟแล้ว แต่แสงสว่างก็เกือบจะไม่เพียงพอ ผมหยิบหนังสือพิมพ์ที่ยับยู่ยี่ ที่ผ่านมือของคนอ่านมาเป็นร้อยๆคน  หน้าปกหนังสือมีรอยนิ้วมือ มีรอยด่างจากคาบเหงื่อ คาบกาแฟที่หกใส่ แต่นั่น หาใช่เป็นสาระกับเนื้อหาของข่าวไม่  ผมค่อยๆอ่าน ตั้งแต่การพาดหัวข่าวใหญ่ หัวข่าวรอง ดูภาพประกอบข่าวเด่น และเลือกอ่านข่าวที่สนใจก่อน ทุกๆวันผมจะได้อ่านข่าวมากน้อยขึ้นอยู่กับเวลาและสถานการณ์ แม้จะเป็นข่าวเก่าหรือข่าวใหม่  คนอยู่ไกลจากเมืองหลวง อย่างพวกเราก็จำต้องยอมรับกับสภาพความเป็นจริง

                                    ******************************************************

           ร้านขายหนังสือพิมพ์ที่เก่าแก่ที่สุด ในอำเภออรัญประเทศคือร้านนิตยา ตั้งแต่จำความได้ ในทุกวันจันทร์ และอังคารและวันอื่นๆทีมีโอกาส  หลังเลิกเรียนแล้ว ผมต้องเดินเท้ามาที่ถนนเจ้าพระยาบดินทร์ ซี่งเป็นถนนสายหลักและสายสำคัญทางเศรษฐกิจ เป็นถนนรอยเชื่อมกับวงเวียนแยกหอนาฬิกา(สี่แยกบูรพา) ไปยังสถานีรถไฟ  เมื่อห้าสิบปีก่อนอรัญประเทศ ยังเป็นเมืองเล็กๆด้านชายแดนกัมพูชาและเป็นเมืองปิด เพราะเรากับกัมพูชามีปัญหาพิพาทเกี่ยวกับเขาพระวิหาร   ความสัมพันธ์ทางการฑูตจึงปิดตัวลง   รถโดยสารที่ไปคลองลึก ซึ่งเป็นชายแดนระหว่างไทย- กัมพูชา จึงต้องหยุดจอดก่อนถึงประตูชัย ประมาณ 400 เมตรบรรยากาศเวลานั้นเงียบมาก  โรงเกลือในเวลานั้น ยังเป็นเพียงแค่ที่พักเก็บสินค้าอย่างเกลือเม็ด น้ำตาล เวชภัณฑ์ เพื่อแอบลักลอบส่งต่อพ่อค้าฝั่งกัมพูชา

        ทุกวันจันทร์-อังคาร หลังเลิกเรียน ผมต้องเดินลัด ซอยลักษณะลม้ายที่อยู่ด้านหน้าเทศบาลตำบล เข้ามาหัวมุมแถวร้านมหาพันธ์และร้านศรีไทย เพื่อเดินมาร้านนิตยาที่จำหน่ายหนังสือประเทืองปัญญาทุกชนิด  ร้านนิตยา ถือเป็นร้านจำหน่ายหนังสือทุกประเภทเป็นร้านแรกและร้านเดียวที่ผูกขาดการจำหน่านหนังสือต่างๆ มาตั้งแต่อดีต- จนปัจจุบัน

       “หลังเลิกเรียนแล้ว แวะซื้อหนังสือเดอะริง ให้พ่อด้วย ”พ่อกำชับ

       “ครับพ่อ” ผมตอบ 

       หนังสิอเดอะริงเป็นนิตยสาร เกี่ยวกับกีฬามวยเท่านั้น นิตยสารมวยมีพิมพ์ออกจำหน่าย วันละฉบับคือ วันจันทร์ ที่ร้านจะจำหน่ายเดอะริง วันอังคารจำหน่ายบ๊อกซื่งและวันพุธคือไฟท์ติ้ง หนังสือมวยราคาเล่มละ 50 สตางค์ เมื่อมาถึงร้านนิตยาแล้ว ผมจะหยิบหนังสือมวย เอาเองและเดินไปจ่ายเงินให้กับคนขายที่นั่งที่โต๊ะ   ด้วยที่เป็นลูกค้าประจำจึงทำให้น้าสุบรรณและเมียแกที่คุ้นหน้า ยินยอมให้ผมเปิดอ่านเนื้อหาภายในหนังสือเล่มนั้นๆได้  นี่คือสิ่งที่ผมได้รับความรู้จากหนังสือต่างๆที่ได้อ่านเกือบทุกวัน ต่อมาพ่อ เกิดติดใจนิตยสารข่าวการเมืองรายปักษ์ ที่ออกทุกวันศุกร์ ผมจึงได้เพิ่มวันอีกหนึ่งวัน ที่จะไปร้านขายหนังสือแห่งนี้  ยกเว้นวันพฤหัสบดีที่ไม่ได้มา  โรงเรียนที่ผมเรียนจะเลิกเรียน ช่วงบ่ายสามโมงครึ่ง กว่าจะเดินเถลไถล มาถึงร้านก็เกือบสี่โมง หยิบจับเปิดหนังสือ ฉบับโน้นฉบับนี้อ่าน อีกเกือบครึ่งชั่วโมง กว่่าจะถึงบ้าน ก็เกือบสี๋๋โมงครึ่ง   

       บางวันที่มีสตางค์เหลือจากโรงเรียน ผมจะแวะไปเช่าหนังสือการ์ตูน ร้านมุ่ยเอี้ยะ อ่านก่อนจะเข้าบ้าน ร้านนี้มีหนังสือประเภทต่างๆ ให้เช่าอ่านภายในร้าน ซึ่งทางร้านจะมีที่นั่งอ่านให้เฉพาะ นอกจากนี้ทางร้านยังมี ให้เช่าไปอ่านที่บ้านได้ ผมเคยเช่ามาอ่านที่บ้านแต่โดนแม่เอ็ด เลยไม่เช่าเพื่อมาอ่านที่บ้านอีกเลย 

     เมื่อก่อน.ร้านนิตยา มีเด็กขายหนังสือพิมพ์เพียง 3- 4 คน มีไอ้เปี๊ยก,ไอ้แหลม, ไอ้ปุ๋ย, ไอ้แกละ,ไอ้ติ่ง ,ระยะหลังเมื่อหนังสือพิมพ์มาส่งเร็วขึ้น ซึ่งจะมาลงที่ร้านประมาณ 7 โมงเช้าถึงแปดโมง กรอปกับเป็นช่วงปิดเทอม เพื่อนๆ ผมจึงมารับหนังสือพิมพ์ไปขายเพื่อหารายได้

         “วันนี้กูได้รับเงินส่วนแบ่งจากขายหนังสือพิมพ์ ได้หกสลึง ว่ะ” ไอ้แหลมพูด

         “กูได้สามบาท มากกว่ามึงเท่าตัวเลยไอ้แหลม” ไอ้ติ่ง พูด 

          ทั้งสองคน มายืนคุยอวดเรื่องรายได้ ที่เขาได้รับกัน ที่หน้าบ้านของผม ช่วงนี้..เป็นช่วงปิดเทอม พวกเราเด็กๆ จึงใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ เวลาเช้าใครอยากจะไปรับสินค้าประเภทใดไปขายเพื่อหารายได้พิเศษก็ไปติดต่อกับเจ้าของเอง ผมสนใจและอยากเป็นคนขายหนังสือพิมพ์บ้าง จึงไปติดต่อที่ร้านนิตยา ทางร้านไม่ขัดข้อง   เนื่องจากมีเด็กมาขอรับไปขายมากและหนังสือพิมพ์มีจำกัด ทุกคนจึงต้องแข่งขันกัน  ใครไปรับหนังสือพิมพ์ เช้ากว่าอีกคน คนนั้นก็ได้รับไปขาย ใครไปสายกว่าเพื่อนๆ หนังสืิอพิมพ์อาจหมดก่อน บางวันที่ผมมาที่หลังเพื่อนๆหนังสือพิมพ์หมดก็เลยไม่ได้ไปขาย  

         วันหนึ่ง ขณะที่ผมเอาหนังสือพิมพ์ไปขายแถวสี่แยกบูรพา  ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายมอเตอร์ไซด์ และเขายังเป็นเอเย่นต์ ขายหนังสือพิมพ์ข่าวสยาม ได้ชักชวนให้ผมเอาหนังสือพิมพ์ที่เขาเป็นตัวแทนจำหน่ายรับไปขายด้วยอีกหนึ่งฉบับ

        “ไอ้หนู รับเอาหนังสือพิมพ์ ข่าวสยามไปขายด้วยนะ  จะให้กำไรมากกว่า ที่ร้านนิตยานะ”  ทางร้านบอก

        “ครับ ลองดูก็ได้ ” ผมตอบ

        หนังสือพิมพ์ต่างๆในอดีตยุคนั้นราคาตกฉบับละ1 บาท เมื่อผมได้รับการทาบทามจากร้านสี่แยกบูรพาให้รับเอาหนังสือข่าวสยามมาขาย ผมจึงมีหนังสือเพิ่มอีกหนึ่งฉบับ ที่แตกต่างจากเพื่อนๆ โดยเฉพาะวันเสาร์- อาทิตย์ หนังสือพิมพ์จะขายดีมากกว่าวันธรรมดาเท่าตัว   ทางร้านนิตยาจะจัดหนังสือพิมพ์ให้เฉลี่ยๆพอๆกัน ยกเว้นบางคนที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ที่เขามีเจ้าประจำที่สั่งไว้เฉพาะ ก็จะได้เพิ่มมากขึ้น  ที่ร้านนิตยา จะคละให้ผมขายหนังสือพิมพ์จำนวน10-15 ฉบับ มีเดลินิวส์ ไทยรัฐ กับพิมพ์ไทย และผมจะไปรับหนังสือพิมพ์ที่ร้านสี่แยกบูรพา เพิ่มพิเศษคือหนังสือพิมพ์ข่าวสยามอีก 5 ฉบับ  ขณะนั้นหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ถือเป็นน้องใหม่สุด ซึ่งคนทั่วไปยังไม่คุ้นชินกับชื่อเสียงมากนัก เวลาจะบอกขายกับลูกค้า ส่วยใหญ่เขาจะปฎิเสธ ไม่อยากซื้อ

      “รับข่าวสยาม มั้ยครับ  ออกมาใหม่ เลยนะครับ ”

        ผมเริ่มเดินออกจากร้าน.. ทั้งใช้เสียงตะโกนให้ผู้สัญจรและคนอยู่ในเคหะสถานได้ยิน  เผื่อใครที่สนใจอยากจะอ่านข่าวสามารถ เรียกซื้อได้   

       “ไทยรัฐ เดลิเมล์ เดลินิวส์ พิมพ์ไทย ข่าวสยาม ครับ ๆ”  ผมจะร้องเป็นระยะ โดยเฉพาะช่วงที่มีคนผ่านไปมา  จากสี่แยกวงเวียนหอกระจายข่าว  ผ่านสถานีกาชาด  เข้ามาผ่านที่ทำการเทศบาลและอำเภอ บริเวณ หน้าพระสยามเทวาธิราช (ตรวจคนเข้าเมือง) ตำรวจภูธร ตชด.และโรงเรียน การขายหนังสือพิมพ์ บางทีมีการขายทับเส้นทางกัน  ใครไปขายก่อนก็ได้เปรียบ คนไปขายที่หลัง บางทีก็ขายไม่ได้เลยก็มี จึงเหลือหนังสือพิมพ์กับไปคืนที่ร้าน เจ้าของร้านไม่ได้ต่อว่าหรือตำหนิใดๆ เพียงแต่กำไรที่เราได้ในวั้นนั้นจะไม่คุ้มค่าเหนื่อยและเสียหน้าเท่านั้น  เจ้าประจำที่ซื้อหนังสือพิมพ์ ที่ใครๆอยากไปขายคือบ้านอรัญที่มีบ้านสารวัตรใหญ่พักอยู่ ท่านมักจะอ่านหนังสือพิมพ์เป็นประจำ การที่ได้มาขายที่นี่จะได้ขายอย่างน้อย 2 ฉบับ ใครไปถึงก่อนก็ถือว่าโชคดี เป็นการเอาฤกษ์เอาชัย ทำให้มีกำลังใจ  บางวันผมเอาหนังสือพิมพ์ไปขายแถวนั้น เมื่อผ่านหน้าบ้านท่าน  ท่านบอกว่ามีคนเอามาขายให้แล้ว สำหรับคนอื่นๆที่ไปขายหนังสือพิมพ์ที่มีบ้านท่าน ไม่มีใครมีหนังสือพิมพ์  ข่าวสยาม เหมือนผม   ผมเลยเสนอว่า

        “ผมมีหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ท่านจะลองอ่านๆ มั้ย ครับ “ผมบอกสารวัตรใหญ่

        “เอ้า ลองดู ก็ได้ ” สารวัตรพูด

         ปรากฎว่าท่านซื้อไปลองอ่าน จากนั้นผมจึงมีขาประจำ ที่จะต้องไปส่งทุกวัน หากวันไหนผมไปเช้าที่สุด ก็จะขายได้ 3 ฉบับ จุดที่ผมนำหนังสือพิมพ์ไปขายคือเดินไปยังชุมชน ร้านกาแฟ  ร้านตัดผม  คิวรถที่รถจะไปยังที่ต่างๆ  ผู้โดยสารที่นั่งรอเวลา ก็จะซื้อหนังสืออ่านฆ่าเวลาไปพรางๆ

         และนี่ก็ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตเด็กขายหนังสือพิมพ์  ที่ได้ทำงานเสริมตั้งแต่ครั้งเรียนประถม  หารายได้พิเศษเป็นค่าขนมและซื้อของเล่น อุปกรณ์การเรียน ประโยชน์ที่ได้ทางอ้อมคือ ผมได้อ่านหนังสือำพิมพ์ ฉบับนั้นๆได้รู้ข่าวคาว ความเคลื่อนไหวเหตุบ้านการเมือง และเป็นแรงจูงใจให้อยากป็นนักเขียน และทำหนังสือพิมพ์ 

      จนในที่สุดผมก็ได้มีโอกาสเป็นนักหนังสือพิมพ์  ในห้วง1ปีเต็มๆผมได้ทำหน้าที่ เป็นทั้งนักข่าว คอลัมนิสต์ และบรรณาธิการบริหารหนังสิอพิมพ์ท้องถิ่น จนสามารถช่วยทำให้หนังสือพิมพ์ฉบับที่ผมทำ ได้ฟื้นตัวให้เจ้าของหนังสือพิมพ์ลืมตาอ้าปากได้ และไม่ถูกดูหมื่นดูแคลน จากหนังสือพิมพ์ ฉบับอื่นๆ 

                                                     ขลุ่ย   บ้านข่อย

                                                   (๓๐  สิงหาคม  ๖๕  )

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×