มือใหม่หัดโดดเรียน - มือใหม่หัดโดดเรียน นิยาย มือใหม่หัดโดดเรียน : Dek-D.com - Writer

มือใหม่หัดโดดเรียน

ผู้เข้าชมรวม

86

ผู้เข้าชมเดือนนี้

3

ผู้เข้าชมรวม


86

ความคิดเห็น


0

คนติดตาม


0
เรื่องสั้น
อัปเดตล่าสุด :  21 ส.ค. 65 / 06:09 น.


ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                                       มือใหม่หัด -โดดเรียน

         วันเปิดเรียน.วันแรกของการเป็นนักเรียน ในเมืองหลวงของผม  ที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานครฯ   เช้านี้ผมแปลงร่างกับเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้าใหม่ไปเสียทุกอย่าง ที่เสื้อปักอักษรย่อว่า ร.ว  พร้อมเลขประจำตัว10074 และเข็มเครื่องหมายโรงเรียนที่ติดบนเสื้อด้านบนอักษร รว. มันดูเท่ห์ชะมัด(ผมนึกเห่อเครื่องแบบ ตะหงิดๆ )   กระเป๋าหนังสีดำใบใหม่เอี่ยมที่พี่ชายซื้อให้ บรรจุหนังสือแบบเรียนชั้นมศ. 4แน่นกระเป๋า เพราะยังไม่ได้มีการจัดตารางเรียน  วันนี้ผมค่อนข้างจะตื่นเต้น  เพราะไม่คุ้นเคยกับสถานที่เรียนใหม่ดีนัก  แม้จะเคยเข้ามาที่นี่ก่อนหน้าช่วงมาสอบคัดเลือกเพื่อเข้าเรียน แต่ก็มาเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น

       เมื่อคืน.. ผมนอนหลับไม่ค่อยเต็มอิ่มนัก  เพราะจิตใจพะวักพะวนกับหลายๆเรื่อง เรื่องแรกคือเรื่องการปรับตัวเข้ากับเพื่อน กับครู เนื่องจาก ผมเพิ่งเข้ามาเรียนในกรุงเทพครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ผลการเรียนของผมช่วงจบ มศ.3   มีค่าคะแนนเพียงร้อยละ 62.00  นี่คือสิ่งที่ผมค่อนข้างวิตกกังวลมากว่า จะสามารถเรียนทันเและเรียนสู้ พื่อนๆ ได้หรือไมเนื่องจากพื้นฐานความรู้ของเราอาจมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก

     “เรามาเรียนในกรุงเทพ คงไม่เหมือนกับที่เรา เคยเรียนที่ต่างจังหวัด เหมือนกับที่บ้านของเราหรอกนะ พี่อยากให้น้อง ตั้งใจเรียนให้มากๆ เลิกเรียนมาถึงบ้าน ต้องทำการบ้านท่องคำศัพท์ อ่านหนังสือ โดยเฉพาะเราเรียนศิลป์ฝรั่งเศส มันต้องท่องศัพท์ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส  ควบคู่กันไปด้วย”พี่ชายชองผม เตือนก่อนที่จะเริ่มเข้าเรียนเสียอีก 

     “ครับพี่ ผมจะปฎิบัติตามคำแนะนำของพี่ และจะไม่ทำให้พี่ผิดหวัง ” ผมตอบ

        จริงๆ แล้วช่วงที่ผมเรียนชั้น มศ..2-3  วิชาภาษาอังกฤษ ที่ผมเรียน ผลคะแนนก็ไม่ค่อยจะดีนัก  แต่ก็ไม่ถึงกับสอบไม่ผ่านในวิชานี้ จะว่าชอบวิชาภาษาอังกฤษ ก็ไม่เชิง จะว่าชังก็ไม่ใช่  ในใจคิดว่า ไม่ลองเรียน ก็คงไม่รู้ คงต้องมาลองเรียนกันสักตั้ง ใครดี ใครอยู่(วะ) เขาก็เรียนกันได้กันนี่ เราก็ต้องเรียนได้เหมือนกัน ผมพยายามทำใจดีสู้เสือ  แน่นอนว่า...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเมื่อเราเดินหน้ามาเรียนทางสายนี้แล้ว จุดมุ่งหมายคือต้องเรียนให้จบมศ.5 ให้ได้ เพื่อจะได้เอ็นทรานซ์เข้าเรียนในคณะรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ มันต้องเดินไปสู่ความฝันให้ได้สิ 

        ทั้งๆที่รู้ว่ามีรุ่นพี่ๆ ที่เคยเรียน ม.ปลาย เกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ไม่ประสบความสำเร็จและต้องล่าถอย เปลี่ยนสายเรียนเป็นสายวิชาชีพ  โดยเฉพาะช่วงชั้นเรียน มศ.4 จะเป็นช่วงการเรียนที่หนักมาก หากใครสอบมศ.4 ได้  เกินกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ จะต้องเรียนจบมศ.5 ได้อย่างแน่นอน เพราะข้อมูลนี้ ผมได้ยินคนที่เคยเรียนมาก่อนบอก

      “ใครสอบช่วงมศ4 ผ่าน รับประกันว่ามีสิทธิ์ เรียนมศ.5  ได้ไม่ยากนัก เชื่อพี่สิ ”รุ่นพี่ ที่เป็นประธานนักเรียนบอก นี่มันทำให้ผมกับเพื่อนๆ ที่ได้ฟังเกิดแรงฮึดที่จะเรียนให้ผ่านชั้นนี้ให้ได้ 

                                    **********************************************

       กลางเดือนพฤษภา เป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์ฉายแสง ตั้งแต่ช่วงก่อนหกนาฬิกา พี่ๆในบ้านทุกคนตื่นกันขึ้นมาแล้ว  เพื่อเตรียมตัวออกไปทำงานกัน  ผมลุกอาบน้ำตั้งแต่ตีห้าครึ่ง และรอกินข้าวเช้ากับพี่ๆ พี่ชายของผมทั้งสามคนจะชงกาแฟดื่ม กับขนมปังทาเนยบางๆ มีแฮมชิ้นบางๆวางตรงกลาง  ส่วนผมกินข้าวกับแกงไก ที่พี่ชายแวะซื้อไว้แต่เมื่อคืนมาอุ่น 

     “กินข้าวไปก่อน เพราะเรายังใหม่ เผื่อดูลู่ทางว่า ร้านในโรงอาหารของโรงเรียนขายอะไรบ้าง  “ พี่ชายบอก

     “ครับ  “

     “กินข้าวเสร็จแล้ว เดี๋ยวไปรอขึ้นรถเมล์สาย 56 พอรถเมล์ข้ามสะพานซังฮี้แล้ว ก็เตรียมตัวลงเลยนะ ” พี่ชายกำชับให้ผมทราบ      

     “ครับ ”      

     วันนี้เป็นวันแรกเช่นกัน ที่ผมจะต้องหัดขึ้นรถเมล์ เพื่อเดินทางไปเรียนหนังสือตามลำพังคนเดียว  ระยะทางจากบ้านในสวนซอยวัดมะลิ ออกมาที่ปากซอยจรัลสนิทวงศ์ 37  ด้วยการเดินเท้า ใช้เวลาประมาณ15 นาทีและ   ผมต้องมารอขึ้นรถเมล์อีก15-20 นาที   เมื่อขั้นรถเมล์สาย56 ได้ก็หาที่นั่ง ส่วนใหญ่ผมจะเลือกที่นั่งด้านหลังรถเมล์ที่เป็นทีนั่งยาว เหตุผลที่เลือกบริเวณนี้ เพราะ ผู้โดยสาร ไม่เบียดเสียดมากนัก การออกจากบ้านเช้าๆมีผลดีคือ ผู้โดยสารไม่หนาแน่นมาก และมาทันเวลาเรียนเหลือเฟือ 

       เมื่อข้ามสะพานซังฮี้ จนถึงวัดราชผาติการาม ผมก็จะกดกริ่ง เพื่อลงจากรถเมล์แล้วเดินข้ามฟาก บนริมฟุตบาทเยื้อง วิทยาลัยครูสวนดุสิต  ฝั่งโรงเรียนเซนต์คาเบรียล และเลยมาอีกนิด ผมก็เลี้ยวขวา(ตรอกวัดราชา)  ตรงหัวมุมร้านถ่ายภาพ แล้วเข้ามาที่โรงเรียน ซึ่งมีระยะทางประมาณ 200 เมตร

      เมื่อมาถึงโรงเรียนแล้ว ผมก็ได้พบว่ามีนักเรียนส่วนหนึ่งกำลังยืนมุงเพื่ออ่านรายชื่อของตนที่กระดานดำ ว่าจะประจำอยู่ห้องใด   ผมทราบล่วงหน้าก่อนแล้วว่า โรงเรียนวัดแห่งนี้ เป็นโรงเรียนชาย  เมื่อมาถึงประตูเล็กๆ  ผมก็ยกมือไหว้ครูเวรที่ยืนดูแล ความเรียบร้อยและเพื่อตรวจชุดแต่งกายของนักเรียนให้ถูกระเบียบ 

    “นั่น เขาคงอ่านรายชื่อ เราคงต้องรอให้คนเบาบางลงอีกสักหน่อย ค่อยเข้าไปอ่านบ้าง "  ผมคิด 

    มีนักเรียนเก่า ที่เคยเรียนที่นี่   ได้แทรกตัวเข้าไปในขณะที่คนอื่นๆ กำลังยืนอ่านรายชื่อเช่นกัน  เมื่อเขาเข้าไป อ่านรายชื่อแล้ว สักครู่ก็ออกมาบอกกับเพื่อนที่รอภายนอก

   “มึงเรียนห้องเดียวกันกับกูอีกแล้ว ยังไงเดี๋ยวมึงกับกู นั่งด้วยกันนะ  ” คนหนึ่งพูดขึ้น

   “ดี เหมือนกัน”  อีกคนพูด 

    เมื่อผมเห็นนักเรียนเริ่มบางตาลง  ผมจึงเดินเข้าไปตรวจดูรายชื่อบ้าง ก็ทราบว่าตนเองต้องนั่งประจำห้องเรียน ที่ห้อง 407   ผมพูดอย่างไม่อายว่า ผมตื่นเต้นที่ได้เรียนตึกสูงๆซึ่งมีถึง 6 ชั้น  สมัยเรียน ชั้นมศ.1 – 3 ที่โรงเรียนในอำเภอ  อาคารเรียนมีความสูงเพียงสองชั้น ผมยังตื่นเต้นเลย  ผมมองรอบตัวๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กเก่าหรือเด็กเข้าเรียนใหม่ ล้วนตื่นเต้นดีใจ ไม่แพ้กันเด็กเก่าที่เรียนมศ3  ได้ขึ้นชั้นมาเรียนมศ 4 ได้พบกับเพื่อนที่คุ้นเคยกันมาก่อน และยังเห่อเครื่องแบบใหม่  ช่วงก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติ ครูประจำชั้น ได้ขานชื่อให้นักเรียนได้รู้ว่า พวกเขาจะต้องมายืนเข้าแถว ณ จุดนี้เป็นประจำ  กว่าที่นักเรียนจะเข้าที่เข้าทางได้ ก็กินเวลาไปพอสมควร   หลังเข้าแถวเคารพธงชาติ สวดมนต์ไหว้พระเสร็จ อาจารย์ใหญ่คนสงขลา ได้มายืนกล่าวต้อนรับลูกศิษย์ที่เป็นนักเรียนเก่าและใหม่ ทั้งอบรมเรื่องการอยู่ในกรอบวินัยของโรงเรียน  หลังอบรมเสร็จจึงปล่อยแถวให้ขึ้นชั้นเรียน ไปตามห้องต่างๆ  นักเรียนแยกย้ายกันเดินขึ้นบันได ไปยังอาคารเรียนของตน  ผมกับเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนต้องเดินขึ้นชั้น 4 ที่ห้อง 407  ซึ่งเป็นห้องเรียนรวมห้องใหญ่  มีนักเรียนปนกันสองห้องรวมแล้วเกือบ70 คน ห้องเรียนห้องนี้ เป็นห้อเรียนมศ 4  โปรแกรมศิลปะ ภาษาฝรั่งเศส แค่ห้องเดียว ครูผู้สอนก็แทบจะแย่ แต่นี่สองห้องรวมกันหากครูที่สอนไม่มีประสบการณ์ในการสอนคงน่าจะเอาไม่อยู่ เพราะแม่้พวกเขาจะเรียน ม. ปลายแล้ว แต่ทุกคนก็ยังติดความเป็นลูกลิงลูกค่าง

       เมื่อครูประจำชั้นเข้ามาที่ห้องเรียนแล้ว ครูได้แต่งตั้งให้นายโฆษิต เป็นหัวหน้าห้องและให้ประพัฒน์ เป็นรองหัวหน้าห้อง จริงๆแล้วทั้งสองคนคือรุ่นพี่ของพวกเรา เนื่องจากเขาต้องเรียนซ้ำชั้นเดิม เพราะสอบตก โฆษิต เป็นคนรูปร่างใหญ่มาก บุคลิกเสมือนผู้ใหญ่ ทีแรกผมยังเข้าใจว่า เขาเป็นครูเสียอีกหากไม่มองลงที่้ด้านล่าง ซึ่งเขาใส่กางเกงขาสั้น 

     “ครูชื่อนารี และนี่คือครูดาราวรรณ “ครูประจำชั้นผู้อาวุโสพูด พร้อมทั้งแนะนำให้นักเรียนได้ทราบว่า เธอทั้งสองคนคือครูประจำชั้นที่ต้องมาคอยเช็คชื่อทุกๆเช้า ก่อนที่ครูประจำวิชาคนอื่นๆจะเข้าชั้นสอน 

      เพียงวันแรกที่ผมได้สัมผัสกับครูนารี ผมรู้สึกชื่นชอบและศรัทธาในตัวครูเป็นอย่างยิ่ง  บุคลิกของครู ดูจะเป็นคนใจดี  มีเมตตา หน้าตายิ้มแย้มสดชื่นแม้จะเสียงดังบ้าง แต่คงเป็นเพราะครูคงต้องพูดแข่งกับปริมาณของนักเรียนในชั้นที่มีเกินกว่าครึ่งร้อย

   “เพี้ยะๆ “เสียงไม้เรียวฟาดลงบนโต๊ะของครู เพื่อปรามเพื่อนๆ ในชั้นเรียน 

  “นายมด เนี่ยะ เพียงแค่ วันแรกของการเรียน.เธอก็ออกฤทธิ์เดช ซะแล้วนะ“ ครูนารีดุนักเรียนที่เคยเรียนที่โรงเรียนนี้มาก่อน

     มด เป็นนักเรียน จบชั้นมศ.3 ที่โรงเรียนแห่งนี้ รูปร่างเขาเล็กที่สุดในห้อง แต่พยายามสร้างปมเด่นให้กับตนเอง เขาคงคิดว่าเขาเป็นเด็กเก่า จึงอยากทำอะไรให้เป็นจุดสนใจของเพื่อนใหม่ในชั้นเรียน 

   วันแรกของครูนารี ได้จัดที่นั่งให้ผมนั่งคู่กับสุฑัต ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของไอ้มด ตรงบริเวณโต๊ะแถวที่สาม จากหน้ากระดานดำฝั่งประตูทางออก  เป็นโชคดีของผมที่ได้นั่งกับเพื่อนใหม่คนนี้  สุฑัตเป็นคนสมุทรปราการ แถวสำโรงเหนือ  เขาเป็นคนล่ำหน้าตาดีสุภาพ จริงใจ

  “นายชื่ออะไร เหรอ  “ สุฑัต สอบถามผม

  “เราชื่อธรนินทร์  “ ผมตอบ

  “จบมศ. 3จากที่ไหนเหรอ  “

 “โรงเรียน อรัญประเทศ น่ะ “

  “อ๋อ ติดชายแดนเขมรเลย เหรอ  “

  “ไม่หรอก ห่างไป สัก 5 กิโลน่ะ   “

  “ยังไงเรามาเป็นเพื่อนกันนะ  หากนายมีอะไร ให้เราช่วยได้ก็บอก   “ 

  “ขอบใจมากเพื่อน เราก็เพิ่งมาอยู่กรุงทพได้เดือนกว่าๆ เอง  ไม่ค่อยรู้เส้นทางไปไหนมาไหน มากนัก “

  “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพาลุยกรุงเทพเอง  “

        หลังจากครูนารี อบรมพวกเราประมาณ10 นาที วันแรกเช้านี้ ทุกคนในชั้นก็เริ่มเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศส  เป็นปฐม ฤกษ์ ครูผู้สอนคือครูเสาวคนธ์ หลังจากโฆษิต หัวหน้าชั้น บอกให้พวกเราทำความเคารพเป็นภาษาไทยแล้ว  ครูจึงแนะนำการทักทายเป็นภาษาฝรั่งเศสแทน 

  “การทักทายเราต้องเริ่มต้นทักทายว่า“บงซูมาดาม ให้นักเรียนทุกคนทักทายพร้อมกัน “ ครูเสาวคนธ์บอกให้นักเรียนพูดพร้อมกัน

  “บงชูมาดาม “ นักเรียนพูดตามครู

  “บงชูมาดาม  หมายถึงการทักทายว่า สวัสดี กับคนที่มีครอบครัวแล้ว เมื่อเราทักทายคำว่าสวัสดีแล้ว ประโยคต่อไปควรถามทุกข์สุขว่าสบายดีมั้ย ภาษาฝรั่งเศส พูดว่า  กัมมังตะเลวู๊ ”และครูยังสอนต่อไป

         ในวันแรกการเรียนของวิชานี้ ได้ฝึกการทักทาย การบอกลาจากนั้นครูจึงสอนให้เราหัดอ่านภาษาฝรั่งเศส ซึ่งอักษร ตั้งแค่ตัวแรกคือ A-Z เหมือนกับภาษาอังกฤษ ทุกอย่าง ต่างเพียงแค่สำเนียงเท่านั้น    แรกๆ  ผมคิดว่าวิชานี้คงไม่ยากเกินความสามารถของผมอย่างแน่นอน  เวลาที่ครูใช้ไม้ชี้อักษรบนกระดานดำ ทุกคนก็จะออกเสียงตามครู  สองชั่วโมงผ่านไปมีการเบรค ให้นักเรียนผ่อนคลาย และเข้าห้องน้ำ  จากนั้นชั่วโมงถัดมาก็เป็นวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป  ซึ่งครูสมคิด เป็นผู้สอน ครูท่านนี้สูง ใส่แว่นหนา ท่าทางใจดี  สอนเข้าใจง่าย ผมรู้สึกชอบแนวการสอนของท่านมากเป็นพิเศษ 

         หนึ่งเดือนแรก ทุกวิชาที่เรียน ผมไม่สู้จะหนักใจนัก  แต่ระยะหลังที่ไม่ได้ท่องศัพท์ และจำวิธีการใช้ไวยากรณ์ (แกรมมา)ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสไม่ได้ ผมจึงเริ่มเรียนไม่ทันเพื่อนๆ  แรกๆครูให้การบ้านมา ผมสามารถทำได้ แต่หลังจากไม่เข้าใจ ทางเดียวที่จะเอาตัวรอดวันต่อวัน คือต้องซื้อคีย์กุญแจของแต่ละวิชามาลอกการบ้านส่งครู

     “ไอ้นิน เรามาขอลอกการบ้านจากเพื่อนๆทุกๆเช้า เกือบจะไม่ทันส่งครู วราภรณ์    ไอ้เหีี้ยมด แม่งเห็นแก่ตัว พอมันลอกเสร็จ มันก็เอาของมันไปส่งก่อน ไม่ยอมให้เพื่อนลอกต่อ  . เอางี้ เย็นวันศุกร์  เราไปท้องสนามหลวง แวะซื้อคีย์ แบบฝึกหัดมา เพื่อไว้ลอกกการบ้านส่งครูดีกว่า เรามาหารเงินกันคนละครึ่ง เคมั้ย“สุฑัต เสนอความเห็น

   “ดี เหมือนกัน เราก็เรียนไม่เข้าใจเลย เรียนไม่ทันเพื่อน เลยน่ะ”ผมตอบรับ

               ****************************************************************

     ที่ข้างศาลฎีกาและด้านหน้าซึ่งมีซุ้มจำหน่ายหนังสือทุกประเภท ผมกับสุฑัต เดินสำรวจไปยังจุดต่างๆ ทั่วบริเวณท้องสนามหลวง ซึ่งมีของกินของใช้ตั้งแต่พิชผัก สมุนไพร เนื้อสัตว์ป่า ทั้งหมอดูดวง วัตถุบูชา ฯลฯ 

    “เดี๋ยวซื้อน้ำเก็กฮวยกินแก้กระหายกันคนละแก้วแล้วไปหาซื้อคีย์แบบฝึกหัดวิชาคณิตศาสตร์ ฝรั่งเศส รวมวิชาภาษาอังกฤษด้วย ”สุฑัต พูด

  “เค เพื่อน  “   

  เราเดินสำรวจและหยิบจับหนังสือทุกประเภทที่อยากอ่าน สุฑัตพาผมไปทุกๆแห่งเพื่อเปิดโลกทรรศน์ใหม่ในมหานคร    

    ไม่ผิดหวังเลย ที่ผมกับเขา จับผลัดจับผลูมานั่งด้วยกัน ตลอดเวลาที่เรียนและรู้จักกันมา จนจะสอบเทอมแรก  ผมกับเขาต้องพึ่งพาอาศัยกันตลอด ในห้อง407 ที่ผมสนิทมากที่สุดมี 4คนคือสุฑัต, เกียรติพงษ์, นิคม, และ จรัส  

  “ขอยืมยาลบหมึก หน่อยสิ “สุฑัตขอยืมผม เมื่อเขาลอกการบ้านผิดข้อและต้องลบทิ้ง

  “เอาเลยเพื่อน “ผมบอกสุฑัต พลางส่งขวดยาลบหมึกไปให้เขา

      ทุกครั้งที่เปิดยาลบหมึกออกจากขวด เมื่อป้ายลงไปที่ข้อความที่อยากแก้ไขแล้ว ต้องเป่าให้แห้งเสียก่อน   จึงจะเขียนต่อได้ กลิ่นของยาลบหมึก(คลอรีน) ในสมัยก่อน ค่อนข้างเหม็นมาก คนที่ชอบยืมและไม่เคยซื้อเลย  คือไอ้มดจอมซ่าของห้อง ที่ไม่ค่อยมีใครถือสาเขา

   “พูดได้ว่า ผมและสุฑัต  มีการบ้านส่งครูทุกเช้าแต่ไม่มีความรู้ และเข้าใจใดๆ เลย  เวลาครูสอน ก็พยายามหลบหน้าครูผู้สอน  บางครั้งตอบครู ถูกบ้างผิดบ้างเพราะมีพรายกระซิบข้างๆ  แต่ส่วนใหญ่มักตอบไม่ถูกเลย  นี่จึงเป็นสาเหตุที่ ทำให้ผมไม่อยากเข้าเรียนสามวิชาหลักคือ คณิตศาสตร์ ฝรั่งเศส และอังกฤษ 

    “จะ10 โมงแล้ว ครูเจตต์จะเข้าสอนคณิต.ก เรายังลอกการบ้านไม่เสร็จ หากไม่ส่ง ต้องโดนไม้เรียวหวดก้นแน่ๆ   ทำไงดี  “ผมบอกสุฑัต 

   “ไม่ยาก เมื่อกี้เราเห็นรุ่นน้องมศ 3 มันโดดเรียน เข้าด้านข้างฝั่งหอสมุดแห่งชาติ   เดี๋ยวเราก็ใช้ช่องทางนี้แหละ “ สุฑัต บอก

  “จะดีหรือเพื่อน “ผมพูด

       สุฑัต เคยชินกับการโดดเรียนมาก่อน เพราะเขาเป็นศิษย์เก่า เคยเรียนมาตั้งแต่ชั้นมศ 1 เขามั่นใจว่าการโดดเรียนจะครั้งไหนๆก็ตาม ครูไม่มีทางจะจับ หรือเห็นตัวเขา อย่างแน่นอน 

    “เรามั่นใจ น่ะเพื่อน ไม่ต้องกลัวหรอก ไอ้มด นี่..โดดเรียน  ตรงทางนี้ประจำเลย  “สุฑัตบอก

    หลายๆครั้ง ที่ผมเห็นไอ้มด หายไปจากห้องเรียนพร้อมทั้งโฆษิต  หัวหน้าชั้น  เป็นเพราะความช่ำชองส่วนตัวของเขา ที่เคยผ่านการโดดเรียน ดังกับมืออาชีพ

      “เรากล้าๆ กลัวๆว่ะ  ฑัต “ผมตอบ

     “อยู่เรียน ก็โดนไม่เรียวเพราะลอกการบ้านส่งไม่ทัน โดดเรียนไปหอสมุด ไปบางลำพูยังมีความสุขกว่า เลือกเอา เพื่อน  จะเอาอย่างไหน  ”

    ผมนึกและทบทวน เพื่อการตัดสินใจ เวลาก็ใกล้ๆเข้ามาแล้ว  วิชาของ.ครูเจตตนี่  ผมเคยโดยหวดก้นมาแล้วหลายครั้งมือนี่ หนักไม่น้อยเลย 

   “เอาล่ะวะ ยอมเสี่ยงวะ“ผมตอบ

    “นิคม ซ่อนกระเป๋าของเรากับของไอ้ฑัต ให้ด้วย“ ผมบอกเพื่อนที่นั่งข้างๆ 

     “โชคดี โว้ย เพื่อน “ นิคมพูด

         นี่..คือครั้งแรก ที่ผมโดดเรียนกับเพื่อน หัวใตเต้นตุ๊มๆต้อมๆ ผมค่อยๆย่องตามผู้ชำนาญการและครั้งแรก ครั้งนี้ก็รอดไปได้ ดูช่างมีความสุขเหมือนอยู่บนสวรรค์ 

         เนื่องจากเส้นทางทีหนีเรียน ของเด็กโรงเรียนนี้ ต้องผ่านบ้านของชาวบ้านที่อยู่ใกล้ท่าวาสุกรี (หอสมุดแห่งชาติ )  ด้วยเพราะความหวังดีของผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงเยาวชนของชาติ   พวกเขาจึงนำเรื่องมาแจ้งทางฝ่ายปกครองได้ทราบเพื่อหาทางป้องปราม ซึ่งนักเรียนไม่รู้ว่า ชาวบ้านได้แจ้งข่าวมาที่โรงเรียนแล้ว ถึงเรื่องช่องทางการหนีเรียน 

       จากที่ผมกับเพื่อนๆเริ่มรู้สึกเบื่อการเรียน เพราะเรียนไม่ทันเพื่อน จึงเริ่มหนีเรียน(โดดเรียน) บ่อยขึ้น  เส้นทางที่วาสุกรีฝ่ายปกครอง ได้ดักจับพวกเราได้ทุกราย  แต่ยังมีอีกเส้นทาง ที่สามารถโดดเรียนได้ คือ ช่วงข้างวัดราชา ฝั่งติดริมน้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นรั้วรอยต่อระหว่างโรงเรียนกับวัด การจะข้ามฟากได้ต้องค่อยเกาะแนวรั้วแล้วค่อยๆ จับเหล็กเดิน ผ่านบ่อน้ำแล้ว จึงถึงพื้นดินในเขตวัด 

        วันนี้จรัส เพื่อนสนิทอีกคน ไม่อยากเรียน จึงชวนผมกับสุฑัต ให้มาเป็นเพื่อนด้วย

   “ไอ้จรัสมันคุ้นทางดี เพราะมันเป็นลูกศิษย์วัด“  สุฑัตพูด

   “ชัวร์ เดี๋ยวเราจะพาพวกนายหลบเรียน วิชาของครูเสาวคนธ์”  จรัสพูด

       ระยะหลังๆ ผมตอบคำถามครูเสาวคนธ์ที่สอนวิชาภาษาฝรั่งเศส ไม่ได้เลย จึงรู้สึกอาย ทางเดียวคือต้องโดดเรียนสถานเดียว 

    “มาตามเรามา " จรัสพูด

    จรัสนำหน้า ตามด้วยสุฑัต และผมเป็นคนสุดท้าย. สองคนรอดไปได้และเข้าไปหลบที่ใต้ถุนกุฎิที่จรัสพัก 

  “เข้ามาทำไม ในวัดนักเรียนคนนี้   นี่เป็นเวลาเรียนหนังสือ  เสียงทักทายจากพระภิกษุ รูปหนึ่ง 

   “มาหาเพื่อนครับ  “ผมตอบ ด้วยเสียงสั่นๆ

   “นี่เวลาเรียนหนังสือนี่ มาหาหลวงอาเดี๋ยวนี้ หนีเรียนหรือเปล่า ชื่ออะไร “พระภิกษุซักไซร้ สอบถาม

    ผมเดินเข้าไปหา  ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม  

   “นี่พักหลัง อาจารย์ใหญ่แจ้งมาว่าเด็กในโรงเรียนชอบหนีเรียนไปเล่นน้ำ ในเวลาเรียน  อย่างนี้ต้องโดนไม่้เรียว  ของพระซะบ้าง ไม่รู้เหรอว่า แอบหนีมาเล่นน้ำ มันอันตรายนี่เรียนม.ปลาย เสียด้วย  สิ “

      นี่ ..เป็นคราวเคระห์ คราวซวยของผม ที่ถูกพระจับได้ค่าหนังคาเขา ว่าหนีเรียนแต่เพื่อนทั้งสองรอดตัว.

      กรรมที่ผมได้รับ คือโดนลงโทษสองเด้ง คือวันโดดเรียน โดนพระเฆี่ยน และช่วงเช้าวันต่อมา  อาจารย์ใหญ่ก็เรียกชื่อไปหวดก้นต่อหน้านักเรียน ทั้งโรงเรียน   อายเขามั้ย เนี่ยะ …

                                      ขลุ่ย   บ้านข่อย  ( ๒๑ สิงหาคม  ๖๕ )

 

 

ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น

    ×