แม้แต่คำขอบคุณ ยังไม่มี
ผู้เข้าชมรวม
130
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
แม่แต่ คำขอบคุณ ก็ยังมิเอ่ย
จริงๆแล้ว การทำความดีหรือการช่วยเหลือบุคคลอื่นๆ ที่ผมได้เคยช่วยไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา ประชาชน หรือองค์กรใดๆ ผมมิได้กระทำเพื่อหวังผลตอบแทนหรือต้องการชื่อเสียงและสร้างภาพใดๆ ผมยังจำได้ดีว่า เมื่อสมัยที่ผมเรียนชั้นประถมต้น ประถมปลายและชั้นมัธยม ผมและเพื่อนๆที่เคยเรียนวิชาลูกเสือสำรองและลูกเสือสามัญ ได้บำเพ็ญประโยชน์ ในการดูแล จัดระเบียบการจอดรถ การเฝ้ารถจักรยานให้ประชาชนในทุกๆเช้าระหว่างเวลา 06.00น -08.00 น มิให้เกิดการสูญหายที่ตลาดสด ผมและเพื่อนๆยังเคย เป็นคนเก็บตั๋วในงานวัดและโรงเรียนและอีกนับครั้งไม่ถ้วน ผม ยังเป็นคนเฝ้าและเก็บรถจักรยานในงานประเพณีของวัดต่างๆในอำเภอบ้านเกิด
เมื่อผมเข้ามาเรียนในกรุงเทพ ในขณะที่ผมนั่งรถเมล์โดยสาร ทุกครั้งที่ผมเห็นเด็ก สุภาพสตรี สตรีมีครรภ์ ผู้ชรา ผู้พิการ และพระภิกษุ ขึ้นรถโดยสาร ผมยินดีและเต็มใจที่จะยอมสละที่นั่งให้กับบุคคลเหล่านั้น และบ่อยๆครั้ง ที่ผมรอขึ้นรถเมล์ ที่ป้ายรถเมล์แถวสะพานซังฮี้ (สะพานกรุงธนบุรี ) เยื้องๆวัดราชผาติการาม เมื่อพบเห็น ผู้พิการทางด้านสายตา จะขึ้นรถโดยสาร ผมจะเป็นคนจูงและนำพาพวกเขาให้ก้าวขึ้นบันไดรถ
ในเช้าวันเสาร์..ของเดือนกรกฎาคม เวลา 6.30 น. โดยประมาณ-ขณะที่ผมกำลังนั่งชมรายการข่าวทางโทรทัศน์ และขณะที่ แม่บ้านกำลังทำความสะอาดบ้าน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนเรียกขาน ดังขึ้นมาจากนอกบ้าน
"อาจารย์ คะ..ๆๆ ช่วยไปดุูหน่อย มีนักศึกษานอนสลบ อยู่ริมถนนชายคลองชลประทาน" เสียงตะโกนจากสตรีคนหนึ่ง หลังจากที่ผมได้ยินเสียงเรียก จึงชะเง้อออกนอกบ้านมายังต้นเสียง
"จุ๋ม..เองน่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ "ผมถาม ชาวบ้านที่อยู่แถวๆสถาบันที่มาร้องเรียก
"อาจารย์ ช่วยรีบไปดูหน่อย หนูเห็นมีคนนอนข้างถนน และมีรถมอเตอร์ไซด์ล้มอยู่ด้วยสงสัย จะเป็นนักศึกษาของที่นี่ น่ะ "
"จุ๋มไปไหนมา เหรอ จึงพบเห็น "
"หนูไปตลาดสดมาและได้ขี่รถตามหลังเขามาห่างๆ ก่อนจะถึงสะพาน หนูเห็นหมา วิ่งตามกันเป็นพรวน และคงวิ่งตัดหน้ารถของเขา เขาน่าจะคงหักหลบไม่ทันเลยชนหมา รถคงเสียหลักล้มลง จนเขาสลบไป อาจารย์รีบไปดูเขาหน่อยนะ สงสัยถ้าจะแย่..เลย"จุ๋มพูด
เมื่อผมฟังคำบอกเล่าจากชาวบ้านแล้ว จึงบอกกับแม่บ้านว่าจะออกไปดูอาการคนเจ็บ เพื่อจะได้ช่วยเหลือเบื้องต้นก่อน
"เธอ. เดี๋ยวผมจะออกไปดูนักศึกษาหน่อยนะ ไม่รู้ว่าเป็นไงบ้าง"ผมบอกกับแม่บ้าน เธอทำหน้างงๆ เพราะไม่รู้ที่มาที่ไป และมีอะไรเกิดขึ้น
ผมเดินไปหยิบกุญแจ รถมอเตอร์ไซด์ที่แขวนไว้ตรงจุดแขวนประจำ แล้วเดินไปปลดล้อครถ พร้อมเสียบกุญแจตรงรูเสียบแล้วสตาร์ทและออกตัวรถไปในทันที..ไม่ทันถึงสองนาทีดี ผมก็สามารถมองเห็นผู้หญิงผมยาวผิวคล้ำ นุ่งกางเกง ยีนส์ เสื้อเชิร์ตลายดอกนอนตะแคง สลบเหมือด เห็นและรู้ได้โดยทันทีว่าเป็นอาจารย์จากสาขาการตลาด ที่เพิ่งสอบมาบรรจุใหม่ได้ ไม่ถึงสองเดือน ข้างๆตัวอาจารย์ที่ยืนดู คือหลานของเธอ ที่มาเรียนในสาขาบริหารธุกิจ
"สมหญิง มากับอาจารย์ดวงใจเหรอ เกิดอะไรขึ้นน่ะ" ผมถาม ลูกศิษย์ ที่ซ้อนท้ายจักรยานยนต์อาจารย์ดวงใจ
"พอดีสุนัขวิ่งตัดหน้าค่ะ อาจารย์เบรครถไม่ทันเลยชนสุนัขมันเข้าอย่างจัง ตัวมันไม่เป็นไร แต่รถอาจารย์ล้ม ดังที่เห็นนี่แหละค่ะ หนูแค่เป็นแผลถลอกนิดหน่อย เท่านั้น "สมหญิงพูด
"ทำไงดี วันนี้เป็นวัดหยุดราชการ หากเราจะมาเดินเรื่องเพื่อขอรถส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาล กว่าจะเดินเรื่องเสร็จ คนขับรถยนต์จะมาหรือไม่มา ย่อมเป็นสิทธิของเขา ผมไม่มีสิทธิจะไปบังคับ เพราะเป็นวันหยุดราชการ อย่าเสี่ยงดีกว่า " ผมพูด ขณะที่จุ๋มยืนอยู่ข้างๆ
" อาจารย์มีรถยนต์นี่ ช่วยขับไปส่งเขา ที่โรงพยาบาลหน่อยสิ สงสารเขานะ นี่สลบมาเกือบสิบนาทีแล้วยังไม่ฟื้นเลย " จุ๋ม เสนอแนะให้ผมดำเนินการ
"เออจริงด้วยสิ ที่บ้านเราก็มีรถยนต์ " ผมคิด
จากนั้น..ผมจึงเอ่ยปากบอกให้ สมหญิง ยืนเฝ้าอาจารย์ไว้ก่อน ผมตั้งใจว่า ผมจะเป็นคนขับรถส่วนตัวไปส่งคนเจ็บเอง เมื่อนำรถจักรยานยนต์เข้าถึงบ้านแล้ว ผมได้เดินไปหยิบกุญแจรถยนต์ มาเปิดรถ และอุ่นเครื่องอยู่ชั่วครู่หนึ่ง
"คุณจะเอารถยนต์ ไปไหน เหรอ "แม่บ้าถาม
"ไปส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาล "
"ใครเหรอ "
"เอาเถอะน่า เขาสลบแน่นิ่ง ต้องรีบไปส่งเขาที่โรงพยาบาลโดยด่วน "
"ไปชุดนี้เหรอ "
"ใช่ "
ผมรีบมารับคนเจ็บ เพื่อนำส่งโรงพยาบาล ด้วยความเร่งรีบและเป็นห่วงคนเจ็บ ทำให้ผมไม่ได้เปลี่ยนชุด ไม่ได้แปรงฟัน อีกทั้งยังลืมระเป๋าเงินติดมาด้วย เมื่อรถมาถึงคนเจ็บแล้ว ผมบอกให้จุ๋ม จูงรถมาฝากไว้ที่หน้าป้อมยาม ผมกับสมหญิง พยายามช่วยกันประคอง อาจารย์ดวงใจ ขึ้นรถกระบะ อย่างทุลักทุเล เธอพอจะคืนสติมาได้บ้าง เมื่อขึ้นรถได้จนเรียบร้อยแล้ว ผมบอกกับสมหญิงให้ประคองตัวอาจารย์ไว้ดีๆ เพราะผมจะต้องใช้ความเร็ว อย่างเร็วที่สุด (ปกติผมจะขับรถความเร็วเต็มที่ 80- 90 กิโลเมตรเท่านั้น) แต่ในวันดังกล่า วผมเหยียบคันเร่ง เฉลี่ยตลอดทาง 120 กมต่อชั่วโมง ไม่ถึงสิบนาที ก็มาถึงโรงพยาบาล ผมลงไปแจ้งฝ่ายเปลสนามให้มารับคนเจ็บ จากนั้นจึงไปทำบัตรผู้ป่วย ผมไม่ทราบข้อมูลของอาจารย์ดวงใจเลย จึงเรียกสมหญิงมาช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่
เมื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้นำรถเข็น มารับอาจารย์ดวงใจแล้ว เขาจึงนำเข้าห้องเอกเรย์โดยทันที เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาทำการและเป็นวันหยุด กว่านายแพทย์จะมาถึง ก็เกือบ 9.30 น ผมจึงนั่งรอ.. ในตัวผมที่นุ่งกางเกงขาก๊วยมาวันนี้ ไม่มีเงินติดมาเลยสักแดงเดียว แน่นอนว่า การมาโรงพยาบาลย่อมต้องมีค่าใช้จ่าย
" เงินค่ายาที่ต้องจ่าย เท่าไหร่ครับ " ผมถามเจ้าหน้าที่
"ห้าร้อยกว่าบาท "
ในระหว่างนี้ผมมีแนวคิดสองทางคือ ผมต้องขับรถกลับมา ที่บ้านเพื่อเอาเงินมาสำรองแทน อาจารย์ดวงใจไปก่อน แล้วค่อยนำใบเสร็จมาขอเบิกเงินคืนภายหลัง หรือแนวทางหลัง คือใช้วิธี การโทรศัพท์ ไปบอกอาจารย์ในสาขาเดียวกันกับอาจารย์ดวงใจ เพื่อให้มาช่วยดูแลและนำเงินมาจ่ายสำรองให้ก่อน
ผมตัดสินใจใช้วิธีหลังเพราะไม่ยุ่งยากที่ต้องขับรถไป-กลับ หลายเที่ยว และเมื่อ บังเอิญเห็นตู้โทรศัพท์ อยู่หน้าห้องแผนกทำบัตรผู้ป่วย จึงขอยืมเงินจาก สมหญิงมาสองบาท เพื่อจะโทรหาคนที่สนิทกับอาจารย์ดวงใจ
"อาจารย์คะ โทรไปหาหัวหน้าแผนกทะเบียน ดีกว่าค่ะ อาจารย์ดวงใจ เขาสนิทกับคนนี้ "สมหญิงบอก
"ก็ได้ งั้นจะไปโทรหาเขาเลย "
......… ...…
" สวัสดีครับ ผม อาจารย์นครินทร์ นะ ผมโทรมาจากโรงพยาบาล คุณจารุณี ช่วยมาดูแลอาจารย์ดวงใจให้ผมด้วย ในระหว่างนี้ผมกำลังรอหมอ และต้องมีค่าใช้จ่ายด้วย หลานของอาจารย์บอกว่าอาจารย์ เขาไม่ได้เอาเงินติดตัวมาด้วย รบกวนติดเงินมาสำรองจ่ายค่ารรักษาพยาบาลก่อนนะ"ผมพูด
"ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา สักครู่หนูจะไปโรงพยาบาล " หัวหน้าแผนกทะเบียนพูด
ทุกอย่างดำเนินมาด้วยความราบรื่น คนเจ็บมาถึงมือหมอ ผมก็หมดห่วง. ผมจึงต้องขอตัวกลับมาที่บ้านก่อน
"สมหญิง ดูแลอาจารย์ด้วย เดี๋ยวคุณจารุณี จะมาช่วยจัดการเรื่องเงินให้ "
"ขอบคุณค่ะ อาจารย์ "
เป็นครั้งแรก..ที่ผมต้องขับรถเร็วที่สุดในชีวิต .เป็นครั้งแรกที่ผมทำให้แม่บ้าน ไม่สบายใจ เพราะเธออดเป็นห่วงผมไม่ได้ ผมมาทราบภายหลังว่าอาจารย์ดวงใจ ต้องนอนที่โรงพยาบาลหลายคืน หลังจากที่เธอกลับมาทำงานได้ตามปกติ แม้นเราจะพบกันเกือบทุกวัน..ผมยังมิเคยเห็นการแสดงน้ำใจ แสดงความขอบคุณเลยสักนิด ;ซึ่งต่างกับลูกศิษย์ยังได้แสดงออก
ช่วงที่อาจารย์ดวงใจ อยู่ที่โรงพยาบาล ผมยังมีโอกาส แวะมาเยี่ยมมาให้กำลังใจเสมอไม่เคยขาด นี่คือนิสัยของผมที่ทำมาตลอดเวลา หากเพื่อนร่วมงาน เจ็บป่วยไม่ว่าจะเป็นใคร อย่างน้อยๆผม ก็มีกระเช้านม ผลไม้มาหยิบยื่นให้กำลังใจ กันและกันในฐานะ คนในองค์กรเดียวกัน แต่กลับกันในบางครั้งที่ผมป่วย จะหาใครสักคนหันมา เหลียวแล มาแสดงน้ำใจให้บ้างสักคนก็ไม่มี จนตนเองรู้สึกน้อยใจ (แต่ก็ช่างเถอะ ผมคิด)
สรุปว่า ตั้งแต่วันเกิดเหตุ จนถึงวันที่เธอลาออกจากราชการ ผมก็ยังมิเคยเห็นเธอ ได้แสดงน้ำใจ กับคนที่เคยช่วยเหลือเธอเลยสักนิด เพียงขอบใจ หรือขอบคุณ มันยากนักหรือที่จะเอ่ยออกจากปาก ทั้งๆที่ไม่ได้เสียเงินเลย
มีนตึ๋บ กับ คนมีการศึกษาจริงๆ
ขลุ่ย บ้านข่อย (๑๒สค ๖๕)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น