เกือบติดคุก - เกือบติดคุก นิยาย เกือบติดคุก : Dek-D.com - Writer

    เกือบติดคุก

    ผู้เข้าชมรวม

    122

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    122

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ส.ค. 65 / 04:56 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                                                 เกือบติดคุก    ที่เชียงใหม่

     ต้องบอกว่า เป็นความฝันของผมอย่างมาก ที่อยากมีโอกาสไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่สักครั้งหนึ่งในชีวิต  จากที่เคยเรียนวิชาภูมิศาสตร์ในชั้นประถมศึกษาได้กล่าวถึงว่า ประเทศไทยมี71 จังหวัด ได้แบ่งเป็นภาคต่างๆ คือภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  จากภาพประกอบในหนังสือเรียน ที่ผมเคยเรียน มีภาพช้างลากซุง และระบุว่าเป็นอาชีพสำคัญของคนภาคเหนือ คือการทำไม้สักทองและที่ภาคเหนือยัง มียอดเขาหรือ จุดสูงสุดของประเทศไทยอยู่ที่ดอยอินทนนท์ที่จังหวัดเชียงใหม่  มีการทำเหมืองแร่ดีบุกที่จังหวัดทางภาคใต้อาทิ ภูเก็ต พังงา  เมื่อครั้งตอนเป็นเด็ก ธนาคารออมสิน ได้นำหนังมาฉายกลางแปลง ช่วงวันสถาปนา 1- 7 เมษายนของทุกๆ ปี   ก่อนฉายหนังเรื่อง  มีสารคดี ที่เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวงเป็นหนังขาวดำ มีภาพของชาวเชียงใหม่ จัดพิธีรับเสด็จในหลวงและพระบรมราชินีนารถและทุกๆพระองค์ โดยมีภาพฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน นอกจากนั้น ยังมีหนังสารคดีงานวันสงกรานต์ ที่มีการเล่นสาดน้ำ การทำบุญตักบาตร การรดน้ำดำหัวให้กับผู้สูงวัย ให้ชม 

    จากการที่ผมได้เห็นภาพเหล่านั้นแล้ว ได้เกิดความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ และเริ่มเกิดความฝันว่า หากเป็นผู้ใหญ่ เมื่อได้ทำงานและมีเงินเดือนเมื่อไหร่ คงจะต้องหาโอกาส มาเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ให้ได้สักครั้ง เมื่อมาเรียนเกษตรเจ้าคุณทหารฝันนั้นก็เริ่มจะเป็นความจริงเมื่อพี่สมเจตน์ นายกสโมสรนักศึกษาผู้อาวุโสที่สุดของรุ่น  ได้จัดทัศนศึกษา มาเชียงใหม่    การมาครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญที่ดอยอินทนนท์ ดอยสุเทพ  ลัดดาแแลนด์ ภูพิงค์ราชนิเวศน์ 

    คง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมต้องกระเหม็ด กระแหม่ (รู้จักประหยัด)ใช้เงิน เพื่อผ่อนส่งเป็นค่ารถทัวร์ไปทัศนศึกษา ต้องขอบคุณเพื่อนๆหลายๆคนที่ช่วยสานฝันให้เป็นจริง โดยเพื่อนได้ช่วยสำรองจ่ายเงินบางส่วนที่ผมยังจ่ายไม่ครบให้ก่อน รถทัวร์ที่ไปเชียงใหม่ครั้งนี้ พี่เจตน์ได้ประสานเช่ามาเป็นแค่รถบัสธรรมดาที่มีเพียงพัดลมตัวเล็กๆ ที่ให้ความเย็นและเพื่อเพียงเป็นการระบายอากาศ  การไปทัวร์ครั้งนี้ไม่ได้จำกัดแค่เพียงนักศึกษาเท่านั้น แต่ยังเปิดรับให้กับบุคลภายนอกที่พอจะคุ้นเคยกัน  ซึ่งมีประมาณ 3-4 คน      

    เมื่อสมาชิกมาครบถ้วน จากการเช็ครายชื่อทีละคนแล้ว  รถก็ออกจากสถาบัน ผ่านสี่แยกสถานีรถไฟลาดกระบัง  -มีนบุรี   ผมคิดว่านอกจากผมจะตื่นเต้นแล้ว ผมยังคิดว่าเพื่อนๆและ พี่ๆ ในรถอีกส่วนหนึ่ง    ก็คงมีคนตื่นเต้นไม่แพ้ผม..  เรามาถึงจังหวัดตากประมาณตีสี่   รถมาถึงลำปางช่วงเวลา 0534 น ช่วงนั้นอากาศค่อนข้างเย็นและยังมืดอยู่  ผ่านมาอีกสัก 45 นาที รถก็เข้าสู่จังหวัดลำพูน  ณ. เวลานี้พวกเรา เริ่มเห็นดอย ต้นไม้ หุบเหว มองเห็นได้จากแสงไฟเมื่อรถวิ่งสวนทาง  นับเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นของคนที่ไม่เคยมาเมืองเชียงใหม่มาก่อน   รถมุ่งหน้าสู่อำเภอสันป่าตองก่อนเป็นลำดับแรก  การมาเที่ยวครั้งนี้พี่ เจตน์ได้จัดองค์ผ้าป่า สามัคคีเพื่อถวายให้แก่ทางวัดและถือโอกาส ขอใช้วัดเป็นที่พักแรมให้พวกเรา ได้นอนพักค้างแรมสองคืน    พวกเราได้สัมผัสกับกลิ่นอายวัฒนธรรมล้านนา นับตั้งแต่รถจอด  .ผู้นำท้องถิ่น  เจ้าอาวาส ครู ชาวบ้าน มาให้การต้อนรับด้วยการพูดภาษาท้องถิ่น (กำเมือง)

    “หมู่เฮา จาวบ้าน สันป่าตอง ขอต้อนฮับ  นักศึกษาที่มาฮ่วม ทำบุญ ตี้นี่   ขอฮื้อทุกคน พักผ่อน และแอ่วกันฮื้อม่วนอ๊กม่วนใจกันทุกๆคนเน้อ “ผู้ใหญ่บ้านกล่าวต้อนรับ  

     ชาวบ้านได้นำผ้าห่ม เสื่อ หมอนมาให้หยิบยืม เพื่อให้พวกเราใช้หลับนอนกัน   เมื่อพวกเรา นำสัมภาระที่นำมา เก็บเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ส่วนหนึ่ง ก็ลงไปเล่นฟุตบอล กับเด็กๆเพื่อสร้างสัมพันธภาพกับมวลชน จนพอค่ำๆ พวกเราร่วมกับชาวบ้านสันป่าตองทำพิธีถวายเงินผ้าป่าแก่ทางวัด  หลังจากกินข้าวอาบน้ำเสร็จทุกคน ก็พักผ่อนตามอัธยาศัย

     ช่วงยามเช้าที่พักที่วัด  หลังจากผมล้างหน้าแปรงฟันแล้ว ได้ออกมาเดินเล่นในขณะที่ชาวบ้านกำลังยกยอ ทอดแห ตามไหล่ห้วยคลองชลประทาน   

      “ได้ปลามากมั้ยครับ ลุง “ ผมสอบถามชาวบ้าน

      “ก็พอได้ น่ะ “ ชาวบ้านตอบภาษากำเมือง

     “แล้วปลาพวกกนี้ เอาไปทำอะไรกินครับ “

      “แกง(ปลา) ป๋าใส่บะกวยเต้ท (มะละกอ)  ลาบป๋า (ลาบปลา)  “ ชาวบ้านตอบ

      ผมและเพื่อนๆได้ทักทายพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ กับประชาชนดังญาติ แม้เราจะสื่อสารกันคนละสำเนียงและคนภาษาก็ตาม    เวลา 9.00 น พี่เจตน์ จึงนำคณะไปที่ดอยอินทนนท์ ช่วงเดินทางมาดอยอินทนนท์  ในขณะที่นั่งอยู่บนรถทัวร์ ทุกคนต้องนั่งจนตัวเกร็งเพราะต้องลุ้นระทึกตลอดเวลา ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตข้างหน้าที่เรามิอาจรู้ได้เลย  เนื่องจากถนนเพื่อขึ้นไปบนดอยค่อนข้างชันมากและต้องเลี้ยวหักศอกเป็นระยะๆ ถนนหนทางในสมัยก่อนมิสู้จะค่อยดีนัก ครั้นเมื่อมาถึงอุทยานดอยอินทนนท์แล้ว รถก็จอดให้พวกเราได้ลงไปสัมผัสบรรยากาศบนยอดดอยอินทนนท์ ครั้งนั้น ทุกคนอดที่จะตื่นเต้นกับยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทยไม่ได้  พวกเราส่วนใหญ่จะมายืนแอ็กท่าถ่ายรูปตรงป้าย ที่เขียนว่า “ ดอยอินทนนท์ “เพื่อเป็นอนุสรณ์  การถ่ายภาพในครั้งนั้นผมต้องขอร้องและอ้อนวอนและทั้งจ้างเพื่อน ขอให้เขาได้ถ่ายภาพให้ผมเป็นกรณีพิเศษ 

        ยุคนั้นจะหาคนมีกล้องถ่ายรูปใช้ ค่อนข้างหายาก สืบเนื่องมาจากฟีล์มถ่ายรูป  ราคาก็แพง ค่าล้าง ค่าอัดขยายภาพก็แพง ยิ่งผมคนจนๆ(โลวคลาส ).เพื่อนมัน ยังพูดจาเหน็บแนมให้ปวดใจอีกต่างหาก  เพราะด้วยความอยากได้รูปเป็นที่ระลึกจริงๆ   จึงต้องอ้อนวอนจนแทบจะกราบกันเลย  เขาจนใจจึงยอมถ่ายภาพให้    แต่พอผมไปเอารูปที่เขาถ่ายให้  ปรากฏว่าภาพที่ถ่ายไม่ชัดและพร่าไปหมด แต่ก็ต้องจำยอมจ่ายตังค์ไป เพื่อรักษามิตรภาพที่ดี  รูปภาพใบนั้นผมยังคงเก็บรักษาไว้จนวันนี้   ช่วงมาเชียงใหม่ในครั้งนั้นเราได้มีโอกาสแวะไปที่ บ่อสร้าง  ลัดดาแลนด์ กฤษดาดอย และวันจะกลับมากรุงเทพ  พี่เจตน์ มีเจตนาดีที่จะให้พวกเราได้มีโอกาสแวะในเมืองเชียงใหม่เพื่อซื้อสินค้าของฝากที่ระลึกกันตามสบาย   หลังซื้อของที่ระลึกแล้ว รถได้เคลื่อนตัวมีเสียงจากคนในรถ 

       “โชเฟอร์ช่วยแวะกำแพงดิน สักครึ่งชั่วโมงจะได้มั้ย “เสียงคนรถตะโกนบอก

     โชเฟอร์ก็ใจดีจึงได้ปรึกษากับพี่เจตน์  พี่เจตน์ก็โอเค ตามข้อเรียกร้อง รถจึงได้แวะจอดให้พวกเราลงไปปลดปล่อย  บอกตรงๆว่า เมื่อก่อนผมยังไม่รู้เลยว่า “กำแพงดินมัน” คืออะไรกัน  ในรถมีผู้หญิงไม่เกินห้าคน ส่วนมากจะเป็นแฟนรุ่นพี่ ที่เขาชวนกันมาเที่ยว  เมื่อรถจอดแล้ว ผมได้เดินตามรุ่นพี่ เข้าไปในสถานบริการ มารู้อีกครั้งก็เมื่อมาเห็นสาวๆนั่งในตู้กระจก  สถานบริการเหล่านี้เป็นย่านติดๆ กัน มีเจ้าของหลายคน คงน่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตกระมัง.. ต้องบอกว่าตื่นเต้น หัวใจนี่เต้นไม่เป็นจังหวะเลย สาวๆที่นั่งในตู้กระจก ที่มีแสงไฟสลัวๆมีทั้งสีเขียว สีม่วงเธอเหล่านั้นได้ เอ่ยปากเชิญชวนพวกเราจนพอได้ยิน 

       "สนใจข้าเจ้า.บ๊อ เชิญนะเจ้า "เขาอู้ภาษาเมือง ที่พวกเราพอจะเดาและแปลความหมายออก  เมื่อมองๆเข้าไป  สักครู่หนึ่งผมก็เดินออกมาจากสถานบริการ ส่วนพี่ๆเพื่อนๆหลายคนที่ถูกใจ ก็เข้าไปใช้บริการ ผมออกจากสถานบริการแล้วก็ได้มายืนรอที่รถบัส  เวลาเริ่มค่ำลง ภายนอกอาณาบริเวณสถานบริการเริ่มอึมครึม มืดสลัวๆ จนไม่ค่อยจะเห็นผู้คน ไฟฟ้าข้างทางเริ่มเปิดขึ้น 

                 จู่ๆ ขณะที่ผมยืนรอพี่ๆ เพื่อนๆได้ยินเสียงวัตถุชนิดหนึ่งที่หล่นลงพื้นดัง 

       "ตุบๆ"  ตุบหลังนี่หล่นเข้าที่บริเวณโคนขา ผมพอดี    ผมก้มตัวลงเพราะมีอาการเจ็บ ก้อนหินขนาดลูกมะนาวไม่รู้ถูกกว้างปามาจากทางไหน นี่ขนาดผม..นุ่งกางเกงยีนส์ที่หนามาก ก็ยังรู้สึกเจ็บอย่างมาก  ผมเดินหาที่หลบพายุลูกหิน  ทั้งยังกำชับ บอกเพื่อนบางคนว่า เรื่องนี้ .เงียบซะ ผมแน่ใจว่าวัยรุ่นเจ้าถิ่นคงหมั่นไส้พวกเราอย่างแน่นอน

       เรื่องนี้ผมคิดว่าน่าจะจบลงได้ เพราะผมเงียบไม่ยอมปริปากบอกใครๆ แต่แล้วขณะที่กลุ่มพี่เล็ก  พี่กล   พี่ใหญ่ เดินมาตรงจุดดังกล่าว กลุ่มของพี่ ก็ได้เจอพายุก้อนหิน  ที่มาจากไหนไม่รู้เหมือนกัน คนละตุ้บ ละตั่บ ทุกคนได้ขึ้นรถและเก็บความแค้นไว้ในใจ

                             ****************************************************

      ลางบอกเหตุร้ายได้เกิดขึ้นแล้ว..ผมคิดและคาดการณ์ไว้   เมื่อรถทัวร์ได้จอดแวะให้ลุงที่มาร่วมทัศนาจร ไปซื้อของด้านล่าง พี่ใหญ่ พี่เล็ก  พี่เอ๊ะ พี่กล ได้ลงไปด้านล่างแล้ว เอามีดแทงวัยรุ่นที่ท่าทางกวนๆ  จนเลือดพุ่ง จากนั้นได้กระโดดขึ้นรถ และบังคับให้โชเฟอร์ รีบออกรถขับหนีออกนอกเมืองเชียงใหม่เพื่อเข้ากรุงเทพทันที ….    โชเฟอร์ได้ขับรถออกมาแล้วโดยได้ทิ้งลุงที่กำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวหน้าตาเฉย จนลูกสะใภ้แกตะโกนว่า

     “โชเฟอร์พ่อตาชั้น  ยังไม่ได้ขึ้นมาบนรถเลย “ 

      “เดี๋ยวให้แก กลับเอง ก็แล้วกัน” นักศึกษาในรถพูด 

     ช่วงนี้กำลังฉุกละหุก ทุกคนตระหนกตกใจเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่า  จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น .. โชเฟอร์พยายามเหยียบคันเร่งเต็มที่แต่แล้วทางตำรวจภูธรเชียงใหม่ซึ่งได้รับแจ้งจากพยานที่เห็นเหตุการณ์. ซึ่่งเขาได้จดหมายเลข ทะเบียนรถไว้ จึงได้วิทยุให้ตำรวจทางหลวงให้ช่วยสกัดจับรถบัสที่พวกเรานั่งโดยสารมา..   เวลาเดียวกันนั้นรถตำรวจภูธรก็ได้นำประชาชน ผู้เห็นเหตุการณ์ นั่งรถมาเพื่อมาชี้ตัวบุคคลที่ลงไปใช้อาวุธแทงเด็กวัยรุ่น ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ..

    ข้างบนรถทัวร์ รุ่นพี่ผู้ลงจากรถไปก่อเหตุได้พยายาม ที่ขอจะเปลี่ยนเสื้อกับพวกเดียวกันและน้องๆ เขาได้ พยายามจะนำเอามีดซึ่งเป็นของกลางไปซ่อน ไว้ตรงช่องลม  พี่เล็กซึ่งเป็นคนจังหวัดเดียวกันกับผมได้เดินมาหาผม 

    ไอ้ขลุ่ย รีบถอดเสื้อเปลี่ยนกับพี่ เดี่ยวนี้เลย  “พี่เล็กว่า

     “เสื้อผมใส่ ตัวมันเล็กนะพี่ หากพี่เปลี่ยนกับผม มันมีพิรุธแน่ๆนะพี่. “.   ผมพูดเตือนสติกับพี่เล็ก   

     จริงๆแล้ว ผมก็กลัวเหมือนกัน .หากได้ใช้ความพยายามพูดให้พี่เล็ก เห็นภาพความจริง แต่ในใจลึกๆแล้ว  ผมกลัวพยานเขาจำเพียงแค่เสื้อ และเกิดมาชี้ที่ตัวผมเข้า . . ผมก็คงกลายเป็นแพะ ติดคุกแหงๆ แรกๆพี่เล็ก คงเคืองผมมาก แต่เมื่อผมบอกเหตุผลให้เขาเข้าใจ เขาจึงไปขอเปลี่ยนเสื้อกับเพื่อนๆคนอื่น ที่มีรูปร่างใกล้ เคียงกัน 

     โชเฟอร์ได้ชะลอความเร็วรถลง เพราะตำรวจทางหลวงได้ ขับรถปาดหน้าและให้สัญญาณไฟ อีกทั้งสั่งให้พวกเราไปจอดรถบริเวณที่ทำการสถานีตำรวจทางหลวง -เชียงใหม่ ซึ่งติดถนนไฮเวย์  ตำรวจทางหลวงกับตำรวจภูธรเชียงใหม่    ได้สั่งให้พวกเราเดินลงจากรถทีละคน โดยให้ชูมือขึ้น พยานที่เห็นเหตุการณ์พยายามมองหาบุคคล ที่เป็นผู้ลงมือแทงวัยรุ่น  พวกเราอยู่ตรงจุดนี้ประมาณหนึ่งชั่วโมงในที่สุด พยานก็ชี้ตัวได้สามคนมีพี่พาส พี่ช้าง  พี่ชาย  จริงๆ แล้วพี่ทั้งสามคนไม่ได้ลงจากรถไปก่อเหตุเลย.โดยเฉพาะพี่ชาย พาแฟนมาเที่ยวด้วย และเขาก็นั่งติดกับผมมาโดยตลอด  แต่กลับมาถูกชี้ตัว ว่าเป็นผู้กระทำความผิด ถ้าผมจำไม่ผิด พี่เล็ก ได้เปลี่ยนเสื้อกับพี่ชาย พยานคงจำได้แค่เสื้อที่เป็นลายขวางสีส้มดำอีกทั้งพี่สมชายมีเครา จึงทำให้พยานอาจ มองว่า น่าจะเป็นคนไม่ดี สำหรับอีกสองคนคือพี่พาสและ พี่ช้าง ถูก ชี้ตัวเพราะมีรูปร่างใหญ่

     ในที่สุดสามคน จึงถูกควบคุมตัว และกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหา  คืนนั้นทั้งสามคนจึงต้องถูกคุมขัง ที่สถานีตำรวจและต้องนอนในคุกเป็นสัปดาห์ เหตุการณ์ครั้งนี้ จึงเป็นเหตุการณ์ที่ผม ต้องชื่นชม  สปิริตของพี่ทั้งสามคนซึ่งไม่ได้ซัดทอดให้กับใครๆเลยทั้งๆตัวเอง ไม่ได้กระทำ การใดๆ  การไปท่องเที่ยวในครั้งนี้ได้ทั้งความระทึก ตื่นเต้นและน่าเห็นใจ ในชะตากรรมกับพี่ๆ ดังที่ผมเอ่ยนามมาแล้ว หลังจากนั้นทั้งสามคน จึงได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดีและกลับมาเรียนตามปกติ  ผมพอจะทราบระแคะระคายว่า1 ในสาม ที่ลงไปใช้อาวุธแทงวัยรุ่น ได้พยายามวิ่งเต้นและเข้าช่วยเหลือผู้เสียหาย จนปิดคดีได้สำเร็จ ..นี่คงเป็นอุทาหรณ์ เรื่องความใจร้อน ของพวกเรา..       

      นับเป็นความโชคดี ที่เหตุการณ์ครั้งนี้เจ้าทุกข์ยอมความ..  บอกตรงๆว่า ผมเห็นใจและสงสารแพะ(สามตัว) อย่างมาก ..แพะ เหล่านี้ ร้องอะไรไม่ออกเลย ซักแอ๊ะ…นี่จึงทำให้ผมนึกถึงเรื่องต้นธาร แห่งกระบวน ยุติธรรมของประเทศไทย  ที่มักมีข่าวจับแพะเนืองๆ ทั้ๆที่ รุ่นพี่ทั้งสามคน ไม่ผิดอะไร แต่กลับกลายเป็นผู้ต้องหา  

                                                ผมยังงง… ..ไม่หาย  

    และหากวันนั้น ผมถูกชี้ตัวไปกับเขาด้วย อนาคตของผม มิต้องดับวูบ เพราะพยาน ชี้ตัวกระนั้นหรือ…  

                                ขลุ่ย  บ้านข่อย  (๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๕)

                                                                         

               

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×