พ่อเลี้ยง ใสซื่อ - พ่อเลี้ยง ใสซื่อ นิยาย พ่อเลี้ยง ใสซื่อ : Dek-D.com - Writer

    พ่อเลี้ยง ใสซื่อ

    ผู้เข้าชมรวม

    558

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    558

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    7
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  5 ส.ค. 65 / 05:33 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                            พ่อเลี้ยง   ใสซื่อ...

                 ครั้งหนึ่ง..สถาบัน ฯ มีคำสั่งให้ผมเป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ เพื่อคัดเลือกนักศึกษาเข้ามาเรียน  ซึ่งผมเป็นกรรมการร่วมสอบสัมภาษณ์คู่กับอาจารย์ มงคล ในอดีตว่าไปจริงๆแล้วมีนักเรียนจากต่างจังหวัด และทุกภาค นิยมที่จะมาสมัครเพื่อสอบคัดเลือกเข้าเรียนที่สถานศึกษาแห่งนี้  

       วันนี้..เป็นการรับสมัครนักศึกษาเพื่อเข้าเรียนเป็นวันสุดท้าย   ณ เวลานั้น มีนักเรียน นั่งรอเพื่อเข้าสัมภาษณ์ เกือบสามสิบคนและเป็นจังหวะที่ฤทธิกร   พฤกษ์ไพรพงษ์ธาร   หนึ่งในนักศึกษา ที่จะเข้าเรียนในปีนั้น   ได้เข้ามาสอบสัมภาษณ์ที่โต๊ะผมเป็นกรรมการสอบ    

          "สวัสดีครับ" เขาพูดเสียงแผ่วเบาจนเราสองคนแทบจะไม่ได้ยิน  หลังจากนั้นเขาได้ลากเก้าอี้ เพื่อจะนั่งลง พลันที่ก้นเขาจะแตะลงพื้นเก้าอี้

         "มาทำไม. ใครเชิญให้คุณนั่ง ""อ.มงคล พูดห้วนๆน้ำเสียงดุดัน โดยปกติ บุคลิกของเขาก็เป็นคนเช่นนี้ นักศึกษาที่เคยเรียนกับเขา จึงจะรู้นิสัยเขาดี นักเรียนร่างสูง ผมตั้งเด่  หน้าตาเด๋อด๋า ที่เข้ามารับการสัมภาษณ์  ถึงกับแสดงอาการตกใจ  

        อย่าว่าแต่ นักเรียนคนนั้นเลย ผมก็ยังงงไปพร้อมๆ กับเขาเช่นกัน  แม้ผมจะเคยมีประสบการณ์ในการถูกสอบสัมภาษณ์มาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง  แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินการใช้คำพูดที่ห้วนๆ  ลักษณะข่มขู่กดดันกับเด็กที่ยังไร้ประสบการณ์ อย่างนี้

    “  ไปเริ่มต้น เดินเข้ามาใหม่  แล้วมารายงานตัวให้ครูได้ยินด้วย”อ. มงคลพูด

       "สวัสดีครับ" เขาพูดด้วยเสียงอันดังขึ้นมาอีกนิด ผมจำต้องเป็นฝ่ายชิงคำพูดก่อนที่ อาจารย์มงคล จะพูดอะไรขึ้นมา ///

     "เชิญนั่งได้ และช่วยกรุณาแนะนำตัวเองด้วย ครับ "ผมพูด

     "กระผมนายฤทธิกร พฤกษ์ไพรพงษ์ธาร จบจากโรงเรียน...    อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ครับ "  เขาแนะนำตน  ด้วยความประหม่า และตื่นเต้น หน้าตาซีด ดังคนป่วย คงตื่นกลัวกับอ.มงคลอย่างเห็นได้ชัด  

    "ไม่มีอะไรหรอก ฤทธิกร  คุณไม่ต้องตื่นเต้นอะไร ทำใจให้สบายค่อยๆตอบ และถอนหายใจลึกๆ "   ผมต้องบอกให้เขาลดความตื่นเต้น และสบายใจ ที่ยังมีคนให้กำลังใจและยืนเคียงข้างกับเขา ท่าทีความตึงเครียดของเขา จึงได้ผ่อนคลายลดลง

    "ที่บ้านประกอบอาชีพอะไร เหรอครับ " ผมตั้งคำถามง่ายๆ เพื่อให้เขาตอบได้

     อาชีพเกษตรกรรมครับ ทำไร่ข้าวโพดและยาสูบ ครับ " ฤทธิกร เริ่มมีอาการผ่อนคลายบ้าง ในขณะที่ผมตั้งคำถามพื้นๆ  ส่วน อ มงคลได้พลิกเอกสารดู ผลการเรียนของเขา

       "เรียนมาได้เกรดแค่ 2.1 เองแล้วจะเรียนต่อที่นี้ ไหวเหรอเนี่ยะ  "

        "ไหวครับ  "ฤทธิกร ตอบ

       "คุณเป็นชาวไทย บนดอย ใช่มั้ย" อ.มงคลถาม

      "ใช่ครับ  "   

      "ที่บ้านเคยปลูกฝิ่น..มั้ย”

      "ไม่เคยครับ"

      ในช่วงคำถามทั่วไปของอาจารย์ผู้สอบสัมภาษณ์ แม้ฤทธิกรจะตอบได้ แต่ดูเขายัง ค่อนข้างตื่นเต้นมาก เหงื่อเม็ดใหญ่ได้ผุดขึ้นบนใบหน้า. จนเขาต้องเอามือมาปาด  เช็ดออก  จนผมรู้สึกเห็นใจ และแอบส่งกำลังใจให้เขา ด้วยการส่งออกทางสายตา  แม้ผมจะไม่ค่อยชื่นชอบกับการตั้งคำถาม ที่ดูหมิ่นและเหยียดผู่อื่นของอ.มงคล แต่ต้องจำฝืนทนและสะกดอารมณ์เอาไว้

    “ทราบมั้ยว่า.สถานศึกษาที่คุณจะมาเรียนชื่ออะไร ” อ.มงคล ถาม

     .เขาอ้ำๆอี้งๆ พร้อมก้มหน้าและเงียบไป  /// เป็นเพราะเขาอาจไม่รู้เลยจริงๆก็ได้ 

     "อะไรกันจะมาเข้าเรียน ยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของที่จะเรียนเลย ใช้ไม่ได้ "อ.มงคลพูด

     "ไม่รู้ชื่ออย่างเป็นทางการ ไหนลองบอกชื่อ ที่คนทั่วๆ ไปเรียกซิ "  ผมพยายาม ที่จะช่วยเหลือเขา  โดยใช้คำถามเดียวกันที่อ. มงคลตั้งถามก่อนคิดในใจว่า เผื่อเขาจะเคยได้ยินมาก่อนบ้าง

      "ไม่ทราบครับ "เขาตอบ

      "ไม่รู้อะไร ซักอย่าง คุณอยู่เชียงใหม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ชื่ออะไร  "

      ไปกันใหญ่แล้วคำถามที่ อ .มงคล ถามผู้เข้าสัมภาษณ์ ผมคิดว่าเขาคงตอบไม่ได้แน่ ๆ และก็เป็นจริงดังที่คาดไว้  ในใจลึกๆ ผมยังอยากถามกลับ กับอาจารย์มงคลเช่นกันว่า คุณน่ะ รู้จักชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่หรือเปล่า

       "ไม่ทราบครับ " 

     "อะไรๆก็ไม่ทราบงั้นไปเอาหัวชน กำแพงซะ "อ.มงคลสั่งการ

     ด้วยความใสซื่อของฤทธิกรเขาจึงเดินไปที่ผนังกำแพงห้องอาคารประชุม พร้อมใช้ศีรษะโขกกำแพงจนเกิดเสียงดัง 

       "ปัง ๆ 

     อาจารย์ที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ ที่นั่งภายในห้องประชุมต่างมองเขาด้วยความงุนงง บางคนยิ้ม .บางคนตกใจ 

     "เฮ้ยใครให้เอาหัวโขกกำแพง.ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องหรือไง จะบ้าหรือ กลับมานี่"  อ.มงคลพูดพร้อมสั่งให้ฤทธิกร   กลับมายังที่นั่งอีกครั้ง ผมตัดบท เพื่อให้ทุกอย่างจบลงโดยเร็ว เลยตั้งคำถาม เพื่อจะให้เขาตอบได้ อย่างน้อยก็ลบคำสบประมาทของอาจารย์ มงคล ได้

      "ฤทธิกรรู้จักสัตว์ ปีกมั้ย "

     "  รู้จักครับ "

      "งั้นคำถามนี้ จะเป็นคำถามสุดท้าย ที่อาจารย์จะตั้งคำถามให้เราตอบ ถ้าหากสามารถตอบได้ หมายถึงว่าฤทธิกรจะได้เข้าเรียนต่อที่นี่อย่างแน่นอน  อาจารย์รับปาก" ผมพูดกับเขา

      "ครับ"

    “อาจารย์อยากให้ฤทธิกรช่วยยกตัวอย่างสัตว์ปีกมา5 ชนิดอาจารย์จะยกตัวอย่างให้หนึ่งชนิดคือไก่ นอกนั้นฤทธิกรต้องตอบต่อนะ”

    “สองเป็ด...สามห่าน สี่นกกระทา” เขาตอบมาได้เพียงเท่านี้ก็นั่งนึกและนิ่งเงียบ ไป 

    " ห้าล่ะ .อีกสองชนิด เอง คิดดูดีใกล้ๆตัวเรา " ขณะที่ผมพูด ก็รอลุ้นด้วยความหวังว่าเขา ต้องตอบได้อย่างแน่นอน 

     “อะไรวะ.สัตว์ปีกแค่ห้าชนิด ยังตอบไม่ได้..เร็วจะเที่ยงแล้ว หิวข้าวละ” อ.มงคล พูด  นั่นยิ่งเป็นแรงกดดัน ให้เขายิ่งนึกไม่ออก   

    " อ้าวเร็ว อีกสองชนิดนึกออกมั้ย "ผมพูดให้กำลังใจ

    "ห้า นกขุนทอง"

    "นกขุนทอง บ้านเธอเหรอ เป็นสัตว์เศรษฐกิจ ผมไปกินข้าวก่อนล่ะอ.ขลุ่ย "อ. มงคล พูดเสร็จ พลางลุกเดินออกไป ก่อนที่จะฟังคำตอบอีกหนึ่งชนิด ที่ฤทธิกรตอบ

    "สุดท้ายละเอ้า. อะไรเหรอ.. บอกมา" ผมพยายามเอาใจช่วย

     "ยุง ครับ "

       อ.มงคล ได้ยินเข้าถึงกับ แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์กับคำตอบที่ฤทธิกร ตอบออกมาเมื่อครู่..

     “ไปได้ละ. ครูไม่ให้เธอ สอบผ่านสัมภาษณ์หรอก ”อ.มงคลพูด 

      โดยหลักเกณฑ์ของวิทยาลัย ในขณะนั้นถือเกณฑ์การรับสมัครบุคคลเข้าเรียนโดยให้ความสำคัญกับการสอบสัมภาษณ์อย่างมาก นักเรียนคนใดที่ไว้ผมยาว แต่งตัวล้ำหน้า ล้ำสมัยใส่แว่นดำ  บุคลิกกวนๆ พูดจาไร้หางเสียง  ส่วนใหญ่จะสอบตกสัมภาษณ์และหมดสิทธิ์ ที่จะเข้าเรียนต่อเมื่อผมได้ยิน อ. มงคลบอกว่า จะไม่ให้เขาสอบผ่าน ผมกับรู้สึกสงสาร.. คนบนดอยที่ใสซื่อ จึงใช้ดุลพินิจส่วนตัวผม ให้เขาสอบผ่านโดยมิลังเล ผมมองว่ามนุษย์เรามีความแตกต่างในทางสังคม ความผิดพลาดในการตอบคำถามแค่นี้  ใช่ว่าจะตัดสินลงทัณฑ์ตัดโอกาสคนๆหนึ่ง ให้หมดอนาคตในการเข้าศึกษาต่อ  ผมพยายาล็อบบี้คณะกรรมการ เพื่อให้โอกาสฤทธิกร ได้เข้าเรียน ในที่สุดคณะกรรมการกลั่นกรอง มีมติให้ฤทธิกร ได้สิทธิ์ เข้าเรียนต่อ   

     ช่วงที่เขาเข้ามาเข้าเรียนในสถานศึกษาแห่งนี้  ฤทธิกร ต้องปรับตัวพอสมควรกับสังคมใหม่ .เขาได้มาเช่าหอพักจามจุรีกับเพื่อนต่างภาคที่เป็นชาวอิสาน ชื่อถนอม ในเทอมแรกได้ เกิดปัญหาการรับน้องใหม่ เพื่อนในรุ่นเดียวกันมีเรื่องกระทบกระทั่ง   ..ฤทธิกร หวั่นๆจะเกิดปัญหาจึงชวนถนอม มาหาเช่าบ้านใกล้ในเมือง ในระหว่างนี้..ทั้งสองคนก็หารายได้เสริม  สำหรับเรื่องการเรียน ฤทธิกรสามารถ สอบผ่านเกณฑ์ไปได้ โดยไม่มีปัญหา    

        หลังฤทธิกร สำเร็จการศึกษาแล้ว  ได้กลับมาทำประกอบอาชีพ ที่ม่อนแม่แรม  อันเป็นถิ่นฐานบ้านเกิด เขาได้ปลูกพืชผักและไม้ผลตามสภาพดินฟ้าอากาศและตลาดรับซื้อ   ขณะที่ลงทุนประกอบอาชีพ ได้พบกับปัญหาหลายๆ อย่าง ตามสภาวะตลาดและอื่นๆ    ฤทธิกรได้สมรสกับสาว ชนเผ่าเดียวกันจนมีบุตรชายเพียงคนเดียว   

     การประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมๆคงไม่สามารถ ทำให้ครอบครัว ลืมตาอ้าปากได้ ภายหลัง เขาเริ่มจับทางเกี่ยวกับเรื่องการผลิต การตลาด เพื่อลดความเสี่ยง โดยเน้นการปลูกพืช  เพื่อการแปรรูปเป็นน้ำผลไม้และไวน์ จึงมองไปที่ "องุ่น "เป็นหลัก  ฤทธิกรพยายาม ศึกษาการปลุูกองุ่น โดยเขาลงทุน สั่งซื้อกล้าพันธุ์องุ่นจากต่างประเทศ   เขาเพียรพยายามไปสอบถา และขอเรียนรู้จากผู้ประกอบการ ที่ผลิตองุ่นและผลิตไวน์หลายแห่งทั้งจ.เชียงใหม่ จ. เพชรบูรณ์ แต่.. บุคคลส่วนใหญ่ มักจะปกปิดและไม่ยอมให้ข้อมูลใดๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อเขาเลย      ปัญหาอุปสรรค กับการผลิตองุ่นยุคแรกๆ จึงลุ่มๆ ดอนๆ จนถึงกับบางทีเขาต้องบ่นกับคู่ชีวิตว่ารู้สึกท้อแท้ เพราะต้องการขาดทุนเงินหลายแสนบาท     เขาสู้มานะอดทน กับการลองผิดลองถูกอีกหลายปี    

     "ชีวิตยังไม่สิ้น ก็ต้องดิ้นกันต่อไป"  คู่ชีวิตทั้งสองคน ต่างช่วยปลอบใจให้แก่กันและกัน เพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตั้งใจกับสิ่งที่ฝันไว้  คืออยากจะได้เป็นเจ้าของกิจการผลิตไวน์ และเป็นเจ้าของธุรกิจด้านการท่องเที่ยว

      ”ลูกรัก.เจ้าจงจำให้ดีๆ เจ้าจงดูคนอื่นเขาทำงาน แต่จงอย่าไปดูคนอื่นเขากินอยู่"คำสอนของพ่อแม่ ที่สอนฤทธิกรสอนไว้

      นี่จึงทำให้ฤทธิกรกับครอบครัวสร้างแรงจูงใจ และฝ่าฟันอุปสรรค จนประสบความสำเร็จกับการผลิตองุ่น และผลิตไวน์ และในที่สุดไวน์ที่เขาผลิตก็สามารถถูกปากกับรสนิยมของกลุ่มเป้าหมาย ทั้งภายในและต่างประเทศ.

     6 ปีที่แล้ว ผมมีโอกาส เจอฤทธิกร ในงานพบปะสังสรรค์ ที่บ่อน้ำพุร้อน สันกำแพงแม้ผมจะได้พูดคุยกับเขา  ในห้วงเวลาสั้นๆ  แต่ก็พอมองเห็นว่า อุปนิสัยของฤทธิกร ยังคงเป็นคนพูดน้อย ใสซื่อ จริงจัง จริงใจ กับเพื่อนๆ  อย่างเสมอต้นเสมอปลาย  

    "เป็นไงบ้าง ธุรกิจที่ทำ..เห็นเพื่อนๆ ที่ไปเที่ยวที่ม่อนแม่แรม บอกธุรกิจไวน์ ของฤทธิกร เจริญก้าวหน้า   "

    "ก็เรื่อยๆครับอาจารย์ เพื่อนๆ ผมคงจะพูดเกินจริงไปมั๊ง..ครับ "เขาพูดถ่อมตัว

         ผมนั่งคุยกับฤทธิกร ได้ไม่ถึงห้านาที  ครู่ต่อมาเขาได้ขอตัวกลับม่อนแม่แรม    

                      ………………………………………………………………………………………

    เมื่อไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสโทรศัพท์ไป แสดงความยินดีกับฤทธิกร.เพราะทราบว่า บุตรชายคนเดียวของเขากำลังศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อย..

     "สวัสดี..ฤทธิกร  ผมอาจารย์ขลุ่ย.นะครับ จำผมได้มั้ย "

     "จำได้สิครับ  "

     "สบายดีนะครับ เป็นไงบ้างธุรกิจไวน์ ยังไงก็ขอแสดงความยินดีกับลูกชายด้วยนะ ที่ สามารถเข้าเรียนต่อในโรงเรียนนายร้อยได้ " "

     "สบายดีครับ ขอบคุณครับอาจารย์ ผมยังคงผลิตไวน์อยู่ก็เรื่อยๆครับ ปัจจุบันผมทำธุรกิจโฮมสเตย์เสริม มีสี่ห้าหลัง ทั้งยังเปิดร้านกาแฟด้วยครับ"

     "ตามยุคสมัยเลย นะ "

    "ครับ ว่างๆขอเชิญอาจารย์มาลองชิมไวน์ ที่ผมผลิต "

    "ได้เลย คงมีโอกาสสักวันนะ  ไม่รบกวนเวลา เราหรอกนะ " ผมบอกฤทธิกร เพราะเกรงใจ ด้วยเกรงว่าเขาต้องมีงานจะต้องบริหารจัดการในธุรกิจของเขา

     "ไม่เป็นไรหรอกครับ  ผมดีใจมา ที่อาจารย์โทรมาหาผม "

          จริงๆ ก่อนหน้าที่ผมจะโทรหาฤทธิกร  ผมคิดแล้วคิดอีกว่า. จะโทรไปคุยกับเขาดีหรือไม่.. แต่เมื่อเพื่อนสนิทของฤทธิกรบอกกับผมว่า

          “หนูรับรองว่าไอ้กร มันต้องรับสายอาจารย์ แน่ๆ ”      

         จากภาพตั้งแต่วันแรกที่ ผมได้เห็นและรู้จักกับเด็กหนุ่มที่ใสซื่อ.และมุ่งมั่น จนวันนี้ เขาสามารถลืมตาอ้าปาก และยืนบนลำแข้งของตนได้ อย่างทรนง  สามารถข้ามผ่านกับการที่เคยถูกคน ดูแคลน  หยามเหยียด ในอดีตเขาคือผู้ชายคนเดียวในรุ่นที่มีชาติพันธ์ู ที่คนทั่วไปเรียกว่า คนดอย  วันนี้คนบนดอย คนนั้น.., ,มีธุรกิจเป็นของตนเอง  เป็นพ่อเลี้ยง..ที่กำลังจะมีลูกชายติดยศร้อยตรี.จากการทุ่มเทกับความเหนื่อยยากลำบากน้ำตาแทบกระเด็น มาถึงวันนี้ท้องฟ้า.  เริ่มเปิด.   เปิดให้เขามีรอยยิ้ม..กับครอบครัวเล็กๆ  ที่อบอุ่น///

      " ผมขอโอกาสได้ต้อนรับอาจารย์สักครั้ง เพื่อมาพักที่ม่อนแม่แรม."  คำพูดที่เขาเชิญชวน ให้ผมไปเยี่ยมชมกับธุกิจโฮมสเตย์ ที่เขากำลังวาดฝันจะเนรมิตบนพื้นที่ของเขาเองให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ให้ได้  

    "วัวดีจะไม่ลืมเท้า หมาดีจะไม่ลืมนาย ลูกดีไม่ลืม บุพการี ศิษย์ดีจะไม่ลืมอาจารย์ คนดีย่อมไม่ลืมบุญคุณคน "   เป็นคำขวัญที่ฤทธิกร  ยึดถือ..

                                   ผมจะรอพิสูจน์..กับพ่อเลี้ยง   ด้วยตนเอง.

                                                ๕ /  ๘  /๖๕

    หมายเหตุ อยากให้ผู้อ่านกรุณาบอก ว่าชอบอ่านแนวเรื่องสั้นแบบไหน จะได้เขียนให้ได้ตามความต้องการ

     

     

       

     

     

     

     

     

     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×