บอกหน่อยว่า ..มันเกิดอะไรขึ้น หรือเพื่อน - บอกหน่อยว่า ..มันเกิดอะไรขึ้น หรือเพื่อน นิยาย บอกหน่อยว่า ..มันเกิดอะไรขึ้น หรือเพื่อน : Dek-D.com - Writer

    บอกหน่อยว่า ..มันเกิดอะไรขึ้น หรือเพื่อน

    เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนผม เพียงแค่สองปี อยู่ในครอบครัวคนจน ที่น่าสงสาร ผมเคยชวนเขามาหารายได้จากการขายขนมที่บ้านของผมทำจำหน่าย เขาไม่ได้มาเรียน และต้องเลิกเรียนอย่างถาวร......

    ผู้เข้าชมรวม

    37

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    37

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  19 ก.ค. 67 / 14:29 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                  บอกหน่อยว่า มันเกิดอะไรขึ้นหรือเพื่อน

                เรื่องบางเรื่องเป็นสิ่งลี้ลับ ยากที่วิทยาศาสตร์ จะพิสูจน์ได้ ดังกรณีเพื่อนของผมคนนี้ คือสุทิน ที่เคยเรียนร่วมชั้นประถมศึกษามาด้วยกัน ในหมู่บ้านอรัญ ฝั่งบ้านฟากห้วยในอดีต  แม้จะอยู่ในเขตเทศบาลตำบลอรัญประเทศก็จริง แต่ก็เป็นชุมชนที่ห่างความเจริญ  สุทิน เป็นเด็กอยู่ฝั่งฟากห้วยครอบครัวของเขามีพี่น้องด้วยกันสามคนคนโตและคนเล็กเป็นผู้หญิง พ่อกับแม่ของเขามีอาขีพเก็บหาของป่า หาปลาและรับจ้าง สถานะของครอบครัวนี้ค่อนข้างมาทางยากจน ตรอกทางเข้าในถื่นที่อยู่อาศัยของชุมชนนี้ ค่อนข้างเปลี่ยวและน่ากลัวมาก ขนาดกลางวันผู้ใหญ่ยังไม่อยากจะผ่านเลย หัวมุมทางจะเข้าตรอกไปบ้านสุทินมีต้นโพธิ์ยืนต้น เวลาลมพัดเสียงดังซู่ๆ เสียงใบไม้เมื่อกระทบกันดังแกรก ๆ เมื่อเดินเข้ามาในตรอกนี้ จะเห็นศาลที่คนในหมู่บ้านนี้มาบูชากราบไหว้ มีผ้าแถบสีหลายสีพันรอบเสาด้วยศรัทธาตามความเชื่อ 

         สำหรับศาลของหมู่บ้านไม่มีการตั้งชื่อไว้ ส่วนมากชาวบ้านในหมู่บ้านมักจะมาไหว้และมาสักการะ -ตามโอกาส ที่เป็นกิจจะลักษณะหน่อย ก็คือช่วงสงกรานตฺ์และช่วงวันออกพรรษา  ผมได้เรียนร่วมห้องกับสุทินเพียงแค่สองปี คือชั้นประถม 3- 4  สุทินเป็นคนผิวค่อนข้างคล้ำ เป็นเด็กเงียบๆไม่ค่อยมีเพื่อน เพราะบ้านของเขาห่างจากความเจริญ เวลามาเรียนสุทินจะต้องเดินมาพร้อมกับพี่และน้องสาว  ระยะทางจากบ้านของเขามาถึงโรงเรียนประมาณสามกิโลเมตรจะว่าไกลก็ไม่ไกลจะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ เพราะเรายังมีอายุเพียง 8- 9 ขวบ เขามักจะนั่งเรียนหลังชั้นเรียนลำพัง  ขนาดผมว่าครอบครัวผมแย่แล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับสุทินผมก็ยังดีกว่าเขา

      “นาย.ไม่มีสมุดเขียน..เหรอ ทิน  ”  ผมถาม

      “ใช่ พ่อกับแม่เรา ไม่มีเงินซื้อ  ”สุทินตอบ 

     “เช้าๆ นายมารับขนมแม่เราไปขายสิ  จะได้มีรายได้ ”ผมพูดกับเพื่อน เพราะเห็นใจ

     “เราไม่กล้าว่ะ อายน่ะ  ”สุทิน

    “ไม่ยาก..หรอกทินแรกๆอาจจะอายคนอยู่บ้าง แต่นานๆเข้าก็ชินไปเอง  นี่เรา.ก็เคยถูกแม่บังคับให้มาขาย เรานี่ถึงขนาดร้องไห้เลยแหละ" ผมพูด

    “พร้อมเมื่อไหร่ บอกเลย เราจะได้ให้แม่ ทำขนมเผื่อไว้  ” ผมพูด

     “ขอให้เราลองคิดก่อน ”

     “ได้เลย  เพื่อน ” ผมพูด

       กว่าสุทินจะรวบรวมความกล้าได้ ก็ใช้เวลาเกือบเดือน  ผมได้พยายามชักชวนและสร้างขวัญกำลังใจให้เกิดความกล้า พร้อมชี้ถึงประโยชน์ที่ตัวของเขาจะได้รับ  

      “นี่ถ้านาย ไปเดินขายอย่างน้อยๆวันนึง นายก็จะได้ค่าเหนื่อยอย่างน้อยก็ บาทห้าสิบสตางค์เลยนะ ” ผมพูด

                                   (เวลานั้นก๋วยเตี๋ยว ชามละสลึงเดียว  )

      ทุกๆเช้ารุ่นพี่ๆ ที่มีอายุมากกว่าผม เพื่อนและรุ่นน้องต่างมารอรับเอาขนมจากที่บ้านของผมไปขาย  สำหรับส่วนแบ่งคือ 80 ต่อ 20  หมายถึงถ้าขายได้10 บาท ผู้รับไปจำหน่ายจะได้สองบาท  คนนำ่เอาขนมไปขายไม่ต้องลงทุนอะไร นอกจากการเดินเร่ และร้องตะโกนบอกขายขนม  การจะขายดีหรืิอไม่ดีขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะบุคคล เมื่อสุทินมาฝึกหัดขายวันแรก ผมก็จะพาเขาเดินไปด้วย 

          “ขนมจีบ ซาลาเปาครับ ขนมจีบซาลาเปา ”ผมตะโกนร้องขายไปเรื่อยๆ ในย่านที่มีคนผ่านไปมา เพื่อเป็นตัว -อย่างให้สุทินเห็นวิธีการขาย และเขาก็ได้ค่อยเลียนแบบ โดยทำช่วงที่ปลอดคนและเป็นที่ว่างเปล่าไร้บ้าน เมื่อสุทินมั่นใจตนเองดีแล้ว ผมจึงให้เขาเดินแยกตัวไปขายเองโดยอิสระ เมื่อพูดถึงการค้าขาย เพื่อจะให้ได้เงินเปอร์เซ็นต์ตอบแทนมากก็จะต้องขายให้ได้ปริมาณมากด้วย  ดังนั้นเส้นสายการขายขนม จึงทับเส้นทางกันและกัน ผมเคยทะเลาะกับรุ่นน้องคือไอ้แหลมกับไอ้เปี๊ยกบ่อยๆ เพราะเรื่องผลประโยชน์ 

         “บ้านนี้ เป็นขาประจำของกูนะ ไอ้เปี๊ยก  กูเป็นคนแรกที่มาบุกเบิกเดินขายก่อนใครๆ เมื่อก่อนไม่เคยมีใครมาเดินขายเส้นทางบ้านครูสุทธิ” ผมพูด

        “ทุกคนไม่มีสิทธิ ที่จะกล่าวอ้างโว้ย  ใครมาก่อนก็ขายก่อน มันขึ้นกับคนซื้อที่เขาจะเรียกใคร ” เปี๊ยกพูด

        “ว่าไปแล้ว ก็จริงดังคำพูดของมัน” ผมคิด

       จากประสบการณ์ที่อยู่ในวัยเด็ก ที่ผมเคยทำเช่นการขายเรียงเบอร์ตรวจลอตเตอรี่  ขายลูกโป่ง ขายหนังสือพิมพ์ ขายน้ำหวาน ขายหวานเย็น ขายขนมปัง ฯลฯ  ไม่วายที่จะต้องมีปัญหาเรื่องการแย่งชิงลูกค้ากัน จนถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือกับอีกฝ่าย จนต้องมีการฟ้องร้องให้คนกลางช่วยเคลียร์ปัญหา

       “เป็นไงบ้างทิน คงพอทำได้แล้วนะ จากนี้ไปช่วงตีห้าครึ่ง นายก็ออกจากบ้านมารับขนมที่บ้านของเราไปขายเลย ”ผมพูดกับเพื่อน

      “ได้ เลยเพื่อน” สุทินตอบ 

       นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้สุทินมีรายได้ เพื่ออย่างน้อยเขาก็มีเงินไว้ซื้อเครีื่องเขียน อย่างสมุด ดินสอ ยางลบ จากสีหน้าที่เคยมีความทุกข์ก็ดูดีกว่าแต่ก่อนมาก สุทิน สอบได้ลำดับที่ท้ายๆเป็นเพราะหัวเขาไม่ค่อยดีและเกิดจากสภาพครอบครัวของเขา 

      ช่วงปิดเทอมนับตั้งแต่สอบปลายภาคเสร็จเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม เมษายน จนถึงกลางเดือนพฤษภาคมถือเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ เด็กๆจะมีความสุขมากที่สุด หน้าร้อนอย่างนี้ เด็กๆอย่างพวกเราไม่แคล้วที่จะแอบหนีพ่อแม่ ผู้ปกครองไปเล่นน้ำที่ลำห้วย สระ และบึง  จุดเล่นน้ำของเด็กๆที่อยู่ในเขตเทศบาล ที่เป็นที่รู้กันทั่วไปคือ จุดที่หนึ่งคือบริเวณสะพานวัดหลวงเก่าซึ่งเป็นสะพานไม้แคบๆ ซึ่งมีความยาวกว่า 400 เมตร จุดที่สองที่เป็นหน้าผาและมีลานกว้างพอสมควร จะอยู่ ห่างจุดนี้ไป 300 เมตร เส้นทางเส้นนี้เป็นทางลัดที่สามารถเดินทางไปยังตำบลนิคมทหารผ่านศึกได้   จุดหน้าผาแห่งนี้พวกเราตั้งชื่อกันว่า"หาดผาแดง"จุดนี้ห่างไกลจากบ้านผู้คน เงียบ วังเวงและค่อนข้างน่ากลัว เพราะเป็นเวิ้งและวังน้ำ คดเคี้ยวและบางจุดมีโพรงกว้างและลึกซึ่งผู้ใหญ่ส่วนมากเคยเตือนว่าเป็นถิ่นอาศัยของจระเข้ จุดที่สามของลำห้วยพรมโหดที่เด็กๆ ชอบไปเล่นน้ำคือบริเวณสะพานวัดเกาะจุดนี้เด็กๆที่มาเล่นจะเป็นเด็กในตลาดสด บ้านฟากห้วยและเด็กแถวโรงฆ่าสัตว์ (อ่านเรื่องบ้านร้างริมห้วยและผีไอ้ขีพ ประกอบเพื่มเติม) จุดทีี่สีคือบริเวณหลังกุฎิแม่ชี ที่วัดหลวง(ใหม่)  จุดนี้ก็จะมีวังน้ำที่นิ่งสงบมีคนเคยพบเห็นจระเข้ว่ายทวนน้ำ ข่าวนี้สะพัดจนคนอยู่ริมฝั่งที่เคยลงมาตักน้ำไปใช้ ไปกินและซักผ้า ต้องหยุดใช้ลำห้วยนี้ไปนาน

                                             **********************************

       ช่วงปลายเทอมชั้นป.4 จู่ๆ สุทินก็ขาดหายจากการมาเข้าชั้นเรียนไปเฉยๆ ทำให้เพื่อนๆแปลกใจว่าเขาทำไม??เขาจึงไม่มาเรียน ทั้งๆที่ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว  

      “ใคร?? พอจะรู้บ้างมั้ย ว่าไอ้ทิน ทำไม?? ไม่มาเรียนหนังสือ” ผมถามเพื่อนๆ

      “สงสัยคงไม่สบาย” บุญส่งพูด

      “ลองถาม ไอ้สันติชัยดูสิ บ้านมันอยู่ไม่ห่างกัน”  อำนาจพูด

      “ไอ้สัน  มึงลองแวะบ้านไอ้ทินหน่อยสิ ดูว่า ทำไมมันไม่มาเรียนหนังสือเลยช่วงนี้  ”  

     “งั้นเย็นนี้  กูจะแวะไปที่บ้านมันก็ได้” สันติชัยพูด

       เพื่อนสนิทของผมส่วนใหญ่ จะเป็นเด็กนอกเขตเทศบาล เพราะมันไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร ไม่ต้องมาวางมาดเก๊กเหมือนเด็กในตลาดที่มีฐานะดี ผมเคยไปเที่ยวบ้านสุทินสองครั้ง เห็นได้ชัดเลยว่า ครอบครัวเขายากจนจริงๆข้างๆบ้านของเขา ยังมีบ้านคนทรงเจ้า ซึ่งสภาพแวดล้อมดูน่ากลัวมาก 

      “น่ากลัวมาก เลยว่ะทิน ยายคนที่เป็นทรงเจ้า -ทรงผี ร่างผอมยังกับผี ปากแดง ผมเผ้ารุงรังหน้าตาดุ คิ้วย่น เวลาแกมองมาที่เรา นี่..ตกใจหมดเลย”  ผมพูด

     “อย่าว่า แต่นายกลัวเลย ขนาดเราอยู่ที่นี่ เห็นแกทุกวัน ยังกลัวเลย”  

     “มีคนมาทรง ทุกวันมั้ย” ผมพูด

     “ไม่แน่นอนหรอก  ”

                                    ******************************

        วันรุ่งขี้น เมื่อสันติชัยเข้าชั้นเรียนแล้ว พวกเราก็ได้ข่าวว่าสุทินป่วยและต้องนอนอยู่ที่บ้าน ทุกคนต่างห่วงใยและเอาใจช่วยให้เพื่อนหายป่วยเร็วๆ   

      “ไอ้ทิน นอนห่มผ้า ยังบอกว่าหนาวๆร้อนๆ กูก็ถามมันว่า พ่อมึงพาไปหาหมอหรือยัง  มันบอกว่าพ่อได้พาไปอนามัยแล้ว หมอให้ยามากิน"

       พวกเราคิดว่าอีกไม่นานสุทินก็คงได้กลับมาเรียนในไม่ช้านี้ เวลาผ่านไปจากสัปดาห์ จนถึงวันสอบปลายภาค ไม่เห็นวี่แววว่าสุทินจะมาสอบ จนพวกเราได้เรียนชั้นป.5 ณ เวลานี้ เพื่อนๆกว่าสิบคนก็มิได้มาเรียนต่อ เพราะเกณฑ์ภาคบังคับในเวลานั้น คือหากเด็กคนใดเมื่อเรียนจบชั้นประถม 4 แล้ว  รัฐบาลก็มิได้บังคับให้เด็กต้องเรียนต่อไปอีก  ดังนั้น อำนาจ ประเสริฐ  สมศักดิ์ และประกอบจึงอยู่กับบ้านช่วยพ่อแม่ทำนา เมื่อสุทินยังไม่ได้สอบปลายภาคเขาจึงไม่มีสิทธิขึ้นชั้นเรียนได้ แม้พวกเราจะเรียนชั้นป.5 แล้วแต่ทุกคน ก็ยังอดเป็นห่วงเพื่อนมิได้ จนเมื่อวันเสาร์ วันหนึ่ง ที่ผมมืโอกาสผ่านริมคลองห้วยพรมโหด ในขณะฟ้าหลัวผมได้เห็นเด็กชายผิวคล้ำ มืิอเกร็งน้ำลายไหลยืด ยืนเหม่อลอยดังกับคนวิกลจริต   ลักษณะการยืนคือยืนเขย่ง เหมือนคนขาไม่เท่ากันทั้งสองข้าง

    “สุทินๆๆ”ผมเรียกชื่อเขาซ้ำหลายครั้ง จะเรียกอย่างไร ก็ไม่มีเสียงตอบและหันมาหา เขายังยืนกับที่ ใกล้กับต้นโพธิื์ใหญ่ใกล้ริมห้วย ผมมองไปที่ริมฝั่งด้านนี้เห็นมีต้นไผ่พาด คนสร้างทางข้ามได้ทำเสากลางน้ำเป็นระยะๆ ทางเดินข้ามไปอีกฝั่งได้ทำที่ยึดเกาะ เพื่อความสะดวกเวลาเดินข้ามไว้ด้วย 

    ผมแน่ใจแล้วว่า .สุทินคงกลายเป็นคนวิกลจริตไปแล้ว เพราะดูจากพฤติกรรมและร่างกายของเขา ที่แสดงออกทางกายภาพในใจให้รู้สึกสงสารเพื่อนคนนี้  

    “ทิน นายจำเราได้มั้ย เราขลุ่ย…เพื่อนนายไง  ” ผมพูด เพื่อเรียกสติเพื่อน

     สุทินยิ้ม  อีกน้ำลายไหลยืด จนย้อยเปียกบริเวณบ่า ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าสุทินคงจำผมได้ แต่เมื่อเขาหันมายิ้มแล้วก็กลับเมินเฉย โดยไม่พูดไม่จาอะไร  

    “ทินๆนายเป็นอะไรหรือ ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้คนเดียว ล่ะ ”  ผมพูด

    สุทินนิ่งบ้างยิ้มบ้างไปตามประสา เขาไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน  

     ท้องฟ้าอึมครึม เมฆเริ่มรวมตัวก่อเม็ดฝน ผมคิดว่าหากไม่ดึงตัวเขากลับเข้าบ้าน คงเปียกฝนอย่างแน่นอน  ไม่รอช้าผมเอารถจักรยานไว้ขอบถนนดินลูกรัง 

     “ไปทิน กลับบ้านก่อน ที่ฝนจะตก เดี๋ยวนายเปียกฝน  ” ผมพูด

       เขาไม่ได้ตอบสนองกับผมเลยสักนิด เพียงแค่มองหน้า จะพูดอะไรก็ไม่พูด ได้แต่นิ่ง น้ำลายคงไหลย้อยดังเดิม  เขาไม่สามารถจะใช้มือมาปาดน้ำลายได้ เพราะมืิอเกร็งและเหยียดไม่ได้เลย

        “เอาแขนมาสิ ” ผมพูด 

       ผมคว้าแขนด้านซ้ายมือของเขา ค่อยๆสัมผัสให้สุทินได้รู้สึกตัวว่า ตอนนี้นายต้องฝืนขยับตัวเดินแล้ว เพื่อจะได้กลับบ้าน เหมือนว่าตอนนี้ เขาก็คงจะรู้ว่าฝนกำลังจะตกแล้ว จึงพยายามก้าวขา  ในหมู่บ้านแห่งนี้มีเพียงไม่กี่หลังคาเรือน คือบ้านของพ่อแม่สุทิน  บ้านคนทรงเจ้าและอีกสองสามหลังที่ผมไม่รู้จัก จากจุดต้นโพธิ์ที่สุทินยืนมาบ้าน มีระยะทางประมาณ 50 เมตรแม้จะไม่ไกลแต่กว่าจะพาเขาเข้ามาบ้านได้ ก็ไม่ต่ำกว่า 15 นาที 

      “ที่บ้านสุทิน ไม่มีใครอยู่สักคน ไปไหนกันหมดไม่รู้สิ  ปล่อยให้คนพิการอยู่คนเดียว มันช่างแปลกประหลาดมาก ” ผมคิด 

         ในบ้านหลังนี้ .ไม่มีแม้แต่เก้าอี้ บ้านมีลักษณะเป็นห้องโล่งๆ ฝาบ้านทำจากไม้ไผ่ด้วยการสานขัดไปมา  หลังคาดูจะมีรูรั่ว พวกเขาอยู่ได้ อาจเป็นเพราะความเคยชินแล้วพี่สาวกับน้องสาวไปไหน ทำไม??ไม่ดูแลคนป่วย 

      “รู้จัก ทินด้วยหรือ” เสียงตะโกนถามจากหญิง ที่เดินผ่านมาโดยบังเอิญ สงสัยเธอคงจะอยู่แถวนี้

      “ครับ เป็นเพื่อนเรียนด้วยกัน ” ผมตอบ

      “ทิน เขาป่วยมาหลายปีแล้ว  ไปหาหมอแล้ว หมอก็ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ก็จะเห็นอาการเขาเป็็นแบบนี้แหละ ”ชาวบ้านพูด

      “ว่าแต่ทำไม??ปล่อย ให้ทินอยู่บ้านคนเดียว ”ผมถาม

      “พ่อกับแม่เจ้าทิน คงไปหาปลาในห้วยฝั่งวัดเกาะ ส่วนพี่สาวกับน้องสาวของทิน คงไปเก็บผักบุ้ง มาขาย” ชาวบ้านพูด 

    “น่าสงสาร เขาจังเลย นะครับ  ”ผมพูด

    “ใช่ น้าก็สงสาร คนเคยมีสภาพปกติ แต่จู่ๆ ก็มาเปลี่ยนแปลงเหมือนคนสติฟั่นเฟือน ทั้งแขนขาก็ไม่สามารถใช้การได้ตามปกติ”ชาวบ้านพูด

     “มันช่างน่าสงสัยมาก ว่ามันเกิดจากอะไร กันแน่   ”ผมพูด

     “ใครๆต่างสงสัยว่าสุทิน คงไปฉี่ รดบนพื้นที่ของเจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่าทั้งคงน่าจะไปท้าทาย ไม่เกรงกลัว”ชาวบ้านพูด

      เมื่อผมได้ยินที่ชาวบ้านพูดขึ้น  จึงทำให้นึกถึงว่าทุกครั้งที่พวกเรา เวลาจะปัสสาวะที่ในป่าใกล้ริมห้วย ตอนที่พวกเรามาเล่นน้ำห้วย  เราจะบอกต่อๆกันว่า

     “เวลามึงจะฉี่ในป่า มึงต้องบอกเจ้าที่ เจ้าทางว่า ขออนุญาติ ลูกช้าง ฉี่ ด้วยนะครับ ”  

      นี่คือความเชื่อ ที่พวกเราเด็กๆ เวลาจะปัสสาวะในป่าทุกครา จำต้องขอนุญาตเจ้าป่าก่อนเสมอ กรณีของสุทิน เป็นเรื่องที่ลี้ลับซึ่งมิอาจพิสูจน์ได้ แต่เมื่อชาวบ้านมีความเชื่อแบบนี้มารุ่นต่อรุ่น ถึงผมจะเป็นคนยุคใหม่ ก็จำต้องกระทำตามความเชื่อของคนในท้องถิ่น 

       “นึกแล้วสงสาร นายว่ะทิน เหตุการณ์ มันเกิดแบบนี้ หมอ..ยังรักษาไม่ได้เลย แล้วอย่างนี้ ใครจะรักษาให้นายได้เล่า” ผมนึก

     หลังจากผมพาสุทินเข้าบ้านได้แล้ว ฝนก็เริ่มลงเม็ดกว่าสิบนาที เมื่อฝนหยุด ..ผมจึงกลับบ้าน ดูสภาพสุทินแล้ว คงช่วยตนเองไม่ได้เลย นับแต่กินน้ำ กินข้าว อาบน้ำ เปลี่ยนเครื่องแต่งกายกรรมของเขาแท้ๆ 

                                            ******************************

        นับแต่ชั้นป 5 - จนเรียนถึงระดับชั้น 7 นานๆครั้ง ผมจึงจะมีโอกาสขี่จักรยานไปทางบ้านสุทิน ในหมู่บ้านนี้ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่เปลี่ยนแปลง สุทินยังยืนที่ต้นโพธิ์ เก้กังๆ เหมือนพูดอะไรอยู่คนเดียว  นี่หรือเปล่านะ..ที่ทำให้สุทินต้องมาเป็นคนแบบนี้ 

      “ทินๆทำอะไรหรือ เพื่อน” ผมถามกับเพื่อน

       เขายิ้มให้ แต่ไม่ได้พูดอะไร น้ำลายคงไหลยืด เสื้อชุดเดิมที่เคยใส่เมื่อสามปีก่อนเก่าจนเปื่อย ในใจผมนึกๆอยากให้เขาพูดให้ฟังว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาเมื่ออดีตที่ผ่านมา

      “สงสารนายมากเลยเพื่อน พูดก็พูดไม่ได้ คงทุกข์ทรมานใจ น่าดู  ”

                                          ***********************

         เมื่อผมเรียนชั้นมศ.1 สันติชัยที่อยู่บ้านใกล้กับสุทินได้มานั่งเรียนคู่กับผม เขาได้แจ้งข่าวให้ผมทราบว่าสุทินเสียชีวิตแล้วด้วยอายุเพียง13 ปีเท่านั้น

        “เกิดอะไรขึ้นวะ  สัน ”

        “มันจะเดินข้ามสะพาน มาฝั่งวัดเกาะ พอถึงกลางสะพานไม้ไฝ่มันลื่น ไอ้ทินเลยล่วงลงห้วย  จมน้ำตาย ”

                               “สิ้นเวรสิ้นกรรม วะไอ้ทิน อยู่ไปก็ทุกข์ทรมานเปล่า”ผมพูด

                                                  ขลุ่ย   บ้านข่อย

                                                   ( ๑๙-๗- ๖๗)

                                 

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×