กรรมที่เกิดจากตัวตนเอง - กรรมที่เกิดจากตัวตนเอง นิยาย กรรมที่เกิดจากตัวตนเอง : Dek-D.com - Writer

    กรรมที่เกิดจากตัวตนเอง

    เขาเป็นที่รักของเพื่อนๆ เสียดายที่เขาไม่มีความทะเยอทะยานมากนัก จึงมีวุฒิเพียง ปวส. ในสายตาของผมมองว่าศิษย์คนนี้เป็นคนดี และรักดี แต่แล้ว...ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้น เมื่อผมได้ข่าวว่าเขาต้องติดคุก

    ผู้เข้าชมรวม

    53

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    53

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 ก.ค. 67 / 07:08 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                               กรรมที่เกิดจากการกระทำของตน

          ธนา เด็กหนุ่มหน้าตาดี ในหมู่บ้านห้วยยางนา ผมเห็นเขามาตั้งแ่ต่ยังเด็ก เนื่องจากผมรู้จักกับบิดาของเขาซึ่งเป็นช่างไม้และเกษตรกรรมควบคู่กันไป พูดถึงครอบครัวของนายจรูญกับนางวันเป็นครอบครัวที่โชคดี ที่มีลูกสาวสามคนก็งดงามเสียทุกคน ธนาเป็นลูกชายคนเดียวและเป็นคนรองสุดท้อง พี่สาวคนโตของครอบครัวนี้หลังจากเรียนจบชั้น มัธยม ศึกษาตอนปลาย ก็ได้เข้าเรียนต่อที่คณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกการศึกษาปฐมวัย จนจบระดับปริญญาตรี

    ผมยังจำได้ดีว่าพี่สาวของธนา เคยมาหาผมที่บ้านพักในสถาบัน เพื่อปรึกษาการทำวิทยานิพนธ์ โดยเธอได้จ่ายค่าตอบแทนให้ผมเป็นค่าเสียเวลาด้วย

      “ผมขอรับเงิน ไว้ส่วนหนึ่งก็แล้วกัน อีกส่วนหนึ่งผมคืนให้ เผื่อจะได้เอาไว้ใช้ในเป็นค่าน้ำมันรถ ไปเรียน” ผมพูด

      “ขอบคุณค่ะ อาจารย์” พี่สาวของธนาพูด

      การทำวิทยานิพนธ์ ในระดับปริญญาตรี ในส่วนของคณะศึกษาศาสตร์ แม้ผมจะไปเคยได้ศึกษามาก่อน แต่หลักการทำวิทยานิพนธ์ก็ไม่ได้แตกต่างจากหลักการทำวิจัยมากนัก อีกทั้งก่อนหน้านี้ ผมเคยทำงานวิจัยและยังเคยทำหน้าที่เป็นหัวหน้าแผนกวิจัยมาก่อน งานวิทยานิพนธ์จึงมิได้เป็นเรื่องยากนัก นอกจากพี่สาวของธนา มาปรึกษางานวิทยานิพนธ์แล้ว ยังมีคนอื่นๆอีกหลายคน โดยเฉพาะมีนักศึกษาระดับปริญญาโทคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการที่ศาลากลางจังหวัด ยังได้เคยมาขอให้ผมช่วยทำวิทยานิพนธ์จนงานสำเร็จุล่วงไปด้วยดี 

      จริงๆ ทุกงาน ที่ผมช่วยเหลือบุคคลต่างๆนี้   ผมเพียงหวังให้เขาทำงานได้สำเร็จ เพื่อจะได้สำเร็จการศึกษาตามที่เขาปรารถนา สำหรับเรื่องค่าตอบแทน ผมไม่เคยเรียกร้องแต่ส่วนใหญ่เขาจะให้เป็นสินน้ำใจบ้าง

    “ผมต้องขอบคุณอาจารย์..อย่างมาก ที่ได้ช่วยเหลือการทำวิทยานิพนธ์ อาจารย์คิดค่าเหนื่อยเท่าไหร่.ครับ”

    “แค่ช่วยเหลือกัน..ครับ  ผมไม่คิด อะไรหรอก  ”

    "ผมให้ไว้สักสามพัน โอเคมั้ย  "หัวหน้าส่วนราชการพูด

    “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ..หัวหน้า  ผมเต็มใจช่วยเหลือเฉยๆอยากให้คนที่ไม่ถนัดและมีงานยุ่งๆได้สบายใจขึ้น”

       และในวันดังกล่าว ผมรับเงินที่เขาให้เพียงหนึ่งพันบาท แต่ก่อนจะกลับเขาก็ยังพยายามยัดเยียดให้อีก โดยปกติการรับจ้างทำวิทยานิพนธ์ในกรุงเทพหรือจังหวัดใหญ่ค่าเสียเวลาในการทำวิทยานิพนธ์ต่อหนึ่งเรื่อง คงมีราคาไม่ต่ำกว่าห้าพันบาท จากที่ผมได้ช่วยทำวิทยาพิพนธ์ก็ทำให้หัวหน้าส่วนราชการคนนั้น สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโท ผมกับเขาจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมือนเพื่อนร่วมงานในองคฺ์กรเดียวกัน 

                                               ********************************

      หลังจากธนา เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว เขาได้มาสมัครสอบเรียนในสถาบันฯที่ผมสอน ทั้งได้เลือกเรียนในคณะบริหารธุรกิจ ในระดับปวส.  สาขาการจัดการ .หลักสูตรสองปี ในห้องเรียนนี้มีนักศึก๋่ษา32 คน ส่วนใหญ่จะเป็นหญิง มีผู้ชายเพียง 5 คน  ตลอดการเรียน.. จะเห็นได้ว่าธนาเป็นคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือเพื่อนๆ ผลการเรียนของเขา อยูู่ในระดับปานกลาง คือเกรดเฉลี่ย 2.7 ปัญหาที่ธนาพบ คือเขาถูกอาจารย์มงคล ตำหนิเนืองๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ    

    “พวกเราทั้งห้องเรียน ไม่ชอบวิธีการสอนของอาจารย์มงคลเลย ครับอาจารย์ ”ธนาพูด  

    “ทำไมหรือ ?? ธนา ” ผมพูด

    “เอาแต่ใจ  ชอบกดดัน ทำให้คนเรียนอึดอัด ขยับตัวเมื่อไหร่ ต้องโดนดุโดนด่า พอนักศึกษาจะอธิบายบอกเหตุผล ก็สั่งให้หุบปาก ไม่ต้องเถียง ” ธนาพูด

     จริงๆแล้ว ธนาไม่ต้องบอกเล่าเรื่องดังกล่าว ผมก็ทราบถึงพฤติกรรมของเขาอยู่แล้ว การที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษามาเพียงสองครั้งในรอบ 4 ปี ย่อมที่จะรับรู้ ถึงความในใจของพวกเข าที่มีต่ออาจารย์ผู้สอนแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร  บางคนเวลาสอนก็ปากหวานกับนักศึกษา แต่เวลาตัดเกรดนักศึกษาก็ต้องโศกา พร้อมสาบแช่งและเข็ดขยาด   ที่สถาบันแห่งนี้หากขาดผมเสียคนไม่รู้้หมือนกันว่านักศึกษาจะหันหน้าไปปรึกษากับอาจารย์คนไหน น้อยคนนักที่จะทุ่มเท จริงใจกับลูกศิษย์  อาจารย์ของที่นี่ร้อยละ 95 ที่ผมเห็นว่า ต่อหน้าเขาพูดดีกับลูกศิษย์แต่ลับหลังแอบนินทา บูลลี่ ลูกศิษย์ของตนโดยไม่ละอายแก่ใจ 

    “ยัยละเอียด นี่สอนซ้ำสอนซาก กี่ครั้งแล้วก็ยังไม่เข้าหู ไม่รู้จักจดจักจำ สอบทีไรก็ตกทุกครั้ง  พอติด F ก็มาบีบน้ำตาร่ำไห้ ขอให้ช่วยเหลือ” อาจารย์มงคลพูด

    " นาย กษมา นี่ก็แปลก โดนรีไทร์ไปตั้งสองครั้งแล้ว  ก็ยังทู่ซี้ สอบเข้ามาเรียนอีก สติปัญญางั่งๆ ไม่รู้จักประเมินตนเองว่าเรียนไหวหรือไม่  สงสารพ่อแม่ที่ส่งควายมาเรียน “อาจารย์ปวีณาพูด

    “สงสัย ยัย กรรณิการ์ คงถ้าจะตั้งท้องแล้วกระมัง ดูท้องใหญ่ มีน้ำมีนวลผิดปกติ  “อาจารย์พวงเพ็ญพูด 

                                                   ฯลฯ

                                         * ************************

      เด็กวัยรุ่นในหมู่บ้านบ้านห้วยยางนา ที่มีอายุใกล้เคียงกับธนามีหลายคนที่ได้สมัครเรียนในสถาบันแห่งนี้ เนื่องจากใกล้บ้าน  พ่อแม่ของเยาวชน เหล่านี้มักไม่อยากให้บุตรไปเรียนไกลบ้าน เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจและอีกอย่างลูกหลานของพวกเขาน้อยคนนักที่จะมีศักยภาพที่จะสอบเอ็นทรานซ์ติดในมหาวิทยาลัยของภาคเหนือ เพียงแค่ได้เรียนในสถาบัน ที่มีชื่อคำว่า "มหาวิทยาลัย "พวกเขาก็รู้สึกภูมิใจแล้วว่า ลูกหลานของพวกเขา ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว  ส่วนใหญ่วันรุ่นในหมู่บ้านใกล้เคียงกับสถาบันมักชอบเล่นกีฬาตามวัย แต่. เนื่องจากในหมู่บ้านไม่มีสนามกีฬาที่มีมาตรฐาน และมีความหลากหลายของชนิดกีฬาที่จะได้เล่น วัยรุ่นในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงของสถาบันจึงชวนกันมาเล่น มาซ้อมกีฬา ในสนามของมหาวิทยาลัย ธนา ซึ่งมีความสามารถในการเล่นเซปักตะกร้อ มักจะชวนเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน มาร่วมลงเล่นกับเพื่อนๆที่เป็นนักศึกษาที่คุ้นเคย ผมเห็นเขามักจะร่วมทีมลงแข่งเซปักตะกร้อเสมอ  เมื่อธนาได้เข้ามาเรียนในสาขาการจัดการของสถาบันนี้แล้ว สถานที่นี้ ..เขาจึงสามารถเข้ามาฝึกซ้อมได้อย่างเสรี

        “ผมมาขออนุญาต..อาจารย์ ไปแข่งขันกีฬาระดับเยาวชนของเทศบาลนคร ช่วงบ่ายสามวันนี้ ด้วยครับ” ธนา พูดขออนุญาต ล่วงหน้า 

         “ไม่มีปัญหา  ตามสบาย ยังไง??  ตั้งใจเล่นให้ดีนะ เพื่อชื่อเสียงของสถาบันเรา” ผมพูด 

          “ครับ อาจารย์”

         ในทุกๆ ปี ที่เทศบาลนครลำปาง จัดให้มีการแข่งขันจะกีฬาสามประเภทหลักๆคือเซปักตะกร้อ  บาสเกตบอล (ชาย-หญิง) วอลเลย์บอล(ชาย-หญิง) ทัั้งในระดับเยาวชนและประชาชน ครั้งที่ผมเป็นอาจารย์แผนกสวัสดิการและนันทนา -การ ไม่เคยพลาดที่จะมาช่วยให้กำลังใจนักศึกษา ที่มาร่วมการแข่งขัน และบางครั้งผมก็ยังมาช่วยเป็นโค้ชให้ด้วย

                                                ****************************

         ธนา เป็นนักตะกร้อ เล่นในตำแหน่งหน้าซ้ายเขาเป็นตัวแทนของสถาบันได้เพียงสองปีก็สำเร็จการศึกษาไป และกว่าจะสำเร็จการศึกษาได้ ก็ต้องเจอกับอุปสรรคดังรุ่นพี่ๆคือวิชาปัญหาพิเศษ ผมต้องมีความขัดแย้งกับอาจารย์มงคล เจ้าเก่าที่เป็นคู่กัดของผมเช่นเคย เนื่องจากเขาไม่ยอมเซ็นอนุมัติให้จบ 

       “พี่ทำกับนักศึกษาอย่างนี้ มีวัตถุประสงคฺ์ไป เพื่ออะไร  ” ผมถาม

       “ทำยังไม่เรียบร้อย สมบูรณ์  ผมจึงไม่ยอมให้ผ่าน”

      “ความสมบูรณ์ของพี่ เอาเกณฑ์ของตนเป็นหลัก ตามความพอใจของตัว.นี่หว่าอย่าถือว่าตัวเองเป็นหัวหน้านะ" ผมพูด

       เขาเงียบ ผมไม่อยากต่อล้อต่อเถียง พยายามข่มใจ นับหนึ่งถึงร้อย หลายครั้งที่ผมต้องกัดฟัน และข่มใจหันหลังกลับเพราะการประจันหน้ากัน ผมอาจอดใจไม่ไหว

           “ธนา ..ยอมแก้ไขอีกนิดนึง ยอมๆ มันไป เพื่อจะได้จบ”  ผมพูดกับลูกศิษย์

         ธนา ยอมเสียเวลาแก้ไขอีกหลายรอบ ต้องหมดเงินค่าจ้างพิมพ์ ค่าถ่ายเอกสาร อีกหลายร้อยบาทและธนาก็จบได้แบบหืดขึ้นคอ   เมื่อธนาเรียนจบแล้วไม่ได้สมัครสอบทำงานที่ใดๆเลย  ทั้งๆที่มีส่วนราชการประกาศรับสมัครตำแหน่งวุฒิปวส. แต่เขากลับไม่ไปสมัครสอบ  ธนาได้ภริยา เป็นสาวรุ่นน้องโรงเรียนเดียวกันสมัยเรียนชั้นมัธยม แต่อยู่ต่างหมู่บ้าน ห่างกันไม่ถึงสองกิโลเมตร  ธนาได้มรดกจากพ่อและแม่เป็นที่ดินหลายไร่ เขาได้หันมาประกอบอาชีพการปลูกสับปะรด แน่นอนว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพแรกที่เขาได้เริ่มต้นหลังจากเรียนจบ  ผมเคยขับรถสวนทางกับเขาบ่อยๆ เป็นเพราะบ้านของเขาอยู่ไม่ห่างจากบ้านที่ผมพักอาศัย

       “เป็นไงบ้าง ธนา ปลูกสับปะรด ”

      “อิ๊ด..ขนาดครับ อาจารย์  (เหนื่อยมากเลย) ครับ” ธนาตอบเป็นภาษาเหนือ

      “มีใคร ช่วยทำบ้าง ”

       “ทำคนเดียวครับ ”

      “อ้าว..แล้วแม่บ้านล่ะ”

      “เขามาทำงานในเมือง ช่วยทำงานด้านถ่ายเอกสาร ข้างๆวิทยาลัยเทคนิค ครับ”

     “ได้รับค่าจ้าง ..ค่าแรง ยังไง”

      “วันละ…สองร้อยห้าสิบ ”

      “คงเหนื่อย หนักหนาเลยสิ   ลูกคนโตกี่ขวบแล้วล่ะ”  ผมพูด

    “ สามขวบแล้ว ครับ” 

     “คงต้องอดทนนะทั้งพ่อแม่เลย ยังไงสู้ๆโว้ย นี่มีตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านว่างลงนี่ ลงสมัครสิเราก็พอมีวุฒิอยู่”ผมพูด

      “ไม่หรอกครับ ผมคงทำมาหากินอย่างเดียว ดีกว่า  ผมคงไม่มีเวลาและไม่ค่อยถนัดที่จะมาคอยเอาใจชาวบ้าน ”

      “ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวผมจะไปทาบทาม รุ่นพี่ของเราให้ลงสมัคร  ”

       ธนา ทุ่มเทกับการประกอบอาชีพ  ต่อมาภายหลัง…ภริยาของธนา ได้มาเป็นลูกจ้าง รับถ่ายเอกสารให้ภริยาของอาจารย์คนหนึ่งในคณะบริหารธุรกิจ ค่าแรงงาน ได้เท่ากับในเมือง ดีที่เธอ.ไม่ต้องจ่ายค่าโดยสารนั่งรถยนต์ ไปและกลับระหว่างบ้านกับในเมือง สิ่งที่ผมประทับใจธนา ไม่รู้ลืมคือเรื่องที่เขาได้แสดงน้ำใจช่วยเหลือคนประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นอาจารย์ ที่เพิ่งมาบรรจุใหม่(อ่านเรื่องแม้คำขอบคุณยังไม่มี) แต่ธนาเข้าใจว่าเป็นนักศึกษา วันดังกล่าวนี้..ผมต้องขับรถยนต์ ไปรับอาจารย์ผู้ประสบอุบัติเหตุ เพื่อส่งโรงพยาบาลอย่างรีบเร่ง ด้วยความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งโดยปกติผมจะขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตร

    “ขอบใจมากธนา นี่หากนายทอดธุระนิ่งเสีย คนเจ็บอาจทุกข์ทรมานแย่  ” ผมะูด

    “ทีแรก ผมนึกว่านักศึกษาเสียอีก  หน้าตาเธอยังเด็กอยู่เลย ”

    “เป็นอาจารย์ สาขาการตลาด เพิ่งมาทำงาน ได้ไม่กี่เดือนนี่เอง”

     คุณงามความดีนี้ ผมรู้สึกประทับใจลูกศิษย์คนนี้  ที่เขาได้แสดงออกถึงความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แม้จะไม่รู้จักกันก็ตาม หลายปีผ่านมาผมก็ยังคงเห็นธนาทำไร่สัปปะรด เขาเริ่มมีเสียงบ่นขึ้นมาบ้างเพราะราคาผลผลิตไม่แน่นอนสอง-สามปีที่ผ่านมา ราคาสับปะรดตกต่ำมาก ถึงขั้นชาวบ้านทั้งหมู่บ้านต้องเอาสับปะรดไปเททิ้ง เพื่อทำให้ความสมดุลย์ระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค สมดุลย์ตามหลักเศรษฐศาสตร์  

    “สงสัย หลังเก็บเกี่ยว อีกรุ่นนึงแล้ว ผมคงเลิกปลูกสับปะรด  แล้ว”

    “อ้าว แล้วไป ทำอะไรล่ะ ทีนี้  ถ้าไม่ปลูกสับปะรด   ”

    “ขอคิดดูก่อนครับ ค่าใช้จ่ายของครอบครัวของผม หนักกว่าแต่ก่อนมาก ตอนนี้ลูกคนโตเรียนประถม 6 คนเล็ก ประถม 3  แม่บ้านผมก็คงได้ค่าจ้างเท่าเดิม ”

                                          ***************************

      ระยะหลังผมไม่ค่อยพบเจอธนา ทราบว่าเขาได้ไปทำงานเป็นลูกมือช่าง รับเหมาก่อสร้างในเมือง  

    “พี่ธนา ไปเป็นกรรมกร ผสมปูนและฝึกเป็นช่างฉาบก่ออิฐ  ค่ะ ”  ภริยาธนาพูด

     “คนไม่เคยลำบาก คงเหนื่อยแย่เลย เห็นใจนะ บอกธนาด้วยว่างๆแวะหาที่บ้านเผื่อจะหางานให้ทำ"

    “ทำ อะไรคะ  ”

    “เอาน่า  จะติดต่อพรรคพวก ในเมืองให้”

    “แกคงไม่เปลี่ยนงานหรอก..หนูว่า ”

    “ลองดูก่อน แล้วแต่เขา”

      ผมมีโอกาสนั่งดื่มกับธนา ได้นั่งคุย และพูดถึงบรรยากาศเก่าๆที่เขาเคยอยู่ในความดูแลของผม ทั้งยังต้องมาต่อสู้กับอาจารย์ที่ขาดคุณธรรมอย่างอาจารย์มงคล  ที่ทำลายอนาคตลูกศิษย์มานับไม่ถ้วน 

    “วันนี้ เรามีครอบครัวมีลูกแล้ว แม้จะเหนื่อยก็ต้องต่อสู้ ยังไง ให้กำลังใจนะโว้ย ไอ้น้อง เมียนายทำงานใกล้บ้านก็ดีแล้ว  ช่วยกันๆ รู้จักเก็บจักใช้ อย่าฟุ่มเฟือย อยู่ได้..น่า เชื่อผมสิ ”

         ผมค่อนข้างเบาใจ ที่ไม่เคยได้ข่าวทางเหลวไหลของลูกศิษย์คนนี้  บ่อยๆครั้งที่ได้เห็นพ่อแม่ลูกไปตลาดพร้อมๆ กันลูกสาวคนโตคนเล็กถือลูกโป่งคนละสีหน้าตาเบิกบาน ดูแล้วมีความสุขที่เห็นครอบครัวของเขามีความอบอุ่น  

       “ดีใจแทนด้วยว่ะ ธนา แม้นายจะไม่มีวุฒิระดับปริญญาตรี ไม่ร่ำรวย ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ แต่นายก็ยังทำหน้าที่สามีและพ่อที่ดีอย่างย่ิ่ง  ” ผมคิดในใจ

                                         *******************************

        แม้บ้านของผมกับธนาไม่ห่างกัน แต่บ้านเขาอยู่ในใจกลางของหมู่บ้านเราจึงไม่ค่อยได้พบกัน  ผมเริ่มเห็นว่าธนา มีความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง คือทุกครั้งเวลาที่เขาเจอผมมักจะไม่ค่อยจะสู้หน้า ร่างกายซูบลงไปบ้าง มีชาวบ้านลือกันว่า เขาติดยาเสพติดและก็เป็นจริงตามข่าว เมื่อผมทราบจากน้องสาวคนเล็กของเขา

        “พี่ธนา ถูกตำรวจจับ ในข้อหาเสพยาและมียาเสพติดในครอบครอง คงต้องรอศาลตัดสิน ค่ะอาจารย์”

         “แย่เลยจริงๆ นายไม่น่าเป็นคนเช่นนี้เลย ลูกเมียก็มี ครอบครัวก็อบอุ่น”

       ช่วงหลังมานี้ ธนาไม่ได้ทำงานใดๆเลย ต้องอาศัยเงินจากภริยาใช้ เขายังแอบไปซื้อยาเสพติดมาเสพ  ชีวิตของเขาในยามนี้ ช่างน่าสงสารอย่างมาก แต่แล้วธนาก๋็ถูกศาลพิจารณาลงทัณฑ์สี่ปี  ธนาไร้อิสรภาพ เวลานี้ ..ครอบครัวของเขาเสมือนแพแตก  ภริยาต้องนำลูกๆกลับไปอยู่กับตาและยาย เวลาสี่ปีในเรือนจำเป็นเวลาที่ยาวนาน หากธนาไม่ทำตนเสียเองแล้ว เขาคงอยู่กับครอบครัวได้ตามอัตภาพ  หลังจากที่เขาออกจากเรือนจำแล้ว ผมรู้สึกยินดีและยังคิดว่าสักวัน. หากได้มีโอกาสได้คุยกันคงจะได้ให้กำลังใจเขา ครั้งแรกที่เจอธนาดูอาการว่าเขาจะรีบเร่งหลบหนีผม ต่างกับเมื่อก่อนที่เขาพบผม จะดีใจและมีรอยยิ้มให้ พร้อมทักทายคำว่า" สวัสดีครับอาจารย์"  

       “เอ ตั้งแต่ธนา ออกจากเรือนจำมานี่ ทำไม???เขาหลบตา และทำตนเสมือนคนไม่รู้จัก  ก็ไม่รู้ ปกติเขาไม่ใช่คนแบบนี้”ผมคิด

          ผมเข้าใจได้ในทันทีว่า ธนาคงรู้สึกผิดและอาย แต่ผมมิได้เป็นคนที่จะไปตำหนิหรือซ้ำเติมอะไรเขาเลย ทั้งยังมีความรัก ความเข้าใจในตัวเขามากขึ้นเสียอีก วันหนึ่งที่ผมเข้ามาในสวนของตนเอง  ได้เห็นธนากำลังก่ออิฐทำรั้วบ้านของลูกค้าคนหนึ่ง แต่เมื่อเขาพบผมเพียงแวบเดียว เขาก็ผลุนผลันวางมือไปหลบโดยทันที

      “เขาหลบเราเพราะอะไร..??ไม่เข้าใจ ” ผมคิด ในใจยังคิดว่า นี่คือโอกาสท่ี่ผมกับธนาจะได้มีความสัมพันธ์กันใหม่

       ผมยังคิดว่า หากธนาทำรั้วบ้านของลูกค้าเสร็จ ผมอยากจะติดต่อให้เขาไปทำบ่อเลี้ยงปลาดุกเพื่อเลี้ยงปลาไว้กินเอง  และนี่น่าจะเป็นโอกาส ที่ผมกับเขาจะได้คุยกันนานขึ้น  ช่วงเขาที่ทำงาน..เวลานี้ ผมมิอยากเข้าไปทำลายสมาธิการทำงานของเขาอีก แต่..ครั้นเมื่องานเสร็จ เขาก็ล่องหนเงียบหายไป

        “น้องๆ ธนา อยู่บ้านหรือเปล่า ”ผมถามน้องสาวคนเล็ก ของธนา

        “พี่ธนาตอนนี้ ทางโรงเรียนในเมือง จ้างให้ไปเป็นนักการภารโรงแล้ว  "

         "บอกเขาด้วยสิว่าอาจารย์ขลุ่ย อยากรบกวนหน่อย หากธนากลับมาบ้านขอให้มาพบหน่อย อยากให้มาสร้างบ่อเลี้ยงปลาที่สวน  ”ผมพูด

      “ได้ค่ะอาจารย์ ”

       จากวันนั้นมาจนวันนี้ …สามเดือน ไปแล้ว …ไม่มีทีท่าเลยว่าธนาจะมาพบผม ทั้งๆที่เขาก็กลับตัวกลับใจแล้ว ทั้งยังมีอาชีพที่มั่นคงกว่าแต่ก่อน

        “ไม่เป็นไรว่ะ.. ธนา  เราคิดว่านายคงอาย เรามากเลย จึงไม่กล้าสูหน้า อยากจะบอกให้นายรู้..นะว่า อาจารย์คนนี้ ไม่เคยทับถมลูกศิษย์เลยสักคนเดียว มีแต่จะช่วยและชี้ทางไปสู่ความสำเร็จเท่านั้น” ผมคิด 

             แม้วันนี้.นายอาจจะไม่กล้าสู้หน้าเรา แต่สักวัน…ทุกอย่างคงกลับมาเป็นปกติดังเดิม นะ

                 ผมรอได้…นะ ธนา  เวลาจะช่วยเยียวยา ทำให้นาย ลืมสิ่งต่างๆ ในอดีตได้  สู้ๆ โว้้ย เข้มแข็งเข้าไว้ 

                                                 ขลุ่ย  บ้านข่อย

                                                   (๑๔-๗-๖๗  )

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×