คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1: รอรัก
นักเปียโนกำลังบรรเลงเพลงคลาสสิกขับกล่อมผู้ที่นั่งรับประทานอาหารในห้องอาหารสุดหรูของโรงแรม นานๆครั้งจึงจะมีเสียงคุยกระซิบหรือกระทบกันของช้อนจานขัดจังหวะแห่งท่วงทำนอง คล้ายกับทุกคนในที่นั้นตั้งใจมาสดับฟังความไพเราะของดนตรี ท่ามกลางบรรยากาศอันงดงามของริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเต็มที่
มุกไหมมองผ่านคู่สนทนาออกไปนอกกระจกใหญ่ จิตใจของเธอดูจะเพลิดเพลินกับแสงระยิบระยับบนผิวน้ำสีน้ำตาลอ่อนเสียมากกว่าคำเจื้อยแจ้วของเขา อีกฝ่ายยังคงร่ายยาวถึงกิตติกรรมความสามารถของตนตั้งแต่ต้นตระกูลอย่างไม่รู้เบื่อ โดยหารู้ไม่ว่าหญิงสาวตรงหน้ามิได้สนใจใคร่รู้แม้สักนิด จนกระทั่งอาหารหมดจาน เขาจึงเอ่ยทักขึ้น
“ไม่เห็นคุณมุกทานอะไรเลย อาหารไม่อร่อยหรือครับ?” ชายหนุ่มถามขณะยกผ้ากันเปื้อนขึ้นซับปาก
ผู้ถูกเรียกสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงมองจานสลัดทูน่าที่พร่องไปเพียงเสี้ยวเดียว
“อร่อยดีค่ะ แต่มุกไม่ค่อยหิว” เธอพูดเนือยๆ ใจจริงอยากจะตอบไปตามตรงเลยว่า เป็นเพราะคุณนั่นล่ะ ฉันเลยทานไม่ลง
“คุณมุกน่าจะทานเยอะๆนะครับ เห็นคุณป้าบอกว่าคุณทำงานหนักมาก หรือว่ากำลังไดเอ็ทครับ” ประโยคสุดท้ายดูเหมือนตั้งใจแซวเล่นให้ขบขัน เพื่อสร้างบรรยากาศ แต่ขอโทษเถอะ มันยิ่งทำให้คนอย่างมุกไหมเซ็งหนักขึ้น
เธอได้แต่ยิ้มแหยๆ คร้านจะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ เพราะไม่ว่าจะตอบอย่างไร ก็ต้องหาเหตุผลมาพ่วงเพื่อขยายความทั้งนั้น วินาทีนี้เธอจบกิจกรรมการสนทนากับชายผู้นี้ให้เร็วที่สุด และวิ่งออกไปกรีดร้องเพื่อปล่อยอารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลที่มันอัดอั้นอยู่ข้างในออกมา แต่มันคงไม่ง่ายอย่างทุกครั้ง
“ห้ามทำอย่างคราวที่แล้วอีก...” นี่คือประกาศิตของคุณกมลาผู้เป็นมารดา ซึ่งทั้งผลักทั้งดัน และขู่แกมบังคับให้เธอต้องมานั่งอยู่ตรงนี้
“ทำอะไรคะแม่?” ลูกสาวย้อนถามหน้าซื่อตาใส พลางตวัดดินสอวาดเส้นลงบนกระดาษอย่างคล่องแคล่ว
“ก็ทำตัวแย่ๆ ให้ผู้ชายเขาเผ่นหนีน่ะซิ”
มุกไหมรามือ พลางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “นี่เขามาฟ้องแม่ด้วยหรือคะ?”
คุณกมลาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยากจะฟาดที่แขนลูกสาวสักเพียะ ดูเข้าเถอะ แม่หรือพยายามชักพาคนดีๆมาให้ กลับทำเขากลัวจนเข็ดขยาด
“แม่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน หลานสาวคนเดียวของตระกูลสิทธากุล...”
“โธ่ แม่ขา ไม่ต้องกลัวว่าหนูจะขายไม่ออกหรอกค่ะ รับรองได้ว่าอีกไม่นานหนูจะพาลูกเขยที่ทั้งหล่อ การศึกษาดี มีชาติตระกูล ครบอย่างที่คุณแม่และคุณยายต้องการมาให้รู้จักแน่ๆ” มุกไหมพูดพลางระบายดินสอสีลงบนแบบร่างที่อยู่ตรงหน้า อันที่จริงเธอไม่เคยมีความคิดเรื่องคู่ครองอยู่ในสมองเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เพื่อนฝูงหลายคนก็เริ่มทยอยหมั้นหมาย หรือแต่งการแต่งงานไปแล้ว บางคนรักอิสระ เปลี่ยนคู่ควงไปเรื่อยตามความพอใจ ใช้ชีวิตโสดแต่ไม่สดเยี่ยงคนสมัยใหม่นิยมทำกัน ในขณะที่เธอ...สตรีผู้ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติที่บุรุษแทบทุกคนใฝ่ฝันจะได้มาครอบครอง...กลับไม่เคยสัมผัสความรู้สึกที่เรียกว่ารักเลยสักครั้ง
ตั้งแต่เมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัย มีหนุ่มน้อยมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาลองเสี่ยงดวง ใช้สารพัดกลวิธีเพื่อทลายม่านน้ำแข็งที่ปกคลุมหัวใจของสาวน้อยแสนสวยผู้นี้ หากสิ่งที่ได้กลับไปมีเพียงรอยยิ้มที่จริงใจและไมตรีในฐานะเพื่อนเท่านั้น หลายคนถอดใจยอมแพ้ ในขณะที่บางคนพึงพอใจกับสถานภาพดังกล่าวและยังคงดำรงตนในสถานะนั้นจนถึงปัจจุบัน และนี่เองที่ทำให้หญิงสาวมีเพื่อนชายที่สนิทเป็นจำนวนมากกว่าเพื่อนหญิงเสียอีก แต่กระนั้น ทุกคนก็รู้ดีแก่ใจว่าจะไม่มีทางพัฒนาไปมากกว่านั้น
“ตอนนี้ลูกคบใครเป็นพิเศษอยู่หรือจ๊ะ หรือว่าตาพิชญ์” ผู้เป็นมารดาถาม เกือบจะเห็นประกายแห่งความปิติวาบขึ้นในดวงตา หากบุตรสาวไม่เอ่ยขึ้นก่อน
“มุกกับพิชญ์ก็คบกันเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้วนี่คะ นึกว่าคุณแม่รู้แล้วเสียอีก”
คุณกมลาถอนใจกับคำตอบ เธอมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของบุตรสาว ใบหน้าที่งดงามราวรูปสลักหินอ่อนชั้นดี ขนตางอนงามหนาเป็นแพประดับบนดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนที่ฉายแววสดใสอยู่เป็นนิจ จมูกโด่งเป็นสันลาดรับกับปลายคางกลมมน และเรือนผมยาวหยักศกสีน้ำตาลแกมทอง ความงามที่ทำให้ทุกสายตาต้องชะงักราวต้องมนต์สะกด ความงามที่ถ่ายทอดจากเชื้อสายของผู้เป็นบิดามาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
บางครั้งคุณกมลาก็อดคิดไม่ได้ มุกไหมดูจะเป็น ‘ลูกพ่อ’ เสียมากกว่า ‘ลูกแม่’
“พูดถึงตาพิชญ์ หมู่นี้ไม่เห็นหน้าค่าตาเลยนะลูก” เธอเอ่ยถาม ครั้งหนึ่ง หนุ่มน้อยหลานชายแม่ทัพภาคผู้นี้ก็เคยอยู่ในข่ายที่มาเป็นทองแผ่นเดียวกันกับตระกูลเธอ แต่เมื่อทั้งคู่ต่างแสดงจุดยืนเดียวกันว่า ‘ไม่มีทางเป็นไปได้’ ความสัมพันธ์จึงกลายมาเป็นเพียงเพื่อน ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะอย่างน้อยก็ยังพอจะ ‘ดอง’ กันได้ในระดับหนึ่ง
“ไปอิตาลีน่ะค่ะ เห็นว่าไปดูงาน มุกยังฝากให้เขาไปสวัสดีพ่อด้วยเลย”
คุณกมลาเงียบไป เมื่อบุตรสาวเอ่ยถึงบิดา แม้เธอกับสามีจะหย่าขาดจากกันหลายปีแล้ว แต่ในใจลึกๆก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอยังระลึกถึงเขาอยู่เสมอ
“แม่คิดถึงพ่อไหมคะ?” มุกไหมถามค่อยๆ ผู้เป็นมารดาเบือนสายตาออกไปที่พุ่มไม้ดัดในสวนหย่อมด้านนอก คล้ายจะหวนคิดถึงสถานที่แรกที่เธอและเขา...สถาปนิกหนุ่มชาวอิตาเลียนผู้นั้นพบกันเป็นครั้งแรก
“พ่อของลูกเป็นคนดี” เธอตอบเสียงเบา
“แม่ตอบไม่ตรงคำถามอีกแล้ว” บุตรสาวงึมงำตอบ
คุณกมลาถอนใจยาวอีกครั้ง อันที่จริงเธอก็ไม่อยากจะเข้าไปวุ่นวายกะเกณฑ์ชีวิตลูกสาว แต่เธอก็ไม่เคยกล้าขัดความประสงค์ของคุณเกยูรผู้เป็นมารดาแม้สักครั้ง คุณกมลานิ่งคิด...หรือเพราะเหตุนี้ เธอจึงสูญเสียเขาไป
“ตกลงว่าวันเสาร์นี้ สิบโมงที่ร้านอาหารโรงแรมกรีน ริเวอร์นะลูก” เธอเปลี่ยนเรื่องในที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้มุกไหมอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาดังๆอย่างเสียอารมณ์
“ยังไงก็เลี่ยงไม่ได้ใช่ไหมคะ?”
“ไปสักหน่อยเถอะลูก คนนี้น่ะ....”
“คุณยายท่านการันตีว่าดีเลิศประเสริฐศรี....” บุตรสาวเลียนเสียง เอ่ยประโยคเดิมๆที่เธอจะๆได้ยินทุกครั้งที่มีการนัดดูตัว “...คราวนี้ ลูกใครหลานใครล่ะคะ?”
คุณกมลาเอ่ยชื่อนักการเมืองชื่อดังคนหนึ่งของเมืองไทย ผู้ซึ่งกำลังเตรียมตัวลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยหน้า พรรคการเมืองที่เขาสังกัดดูจะกุมฐานเสียงในส่วนภูมิภาคไว้ไม่น้อย เก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญจึงไม่น่าจะหลุดลอยไป
มุกไหมเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง ทายาทคนดังระดับนั้นก็ไม่น่าเก็บตัวเงียบ เธอทบทวนความจำว่าเคยได้ยินข่าวลบข่าวบวกอะไรเกี่ยวกับนายคนนี้บ้างหรือไม่
“ผมทราบมาว่าคุณมุกเรียนจบโทด้านอินทีเรียดีไซน์มาจากยุโรป ประเทศไหนครับ ฝรั่งเศสหรืออิตาลี?”
“หลักๆก็เรียนที่อิตาลีค่ะ แต่มีบ้างเหมือนกันที่ข้ามไปฝึกงานที่ฝรั่งเศส”
“ผมเรียนที่อังกฤษครับ เคยลงมาเที่ยวที่ฝรั่งเศสบ้างเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยไปอิตาลีเลย แต่ได้ข่าวว่าเมืองเขาสวยมีอะไรให้ดูเยอะ อย่างพวกอาร์ท มอนูเมนท์ หรือพาเลซ ถ้ามีโอกาสคงได้รบกวนให้คุณมุกเป็นไกด์ให้ผมบ้างนะครับ”
ปรึกษาบริษัททัวร์ดีกว่ามั้งคะ หญิงสาวคิดในใจขณะที่ยิ้มเฝื่อนๆให้เขา
เสียงเพลงไทยเดิมแว่วที่ปลายหู มุกไหมชะงัก หันขวับไปมองที่หน้าเวที นักเปียโนคนเดิมยังคงบรรเลงเพลงด้วยท่าทางคล่องแคล่ว...เพลงสากลชื่อดัง
“มีอะไรหรือครับคุณมุก?” ชายหนุ่มถามขึ้นเมื่อสีหน้าว้าวุ่นใจของเธอ
มุกไหมได้สติ รีบหันหน้ากลับมา เธอคงหูแว่วไปเอง....เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
“คุณกรณ์ได้ยินเสียงดนตรีไหมคะ คล้ายๆเพลงไทยเดิม”
เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงแปลกใจ ก่อนจะมองไปรอบๆห้องอาหาร
“ไม่ได้ยินนี่ครับ คุณมุกคงจะหูฝาด ที่ไฮโซแบบนี้เขาไม่เปิดเพลงไทยหรอกครับ เขาเล่นแต่เพลงคลาสสิกอย่างของโมสาร์ท บีโธเฟ่น หรือบาค” เขาลอยหน้าลอยตาสาธยายราวกับตัวเองไม่ใช่คนไทยและไม่ได้กำลังเหยียบอยู่บนแผ่นดินไทย
หญิงสาวผ่อนลมหายใจอย่างเบื่อหน่าย นี่นะหรือคนที่คุณยายเลือก แต่ไหนแต่ไรคนถือยศถืออย่างเช่นคุณยายแทบจะเมินใส่พวก ‘ไม่มีเชื้อ’ ทุกคน ด้วยความเป็น ‘ผู้ดีเก่า’ สืบเชื้อสายมาจากเทือกเถาเจ้าพระยา พวก ‘เศรษฐีใหม่’ น่ะหรือจะบังอาจมาเทียบชั้น ยิ่งพวก ‘ฝาหรั่งต่างชาติ’ ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูด
พ่อของเธอก็อยู่ในข่ายนี้ จึงไม่อาจอยู่ร่วมกันกับแม่ได้ แต่เธอเคยสงสัยว่านั่นเป็นเหตุผลเพียงอย่างเดียวหรือไม่ที่ทำให้พ่อและแม่ตัดสินใจแยกทางกัน หากท่านทั้งสองยืนหยัดต่อสู้เพื่อความรัก อุปสรรคเรื่องเชื้อชาติจะพังทลายลงไม่ได้เชียวหรือ
คุณยายรังเกียจพ่อของเธอนัก ด้วยความเป็นต่างชาติของเขา แต่บัดนี้ ท่านกลับเลือกผู้ชายไทยแท้แต่ ‘กระแดะ’ ทำตัวเป็นฝรั่ง...อย่างที่พิชญ์เคยค่อนแคะเพื่อนสมัยเรียนหลายคน...มาให้เป็นว่าที่หลานเขย
“มุกขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะคะ” เธอหาข้ออ้างเลี่ยงไปจากเขา และเพื่อหาทางออกจากสถานการณ์อันน่ารำคาญใจนี้
“จะให้ผมสั่งของหวานรอไหมครับ?”
“แล้วแต่คุณค่ะ”
มุกไหมคว้ากระเป๋าถือลุกมาจากโต๊ะ เสียงกรณ์เรียกพนักงานเสิร์ฟยังดังไล่หลังมา นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณแม่สั่งห้ามอย่างเด็ดขาด เธอคงทำอะไรสักอย่างให้นายคนนี้พ้นหูพ้นตาไปนานแล้ว
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผู้ชายพวกนี้ถึงได้ยินยอมมาดูตัวตามคำสั่งผู้ใหญ่ เพราะถ้าเธอเป็นฝ่ายชาย เธอคงดูถูกผู้หญิงที่ยอมมานั่งให้ตัวเองประเมินข้อด้อยข้อเด่น เพียงเพื่อให้ให้เขารู้ว่าเธอเหมาะสมหรือไม่ที่จะ ‘ตบแต่ง’ เป็นภรรยาออกหน้าออกตา ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเดินเลือกเสื้อผ้าที่ดูดีที่สุดเพื่อใส่ออกงานสังคม มุกไหมแน่ใจว่าเธอไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นเพียงเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับของสามี
ไม่แน่เหมือนกัน เธออาจกำลังถูกผู้ชายเหล่านี้ดูแคลนอยู่ในใจ ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงต้องปกป้องศักดิ์ศรีตัวเองโดยการทำให้เขาเหล่านั้น ‘เผ่นกระเจิง’ ไปเสียให้เร็วที่สุด
มุกไหมควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า ป่านนี้พิชญ์ยังไม่มาตามที่นัดไว้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรผิดพลาดหรือเปล่า ขณะที่กำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่กับการรื้อค้นทรัพย์สินของตัวเอง เธอรู้สึกว่าไหล่ข้างซ้ายถูกกระแทกจนเซไปเล็กน้อย ตามด้วยเสียงขอโทษเพียงเบาๆที่ปลายหู มุกไหมไม่ได้หันไปมอง จริงๆเธอไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำ เพราะสนใจแต่จะโทรศัพท์หา ‘ตัวช่วย’ ชั้นดีที่ชื่อพิชญ์
“ไง พ่อคุณ ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มา รู้ไหมว่าฉันกำลังจะกระอักเลือดตายอยู่แล้ว” หญิงสาวกรอกใส่โทรศัพท์เป็นชุด ทันทีที่ฝ่ายตรงข้ามกดรับ
“ใจเย็นๆซิครับคุณนาย ของดีต้องรอหน่อย” ปลายสายตอบยียวน ยิ่งทำให้มุกไหมเข่นเขี้ยวแทบจะงับโทรศัพท์ที่ถือไว้ในมือ
“ตกลงหาเจอใช่ไหม?”
พิชญ์กระแอมนิดๆ พลางหรี่เสียงลงให้เหมือนกำลังกระซิบ “เจอ เหมาะเหม็งเลยด้วย”
รอยยิ้มจางๆระบายบนริมฝีปากหนาได้รูป เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากเพื่อนสนิท
คุณแม่คะ คุณยายคะ คราวนี้มุกไม่ได้ผิดสัญญานะคะ มุกไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เขาทำตัวเอง
มุกไหมกลับมานั่งที่โต๊ะอาหารด้วยสีหน้าแช่มชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บรรจงตักของหวานที่กรณ์สั่งไว้รอเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย แถมยังชวนเขาคุยอย่างสนิทสนมผิดกับตอนแรกโดยสิ้นเชิง
“คุณกรณ์ไปเรียนอะไรที่อังกฤษหรือคะ?”
“ผมไปเรียนบริหารธุรกิจครับ คุณพ่อท่านวางแผนไว้ว่าจะให้ผมรับช่วงกิจการต่อจากท่าน เพื่อท่านจะได้วางมือจากธุรกิจแล้วลงเล่นการเมืองอย่างเต็มตัวเสียทีเสียที ก็อย่างนี้ล่ะครับ คุณปู่ของผมท่านทำงานหนักมาทั้งชีวิตกว่าบริษัทเราจะเป็นรูปเป็นร่าง มาถึงรุ่นคุณพ่อท่านก็ขยายกิจการจนก้าวหน้าขนาดนี้ ผมเองก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษามันไว้ และต้องพัฒนาให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วย ให้สมกับที่ท่านไว้วางใจ”
มุกไหมยิ้มรับ อืม...ไม่น่าจุดประกายเลย ดูซิ ถามสั้นนิดเดียว โม้เสียยาวเหยียด ผู้ชายขี้โอ่นี่น่ารำคาญชะมัด ดีนะที่นายพิชญ์ไม่เป็นอย่างนี้ เลยคบกันได้นาน
พูดถึงเจ้าเพื่อนตัวดี ทำไมยังไม่โผล่มาอีกนะนี่
มุกไหมชะเง้อมองไปที่ประตูด้านหน้า ผู้หญิงสาวหน้าตาท่าทางปราดเปรียวมั่นใจเดินผ่านเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าพนักงานต้อนรับ เธอพูดคุยกับเขาสองสามประโยค ก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วร้าน หญิงสาวหยุดมองที่มุกไหม ประสานสายตากันอยู่ครู่หนึ่ง เธอจึงเดินตรงเข้ามา มุกไหมไม่ได้หลบตาหรือแสร้งทำเป็นไม่เห็น เธอรู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร
“คุณกรณ์คะ” เธอเรียกชายหนุ่มคู่นัดของมุกไหม เมื่อมาหยุดอยู่ด้านข้างของเขา น้ำเสียงของเธอไม่ได้เกรี้ยวกราด โมโห หรือแม้แต่สั่นเครือ มันกลับฟังดูราบเรียบแต่เน้นหนักที่ปลายเสียง
ผู้ถูกเรียกหันขวับไป วินาทีแรกเขามีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่สามารถควบคุมอาการได้อย่างรวดเร็ว เขายิ้มให้เธอนิดหนึ่ง ดูเหมือนจะเจือความเย็นชาไว้ด้วยในน้ำเสียง
“คุณรสิกานั่นเอง มารับประทานอาหารที่นี่เหมือนกันหรือครับ?”
เธอไม่ได้ตอบอะไรในทันที ซึ่งนับว่าแปลกมากสำหรับการสนทนาแบบทักทายตามประสาคนรู้จัก เธอเบนสายตามามองสตรีผู้มีใบหน้างดงามราวรูปสลัก ดวงตาคมที่ส่องประกายแรงกล้าที่ขณะนี้ก็กำลังจ้องมองเธออยู่เช่นกัน
“โรสตั้งใจมาหาคุณค่ะ เรามีเรื่องต้องคุยกัน” คราวนี้เสียงเธอออกจะกระด้าง หากยังไม่ถึงขั้นเดือดดาล มุกไหมลุ้นอยู่ในใจ....ระเบิดออกมาเลยซิ จะได้จบๆเสียที
“มีอะไรไว้คุยกันที่บริษัทก็ได้นี่ครับ นี่มันนอกเวลางานนะ” กรณ์ยังคงรักษาท่าทีไว้ได้อย่างน่าชื่นชม
ตีบทแตกกระจุยเลยนะพ่อคุณ
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นมุกขอตัวกลับก่อนดีกว่านะคะ” มุกไหมเตรียมเลี่ยง แม้สถานการณ์จะไม่ได้หวือหวาอย่างที่คาดไว้ แต่ก็พอมาช่วยขัดตาทัพได้ล่ะนะ
กรณ์ถือวิสาสะคว้าข้อมือเธอไว้ จนกระทั่งมุกไหมหันมามองด้วยสายตาตำหนิ เขาจึงยอมปล่อยมือออก
“เดี๋ยวซิครับคุณมุก ไม่มีอะไรหรอกครับ นี่คุณรสิกา เลขาฯผมเอง เธอคงบังเอิญผ่านมา เลยเข้ามาทักทาย ใช่ไหมครับ?” ประโยคท้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันสายตาไปทางหญิงสาวที่ยังคงยืนตัวตรง มือประสานไว้ด้านหน้า ริมฝีปากแต้มสีชมพูเข้มเม้มแน่น
“โรสมีเรื่องจะบอกคุณค่ะ ถ้า....” เธอเหลือบมองมุกไหมที่ยืนอยู่ในท่าเตรียมจากไปได้ทุกเมื่อ “...คุณผู้หญิงคนนี้จะอยู่ฟังด้วยก็ได้ ดีเหมือนกัน คุณจะได้เป็นพยานในเหตุการณ์สำคัญนี่ด้วย”
ชักน่าสนใจแล้วซิ อยู่ต่อสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร ดูละครน้ำเน่าสักฉากก่อนไปก็น่าสนุกดี
หากคนที่พยายามจะรั้งเธอไว้กลับเป็นฝ่ายขัดขึ้นเสียนี่
“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องขอตัวก่อนแล้วกันนะครับคุณมุก ท่าทางคุณรสิกาเธอจะมีงานด่วนจริงๆปรึกษาผม....” เขายิ้มแย้มให้เธออย่างสนิทสนม ก่อนจะหันไปคว้าแขนเลขาฯสาวอย่างแทบจะกระชากให้หลุดคามือ “...หวังว่าเรื่องของคุณจะสำคัญจริงๆนะครับ คุณโรส ไม่อย่างนั้น ผมจะไม่ให้อภัยคุณที่ทำให้ผมต้องเลิกนัดกับคนสำคัญของผม”
ว่าแล้วเขาก็ขอโทษขอโพยคู่นัดอีกหลายยก ก่อนจะ ‘ลาก’ คนนำข่าวสำคัญปลิวติดมือไป มุกไหมถอนหายใจโล่งอก ใจหนึ่งก็ยินดีที่เธอรอดพ้นนายจิ้งจอกนี่มาได้ แต่อีกใจก็นึกเป็นห่วงสาวน้อยชื่อหวานปานกุหลาบคนนั้นว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ดูจากท่าทางแล้วเจ้าหล่อนคงไม่ยอมเป็นดอกไม้ริมทางที่พอเด็ดดมแล้วจะโยนทิ้งกันง่าย ถึงเป็นกุหลาบก็น่าจะเป็นกุหลาบที่หนามคมพอดู หรือไม่...หล่อนอยากจะอาบยาพิษไว้ทั้งตัว นายเสือร้ายนั่นรู้จักผู้หญิงน้อยไปเสียแล้ว
อย่างที่พระท่านว่าไว้ คนเรามีทางกรรมเป็นของคนเอง ทำสิ่งใดไว้ย่อมได้รับสิ่งนั้นกลับคืน เมื่อกระทำไปแล้วก็ต้องทำใจที่จะรับผลของมันที่ตามมา
มุกไหมหยิบกระเป๋าเตรียมออกจากร้าน นึกถึงเจ้าเพื่อนตัวดีที่อุตส่าห์ไปซอกซอนหา ‘หมัดเด็ด’ มาน็อกคู่นัดจำเป็นของเธอเสียหงายหลังตึง แต่ก็อีก ของฟรีไม่มีในโลก อย่างน้อยก็ของฟรีจากนายพิชญ์ เธอต้องไปช่วยงานเขาเป็นการตอบแทน
หากพอจะผละออกไป เธอก็นึกขึ้นได้ว่าอาหารชั้นเลิศที่วางประดับอยู่เต็มโต๊ะยังไม่ได้คิดเงินเลยสักจาน โอ๊ย..ตาบ้า ทิ้งภาระไว้ให้ฉันอีกแล้ว นี่อาจเป็นกรรมประการหนึ่งของเธอ เมื่อทำบาปกับคู่นัด ก็เลยต้องชดใช้ด้วยการเป็นคนจ่ายค่าอาหารทั้งหมดเอง....กี่พันล่ะนี่
“ชำระเงินเรียบร้อยแล้วครับ” พนักงานร้านบอก เมื่อเธอตัดใจเรียกเขามาให้เก็บเงิน
“ใครจ่ายคะ หรือคุณผู้ชายที่นั่งอยู่กับฉันเมื่อครู่?” พูดจบก็แย้งกับตัวเองในใจ คนอย่างนายกรณ์นี่นะ จะมีแก่ใจกลับมาจ่ายค่าอาหารให้เธอด้วย ดูจากท่าทางของเขาแล้ว น่าจะรีบไปชำระบัญชีกับแม่เลขาฯสาวนั่นเสียมากกว่าที่จะทันคิดเรื่องอื่น
“ไม่ใช่ครับ เป็นอีกท่านหนึ่ง เห็นแจ้งไว้ว่ารู้จักกับคุณผู้หญิง” เขาบอกเรียบๆ ก่อนจะโค้งคำนับและเดินผละไป
คงเป็นพิชญ์ล่ะมั้ง อะไรกัน จะมาใจดีออกค่าอาหารให้ฉันนี่นะ ปกติไม่เห็นเคยเลี้ยง ต้องแชร์กันออกตลอด หญิงสาวคิดพลางส่ายหน้าและหัวเราะนิดๆ...ก็เพราะอย่างนี้ ใครจะเป็นแฟนด้วยได้... แต่ถ้านายพิชญ์ออกให้จริง ต้องหาเรื่องใช้งานฉันคืนทีหลังแน่ๆ
มุกไหมเดินออกจากร้าน ตรงไปที่ลานจอดรถด้านหลัง ก่อนจะพ้นประตู เธอหันกลับไปมองข้างหลังอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความรู้สึกเหมือนมีใครเฝ้ามองเธออยู่ หากไม่มีสิ่งใดหรือใครผิดปกติ เธอจึงสลัดความคิดนั้นและเดินจากไป
ร่างสูงในชุดลำลองสีขาว ก้าวออกมาจากฉากกั้นลายฉลุที่ข้างเคาน์เตอร์เครื่องดื่มของร้าน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มภายใต้เปลือกตาลึกหนาพับสองชั้นยังคงมองตามร่างเพรียวบางของหญิงสาวที่เดินลับหายไป รอยยิ้มพึงใจปรากฏขึ้นที่มุมปาก
...เวลาแห่งการรอคอยใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว...
“วันนี้ท่านจะเล่นเปียโนไหมครับ?” เสียงทุ้มๆของชายวัยกลางคนเอ่ยถามที่ข้างหู ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินขึ้นไปประจำที่ว่างบนเวที ลูกค้าในร้านที่มีอยู่เพียงไม่กี่โต๊ะต่างหันไปยังทิศทางเดียวกันเมื่อได้ยินเสียงเปียโนที่เริ่มดังขึ้น ปลายนิ้วเรียวยาวบรรจงไล่คีย์เพลงอย่างชำนาญ ใครจะคิดว่าเครื่องดนตรีสากลจะสามารถถ่ายทอดเพลงไทยเดิมที่หวานซึ้ง และฉ่ำเย็นราวสายน้ำที่ไหลริน
...หนึ่งทิวาราตรีที่ไร้เจ้า
พี่พึงเฝ้าหวนละห้อยคอยค้นหา
ราวหนึ่งกัลป์พันภพชาติที่คลาดคลา
แก้วกานดาอย่าห่างหายให้พี่ตรม
แม้นเจ้าเอื้อนเอ่ยวาจาว่ารักพี่
ใยเคลื่อนคลายหน่ายหนีมิสุขสม
ฤารักเจ้าเบาบางอย่างสายลม
มิอาจข่มใจภักดิ์รักได้นาน...
ความคิดเห็น