คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : FB ~ 01
Fan Boy ~ 01
ลมเย็นพัดเอื่อยต้องผิวกายรู้สึกเย็นสบาย ในฤดูที่ร้อนอบอ้าวจนแทบไม่อยากจะลุกไปไหน เมื่อได้ที่เหมาะแก่การงีบขนาดนี้
อา~ ถ้าหลับสักงีบจะเป็นไรมั้ยนะ คงไม่มีเรื่องบ้าๆอะไรมารบกวนการนอนของกูอีกหรอกนะ แมร่ง!!
ผมสบถในใจอย่างหัวเสีย เมื่อนึงถึงปัญหามากมายที่เพิ่งได้พบเจอมา ทันทีที่ย่างเท้าเหยียบแผ่นดินเกิด ปัญหาปัญญาอ่อนก็วิ่งเข้าปะทะทันที
.
.
.
.
.
.
ลีมูซีนคันหรูจากสนามบินขับพาร่างที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยตรงไปที่โบสถ์ แทนที่จะแวะเข้าบ้านหรือโรงแรมที่พัก แต่ผมก็ไม่ติดใจสงสัยหรือเอ่ยปากถามอะไร เพียงเพราะเห็นว่าเป็นวันที่จะต้องเข้าโบสถ์ของสัปดาห์อยู่แล้ว
แต่เอะ..นี่มันมืดแล้วนะ แล้วจะมาสารภาพบาปอะไรกันดึกๆดื่นๆ
ทันทีที่ย่างเท้าเหยียบแผ่นดิน ทุกสายตาหันมาจับจ้องอยู่ที่ผม ให้ตายสิ ผมเกลียดการเป็นจุดเด่นที่สุด เพราะงั้นมือของผมจึงทำงานโดยอัตโนมัติ ผมกระชัดเสื้อตัวเองให้มั่นแล้วดึงฮู้ดขึ้นมาปิดผมสีทองเอาไว้
แม้รอบๆจะมีเสียงเซ็งแซ่ที่ดังกระหึ่มทั่วทั้งโบสถ์ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนยืนอยู่เพียงรำพังท่ามกลางคนหมู่มาก และทุกสายตาก็จ้องตรงมาที่ผมและไม่ปิดปังความอยากรู้อยากเห็นแม้สักนิด
ผมถูกดันหลังให้เดินตรงไปภายในโบสถ์ แต่บรรยากาศภายในดูแปลกๆ ไม่เหมือนการมาสวดมนต์หรือลักษณะของพิธี....เอาเสียเลย ทั้งหมดนั่นเหมือนพิธีสาบานตนตอนแต่งงานเสียมากกว่า
และดูเหมือนผมจะเจอปัญหาใหญ่ คือผมถูกดันหลังให้เดินตรงไปที่ปะรำพิธี มีเด็กหญิงตัวเล็กโปรยดอกไม้นำหน้าผมไป คุณพ่อของผมเดินเข้ามายื่นแขนให้ ผมค่อนข้างงง แต่ก็ต้องการคนเดินเข้าไปในโบสถ์เป็นเพื่อน ผมจึงเกี่ยวแขนของพ่อเอาไว้ เดินไปด้วยกัน ซึ่งตรงนั้นมีบาทหลวงกับผู้ชายหน้าตาดีคนนึงยืนอยู่ หมอนั่นน่าจะรุ่นเดียวกับผม
ให้ตายสิ หมอนั่นหล่อชะมัด ผมว่าผมหล่อแล้วนะ ไอ้บ้านั่นหล่อกว่าผมอีก แต่ว่า...สายตาที่หมอนั่นมองมามันทำให้ผมไม่กล้าสู้หน้าเอาเสียเลย ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ
มองอย่างกับกูไปขโมยผ้าถุงป้ามึงมาอย่างนั้นแหละ
ผมเดินมาจนถึงหน้าปะรำพิธี แล้วก็ได้เจอกับคนรู้จักสักที คุณแม่ของผม ท่านนั่งฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้ ผมกำลังจะเดินเข้าไปหาท่าน แต่กลับถูกดึงเอาไว้ แล้วดันหลังให้เดินไปที่ปะรำพิธีที่มีบาทหลวงกับไอ้หล่อนั่นยืนรออยู่ก่อนแล้ว ท้องสองมองมาที่ผมเป็นตาเดียว ผมจึงยกเลิกการที่จะเดินไปหาแม่...
อะไรของพวกมึงเนี่ย คุมกูอย่างกับนักโทษ กูแค่จะไปกอดแม่ให้หายคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันมาสามปีก็เท่านั้น
และเมื่อต้องมายืนอยู่ตรงหน้าบาทหลวง ข้างๆไอ้หล่อนั่น มันก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก นี่ผมมาสารภาพบาป หรือมาแต่งงานว่ะ ทำไมบรรยากาศรอบงานมันใช่เลยล่ะ ดูสิ ในโบสถ์นี้มีทั้งซุ้มดอกไม้ มีบาทหลวงยิ้มแฉ่ง แล้วยังมีพยาน มีพ่อเจ้าบ่าวเจ้าสาว แม่เจ้าบ่าวเจ้าสาว อ่า~ ต้องมีแหวนด้วยสิ จะได้ครบ
ผมมองหาแหวนตรงข้างๆปะรำพิธีอย่างนึกสนุกในความคิดของตัวเอง แล้วก็....
เห้ย!! มีจริงด้วยอ่ะ !!~
ผมอุทานอย่างตกใจเมื่อมองไปเห็นผู้รักษาแหวนตัวเล็กน่ารัก ที่ยิ้มสดใสส่งมาให้
งานแต่งใครว่ะ ไอ้หล่อเนี่ยหรอ แล้วมันเป็นใคร ให้ผมมาทำไม หรือว่าจะให้มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ไม่ใช่ม้างงงง ก็ผมไม่รู้จักมัน จะมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวได้ไง
ผมหันไปหาแม่ที่นั่งอยู่ข้างหลัง ท่านก็เอาแต่นั่งยิ้มไม่พูดอะไร แล้วตกลงจะให้ผมทำอะไร...เป็น เพื่อนเจ้าบ่าวหรอ? เคเค เป็นให้ก็ได้ ถึงผมจะไม่รู้จักมันก็เถอะ แต่ไหนล่ะเจ้าสาว เมื่อไหร่จะมาสักที อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าสาวของหมอนี่จะสวยแค่ไหน
“เอาล่ะ เจ้าบ่าว เจ้าสาวมากันพร้อมแล้วนะ”
บาทหลวงในพิธีกล่าวขึ้น ผมรีบหันกลับไปมอง และยืนนิ่งรอให้เจ้าสาวเดินเข้ามาในพิธี บาทหลวงเริ่มอ่านข้อพระคัมภีร์ในการใช้ชีวิตคู่ แต่ผมก็ยังไม่เห็นว่าเจ้าสาวเข้ามาในงานเลย..
บาทหลวงรีบหรอครับ..เจ้าสาวยังไม่มาเลยนะครับ
ผมยืนหันซ้ายหันขวาฟังบาทหลวงอ่านไปเรื่อยๆ แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับร่างเล็กบางของใครบางคนที่ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา พอกวาดตาดูอีกทีก็พบเข้ากับอีกคน ผมยิ้มให้ทั้งคู่อย่างยินดีที่ได้เจอ สามปีแล้วสินะ
อ่า~ แทมิน กับอนยู พวกนายสูงแล้วก็ดูโตขึ้นตั้งเยอะแนะ
“ต่อไปจะเป็นการกล่าวคำมั่นสัญญาระหว่างเจ้าบ่าวกับเจ้าสาว”
เสียงอันดังของบาทหลวงเรียกให้ผมหันกลับมาสนใจในพิธีการ แล้วก็ยืนนิ่งฟังอีกครั้ง ...แต่......ไหนล่ะเจ้าสาว
“ข้าขอสัญญากับพระองค์ว่า.....”
เสียงของไอ้หล่อที่ยืนข้างๆดังขึ้น ผมหันไปมองอย่างตั้งใจ หมอนี่เป็นเจ้าบ่าวจริงๆด้วย
“จะขอรับ คิมคิบอมเป็นภรรยา...”
อ่อ..เจ้าสาวชื่อ คิมคิบอม ...ชื่อเหมือนกูเลยวุ้ย
“ของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน สุขหรือทุกข์ เจ็บป่วยหรือสุขสบาย จะขอสัตย์ซื่อต่อเค้าผู้เป็นภรรยา ตลอดไป จนกว่าความตายจะมาแยกเราจากกัน”
หมอนั่นกล่าวจนจบ แล้วทุกคนก็หันมาที่ผม...หันมาทำไมกันครับ!!! กูไม่ใช่เจ้าสาว!!!!
“เจ้าสาวกล่าวคำสัญญาได้แล้ว”
บาทหลวงบอกเจ้าสาว แต่กลับมองมาที่ผม งงสิครับ .. แล้วยัยเจ้าสาวไปไหนเนี่ย ไม่กล่าวสักที แขกจะได้รีบกลับสักที
“คีย์ คีย์” เสียงแม่ของผมกัดฟันเรียกเบาๆ ผมเอี้ยวตัวไปมองท่าน “กล่าวสิลูก กล่าวคำสัญญา”
หา?...ผมยกนิ้วจิ้มที่หน้าอกตัวเอง จะบ้าหรอ...ผมไม่ใช่เจ้าสาวนะ
“เร็วสิคีย์ เดี๋ยวพิธีจะไม่ได้ผลนะลูก” เธอเร่ง
“แต่แม่ครับผมไม่....”
“นี่นาย จะทำอะไรก็รีบทำได้มั้ย” เสียงเข้มดุจากไอ้หล่อข้างๆดังขึ้น ผมได้แต่หันไปมอง
“ทำอะไร” ผมถาม
“ก็กล่าวคำสัญญาไง..อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องได้มั้ย”
“รู้เรื่องอะไรของนาย..ไม่กล่าวหรอก”
“นี่คิมคิบอม..ที่ฉันยอมมาร่วมพิธีบ้าๆของนายนี่ก็สุดจะทนแล้วนะ” หมอนั่นกัดฟันพูด “รีบๆกล่าวให้เสร็จๆไปซะ”
“อะไร จะให้เรากล่าอะไร ก็เราไม่ได้มาเป็นเจ้าสาวสักหน่อย”
“ตลกหรอ?..กล่าวให้จบๆ เดี๋ยวนี้” หมอนั่นออกคำสั่ง
“คีย์ พูดสิลูก” แม่ช่วยเร่งอีกคน เสียงเซ็งแซ่ภายในงานเริ่มดังเพราะยังไม่ได้ยินเสียงเจ้าสาวกล่าวคำสัญญาสักที
อะไรกันนักหนาน่ะ เล่นตลกอะไรกัน จู่ๆจะมาให้กล่าวคำสัญญางานแต่งงาน ก็กูไม่ใช่เจ้าสาว!! ไม่ใช่ ...เข้าใจกันบ้างมั้ยเนี่ย
“กล่าวเดี๋ยวนี้ คิมคิบอม” หมอนั่นเอียงตัวมากัดฟันบองเสียงเย็น น่ากลัวชะมัด
ก็ได้ กล่าวก็ได้
“ข้าขอสัญญากับพระองค์ว่า จะขอรับ...”
ผมหันไปมองหน้าหมอนั่น แล้วตกลงจะให้กูรับใคร ..หมอนั่นจิ๊ปาก แล้วกระซิบชื่อตัวเองเบาๆให้เราได้ยินกันแค่สองคน
“จะขอรับ ชเวมินโฮ เป็นภรร...อ๊ะ”
ผมถูกกระทุ้งที่สีข้าง แล้วก็ตามมาด้วยสายตาขวางๆ....ว่ากูรับเมิงเป็นภรรยาไปแล้ว..เชี่ย
“เป็นสะ...สา...มี..ของ ข้าพเจ้า ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน จะสุขหรือทุกข์ เจ็บป่วยหรือสุขสบาย จะขอสัตย์ซื่อต่อเค้าผู้เป็นสะ...สา...มี ตลอดไป จนกว่าความตายจะมาแยกเราจากกัน”
กว่าจะทนกล่าวจบได้ รู้สึกเหมือนคำสัญญาเหล่านั้นช่างพูดได้ยากเย็น ห่า...สัญญาไปแล้วว่าจะเป็นภรรยา ..จะบ้าเรอะกูเป็นผู้ชาย!!!!!
หลังจากนั้นก็เป็นพิธีแลกแหวน เอ่อ...แล้วยังไง ผมต้องสวมแหวนนั่นแทนเจ้าสาวตัวจริงด้วยมั้ย
หมอนั่นหยิบแหวนมา แล้วดึงมือข้างซ้ายของผมไป สวมแหวนให้ซึ่งมันพอดีเปะ ผมยกมือตัวเองขึ้นมาดูแหวนบนนิ้วนางข้างซ้าย...ก็สวยดีเนอะ
“เจ้าสาว สวมแหวนให้เจ้าบ่าวได้แล้ว”
บาทหลวงเร่งอีกครั้ง ผมจำต้องหยิบแหวนอีกวงขึ้นมา แล้วเอื้อมไปจับมือข้างซ้ายของหมอนั่น บรรจงใส่แหวนให้อย่างเก้ๆกังๆ
รู้สึกแปลกๆแฮะ
“เจ้าบ่าวเจ้าสาวจูบกันได้” เสียงบาทหลวประกาศก้อง
และผมเองยังไม่ทันได้ตั้งตัว จู่ๆริมฝีปากของหมอนั่นก็ทับลงมายังริมฝีปากของผมอย่างจาบจ้วงโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัว ผมเม้มริมฝีปากแน่น ปิดหน้าหนีจากริมฝีปากร้อน แต่กลับถูกจับคางเอาไว้ คางผมถูกบีบอย่างแรงจมผมเผลออ้าปากหมอนั่นฉวยโอกาศตวัดปลายลิ้นเข้ามารุกรานอย่างรวดเร็วและหยอกเย้าไปในที
“อื้อ”
ผมส่งเสียงประทวง รู้สึกอายจนหน้าชา ไอ้บ้าเอ้ย ถ้าจะจูบแบบนี้มึงปล้ำกูกลางพิธีเลยมั้ย สัส
“มินโฮ..ไม่ต้องรีบก็ได้เพื่อน หึหึ” เสียงใครสักคนดึงหมอนั่นออกจากการจู่โจมผม
แฮกๆ.... ผมรู้สึกเหมือนจะตายให้ได้ และเมื่อกวาดสายตาดูรอบงานก็แทบอยากจะเอาหน้าซุกแผ่นปูนหนาๆหาที่กำบังสายตายิ้มกริ่มที่ส่งมากันอย่างพร้อมเพรียง
เชี่ย กูจะฆ่ามึง ทำให้กูอายเค้าทั้งงาน
.
.
.
.
.
.
.
เฮ้อออ....
ผมนอนคิดถึงเหตุหารณ์ที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆเมื่อสามวันก่อน จู่ๆก็ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่เคยรู้จัก...เพียงเพราะเหุผลที่ว่า
ถ้าผมไม่แต่ง อาจจะส่งผลให้เกิดอันตรายถึงชีวิต...เอ่อะ
แต่ทำไมต้องเป็น ชเวมินโฮ ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรมากหรอก แม่ผมบอกเพียงแค่ หมอนั่นมีคุณสมบัติครบ
คุณสมบัติที่ว่าคืออะไรผมไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องเป็นหมอนั่นเท่านั้นทำไมปัญหามันถึงได้มากมายอย่างนี้นะ...
TBC.
-------Shadow Me-------
ในที่สุดก็มาสักที รีดเดอร์ที่รัก รับพิจารณาเรื่องนี้ด้วยนะค่ะ
ฝากด้วยนะ ไม่งั้นเค้าจะดองเรื่องอื่นจริงๆนะเออ
ไรเตอร์อยู่ได้ด้วย คอมเม้นท์เน้อ....
ถ้าเค้าน้อยใจเค้าจะงอน แล้วจะพาลไม่แต่งเรื่องอื่น ฮ่าๆๆๆๆ *ยิ้มร้าย* (อีนี่)
ความคิดเห็น