ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    --HOSHI NO SHARIN-- #2

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่1

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 57


                     เสียงกึกก้องของอาวุธโลหะกระทบกันผสานด้วยเสียงแห่งความตาย ยังไม่น่าเวทนาเท่าซากศพและสีแดงสดที่ชโลมแผ่นดิน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วจนหาได้มีอากาศบริสุทธิ์ใดไม่ เช่นเดียวกับชีวิตของผู้มิได้เกี่ยวข้อง ผิดแต่เป็นทหารด้านละฝ่าย จึงทำให้สายเลือดเดียวต้องมาเข่นฆ่ากันเองเฉกเช่นนี้

                    เสียงกลองศึกแสดงสัญญาณมาจากตรงข้าม เหล่าทหารที่ยังพอรอดชีวิตจึงได้ล่าถอย ส่วนที่ไวกว่าก็หนีกลับเข้าเขตแดนหัวซุกหัวซุนจากศัตรูไปแล้ว แต่ยังมีบ้างที่ยังหอบเอาศพเพื่อนกลับไปด้วย และผู้นั้นก็ต้องจบชีวิตลงเคียงข้างเพื่อนผู้ไร้ชีวิตในอ้อมแขน เมื่อหอกแหลมแหวกอากาศพุ่งเข้าปักกลางหลังจนทะลุเพียงในเสี้ยวกะพริบตาอย่างไร้ซึ่งความปรานี

     

                    เสียงพ่นลมหายใจของอาชาที่ดูเด่นและสง่างามที่สุดในสนามรบ คล้ายจะเป็นสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ร่างสูงใหญ่ในเครื่องแต่งกายนักรบ ที่คอยรบอยู่ให้ใกล้เจ้าของม้าตัวนั้นที่สุด ต้องกระตุกบังเหียนบังคับม้าของตนให้เข้าไปใกล้ๆ อย่างลองหยั่งเชิงดูก่อน เมื่อแลเห็นว่าอีกฝ่ายดูมิได้ตกอยู่ในภวังค์เกรี้ยวกราดเหมือนเมื่อครู่ จึงขยับเข้าไปใกล้เรื่อยๆ

                    ท่านแม่ทัพ เราจักทำเช่นใดต่อไปขอรับ”

                    สมควรแล้วที่เป็นเช่นนั้น เสียงตอบกลับแผ่วไหวประหลาด สายตายังคงจับจ้องไปที่ทหารเลวฝ่ายตรงข้ามที่ตนพึ่งจะสังหารด้วยหอกไปเมื่อครู่ จนผู้ฟังที่ตอนนี้ถอดเกราะครอบศีรษะออกต้องเลิกคิ้วมอง เมื่อตัดสินใจว่าจะเคียงข้างกัน ก็ต้องอยู่ด้วยกันไปจนถึงโลกหน้า”

                    ท่านหมายความถึงสิ่งใด ข้าไม่เข้าใจ ร่างสูงใหญ่นั้นยังคงถามซ้ำ แม้รู้ดีว่าหลายต่อหลายครั้ง ผู้เป็นนายจะไม่อาจแถลงความสิ่งใดให้เขารับรู้ได้ แต่เขาก็หมายว่าอาจมีสักครั้ง ที่เขาจะเข้าใจ นาง

                   นาง หญิงสาวที่อายุมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี รู้จักสนามรบก่อนเขาเพียงไม่นานนัก แต่เป็นนางที่ฉกาจฉกรรจ์เรื่องการสู้รบ ทั้งฝีมือที่เด็ดขาดเหนือผู้ใด และหัวใจที่เด็ดเดี่ยวไม่มีอ่อนเอน กระทั่งได้รับตำแหน่งแม่ทัพป้อมตะวันตก ปกปักษ์ดินแดนอันกว้างใหญ่และแข็งแกร่งด้วยรั้วของชาติอย่าง แม่ทัพหญิง เอเรซ่า ชาริน สตีฟเดอริค ทายาทรุ่นสุดท้ายของตระกูลทหารที่สืบทอดกันมายาวนานตั้งแต่สมัยเริ่มก่อตั้งประเทศเคเนล

                    ร่างนางยามนั้น ถูกห่อหุ้มด้วยเกราะเหล็กชั้นเยี่ยมที่ได้รับพระราชทานมาจากพระราชาซึ่งได้มาพร้อมกับการสถาปนาคืนยศให้แก่สายเลือดที่สืบมาจากอดีตเจ้าหญิงอิซาเบลล่า พระพี่นางของคิงวินด์เซ้นท์ ที่ทูลลาออกจากพระยศและแต่งงานกับสามัญชนอย่างแม่ทัพของตระกูลสตีฟเดอริค เอเรซ่ายามที่มิได้เป็นแม่ทัพ จึงตกในฐานะ เจ้าหญิงแห่งเคเนล อีกองค์

                    ให้นายกองปีกซ้ายขวามาเป็นผู้นำทัพ เข้าประชิดกำแพงเมืองด้วยความสงบ รอคอยสัญญาณให้ดี น้ำเสียงแหบห้วน ร่างสูงโปร่งชักอาชาสีขาว ที่บัดนี้อาบไล้ไปด้วยเลือดแดงฉาน ให้กลับมาประชันหน้ากับผู้รับคำสั่ง

                    จัดทหารม้าสิบสองนาย อัญเชิญดาบพระราชทาน ข้าจะไปรอที่หน้าประตูเมือง”

     

                    ประตูเมืองที่อาบเลือดค่อยๆ เปิดออก ชาวบ้านร้านรวงต่างถูกเกณฑ์ให้ออกมานั่งคุกเข่าเรียงรายสองข้างทางยาวไปจนสุดลูกลูกตา ใบหน้าทุกคนต่างเศร้าหมอง บ้างก็ร่ำไห้ด้วยทราบข่าวการสูญเสียบุตรและสามีในสนามรบ ลูกเด็กเล็กแดงที่ส่งเสียงกรีดร้องถูกผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงจับปากให้แน่นิ่ง เมื่อกลุ่มคนที่อยู่ในเครื่องแต่งกายเกราะเหล็ก ติดธงสีแดงมีสายฟ้าสีดำตรงกลางอันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเคเนล ค่อยๆ เหยาะย่างอาชาผ่านหน้าประชาชนเหล่านั้น เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งที่มิได้กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว และยังหาญกล้าเกินควร บังอาจแหงนหน้าขึ้นมองผู้ที่ล้ำหน้ามาเป็นคนแรก

                    ร่างบางซ่อนอยู่ภายใต้ชุดเสื้อผ้ารัดกุม ตัดเย็บจากผ้าเนื้อดี เป็นสีขาวรวมไปถึงผ้าคลุมที่ผูกจากด้านหน้าและปล่อยชายให้ยาวละไล้ไปเบื้องหลัง รองเท้าหนังสีขาวยาวเกือบถึงเข่า กระทุ้งสีข้างม้าเบาๆ เป็นจังหวะ ส่วนมือทั้งสองอยู่ในถุงมือหนังสีขาวเช่นกัน เพียงแต่มีความยาวเพียงระดับข้อมือ

                    ทั้งหมดของคนผู้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นสีของพระเจ้า คงมีเพียงเส้นผมที่เป็นสีดำขลับ และเล็ดลอดออกมาจากหมวกคลุมที่ครอบลงมาจนแลเห็นได้เพียงแค่ริมฝีปากซึ่งขบเม้มจนเป็นเส้นตรงเท่านั้น ที่แตกต่างเสียจนหัวใจของเด็กน้อยสั่นไหว เธอลุกขึ้นยืนแล้วเปล่งเสียงตะโกนออกไปอย่างไม่กลัวเกรง

                    นางปีศาจแห่งดินแดนตะวันออก คืนพ่อมาให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ!”

                    พริบตาเดียว คมดาบของผู้ติดตามก็ตวัดหมายวางทาบไปบนลำคอด้วยต้องการปลิดชีพผู้มีวาจาสามหาว หากไม่เพราะด้ามอาวุธยาวของผู้อยู่ในเครื่องแต่งกายสีขาวกระแทกเข้าให้ที่ต้นขาจนเด็กน้อยทรุดล้ม เวลานี้คงมิได้มานั่งโอดโอยเช่นนี้แล้ว

                    ท่านแม่ทัพ... เจ้าของดาบเอ่ยเบาๆ อย่างขัดใจและเต็มไปด้วยความสงสัย แต่คนถูกเรียกกลับยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เงียบเสียงลง

                    เรียกข้าว่าอะไรนะ เจ้าเด็กขี้ริ้ว คำถามเต็มไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เด็กน้อยที่เจ็บจนจุก พยายามจะแหงนมองหน้าคนพูดอีกครั้ง แต่แล้วก็เห็นเพียงริมฝีปากบางเบ้เล็กน้อยเหมือนกำลังหัวเราะเยาะ

                    ข้า...เรียกเจ้าว่า...นางปีศาจแห่งดินแดน...ตะวันออก แม้จะรู้ดีว่าคำพูดตนอาจทำให้สิ้นชีวิต แต่ยามนี้ที่บิดาได้สิ้นชีพไปแล้ว เด็กหญิงไร้ซึ่งที่พึ่งพิงก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร

                    ฮะ เช่นนั้นเจ้าก็คงเป็น เด็กขี้ริ้วแห่งดินแดนตะวันตกสำหรับข้า อาชาสีขาวส่งเสียงพรืดๆ คล้ายจะรับคำนายของมัน ร่างนั้นโน้มลงมาใกล้ในขณะที่เด็กน้อยลุกขึ้นยืน และกษัตริย์ของเจ้า ก็เป็นปีศาจตะวันตกสำหรับข้า ที่ข้ามีหน้าที่ต้องกำจัดมัน!”

                    ลมหายใจอุ่นที่รดรินลงใส่หน้าเด็กหญิงราวกับว่าจะพรากลมหายใจเธอไปด้วย ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มอีกครั้ง  ก่อนที่จะชักบังเหียนม้าสีขาวเดินจากไป แต่ไม่วายส่งเสียงเย็นชาทิ้งท้ายตามหลัง

                    เอาเด็กคนนั้นกลับไปกับกองทัพเราด้วย                             

     

                    ประตูวังชั้นในถูกเปิดออก หากแต่ผู้อยู่ในชุดทรงสีขาวยังคงอยู่บนม้า ทหารผู้มีหน้าที่รักษาได้แต่เก็บงำความเจ็บปวดในใจ ก่อนหลีกทางให้ร่างนั้นผ่านเข้าไปในห้องโถงกว้างที่ถูกประดับประดาเอาไว้อย่างสวยงาม

                    สองข้างทางเต็มไปด้วยขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในเครื่องแต่งกายเต็มยศ ทุกคนมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง และยิ่งให้โมโหเมื่อฝ่ายศัตรูกระทำการที่มิได้ไว้พระพักตร์กษัตริย์ของพวกเขาเลย มหาดเล็กคนสนิทรีบโผออกมาเบื้องหน้าขวางทางก่อนที่จะถึงบัลลังก์

                    การศึกนี้ถึงฝ่ายเคเนลจะชนะ แต่ก็มิได้หมายความว่าใครจะมีสิทธิ์กระทำการลบหลู่พระเกียรติได้ ฝ่ายนั้นมิได้โต้ตอบ แต่อาการสงบนิ่งราวกับเป็นรูปปั้นอันไม่นำพาสิ่งใด ก็ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

                    หยุดเถิดราชีฟ และหลบให้พ้นทางหลานสาวสหายแห่งข้าได้แล้ว สุรเสียงทรงอำนาจดังเพียงเท่านั้น บังเกิดเสียงฮือฮาของเหล่าขุนนางอีกครา ซึ่งก็ต้องเงียบลงอีกเมื่อของบางอย่างถูกขว้างลงมาเบื้องหน้าอย่างรุนแรง

                    ธงสีขาวอันมีสัญลักษณ์สายฟ้าฟาดสีดำ ธงประจำประเทศคา หากแต่ขาดวิ่นและเต็มไปด้วยคราบเลือด ของสิ่งนั้นทำให้ผู้ที่ประทับบนบัลลังก์ต้องกันม่านตรงหน้าออก ทั้งที่ผิดราชประเพณีของบ้านเมือง

                    ข้า ในนามแม่ทัพแห่งป้อมตะวันตก ร่างโปร่งเหยียดหลังตรง เอ่ยเสียงก้องกังวาน เจ้าหญิงเอเรซ่า ชาริน สตีฟเดอริค แม่ทัพสูงสุดแห่งป้อมตะวันตก ยามนี้ข้าชิงธงประจำป้อมฝ่ายตะวันออกของพวกเจ้ามาได้ ด้วยการสังหารแม่ทัพใหญ่ของพวกเจ้า ดังนั้น ข้าในฐานะตัวแทนองค์กษัตริย์ ขอใช้สิทธิ์โดยชอบธรรม ในการยึดบัลลังก์ของเจ้า ขอให้เจ้าจงยอมศิโรราบ น้อมลงรับคำสั่งแห่งกษัตริย์เรา”

                    ชารินรึ... ร่างสูงค่อยๆ ย่างกรายออกมาจากที่ประทับ ผ้าสีดำที่คลุมพลิ้วไหวยามขยับกาย ข้ามิได้ยินนามนี้มานานเท่าใดแล้วนะ”

                    เจ้า...มิได้คู่ควรที่จะรับฟังนามนั้นแม้แต่น้อย ผู้พูดชักม้าเข้าไปใกล้ ฝีเท้าอาชาเหยียบย่ำลงบนธงประเทศคา และค้างอยู่เพียงเท่านั้น ก่อนที่หมวกคลุมสีขาวจะถูกดึงออก เผยให้เห็นหน้าตาของคนพูดได้อย่างชัดเจน

                    หญิงสาวผู้มีวงหน้าเรียวรี ผิวสีแทนเข้ม ดวงตาดำขลับเช่นเดียวกับเส้นผมที่ยาวลงมาแผ่กระจายเต็มแผ่นหลัง  ริมฝีปากบางและแดงเข้ม รูปร่างหน้าตานั้นมิได้แตกต่างอะไรจากใครบางคนไปเสียเลย

                    และเจ้ามิได้คู่ควรที่จะเป็นสหายกับคนผู้นั้น เจ้าเป็นแค่ คนทรยศต่อความไว้ใจ

                    พระราชาผู้ชะงักค้างไปเพียงครู่ ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ มงกุฏที่สวมทับบนผ้าคลุมถูกถอดออก ก่อนจะหันไปดึงดาบของตนที่ซุกซ่อนแนบกายตลอดเวลามากระชับมั่น

                    เดิมทีข้ามิใช่ราชา แต่ข้า ต้อง เป็น เพื่อ รอคอย เจ้า บัดนี้ คงถึงเวลาอันสมควรเสียแล้ว”

                    ผ้าคลุมสีดำถูกตวัดออกจากร่าง ทุกคนจึงได้ประจักษ์ถึงสิ่งที่ร่ำลือมานาน ถึงพระราชาแห่งเมืองคา ผู้มีเกศาและพระเนตรแดงดุจเลือด ผิวกายขาวราวหิมะ และทั้งที่พระองค์ครอบครองบัลลังก์มายาวนานหลายสิบปี แต่ยามนี้มิได้ดูชราลงไปแต่อย่างใด

                    เจ้าจักเป็นสิ่งใดข้าไม่สน แต่เพราะเจ้า ผู้ชิงธงประจำป้อมตะวันตกเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน และมิได้สังหารคนผู้นั้นในฐานะแม่ทัพ เจ้าคือผู้เหยียบย่ำศักดิ์ศรีนาง ทำให้ตระกูลของข้าต้องแปดเปื้อนว่าเป็นผู้นำทัพปราชัยนี่จึงเป็นโอกาสอันดีแล้ว ที่ข้าจักได้กู้หน้าของตระกูลกลับคืนมา หญิงสาวร่ำร้อง และดูมิได้มีความหวาดกลัวต่อใดๆ ทั้งสิ้น นางกระโดดลงจากอาชาสีขาว แล้วหยิบอาวุธประจำกายของตนเอง อันเป็นพลองติดปลายด้วยหอกยาวกว่าศอกออกมาบ้าง

                    ใช้ดาบไม่ดีกว่าฤๅ แม่หนูน้อย หน้าตาท่าทางของนางยามนี้ กลับทำให้เขาคิดไปถึงแต่ใครบางคน ยามที่คนผู้นั้นถูกเขาต่อว่าเข้าให้ แม้เพียงนิดหน่อย แต่ก็จะมีท่าทีขึงขังขึ้นมาเช่นนี้ไม่ต่างกัน

                    อย่าได้เอ่ยความเพื่อถ่วงเวลาให้ช้า ข้าหมายมาตรให้เจ้าตายสมปรารถนาโดยไว”

     

                    การประชันฝีมือของทั้งสองผ่านไปเนิ่นนานนัก ทั้งผ่อนหนักผ่อนเบา จนดูราวกับการร่ายรำของอาวุธสงคราม จากตะวันกลางฟ้าลับลายอแสง อ่อนแรงดับหาย กลับกลายเป็นดวงศศิธรแหว่งเว้า และดารากะพริบพรายระยิบระยับผ่านโดมแก้มของห้องโถงใหญ่ลงมา อาบไล้สองร่างที่ยังคงประอาวุธกันไม่เลิก

                    ดวงจันทร์สีฟ้างดงามนัก อยู่ๆ กษัตริย์แห่งคาก็เอ่ยขึ้นมาก่อน วงดาบสีเงินสะท้อนกับแสงจันทร์ดูคล้ายจะทำให้วาดวงเป็นสีฟ้า แต่ชาดดารา ก็งดงามเช่นเดียวกัน”

                    คิดทำลายสมาธิของข้าสินะ หอกยาวฉวัดเฉวียนไปมาเหมือนติดปีก ข้าไม่หลงกลเจ้าง่ายๆ หรอก”

                    “ฝีมือของเจ้าถือว่าเป็นเลิศก็จริงอยู่ แต่ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเหมาะกับดาบมากกว่านัก ด้วยความสูงของเจ้านั้น การใช้อาวุธที่ใหญ่โตเกินไปจะรังแต่ทำให้เกะกะเปล่าๆ และเจ้าจะไม่ได้ใช้ฝีมือของตัวเองอย่างเต็มที่”

                    อย่ายุ่งกับข้า อยู่ๆ นางกลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเล็กๆ ที่ต้องฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ ด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว วงตวัดของหอกยาวจึงเร่งเร้ารุนแรงยิ่งกว่าเดิม

                    ดื้อรั้นเหมือนกันไม่ผิด และคงจักเป็นเช่นนี้สินะ...ชาริน ท้ายเสียงเบาหวิวลงคล้ายจะรำพึงกับตนเอง แต่นั่นก็ดังพอที่อีกคนจะรับรู้

                    ข้าคือเอเรซ่า ข้าไม่ใช่คนอ่อนแบบคนผู้นั้น!” นางเผลอตะคอกออกไปเสียงดังลั่น สูญเสียสมาธิ

                    เสียดาย...ที่ข้าเห็นเพียงครั้งเดียว เมื่อวันที่นางสิ้นลมหายใจ... อีกฝ่ายคล้ายจะไม่รับรู้ แม้ร่างกายจะยังคงเคลื่อนไหวต่อกรกับอาวุธ แต่คำพูดและนัยน์ตาสีแดงกลับอ่อนแสงลงเมื่อยามมองขึ้นไปทางโดมแก้ว แต่บางทีนะ ความตายอาจจะดีที่สุดแล้ว สำหรับผู้ที่ไม่อาจปลดปล่อยตนเองจากวังวน”

                    ร่างสูงใหญ่ของพระราชาล้มลงคุกเข่าอย่างจงใจ มือที่กอบกุมดาบเหมือนสิ้นเรี่ยวแรงจนปล่อยทิ้งลงข้างตัว อาการนั้นทำให้หญิงสาวชะงักทันที

                    หยิบดาบขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ท่านไม่ควรดูถูกข้าด้วยการสลัดอาวุธทิ้ง”

                    ข้าไม่ได้ดูถูกเจ้า แม่หนูน้อย เขาก้มลงคว้าดาบ แต่กลับโยนด้ามมันไปทางหญิงสาวผู้อ่อนเยาว์ แต่ข้าไม่อยากเล่นกับเจ้าแล้ว เอ้า ดาบนั่นน่ะ เจ้าคงไม่รู้สินะ ว่ามันคือดาบที่ใช้ในวันประหารชาริน”

                    การเอ่ยนามและเหตุการณ์นั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกหนาวชืดไปทั้งร่าง นางรับดาบนั้นมาจ้องมอง แผ่นเหล็กบางเฉียบยาวเกือบสี่ศอก จารึกอักขระภาษาบางอย่างแทนลวดลาย ชั่วพริบตาหนึ่ง นางเห็นอักษรเปล่งแสงสีฟ้า

                    เจ้ารู้...ว่าต้องทำอย่างไร เสียงเรียบๆ ของพระราชาเหมือนดึงความคิดอีกครั้ง หญิงสาวกำด้ามดาบแน่น การปลิดชีวิตศัตรู ด้วยของแบบนี้ ย่อมสาแก่ใจหาที่ใดเปรียบปานแล้ว

                    ดวงตาสีดำขลับเกิดประกายวูบหนึ่ง ดังความแค้นที่สุมทรวงมาหลอมรวมอยู่ที่จุดเดียว นางขยับปากจะพูดอะไรบางอย่างก่อนที่จะไสดาบเข้าไปดังตำแหน่งที่คิดว่าดีที่สุด แต่อีกฝ่ายกลับชิงตัดหน้า พูดสิ่งที่เขาตระเตรียมเอาไว้มานานแสนนานเสียก่อน

                ถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแล้วว่าจะต้องดีให้เทียบเท่าใคร”

                ไม่มีเสียงแห่งความเจ็บปวด ไม่มีอาการทุรนทุราย มีเพียงเปลือกตาที่ค่อยๆ หลุบต่ำลง ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนโยนที่สุด ก่อนที่ดวงตาสีแดงเหมือนลูกแก้วคู่นั้นจะค่อยๆ วูบลง เช่นเดียวกับของเหลวข้นคลั่กที่ไหลออกมาบริเวณตำแหน่งหัวใจ เมื่อดาบยาวปักลงที่จุดนั้น สายสร้อยที่ร้อยจี้เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสีฟ้า หลุดลอดออกมาจากอกเสื้อ มันสะท้อนเข้ากับดวงตาสีดำที่มองลงมาอย่างไม่เข้าใจคำพูดสุดท้ายนั้นเท่าใดนัก

                    แปลก... ทั้งที่ไม่เข้าใจเท่าใดนัก และการแก้แค้นแทนได้ดำเนินมาถึงจุดจบสิ้น หญิงสาวสมควรที่จะรู้สึกยินดีปรีดา มีความสุขหาที่ใดเปรียบ

                    ใช่...แปลก เพราะนอกจากนางจะรู้สึกว่างเปล่า เหมือนไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ แล้วนั้น หยดน้ำอุ่นๆ กลับรินไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง อย่างไม่อาจควบคุม

                    เจ็บแปลบปลาบขึ้นมาตรงตำแหน่งหัวใจ คล้ายว่ามีใครเอาดาบที่อยู่ในมือนาง...ผลักไสเข้ามา

                   

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×