คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : 7 - ปฏิบัติการเพื่อความสมานฉันท์โดยโอเซฮุน (2) -100%-
COUPLE : TAO x SUHO
RATE : PG13
CATEGORY : Romantic , Comedy
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
7
สิ้นคำประกาศิตสุดท้ายของผม เราสองคนก็ต่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง มีเพียงสายตาเท่านั้นที่ยังส่งคลื่นไฟฟ้าประหลาดลั่นใส่กันเปรี๊ยะๆอย่างไม่มีใครยอมใคร
“คิดว่าพ่อจะช่วยอะไรนายได้?อย่าคิดว่ามีพ่อให้ท้ายแล้วนายจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจนะ คิมจุนมยอน”
ผมสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับในเมื่อแพนด้าผีนี่จะไม่พาผมออกไปข้างนอกด้วย ผมก็ขอยกพ่อขึ้นมาอ้างก่อน ดูซิว่าใครจะชนะใคร หึ!
“ฉันไม่ได้ทำอะไรตามอำเภอใจ ฉันแค่ต้องการไปกับนาย ฉันไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว” เทามองผมด้วยความไม่เข้าใจ ริมฝีปากหนาอ้าเตรียมจะเถียงอีกรอบ แต่ผมก็ส่งมือไปปิดปากนั่นก่อนที่เจ้าตัวจะพูดอะไรออกมา
“ไม่รู้แหละ ถ้าไม่อยากให้ฉันไปด้วย ก็ไปส่งฉันที่ไหนก็ได้ แค่ไม่อยู่ที่บ้านก็พอ”
อาจจะดูงี่เง่าปัญญาอ่อนนะครับที่ผมง้องแง้งไม่ขออยู่บ้าน โตจนอายุเลยเลขสองบรรลุนิติภาวะแล้วยังทำตัวงี่เง่าเหมือนเด็กๆ แต่ผมก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอก แต่การอยู่คนเดียวเงียบๆ ในต่างสถานที่ที่ซึ่งไร้ผู้คนผมไม่ค่อยจะปรารถนามันซักเท่าไหร่ สู้ไปเดินเล่นข้างนอกที่เต็มไปด้วยคนพลุกพล่านยังดีซะกว่า
“สงบศึกกันแค่วันนี้ โอเคมั้ยจื่อเทา -__-+” ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน จ้องหน้าอีกคนนิ่ง เทาเป็นคนดื้อ อีกอย่างเค้าก็มีอคติกับผมมาก ที่ขอสงบศึกน่ะไม่ใช่ว่ายอมแพ้หรอกนะ ผมแค่ไม่อยากมีปัญหา ถ้าหมอนี่เกิดไม่พาผมไปข้างนอกล่ะทำไง ผมต้องเป็นหมาหงอยอยู่ในบ้าน ไม่เอาหรอกแบบนั้น =w=;
“อ...เอามือนายไปไกลๆฉันเลยนะ!!น้ำก็ยังไม่อาบยังคิดจะออกไปข้างนอกอีกหรอ เหอะ อย่าให้คนอื่นเค้ารู้เชียวว่าเป็นลูกของประธานบริษัทคิมเจ... รู้ถึงไหนอายถึงนั่น...” มือหยาบใหญ่จับข้อมือข้างที่ผมปิดปากเค้าอยู่ไว้ ก่อนจะสะบัดทิ้งพร้อมกับทำสีหน้ารังเกียจแบบสุดขีด =[]= ทำไมมือฉันมันทำไมฟระ!!! อี๋... อยากจับหน้าจับปากนายตายแหละ!==++!!!
“ไอ้เด็กบ้า!ทำหน้าแบบนั้นมันหมายความว่า... เอ๊ะ? เดี๋ยว... งั้นก็หมายความว่า... นายจะพาฉันออกไปข้างนอกใช่มั้ย!?” ย๊ากกก นี่ผมได้ยินไม่ผิดไปใช่มั้ย!! เทาจะผมออกไปข้างนอกจริงๆหรอ?! “นี่! นายไม่ได้โกหกฉันใช่มั้ย? นายจะพาฉันออกไปข้างนอกจริงๆใช่มั้ย!? ย๊า นายนี่ใจดีที่สุดเลยยย”
ว่าจบผมก็กอดแขนของอีกฝ่ายแน่น พลางเอาหน้าถูไถไปกับชุดนอนเนื้อนุ่ม “โอ๊ยก็ใช่น่ะสิ -_- แล้วก็เลิกเอาหน้ามันๆของนายมาถูกับแขนเสื้อฉันได้แล้ว สกปรกชะมัด...” ชะ-__-…. ไอ้เด็กบ้า!! เกือบจะชมแล้วล่ะถ้าหมอนี่ไม่หลุดคำว่าสกปรกออกมา หน้าผมออกจะสะอาดใสไร้สิวไร้ริ้วรอย มาว่าสกปรกได้ยังไง น่ากัดให้แขนหลุดชะมัด =_=
“ชิ! ก็ไม่ได้อยากจะยุ่งนักหรอกเห็นว่ามีบุญคุณกับฉัน เลยอยากจะทำดีด้วยก็แค่นั้น... นายนี่ก็ปากหมาเสมอต้นเสมอปลายจริงๆนะ” ผมเบ้ปากไม่พอใจ ทำดีด้วยก็ไม่ชอบ พอทำร้ายใส่ก็ไม่ชอบ ตกลงจะเอายังไงกับผมกันแน่นะเจ้านี่
“ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอกนะ ฉันไม่มีทางใจอ่อนยอมรับนายเด็ดขาด แผนการชั่วๆของนายฉันยังจำได้เสมอ อย่ามาแสร้งทำดีกลบเกลื่อน...”เทามองผมดูสายตาหยามเหยียดที่มาเป็นเซ็ตคู่กับน้ำเสียงเย็นชาและคำพูดร้ายกาจ “รีบไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว เสียเวลายืนเถียงกับนายไปตั้งเยอะ บ้าจริง”
โหย -__-+ ใครก็แน่ที่เสียเวลา ถ้าไอ้แพนด้าผีนั่นยอมผมตั้งแต่แรก เราก็คงไม่มายืนเน่าเถียงกันเสียงดังปาวๆลั่นบ้านแบบนี้หรอก อยากจะเถียงด้วยที่ไหนล่ะ คุยกับหมอนั่นแล้วเหมือนไมเกรนจะกำเริบทุกที!
“เอ๊อ! ฉันไปก็ได้ ใครช้าเป็นลูกหมา แบร่!!:P”
“นี่!!!!” เทาหันมาถลึงตาใส่ ผมไม่รอฟังเสียงด่าของอีกฝ่าย สองขาสั้นๆ (?) ของผมรีบจ้ำอ้าวเข้าห้องทันที ขืนรออีกคนมาด่านี่ไม่ต้องไปไหนกันพอดี! =_= ไอ้แพนด้าปากปีจอ!
(Kris Talk)
ผมนั่งมองรถไฟหลายขบวนที่วิ่งเข้าออกสถานีด้วยความเบื่อหน่าย ลมหายใจหนักๆถอดถอนออกมาอย่างเสียไม่ได้ ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้ว เวลานี้ผมควรจะเข้าบริษัทเพื่อไปทวงงานที่ค้างกับเลขาไม่ใช่หรอ เวลานี้ควรจะนั่งตรวจเอกสารและนั่งเช็คหุ้นของบริษัทในห้องเงียบๆไม่ใช่หรอ...
“ฮัลโหล พี่ยอลหรอ? พี่อยู่ไหนแล้วนี่ผมมารอกับพี่นานแล้วนะ รถไฟที่ไปชองเชียงนีก็จะมาแล้วด้วยอ่ะ!” ผมหันไปมองตามเสียงทุ้มต่ำของน้องชายที่กำลังสนทนาอยู่กับบุคคลแปลกหน้าที่ทำผมเสียเวลางานอยู่ เซฮุนดูโมโหเล็กน้อย ความขี้ใจร้อนเป็นเด็กของเซฮุนผมเห็นจนชินแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลก…
แต่ตอนนี้ผมกำลังร้อนมาก... โมโหอารมณ์ร้อนน่ะนะ!! =_=
ทุกคนในตอนนี้คงจะได้แต่คิดแล้วก็สงสัยสินะครับ ว่าเหตุใดทำไมเพราะอะไรผมถึงต้องมานั่งถอนหายใจทิ้งอยู่ตรงนี้ ทำไมผมถึงไม่ใส่สูทผูกเนคไทไปทำงานอย่างที่เคยเป็น นั่นก็เป็นเพราะคุณชายโอเซฮุนคนเดียวเลยครับ! (- _ -)/ ที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้ เพราะต้องการที่จะให้เทาและซูโฮได้ปรับความเข้าใจและพูดคุยกันมากขึ้น ไอ้หมาน้อยถึงกับต้องลงทุนขอพ่อให้ผมลางานหนึ่งอาทิตย์เต็มๆเพื่อไปพักผ่อนหย่อนใจ (?)กับน้องชาย ทั้งที่ความจริงผมอยากจะอยู่ทำงานมากกว่า -__-;
แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องพังลงหลังจากได้รับคำสั่งจากพ่อพาเด็กเอ๋อสองคนไปเที่ยวต่างจังหวัด โอ้วม่าย~ คริสตี้อยากจะร้องไห้จริงๆนะครับ ณ จุดๆนี้ T_T แต่ทำไงได้ ผมไม่กล้าขัดคำสั่งของพ่อ เลยเออๆออๆตามใจท่านไปด้วยความไม่เต็มใจแบบขีดสุด ที่จริงแล้วน่ะนะ ไอ้แค่พาเซฮุนไปเที่ยวน่ะมันไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่การที่พ่วง ‘ใคร’ ที่ไหนก็ไม่รู้ที่น้องชายมันเอาแต่พูดซ้ำๆอยู่ว่าคือ ‘รุ่นพี่’ น่ะมันไม่ค่อยจะโอเคเท่าไหร่เลยนะ
“พี่คริสครับ~ ทำหน้าบึ้งมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ดูสิทั้งเงิงทั้งตีนกาพากันออกมาชมโลกเลย ฮิฮิ~” ตลกไง ตลกรับประทานไงน้องชายผม -_- ก็รู้อยู่ว่าเครียดยังมาพูดปม เดี๋ยวปั๊ดเอาฟันเฉาะเหม่งซะนี่...
“ตลกเกินไปแล้วนะคุณโอเซฮุน ดูสิเพราะแผนบ้าๆบอๆของนายทำให้พี่เสียเวลางาน!” ผมอดไม่ได้ที่จะขึ้นเสียงใส่อีกคนเล็กน้อย
“โหยพี่อ่ะ! วันก็เอาแต่งาน~ บังคริสจะเอาแต่งานรึไง -__- รู้มั้ยแผนเนี้ยมันดียังไง ถ้าเราปล่อยให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันใช่ป่ะ? พอไม่มีใครคอยคุยด้วยสองคนนั้นก็จะหันไปคุยกันเอง แล้วความสัมพันธ์ที่เคยแย่ก็จะค่อยๆพัฒนาขึ้นไปในทางที่ดี อีกอย่างนะ ผมเห็นแต่เฮียเอาแต่โหมงาน ผมก็อยากพาเฮียมาพักผ่อนบ้างก็เท่านั้นเอง~”
คนร่ายแผนการยิ้มร่า ผมควรจะเชื่อไอ้เด็กน้อยนี่ดีป่ะ? แน่นอนว่าคำตอบคือไม่ควร เซฮุนมันคงหาเรื่องเที่ยวแน่นอนครับท่านผู้อ่านที่รัก! ถ้ามันคิดจะให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันเพื่อปรับความเข้าใจจริงๆ ผมไม่เห็นว่าเราต้องไปเที่ยวถึงนามิเลยด้วยซ้ำ แค่โกหกว่าไป แล้วไปอยู่ที่บ้านอีกหลังกับพ่อก็พอแล้ว แต่นี่อะไร หาเรื่องออดอ้อนพ่อมาเที่ยว ซวยมาถึงผมที่ต้องเป็นคนรับใช้จำเป็นตามมาด้วยอีกคน =_=
ไอ้รับใช้คนเดียวไม่ว่า แต่มันดันพาพันธมิตรมาอีกคนเนี่ยสิ อย่างกับพี่เลี้ยงเด็กอนุบาลเลยผม!
“อย่ามาขี้โม้เลย พี่รู้ว่าจุดประสงค์ของนายคืออะไร ว่าแต่เมื่อไหร่ไอ้รุ่นพี่ที่ว่าของนายจะมาเนี่ย การที่ต้องให้คนอื่นมารอตัวเองแค่คนเดียวรู้มั้ยว่ามันเสียมาร....”
“เซฮุนนา!!!! พี่มาแล้ววววววว!!”
“พี่ยอลลลลลล!!!! ทำไมพึ่งมาเอาป่านนี้!!!!” เสียงต่ำๆของอีกบุคคลดังขึ้นจนคนทั้งสถานีหันไปมองรวมถึงผมที่ยังพูดไม่ทันจบประโยคด้วย เพราะทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น เซฮุนก็รีบลุกตามไปทันที ทิ้งให้พี่ชายอย่างผมนั่งอ้าปากค้างเพราะเสียงขัดจากอีกคน
จะอะไรกันนักหนาเนี่ยยย!! =[]=
ไม่ไหวแล้ว จะไม่ทนแล้ว -____-++ ผมสลัดคราบนักธุรกิจหนุ่มเย็นชาที่เต็มไปด้วยเหตุผลทิ้งไปเหลือแต่คราบของพ่อค้าขายข้าวมันไก่ที่เถียงกับลูกค้าเรื่องไม่ให้น้ำจิ้มเพิ่ม(?) สวมวิญญาณคุณครูปกครองที่จะไปสวดนักเรียนเพราะมาเข้าแถวผิดเวลา ถึงความจริงนี่จะไม่ต่างอะไรก็เถอะ เพราะหมอนี่ก็มาผิดนัด มาสาย เลทจนคนอื่นเสียเวลา!!
“เฮ้ยพี่ขอโทษจริงๆนะที่ออกสายอ่ะ พอดีพี่ทำกระเป๋าเงินหายอ่ะ กว่าจะหาเจอนี่แทบพลิกบ้านทั้งหลัง...”
“โหยไม่เป็นไรๆ ผมไม่ว่าอะไรพี่หรอกพี่อย่าคิดมากเลยขอแค่พี่มาก็พอแล้ว~”
“นายไม่ว่าแต่ฉันจะว่า!!!!” ผมเดินไปหยุดยืนระหว่างคนทั้งสองคนที่กำลังกอดกันนัวเนียไม่อายฟ้าดิน ถึงจะเป็นแค่พี่น้องก็เถอะ เห็นแล้วมันน่าหมั่นไส้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับรุ่นพี่ที่น่าเคารพนับถือของเซฮุน ผมยิ่งไม่ชอบ!
‘รุ่นพี่’ คนที่ว่าของเซฮุนค่อยๆหันหน้ามาสบตากับผม ตัวของหมอนี่ก็พอๆกับผม แต่ดูบอบบางไม่มีน้ำไม่มีเนื้อเหมือนกับผู้ชาย รูปร่างสูงโย่งผอมครบเซตเด็กขาดสารอาหาร แต่ก็ดูเหมือนว่าสารอาหารที่หายไปจะไปทดแทนที่แก้มที่ดูนุ่มนิ่มกับปากแดงๆเจ่อๆของเจ้าตัวแทน ตากลมโตสุกใสฉายแววความสุกซนจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาสงสัย สองมือก็ยังโอบรอบคอน้องชายผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“เอ่อ... เซฮุน... นะ...นี่ใครหรอ?” ยัง ... ยังจะมีหน้ามาถามอีก นี่ผมพูดขนาดนี้ยังไม่รู้อีกหรอว่าผมเป็นใคร เอ๋อสมกับหน้าตาจริงๆนะ เหอะ!
“พี่ชายผมไง เอ่อนี่พี่คริสนะพี่ยอล ส่วนนี่พี่ยอลนะพี่คริส...”
“ให้เค้าแนะนำตัวเอง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด วิญญาณครูปกครองเริ่มควบคุมร่างกายผมไปแล้วกว่าครึ่ง อย่าแรกคือปากเลยครับ หึนายโดนแน่!
“ผมปาร์คชานยอลครับ... ผมเป็นรุ่นพี่สมัยมัธยมของเซฮุน... คือผมต้องขอโทษจริงๆนะครับที่ผมมาช้า พอดีกระเป๋าสตางค์ผมหายน่ะครับ ผมเลยเสียเวลาหานิดหน่อย ผมขอโทษนะครับที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อน”
“นี่ถ้าฉันไม่เดินเข้ามานายก็คงจะแฮปปี้ดี๊ด๊าอยู่กับน้องชายฉันสินะ คงไม่สำนึกสินะว่าตัวเองทำอะไรผิด”
“พี่คริส! พี่จะอะไรนักหนาเนี่ยเมนส์ไม่มารึไงเซ้าซี้อยู่ได้ พี่ยอลเค้าก็บอกอยู่ว่าทำกระเป๋าเงินหายพี่จะเอาอะไรอีก! พี่ยอลอย่าไปสนพี่ชายผมเลยเป็นแหละเมื่อเช้าไม่ได้เอากระดูกให้แทะกัดได้กัดดี... โอ๊ย! T[]T เค้าเจ็บนะเว้ยย!!!” นี่ไงจัดไปหนึ่งดอก! =_= คำก็เงิง สองคำก็ตีนกา สามคำก็เป็นหมา นี่เจ้าเด็กนี่เคยเคารพผมบ้างมั้ยเนี่ย
“ไม่ต้องมาพูดเลยนะเซฮุน ส่วนนาย... โตซะเปล่าทำไมไม่รู้จักรักษาเวลา ถ้านายอยู่บนสนามแข่ง นายคงจะอยู่รั้งท้ายไม่ทันกินชาวบ้านเค้า”
“แต่ตอนนี้เราอยู่ที่สถานีรถไฟ... คงไม่มีใครมาแซงผมได้หรอกครับ ‘ ‘…”
ชะ... ไอ้เด็กนี่ คิดจะกวนผมใช่มั้ย? =_= มันไม่เข้าใจคำเปรียบเทียบรึไง “ฉันไม่ได้หมายถึงว่านายอยู่ในสนามแข่ง ฉันแค่เปรียบเทียบว่าถ้านายอยู่ในสนามแข่งนายคงอยู่รั้งท้ายแพ้เค้าไปแล้ว!”
“แล้วเราจะรีบไปทำไมล่ะครับ ถ้าช้าแล้วรอบคอบยังดีซะกว่ารีบแต่ประมาท -3-~” เถียงคำไม่ตกฟาก!! ไอ้ท่าทีใสซื่อเมื่อกี้มันแค่ฉากหน้าหลอกให้ผมตายใจใช่มั้ย! อ๊ะ -_- นั่นนายจะหัวเราะทำไมเซฮุน! ห้ามหัวเราะเว้ย!!
“แต่ถ้าพี่คริสมัวแต่ยืนว่าผมปาวๆอยู่ตอนนี้ เราอาจจะตกรถไฟก็ได้นะครับ ^_^ ไปกันเถอะเซฮุนอา~ พี่มีเรื่องจะคุยกับเราเยอะแยะเลยล่ะ~”
ชานยอลกล่าวจบก็ดึงมือน้องชายตัวดีของผมเลี่ยงไปอีกทางทันที แต่ขณะที่กำลังจะเดินผ่านกันไปสายตาของเค้ากับผมก็ประสานกันครู่หนึ่ง ก่อนที่เจ้าเด็กเอ๋อเองจะเป็นฝ่ายหลบสายตาผมไป ทิ้งให้ผมยืนนิ่งงันอยู่เพียงลำพังท่ามกลางผู้คนในสถานีรถไฟ...
แสบ... แสบใช่ย่อย ไอ้ผมก็เห็นหน้าตาดูซื่อๆมึนๆนั่น ไม่คิดว่าจะแสบเถียงได้ทุกถ้อยคำทุกประโยค หึ! ไอ้หน้าหวานๆคงเป็นแค่ฉากหน้าที่ปิดซ่อนความร้ายกาจเอาไว้สินะ ผมดึงสติตัวเองกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเซฮุนที่กลัวมือเรียกหยอยๆ โดยที่ข้างกายยังมีปาร์คชานยอลตัวแสบยืนตีหน้าซื่ออยู่ แต่ถ้าผมมองไม่ผิด อีกฝ่ายกับแลบลิ้นให้ผม...
แลบลิ้นให้ผม!! =[]=
นายเจอดีแน่ ปาร์คชานยอล!!!!
(Kris Talk end)
ย่า~ =w= สายลมบริสุทธิ์กับแดดที่ไม่จัดมากยามเที่ยงมันทำให้ร่างกายผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากเลยครับ ผมยืนมองทิวทัศน์ที่กว้างไกลของสวนสาธารณะอย่างสบายอารมณ์ บนทางเดินมีผู้คนมาหน้าหลายตาพากันวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกาย ทางซ้ายก็มีบรรดาอากงอาม่ากำลังรำไทเก๊กอยู่ ขวามือก็มีสนามเด็กเล่น เด็กๆพากันส่งเสียงเจื้อยแจ้ว น่ารักน่าหยิกชะมัดเลย~
“เห็นตัวเล็กๆแหกปากเสียงดังชะมัด นี่น่ะหรอสงบของนาย ประสาทป่ะ? -__-…”
แต่ก็ยังมีคนที่คิดว่าเสียงของเด็กๆมันน่ารำคาญหนวกหูอยู่ ไอ้แพนด้าผีไงครับ!! เหอะ ไปว่าว่าเด็กเสียงดัง ตอนเด็กๆหมอนี่ไม่เคยแหกปากบ้างรึไงฟะ “นายหัดเปิดใจรับฟังมันสิ ถ้านายใช้แต่หูกับความคิดด้านลบฟังนายก็คิดว่ามันน่ารำคาญอยู่แล้ว”
“หูฉัน ความคิดฉัน อย่ามายุ่งได้มั้ย ก็มันน่ารำคาญจริงๆนี่แหกปากเสียงดังวุ่นวายรบกวนคนอื่น”
“ฉันเองก็ไม่เห็นว่ามันจะรบกวนตรงไหน มีแต่นายนั่นแหละที่คิดไปเอง บ้าจริง!” เฮ้อ~ ผมล่ะเหนื่อยกับหมอนี่จริงๆครับ หน้าตาก็เชิงติดลบ ความคิดก็ติดลบ ปากก็ติดลบ มีอะไรที่จะคิดบวกสร้างสรรค์แบบคนอื่นเค้าบ้างมั้ยเนี่ย -_-
“ฉันไม่แคร์หรอก -___- นายจะไปไหนก็เรื่องของนาย เชิญอยู่ในที่สงบๆของนายต่อไป ตอนเย็นจะมารับ แล้วนี่ก็เงิน ถ้าหิวอะไรก็ไปหาอะไรกินตรงนู้น เดินไปเองได้ใช่มั้ย?” เทายัดเงินใส่มือผมพลางชี้ไปอีกฝากหนึ่งที่มีร้านขายน้ำขายขนมอยู่ ยังไม่เลิกกวนTEEN ไงครับ มันน่าสอยให้ร่วงจริงๆ =3=
“เออมีขาเดินไปเองได้ พอใจยัง นี่ก็แซะได้แซะดี จะไปเรียนก็รีบๆไปเดี๋ยวเข้าสายอาจารย์ว่าฉันไม่รู้ด้วยนะ”
“เหอะ รู้แล้วไม่ต้องมาไล่” เทาชักสีหน้าใส่ก่อนจะเดินหันหลังออกไปขึ้นรถ ผมยืนมองจนรถสปอร์ตคันหรูพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงไม่เกรงใจป้ายลดความเร็วในที่สาธารณะ นี่แหละครับลูกชายคุณคิม น่าจับตีก้นชะมัดเจ้าเด็กบ้า =_=+
หลังจากที่อีกคนขับรถออกไปแล้ว ผมเองจึงตัดสินใจไปเดินเล่นก่อน ผมเลือกเดินสวนทางไปกับคนที่วิ่งจ๊อกกิ้งมาอีกทาง ดูเหมือนว่าทางคนที่ทำสวนสาธารณะเองก็จะทำทางเดินไว้กว้างพอสมควร เพราะผมกับคนวิ่งเองสามารถเดินแยกเลนกันได้สบายโดยไม่มีใครต้องเบี่ยงหลบออกนอกทางเท้า
ผมเดินเล่นไปได้ซักพักก็รู้สึกปวดขาขึ้นมาเล็กน้อย สงสัยคงต้องเป็นเพราะเมื่อวานที่วิ่งหนียามแน่เลยครับ =w=;;; เพราะว่าวิ่งสุดแรงโดยที่ไม่ได้วอร์มร่างกายก่อน แต่ใครจะไปมีเวลาวอร์มละครับโธ่...
“อ่า... ปวดขาชะมัดเลย T_T” ความรู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อฉีกขาดมันแล่นริ้วปวดแปลบๆไปทั้งกล้ามเนื้อต้นขา ผมบีบคลึงนวดมันอย่างเบามือเพราะกลัวว่าถ้าลงแรงมากไปอาจจะเป็นหนักกว่าเดิม ถ้าได้ยาแก้ปวดซักนิดก็คงจะดี ก่อนจะได้ยาก็ต้องไปหาหมอ...
หมองั้นหรอ?...
ผมชะงักมือที่กำลังนวด เพราะเห็นว่ามีอีกมือหนึ่งยื่นเข้ามาวางวิ่งบนต้นขา มือนั้นออกแรงบีบเบาๆ ความอุ่นซึมซาบผ่านกางเกงยีนส์ ผมไล่มองไปตามมือนั่นไปจนกระทั่งมองเห็นหน้าเจ้ามือเต็มสองตา อีกฝ่ายส่งยิ้มละมุนที่คุ้นเคยมาให้ผม ไม่จริง... นี่ผมฝันไปใช่มั้ย?
“จงแด....”
ผมเผลอเอื้อมมือไปหมายจะสัมผัสร่างของคนตรงหน้าอย่างลืมตัว แต่ทันทีที่คว้าเอาปกเสื้อกาวน์ได้ ภาพทุกอย่างที่เคยอยู่ตรงหน้าก็พลันมลายหายไปราวกับเม็ดทรายที่ถูกลมพัดหาย ความสัมผัสอบอุ่นที่ส่งมอบมาก็หายไปด้วยเช่นกัน เหลือเพียงแต่ความว่างเปล่าที่ยังอยู่กับผมตามเดิม
น้ำตาที่ผุดมาจากไหนไม่รู้หล่นเผาะลงบนหลังมือ นี่ผมร้องไห้หรอเนี่ย! -_-; แงรู้ถึงไหนอายถึงนั่น แล้วถ้าไอ้แพนด้าผีมันรู้ว่าผมร้องไห้นี่ โดนล้อยันลูกบวชแหงๆ ตาผมจะบวมมั้ยเนี่ยคิมจุนมยอนเอ๊ย...
“อะไรเนี่ย... ฉันพึ่งมาได้ไม่กี่วันเองนะ... จะไปคิดถึงหมอบ้านั่นทำไมเล่า” สองมือก็ขยี้ตาไปพลาง สมองก็กำลังเรียกสติกลับมา ผมได้แต่พร่ำเตือนตัวเองในหัวอยู่แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา แต่ผลที่ได้มันกลับตรงกันข้าม ผมไม่สามารถดึงสติกลับมาได้ สัมผัสอบอุ่นที่คุ้นเคยยังคงวนเวียนอยู่ที่ที่เค้าสัมผัส
ผมคิดถึงจงแด...
ถ้าจงแดอยู่ข้างๆในเวลานี้ เค้าคงจะคอยปลอบผม พูดให้กำลังใจทำให้ผมคิดที่จะสู้ต่อไป ถ้าจงแดอยู่ข้างๆผมเค้าคงจะหายาแก้ปวดมาให้ บรรจงทาช้าๆคอยเฝ้าแต่ถามซ้ำๆว่า ‘เจ็บรึเปล่า?’ ถ้ามีจงแดอยู่ผมคงไม่ต้องอ่อนแอแบบนี้
“แม่คะ พี่คนนั้นเค้าร้องไห้ทำไมหรอ???” เสียงเล็กๆดังขึ้น คาดว่าพี่ที่หมายถึงคงไม่พ้นใครแน่นอกจากผม ย๊าก! นี่ผมร้องไห้ต่อหน้าสุภาพสตรีหรอเนี่ยยย T_T แย่ที่สุดเลยอ่ะ...
“เค้าคงมีปัญหาล่ะมั้งจ๊ะ อย่าไปสนใจเลยจ่ะ เอาอย่างงี้ดีกว่า เดี๋ยวแม่จะพาหนูไปซื้อไอศกรีมอร่อยๆตรงนู้นแล้วเรากลับบ้านไปทานมื้อเที่ยงกับพ่อดีกว่านะ ไปกันค่ะ”
“แต่ว่า...”
“จินยอง อย่าดื้อสิคะ ไปเร็วค่ะ” ดูเหมือนเจ๊แกไม่อยากให้น้องเค้ามายุ่งกับผมมากเลยนะ -_-; ผมแค่ร้องไห้เฉยๆเองนะไม่ได้บ้าซะหน่อย คนบ้าที่ไหนจะหน้าตาดีแบบนี้ล่ะโธ่ มันไม่ใช่ๆ =_=..
เฮ้อ~ นี่ผมควรจะทำใจได้แล้วสินะ ._. ถึงเวลามันจะผ่านมาแค่หนึ่งวัน หนึ่งวันเท่านั้นเองนะที่ผมไม่ได้เจอเค้า ไม่ได้เจอแม่แล้วก็คนงานคนไร่ในสวนผมก็รู้สึกไม่ดีแล้ว นี่ถ้าผมอยู่เป็นเดือนแล้วผมจะไม่ลงแดงตายเลยรึไงกัน คิดแล้วก็อยากกลับบ้านอ่ะ แง หนูคิดถึงบ้าน~... T_T
“พี่คะ...” ผมสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียก ก็พบว่ามีเด็กผู้หญิงคนเดิมกำลังเลียไอศกรีมโคนอย่าเอร็ดอร่อย มืออีกข้างถือไอศกรีมโคนรสช็อคโกแลตไว้ น...นี่... น้องควบสองเลยเรอะ =_=
“ครับผม?” ผมปั้นหน้ายิ้มทั้งๆที่ยังมีคราบน้ำตาเต็มหน้า นี่โชคดีนะครับที่น้ำมูกผมไม่ไหลย้อยตามมาด้วย ไม่งั้นถ้าน้องเค้าเห็น เค้าคงเอาไอศกรีมในมือละเลงใส่หน้าผมแล้ว -_-;
“นี่ค่ะ... หนูให้” พูดจบเด็กตัวน้อยก็ยื่นไอศกรีมในมืออีกข้างมาให้ผม “รีบๆกินนะคะเดี๋ยวมันจะละลายหมด”
“อ่ะ...อ่าครับ ^^;” ผมยิ้มแหยๆ แอบเห็นด้วยแหละครับว่าคุณแม่ของน้องเค้ามองอยู่ด้วยสายตาพิลึก คงกลัวว่าผมจะเกิดบ้าทำร้ายน้องเค้าใช่มั้ย? ไม่จริงนะครับจุนมยอนใสๆ...
“คุณแม่เคยบอกว่า ถ้าเราเครียดให้กินช็อคโกแลต แต่หนูไม่รู้ว่าถ้าเป็นไอศกรีมช็อคโกแลตจะช่วยได้รึเปล่า พี่ชายลองกินดูนะคะ มันอร่อยมากๆเลย” ผมยิ้มรับไมตรีจิตของน้องสาวตัวน้อย มองไอศกรีมในมือด้วยความซึ้งใจ
“ขอบคุณมากนะครับ” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวเล็กๆนั่นอย่างเบามือ เด็กสาวยิ้มแป้นก่อนจะรีบวิ่งไปหาคุณแม่ที่ยืนอยู่ห่างออกไปหน่อย แต่ยังไม่วายหันมาโบกมือลาให้ผมก่อนหันไปด้วย ผมเองก็โบกมือให้เธอจนลับสายตาไป กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีไอศกรีมก็ละลายไหลย้อยลงมาเปื้อนมือแล้ว เฮ้ย! =[]=
ผมรีบดูดซดไอศกรีมที่ไหลมาเปื้อนมือจนเสียงดังจ๊วบจ๊าบ ทำเอาคนที่วิ่งผ่านไปมาหันมามองด้วยสายตาแปลกๆ อะไร ไม่เคยเห็นคนกินไอศกรีมหรือยังไงครับ ดูสิไหลหกมาเยอะด้วยอ่ะเสียดายจัง Y_Y
หลังจากเคลียร์กับไอศกรีมเรียบร้อยผมก็กลับมานั่งถอนหายใจอีกรอบอย่างเบื่อหน่าย ถึงจะออกมาข้างนอกบ้านมีแต่ผู้คนก็เถอะ ผมก็ยังรู้สึกเหงาอยู่ดี แต่ถามว่าเหงามากมั้ย มันก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ อย่างน้อยเด็กน้อยคนเมื่อครู่ยังทำให้ผมรู้ว่ายังมีคนที่คอยห่วงผมอยู่ถึงแม้เราจะไม่รู้จักกันก็ตาม
เฮ้อ~ พอคิดถึงเด็กแล้วก็พาลไปนึกถึงแพนด้าจอมโหดแห่งเขาเหลียงซาน –w-; ขนาดเด็กยังพูดดีมีมารยาทกับผมเลย แต่ดูนี่สิ โตซะเปล่าแต่ยังไม่รู้จักเคารพนอบน้อมคนที่อาวุโสอย่างผม แถมยังชอบพูดจิกกัดเน็บแหนมด่าทุกเม็ดเก็บทุกรายละเอียด มันน่าเอาสตรอเบอรี่ยัดปากจริงๆ!
คอยดูเถอะ กลับบ้านเมื่อไหร่จะนั่งอบรมเรื่องมารยาทให้มันเข้าไปถึงแก่นสมองเลย!
แต่ว่า... หมอนั่นมันจะฟังผมรึเปล่านะ T_T…
“เทา! นี่มึงจะไปกินเหล้ากับพวกกูป่ะ ไปเจอร้านเด็ดมา เด็กๆในร้านนี่... อย่าแจ่มเลย!” เทาเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเพื่อน หลังเลิกเรียนก๊วนเพื่อนของเค้ามักจะชวนไปกินเหล้าเสมอ เขาเองก็ไปบ้างไม่ไปบ้าง เหตุผลน่ะมีอยู่ไม่กี่อย่าง หนึ่ง เพราะกลัวว่าแม่จะว่า ว่ากินแต่เหล้างานไม่ทำหนังสือไม่อ่าน สอง เพราะพี่คริสจะดุ รายนั้นเกลียดพวกขี้เหล้าเป็นที่หนึ่ง สาม เพราะเซฮุนจะด่า ไอ้น้องคนนี้ไม่ชอบกลิ่นเหล้าเพราะมันทำให้ปวดเศียรเวียนเฮดชวนอาเจียน สี่ คือพ่อเคยสอนว่าสุราเป็นสิ่งที่ทำให้เราขาดสติและเป็นตัวผลาญเงินชั้นดี…
แต่วันนี้ทั้งสี่คนที่ว่าไม่อยู่บ้านซะหน่อย แถมไม่อยู่ตั้งอาทิตย์นึงแน่ะ~
“ก็น่าสนอยู่นะ วันนี้กูโคตรเซงเลย อยากไปดื่มซักหน่อย ฟังเพลงเบาๆคลายเครียดด้วย” เทายัดเอกสารกับเลคเชอร์ใส่กระเป๋าเป้ ตอนนี้บรรดานิสิตป.โทพากันทยอยออกจากห้องเรียนแล้ว เหลือเพียงแค่เค้ากับเพื่อนอีกสองสามคนที่ยังยืนโม้มอยเสียงดังสะท้อนทั่วห้องกว้าง
“แล้วเอาไง ร้านมันเปิดดึกด้วย กูว่าจะกลับบ้านไปเอารถก่อน แล้วมึงอ่ะดงอุน?” แบคฮยอนหันไปสะกิดดงอุนที่กำลังเล่นเกมในไอโฟนอย่างเมามันส์ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนจะดึงหูฟังข้างหนึ่งที่เสียบอยู่ออก
“กูยังไงก็ได้ งั้นกูขอไปบ้านมึงก่อนแล้วกันนะแบค ขากลับส่งกูด้วย ตามนั้น”
“ตามนั้นพ่อมึงดิ ลำบากกูอีกแล้วไอ้ห่า แล้วมึงอ่ะเอายังไงชานซอง?”
“กูกลับบ้านไปเอารถเหมือนมึงนั่นแหละ จะกลับไปกินข้าวที่บ้านด้วย ตอนนี้แม่งหิวชิบหายเลยอาจารย์คนนี้แม่งไม่ยอมให้เอาขนมเข้ามากิน กูอุตส่าห์บอกว่าจะเคี้ยวเบาๆแม่งก็ไม่ยอม -_-…” เทาหัวเราะหึๆในลำคอ เพื่อนแต่ละคนนี่ก็นะ แต่ถึงเห็นปากหมาทำตัวสถุนเป็ดอย่างนี้ก็เถอะแต่ละคนดีกรีเป็นถึงคุณหนูคุณนายเลยทีเดียว อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ก็สุภาพเรียบร้อย แต่พออยู่ในฝูง (?)เท่านั้นแหละ สัตว์วิ่งเล่นกันให้ว่อน
“นี่ก็ห่วงแต่แดก กูขอคนสติดีๆคุยกับกูซักคนได้ป่ะ? เออไอ้เทา ว่าแต่มึงไม่ไปรับพี่ชายกิ๊กก๊อกมึงหรอ เมื่อเช้าเห็ฯมึงบอกไปปล่อยทิ้งไว้ที่สวนสาธารณะนี่ ป่านนี้ผสานร่างรวมกับต้นไม้แล้วมั้ง รักสงบเกิน” เพื่อนทั้งสามหัวเราะประสานเสียงกันทันทีที่แบคฮยอนพูดจบ เทาเองก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์
“ก็บอกอยู่ว่าปล่อยทิ้ง พวกมึงแปลภาษาเกาหลีให้เป็นภาษาเกาหลีไม่ออกหรอ?”
“น่าน~ แรงไงครับคุณหนูเทา กูอยากรู้จริงๆว่ามึงไปโกรธแค้นอะไรเค้าหนักหนา” ชานซองยืนเท้ามือกับโต๊ะเรียน จ้องมองผู้เป็นเพื่อนด้วยความสงสัย อยู่กับมันมาตั้งสี่ห้าปี ไม่เคยเห็นมันดุร้ายกับใครได้ถึงขนาดนี้ แถมไอ้คนที่มันมีปัญหาด้วยก็คือลูกชายแท้ๆของพ่อเจ้าตัวเองด้วย
“กูแค่ไม่ชอบขี้หน้า มึงคิดดู คนที่หายไปเป็นสิบๆปี แต่อยู่ๆก็ยอมกลับมาช่วยพ่อทำงาน เหตุผลมันจะมีอะไรถ้าไม่คิดจะกลับมาทวงสมบัติ ไม่ก็หาทางยึดบริษัทของพ่อไป เห็นหน้าติ๋มๆอย่างนั้นก็เถอะ งูพิษชัดๆ”
“โคนันสิงหรอมึง กูว่ามึงอ่ะคิดมากเกินไป บางทีเค้าอาจจะกลับมาเพื่อช่วยพ่อจริงๆก็ได้ เลิกมองคนในแง่ร้ายได้แล้ว” เทาอยากจะระเบิดตัวเองตาย เพราะไอ้คำพูดของดงอุนนี่มันแทบโคลนมาจากคำพูดของเฮีย เค้าต้องการคนที่เห็นด้วยกับเค้า เห็นว่าไอ้คนที่ก้าวเข้ามาในบ้านนั่นมันคือตัวร้าย ไม่ใช่คนดีอย่างที่ใครคิด
“สัตว์ เลิกพูดเถอะ กูเบื่อจากที่บ้านมามากพอแล้ว อย่าให้กูต้องมานอยด์กับที่นี่อีกเลย เดี๋ยวไม่มีอารมณ์แดกเหล้ากันพอดี” เทาสะพายกระเป๋าเป้ พาตัวเองเดินนำลิ่วออกมาจากกลุ่มเพื่อน ร่างโปร่งเริ่มอารมณ์เสียน้อยๆเพราะมีแต่คนแคร์ไอ้หลอดไฟเดินได้นั่น ถ้าไม่มาเป็นเค้าก็คงไม่รู้หรอกว่าฉากหน้าที่แสนใสซื่อบริสุทธิ์นั่นเต็มไปด้วยความร้ายกาจ
ร่างสูงพาตัวเองมาจนถึงลานจอดรถ ข้างหลังยังมีสามตัวป่วนส่งเสียงดังเป็นระยะๆ จนกระทั่งแต่ละคนเดินไปถึงยานพาหนะของตัวเอง แบคฮยอนกับดงอุนกลับแท็กซี่ ชานซองขี่มอเตอร์ไซด์ฮายาบูสะคันโต เทาเองก็มีรถสปอร์ตคันหรูคู่ใจหรือจะเรียกง่ายๆว่าลูกชายขับกลับบ้านตามปกติ
“เทา!” ชายหนุ่มที่กำลังจะสตาร์ทรถชะงักมือที่กำลังจะเสียบกุญแจเพราะเสียงทุ้มใหญ่ของผู้เป็นเพื่อนที่ตะโกนเรียก
“มีอะไรวะ?”
“กูว่า มึงไปรับพี่มึงเถอะ สงสารเค้าบ้าง”
“เรื่องของกูน่า อย่ามายุ่ง” ร่างโปร่งไม่สนใจคำบอกกล่าวของผู้เป็นเพื่อน ช่างหัวคนคนนั้นสิ จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่เกี่ยวกับเค้า ในเมื่อร้องขอออกมาข้างนอกเอง ก็รับผิดชอบตัวเองไปสิ เงินก็ให้ไปแล้ว เค้าไม่ใช่สารถีที่ต้องคอยขับรถไปรับไปส่งนะ ทันทีที่สตาร์ทรถได้ ร่างสูงก็ใส่เกียร์ถอยหลังแล้วรีบเหยียบคันเร่งขับออกไปให้ไกลจากผู้เป็นเพื่อนและเขตมหาลัยฯทันที...
เค้ามาลงช้าไปใช่ป่ะ T_T แงงงงง หนูขอโทษทุกคนด้วยนะคะ งานมันเยอะมากจริงๆ หัวก็ไม่แล่นเลย แต่พอแล่นแล้วก็ยาวเหยียดร่วมสามกิโลอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ เอาให้จุใจไปเลยทีเดียว 555555
สุดท้ายนี้ 1 คอมเม้นต์ = 1 กำลังใจ ♥ ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ!
ความคิดเห็น